ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2011, 12:05:17 pm »เรื่องพระโสไรยเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่พระเชตวัน ทรงปรารภนายโสไรยะ บุตรของเศรษฐีแห่งเมืองโสไรยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น ตํ มาตา ปิตา กยิรา เป็นต้น
ครั้งหนึ่ง นายโสไรยะพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่ง และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ได้นั่งรถม้าคันหรูจะไปอาบน้ำกัน ในขณะนั้นเองพระมหากัจจายนเถระได้มาผลัดผ้าสบงจีวรอยู่ที่นอกเมือง ขณะที่ท่านกำลังจะเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง นายโสไรยะหนุ่มแลเห็นผิวพรรณเหลืองอร่ามดุจทองคำของพระเถระแล้วคิดในทางที่ไม่ดีว่า “เราอยากให้พระเถระมาเป็นภรรยาของเรา หรือมิฉะนั้นก็ให้ผิวพรรณของภรรยาของเราเหมือนกับผิวพรรณของพระเถระนี้” ขณะที่ความปรารถนาในทางอกุศลเช่นนี้เกิดขึ้นกับนายโสไรยะ เพศชายของเขาก็ได้หายไป เพศหญิงเกิดขึ้นมาแทนที่ นายโสไรยะมีความละอายจึงลงจากรถม้าวิ่งหนีไปทางถนนที่จะไปสู่เมืองตักกสิลา พวกเพื่อนๆที่มาด้วยเห็นเขาหายไป ก็ได้พยายามตามหาแต่ก็ไม่พบ
ข้างนายโสไรยะ ซึ่งตอนนี้กลายเพศมาเป็นหญิงแล้ว ได้ถอดแหวนที่อยู่ที่นิ้วมือของตนยกให้พวกคนที่กำลังจะเดินทางไปเมืองตักกสิลา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่นางจะได้ขอร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย พอเดินทางไปถึงเมืองตักกสิลา พวกเพื่อนร่วมทางได้แนะนำตัวนางโสไรยะให้รู้จักกับบุตรเศรษฐีที่เมืองตักกสิลาคนหนึ่ง บุตรเศรษฐีเห็นว่านางโสไรยะสะสวยงดงามมากและมีอายุเหมาะสมกับตนจึงได้ขอแต่งงานด้วย เมื่อแต่งงานอยู่กินกันทั้งสองสามีภรรยานี้ก็มีบุตรด้วยกัน 2 คน ส่วนบุตรอีกสองคนของโสไรยะในตอนที่เป็นเพศชายนั้นก็มี 2 คนเท่ากัน
วันหนึ่ง บุตรของเศรษฐีที่เมืองโสไรยะผู้หนึ่งได้เดินทางมาที่เมืองตักกสิลาพร้อมด้วยกองคาราวานเกวียน 500 เล่ม นางโสไรยะจำได้ว่าบุตรเศรษฐีคนนี้ก็คือเพื่อนเก่าของนางในสมัยที่นางเป็นเพศชาย จึงได้ส่งคนไปเชิญเขามาที่บ้าน บุตรเศรษฐีจากเมืองโสไรยะมีความประหลาดใจที่ได้รับเชิญเพราะว่าเขาไม่เคยรู้จักหญิงที่มาเชิญมาก่อน เขาได้บอกกับนางโสไรยะว่าเขาไม่รู้จักกับนางมาก่อน และสอบถามว่านางรู้จักเขามาก่อนหรือไม่ นางโสไรยะตอบว่านางรู้จักเขาและก็ยังได้สอบถามถึงคนในครอบครัวของนางและคนอื่นๆในเมืองโสไรยะด้วย ชายที่มาจากเมืองโสไรยะจึงได้เล่าเรื่องบุตรชายของเศรษฐีได้หายตัวไปอย่างลึกลับขณะนั่งรถจะไปอาบน้ำ พอถึงตอนนี้นางโสไรยะก็ได้บอกว่าตนนี่แหละคือบุตรของเศรษฐีคนนั้น และนางได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ว่านางมีความคิดที่เป็นอกุศลต่อพระมหากัจจายนะทำให้เพศชายหายไปเพศหญิงเกิดขึ้นแทนที่ นางได้เดินทางมาที่เมืองตักกสิลาและได้มาแต่งงานกับบุตรชายเศรษฐีที่เมืองตักกสิลานี้ ชายที่มาจากเมืองโสไรยะได้แนะนำให้นางโสไรยะไปขอโทษพระมหากัจจายนเถระเสีย ต่อมาพระมหากัจจายนเถระก็ได้รับนิมนต์มาฉันภัตตาหารที่บ้านของนางโสไรยะ หลังจากที่พระเถระฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางโสไรยะก็ถูกนำตัวออกมาอยู่เบื้องหน้าของพระเถระ และชายที่มาจากเมืองโสไรยะได้เรียนพระเถระว่า นางโสไรยะผู้นี้เมื่อครั้งอดีตคือบุตรชายของเศรษฐีที่เมืองโสไรยะ เขาได้บรรยายความให้พระเถระฟังต่อไปว่า ที่นางโสไรยะกลายเพศมาเป็นหญิงนี้ก็เพราะมีอกุศลจิตต่อพระเถระ จากนั้นนางโสไรยะก็ได้กราบขอขมาพระเถระ พระเถระได้กล่าวขึ้นว่า “จงลุกขึ้นเถิด เราให้อภัยแก่ท่านแล้ว” ทันทีที่คำเหล่านี้ออกมาจากปากของพระเถระ นางโสไรยะก็มีเพศกลับมาเป็นชายดังเดิม นายโสไรยะเมื่อกลับมามีเพศชายได้เช่นนี้ ก็เกิดความแคลงใจว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ในชาติเดียวกันนี้คนๆเดียวจะเปลี่ยนเพศได้ และเป็นไปได้อย่างไรที่เขาสามารถตั้งครรภ์มีบุตรได้ เป็นต้น เขามีความรู้สึกสงสัยและอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเหล่านี้มาก จึงได้ตัดสินใจสละชีวิตฆราวาสออกบวชเป็นพระภิกษุ โดยมีพระมหากัจจายนเถระเป็นพระอุปัชฌาย์
หลังจากที่พระโสไรยะบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็มักถูกตั้งคำถามเสมอๆว่า “ระหว่างบุตร 2 คนที่เกิดในขณะที่ท่านเป็นชาย กับบุตร 2 คนที่เกิดในขณะที่ท่านเป็นหญิง ท่านรักบุตร 2 คนไหน” ท่านได้ตอบคำถามของคนที่มาถามเหล่านี้ว่า ท่านรักบุตรที่เกิดในขณะที่ท่านเป็นหญิงมากกว่า มีคนถามคำถามนี้กับท่านบ่อยมาก จนท่านรู้สึกรำคาญและละอายใจที่จะตอบ ดังนั้นท่านจึงปลีกตัวไปอยู่ในที่สงัด และได้มุ่งมั่นปฏิบัติสมณธรรมโดยเพ่งพินิจความเสื่อมและความสลายไปของร่างกาย ต่อมาไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย คราวนี้เมื่อมีคนนำคำถามเดิมๆมาถามท่านอีก ท่านก็ได้ตอบว่า ท่านไม่มีความรักกับผู้ใดผู้หนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อภิกษุอื่นๆได้ฟังท่านพูดเช่นนี้ก็คิดว่าท่านพูดโกหก เมื่อพระภิกษุทั้งหลายนำความที่พระเถระเปลี่ยนแปลงคำพูดมากราบทูล พระศาสดาได้ตรัสว่า “บุตรของเรามิได้กล่าวเท็จ แต่ได้พูดความจริง ที่คำตอบของบุตรของเราต่างไปจากเดิมนั้น ก็เพราะว่าบัดนี้บุตรของเราได้บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว เพราะฉะนั้นบุตรของเราจึงไม่มีความรักสำหรับผู้ใดโดยเฉพาะอีกต่อไป จิตที่ตั้งไว้ดีแล้วของบุตรของเราก่อให้เกิดผลดีที่บิดาหรือมารดาก็ไม่สามารถนำมาให้ได้”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 43 ว่า
น ตํ มาตา ปิตา กยิรา
อญเญ วาปิจ ญาตกา
สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ
เสยฺยโส นํ ตโต กเรฯ
(อ่านว่า)
นะ ตัง มาตา ปิตา กะยิรา
อันเย วาปิจะ ยาตะกา
สัมมาปะนิหิตัง จิดตัง
เสยยะโส นัง ตะโต กะเร ฯ
(แปลว่า)
มารดา บิดา ก็ทำให้ไม่ได้
ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้
แต่จิตที่ตั้งไว้โดยชอบแล้ว
ทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้ดีกว่าด้วย.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง คนเป็นอันมากได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา มีประโยชน์แก่มหาชน.
นำมาแบ่งปันโดย :
one mind :http://agaligohome.com/index.php?topic=4601.0
Pics by : -http://www.chula-alumni.com/forum/forum_postpop.asp?FID=3&TID=507&PN=1&TPN=1
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ