ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2011, 03:52:30 pm »เรื่องครหทินน์
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน ทรงปรารภสาวกของนิครนถ์ชื่อครหทินน์ ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยถา สงฺการธานสฺมึ เป็นต้น
ที่กรุงสาวัตถี มีชายเป็นสหายกันอยู่ 2 คน คนหนึ่งชื่อสิริคุตต์ และอีกคนหนึ่งชื่อครหทินน์ คนที่ชื่อสิริคุตต์เป็นสาวกของพระศาสดา ส่วนคนที่ชื่อครหทินน์เป็นสาวกของพวกนิครนถ์ ซึ่งเป็นศัตรูกับชาวพุทธ ครหทินน์เคยพูดกับสิริคุตต์ว่า “มันจะมีประโยชน์ที่คุณจะไปเป็นสาวกของพระศาสดา มาเถิดเพื่อน จงไปเป็นสาวกของครูทั้งหลายของเรา” เมื่อถูกชักชวนจากครหทินน์เช่นนั้นหลายครั้งเข้า สิริคุตต์จึงกล่าวกับครหทินน์ว่า “ไหนเพื่อนบอกหน่อยสิ ว่าครูทั้งหลายของคุณรู้อะไรบ้าง” ครหทินน์ตอบว่า “ครูของเรารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขามีอานุภาพมาก สามารถรู้อดีต อนาคต และปัจจุบัน ตลอดจนรู้ความนึกคิดของผู้อื่นด้วย” ดังนั้นสิริคุตต์จึงได้เชิญพวกนิครนถ์มารับประทานอาหารบิณฑบาตที่บ้านของเขา
สิริคุตต์ต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับพวกนิครนถ์ ว่าพวกเขาจะมีอานุภาพรู้จิตของคนอื่นเป็นต้น อย่างที่ครหทินน์ได้คุยเอาไว้หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงได้ให้คนขุดหลุมลึกแล้วขนอุจจาระเหลวมาใส่ไว้ในหลุมจนเต็มแล้วใช้ผ้าปูปิดไว้ข้างบน ส่วนที่นั่งสำหรับพวกนิครนถ์ก็ได้ไปวางไว้ข้างบนหลุมอุจจาระนั้น และได้นำตุ่มเปล่าๆมาวางเรียงรายโดยยัดผ้าและใบตองไว้ข้างในทำเป็นว่าเป็นตุ่มใส่ข้าวและแกงสำหรับถวายพวกนิครนถ์ เมื่อพวกนิครนถ์เดินทางมาถึงที่บ้าน ก็ถูกขอร้องให้เดินเข้าไปประจำที่นั่งที่ละคนๆ โดยให้ไปยืนคอยอยู่ที่ใกล้ๆกับที่นั่งของตนๆ และเมื่อพร้อมทุกคนแล้วก็ขอให้นั่งลงพร้อมกัน เมื่อพวกนิครนถ์นั่งลงพร้อมกัน เชือกที่ขึงรองที่นั่งก็ขาด พวกนิครนถ์ศีรษะคะมำตกลงไปในหลุมอุจจาระ จากนั้นสิริคุตต์ได้เยาะเย้ยนิครนถ์เหล่านั้นว่า “ทำไมพวกท่านถึงไม่รู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเล่า ? ทำไมพวกท่านถึงไม่รู้ความคิดของคนอื่นเล่า ?” พวกนิครนถ์ต่างวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก
ครหทินน์โกรธสิริคุตต์มาก ไม่ยอมพูดจาด้วยเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะแก้แค้นสิริคุตต์บ้าง จึงทำทีว่าเลิกโกรธ และวันหนึ่งก็ได้ไปขอให้สิริคุตต์ไปนิมนต์พระศาสดาแทนตัวเขาให้ไปฉันอาหารที่บ้าน ดังนั้นสิริคุตต์จึงไปทูลนิมนต์พระศาสดาให้ไปฉันที่บ้านของครหทินน์ ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ทูลพระศาสดาในสิ่งที่เขาเคยทำไว้กับครหทินน์ และเขาได้แสดงความวิตกกังวลว่าที่ครหทินน์นิมนต์พระศาสดาไปในครั้งนี้อาจจะเพื่อทำการแก้แค้นก็ได้ ดังนั้นจึงขอให้พระศาสดาทรงพิจารณาอย่างรอบคอบว่าควรจะรับนิมนต์ครหทินน์หรือไม่
พระศาสดาทรงทราบด้วยพระญาณพิเศษของพระองค์ว่า จะเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ทั้งสองสหายนี้ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล หากพระองค์รับคำนิมนต์ของครหทินน์ ข้างครหทินน์ก็ได้ทำการขุดหลุมขนาดใหญ่ นำฟืนมาจุดไฟเผาอยู่เต็มหลุม แล้วปิดไว้ด้วยสื่อลำแพน และเขาก็ได้นำตุ่มเปล่ามาวางเรียงรายโดยเอาผ้าและใบกล้วยมายัดเข้าไว้ข้างในทำเป็นว่าเป็นตุ่มบรรจุข้าวและแกงของถวายพระสงฆ์ พอถึงวันรุ่งขึ้น พระศาสดาได้เสด็จมาพร้อมกับภิกษุ 500รูป เมื่อพระศาสดาก้าวเหยียบไปบนสื่อลำแพนที่ปูอยู่หนือหลุมถ่านเพลิง ก็ได้เกิดปาฏิหาริย์ เสื่อและฟืนถ่านที่ลุกไหม้อยู่นั้นได้หายไป และมีดอกบัวขนาดใหญ่มากขนาดกงล้อเกวียน 500 ดอก ผุดขึ้นมาเป็นอาสนะที่ประทับของพระศาสดาและที่นั่งของภิกษุทั้งหลาย
เมื่อครหทินน์ได้เห็นปาฏิหาริย์เช่นนี้ก็เกิดความตื่นตระหนก รีบเข้าไปหาสิริคุตต์กล่าวว่า “เพื่อนรัก เพื่อนต้องช่วยฉันนะ ฉันต้องการจะแก้แค้นคุณ ก็เลยได้กระทำสิ่งที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในครั้งนี้ แผนการร้ายนี้ไม่อาจมีผลใดๆต่อพระศาสดาของคุณได้เลย ตุ่มต่างๆที่ตั้งเรียงรายอยู่ในครัวนั้นล้วนเป็นตุ่มเปล่า ช่วยฉันทีเถอะนะ” สิริคุตต์ได้บอกกับครหทินน์ให้เดินกลับไปมองดูที่ตุ่มเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อครหทินน์ปฏิบัติตามก็ได้พบว่าตุ่มเหล่านั้นมีอาหารอยู่เต็มทุกตุ่ม ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจ ความโล่งใจ และความสุขให้แก่ครหทินน์เป็นอันมาก ครหทินน์ได้นำภัตตาอาหารมาถวายพระศาสดาและพระภิกษุทั้งหลาย หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระศาสดาได้แสดงทีท่าว่าจะกระทำอนุโมทนาทาน และได้ตรัสว่า “พวกคนพาล ขาดปัญญา ไม่รู้คุณของสาวกของเรา และแห่งพระพุทธศาสนา เพราะความไม่มีปัญญาจักษุนั่นเอง ผู้เว้นปัญญาจักษุ ชื่อว่าผู้ตาบอด ส่วนผู้มีปัญญา ชื่อว่ามีจักษุ”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 58 และพระคาถาที่ 59 ว่า
ยถา สงฺการธานสฺมึ
อุชฌิตสฺมึ มหาปเถ
ปทุมํ ตตฺถ ชาเยถ
สุจิคนฺธํ มโนรมํฯ
(อ่านว่า)
ยะถา สังการะทานัดสะหมิง
อุดชิตัดสะหมิง มะหาปะเถ
ปะทุมัง ตัดถะ ชาเยถะ
สุจิคันทัง มะโนระมัง.
(แปลว่า)
ดอกปทุม เกิดที่กองขยะ
ที่ถูกทิ้งไว้ตรงทางหลวง
มีกลิ่นหอม
เป็นที่รื่นรมย์ใจ ฉันใด ฯ
เอวํ สังการภูเตสุ
อนฺธภูเต ปุถุชฺชเน
อติโรจติ ปญญาย
สมฺมาสมฺพุทฺธสาวโกฯ
(อ่านว่า)
เอวัง สังการะพูเตสุ
อันทะพูเต ปุถุดชะเน
อะติโรจะติ ปันยายะ
สำมาสำพุดทะสาวะโก.
(แปลว่า)
ในหมู่ปุถุชน ผู้มืดบอด
ที่เปรียบเหมือนกองขยะนั้น
พระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ย่อมรุ่งโรจน์ด้วยปัญญาเหนือกว่า ฉันนั้น.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ความตรัสรู้ธรรม ได้บังเกิดแล้ว แก่สัตว์ 8 หมื่น 4 พัน ส่วนครหทินน์และสิริคุตต์ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล.