ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2011, 08:33:28 am »โปรดอย่าคิดว่าผู้เขียนเอาเรื่องอะไรที่ไกลตัวแถมหยาบใหญ่ไม่รู้เรื่อง เช่น เรื่องของโลกของจักรวาลและเรื่องของมนุษยชาติเช่นนี้มาเขียน เรื่องของดอกไม้ รักๆ ใคร่ๆ ประเทศไทย หรือการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ ไม่มีหรืออย่างไร? มิน่าเล่า พวกทหารถึงได้คิดแต่เผ่าพันธุ์ของกู ประเทศและดินแดนของกู ไม่สนใจอะไรที่ไกลตัวกว่านั้น เช่น จักรวาลวิทยาใหม่ ซึ่งบ่งบอกชัดเจนถึงกำพืดของมนุษยชาติว่าไม่ได้จำกัดแค่เผ่า “ไต” เผ่าเดียว หรือสนใจเสียบ้างกับควอนตัมเม็คคานิกส์ที่พูดตรงกับพุทธศาสนาเปี๊ยบว่า ทั้งหมดคือหนึ่ง หนึ่งคือทั้งหมด (All is One, One is All) ถ้าหากเรานับถือพุทธศาสนา และปากก็บอกว่าเราเป็นพุทธ แต่เรากลับไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้ว - จะเชื่อใคร?
สังเกตชื่อเรื่องของบทความวันนี้ใหม? ว่าตอนแรกโลกและจักรวาลเป็นสสารวัตถุ (matter) แต่ทว่าในตอนหลัง ชีวิตและมนุษย์เป็นรูปร่างกายภาพ (physical) ที่มีจิตหรือตัวรู้อยู่ข้างในสสารวัตถุนั่นไม่รู้หรอก ที่รู้นั้นคือตัวรู้คือจิตที่อยู่ข้างใน แต่ไม่ใช่สมองที่คิดๆ กัน (ดู Mario Beoregard : Spiritual Brain, 2007)
ผู้เขียนเชื่อว่าโลกกับจักรวาลแม้จะโตใหญ่มากก็จริง แต่ธรรมชาติสำคัญที่สุด ไม่มีอะไรอีกแล้วที่สำคัญกว่าธรรมชาติ เพราะว่าสำหรับศาสนาที่มีพระเจ้า โลกและจักรวาลพร้อมด้วยสรรพสิ่ง เป็นการสรรค์สร้างจากพระองค์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะใหญ่โตมโหฬารหรือเล็กและน้อยนิดเพียงไร ดังนั้นชาวตะวันตกจึงเรียกธรรมชาติที่มองเห็นว่าเขียนด้วยตัวเล็ก (nature) และเขียนธรรมชาติที่มองไม่ห็น หรือไม่มีทางที่จะเห็นได้หรือพระจิตของพระเจ้าว่าเขียนด้วยตัวใหญ่ (Nature) ส่วนสำหรับศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า เช่น ศาสนาเต๋า ศาสนาพุทธที่มีธรรมะ ธรรมะคือความจริงที่แท้จริงที่ “มาของมันเอง” ซึ่งมองอย่างไรก็ไม่มีทางเห็น (หรือจิตไร้สำนึกร่วมแห่งจักรวาล หรือสนามที่รวมเป็นหนึ่ง หรือ processmind ของอาร์โนล์ด มินเดล นั้น) บ่อเกิดของความเป็นสอง (ทวิตา) ที่เกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น รวมกับธรรมชาติที่มองเห็น เช่น ภูเขา แม่น้ำ ป่าไม้ เป็นต้น
เมื่อตอนเช้ามืดวันพุธที่แล้วมานี้ ตื่นมาตอนตี 2 ครึ่งเพื่อเข้าห้องน้ำ แต่กลับมาเกิดนอนไม่หลับ เลยนอนคิดไปเรื่อยๆ แล้วคิดว่าได้พบกับความจริงข้อหนึ่งว่า เป็นเพราะว่ามีโลกมีจักรวาลต่างหาก ชีวิตถึงได้มีขึ้นได้ และมนุษย์ถึงได้มีขึ้น ทั้งยังหวนนึกไปถึงมนุษย์จักรวาลวิทยา (cosmological anthropic principle) แล้วคิดเลยไปถึง รูเปิร์ต เชลเดรค กับโลกแห่งรูปพรรณสัณฐาน (law of morphogenic field) ของเขา ซึ่งเป็นผลของคณิตศาสตร์ควอนตัมเม็คคานิกส์ที่กล่าวอ้างในตันตระพุทธศาสนา หลักการอันแรกบอกว่า ในช่วงหลังของจักรวาลกับโลก จะต้องมีมนุษย์เกิดขึ้น และกฎอันหลังที่บอกว่ามันมีสนาม (จิต) พลังงานควบคุม “รูปร่างกายภาพ” แห่งชีวิตทั้งหลายทั้งปวงที่ทุกชีวิตจะต้องมีรูปมีกายเช่นนั้น ทะไล ลามะ ได้อธิบายการเกิดขึ้นของกรรมไว้ในหนังสือของท่านในตอนนั้น (อ้างแล้ว) แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกระจ่างในเรื่องกรรมที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดใหม่
ผู้เขียนคิดไปเรื่อยๆ และเชื่อมั่นในความจริง ซึ่งผู้เขียนเพิ่งจะรู้และแน่ใจว่าเคยเกิดมาก่อนและมีผู้คุ้นเคยกับมัน แต่ใหม่สำรับผู้เขียน ความจริงใหม่สำหรับผู้เขียนคืออะไร? ก็คือจิตไร้สำนึกของจักราล หรือเรียกกันง่ายๆ ว่าจิตจักรวาล ตรงนี้ผู้อ่านต้องเข้าใจว่านักจักรวาลวิทยาในสมัยเก่านั้นเข้าใจว่าจักรวาลนั้นมีเพียงจักรวาลนี้อันเดียว ทั้งๆ ที่ศาสนาพุทธและวัฒนธรรมพระเวทบอกว่ามีจำนวนอย่างที่ไม่สิ้นสุด (นะอันโต นะ ชาติ) คาร์ล จุง ถึงได้เรียกจิตสำนึกนี้ว่า จิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมแห่งจักรวาล (universal unconscious continuum หรือ collective continuum) ซึ่งในบางกรณียกตัวอย่างเช่น ในความสอดคล้องพ้องจองกัน (synchronicity) หรือในการทำสมาธิ จิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาลของคาร์ล จุง นี้ ก็คือสนามที่รวมเป็นหนึ่ง คือสิ่งที่เซอร์อาร์เธอร์ เอ็ดดิงตัน เรียกว่า “คงเป็นจิตพื้นฐานของจักรวาลชนิดหนึ่ง” (a mind stuff) หรือคือองค์กรซ่อนเร้นตัวเอง (implicate order) (โดยหลักการ) ของเดวิด โบห์ม (ดูไทยโพสต์อาทิตยที่แล้ว) คือ จอร์จ วอล์ด “จิตที่มาก่อนเพื่อนตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที” คือ อาร์โนลด์ มินเดล “กระบวนการจิต” คือ “อาลัยวิญญาณ” ของธรรมเกียรติ (มหายาน) ฯลฯ และผู้เขียนเชื่อว่าของใครต่อใครอีกหลายๆ คนที่เป็นนักคิดจริงๆ ในเรื่องจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมหรือจิตจักรวาลนี้ก็คิดไปในทำนองเดียวกันนั้น
คิดๆ ไปแบบนี้ ก็หมายความว่าไม่ต้องนอนกัน โชคดีที่ได้หยุดงานอีกวันหนึ่ง เพราะออกไปทำงานที่ศุขเวชแค่ 3 วัน คือ วันจันทร์ วันพฤหัสฯ และวันเสาร์ กับวันอาทิตย์ที่ยังมีผู้ป่วยมาหาที่บ้าน คนแก่คนชรามักจะมีปัญหาเรื่องนอนกลางคืนไม่หลับ และคืนนั้นก็เป็นอีกคืนหนึ่งที่มีโอกาสได้คิดอย่างที่ไม่มีใครรบกวน คือกลับได้ผลดี เพราะนอนคิดไปถึงวูลฟ์กัง พอลี่ และความฝัน
วูลฟ์กัง พอลี่ เป็นนักควอนตัมฟิสิกส์รางวัลโนเบลที่มีชื่อเสียง เป็นคนที่เชื่อว่าจิตไร้สำนึกมีความสำคัญที่สุดและมาก่อนเพื่อน - มาก่อนจักรวาลเสียอีก เขามีชื่อเสียงที่ต้องระวัง เพราะเขาสามารถที่จะทำให้ห้องทดลองวิทยาศาสตร์พังทลาย - ไม่ว่าจะใหม่แค่ไหน - เมื่อเขาอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ก็อยู่ในละแวกหรือบริเวณนั้น พอลี่เขียนหนังสือร่วมกับคาร์ล ซี จุง (Jung and Pauli : Interpretation of the Nature of Psyche, 1954) ความฝันของวูลฟ์กัง พอลี่ มีอยู่ว่า เขาฝันถึงแหวนที่มีรอยสลักชัดเจนถึงอักษรภาษาอังกฤษคำว่า “ไอ” (“I”) และได้ยินเสียงของพระเจ้าพูดออกมาจากใจกลางของแหวนวงนั้น ซึ่งคาร์ล ซี จุง บอกว่า เป็นการติดต่อเชื่อมโยงอย่างต่อเนื่องของพระเจ้า (A causal connection) ซึ่งก็คือจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาลที่ไอน์สไตน์เรียกว่าจิตของผู้เก่าแก่พระองค์นั้น (the mind of the old One หรือ God’s though)
เพราะเรามีโลกมีจักรวาลเป็นสสารวัตถุนี้เอง เราถึงได้มีชีวิต มีสัตว์โลก และมีมนุษย์ที่มีรูปร่างกายภาพที่แตกต่างหลากหลาย ที่ล้วนมีจิตไร้สำนึก - ที่รอคอยสมองบริหารจัดการเปลี่ยนเป็นจิตสำนึก รวมทั้งจิตที่อยู่ลึกที่สุด อันได้แก่ อัตตาตัวตน (self) ซึ่งถ้าหากก้าวล่วงหรือพ้นผ่านระดับนั้นจะถูกเรียกว่าสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) ตรงนี้น่าคิด และคิดว่าการนอนไม่หลบในเช้ามืดในเช้าวันพุทธนั้นมีความหมาย และอาจเกี่ยวกับคาร์ล ซี จุง และพอลี่
ผู้เขียนอาจจะคิดว่าเราเห็นจะต้องคิดเรื่อง 2 เรื่องให้แจ่มแจ้งแทงตลอดเสียสักที เรื่องทั้ง 2 เรื่องนี้ก็คือ เรื่องของ “มายา” กับเรื่องของความฝันกลางวัน “ตอนที่ยังตื่นอยู่” (lucid dream) ซึ่งไม่ใช่จินตนาการ และก็ไม่ใช่ฝันตอนกลางวันอย่างที่เราเรียกเราใช้กัน แต่เป็นฝันเหมือนเรานอนหลับแล้วฝันไป ผู้เขียนรู้ว่ามีคนฝันแบบนี้ อย่างน้อยก็ลูกบุญธรรมของผู้เขียน 2 คน และรู้ว่ามีคนไทยฝันกลางวันจริงกันมากพอสมควร และในขณะเดียวกัน เราก็ต้องทำความเข้าใจกับความเป็นสองให้ชัดเจนด้วย (dualism) นั่นคือ ความแตกต่างกันระหว่างความจริงทางโลก กับความจริงทางธรรม พูดง่ายๆ คือความแตกต่างกันระหว่างนิวโตเนียนฟิสิกส์ หรือคลาสสิคัลฟิสิกส์กับควอนตัมฟิสิกส์
ผู้เขียนเมื่อนอนก็ไม่หลับจึงคิดไปเรื่อยๆ และผลของการคิดไปเรื่อยๆ นั้นก็คิดออกมาว่า? มายากับการฝันกลางวันจริงๆ เหมือนลูกบุญธรรมของผู้เขียนจะเป็นความจริงทางธรรม? หรือควอนตัมฟิสิกส์? เพื่อจะให้มนุษย์ได้คิด เพื่อนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาประจำวัน ทั้งในปัญหาส่วนตัวและปัญหาสังคม เช่น ประเทศอาหรับ กับอเมริกากับยุโรป หรือความแตกแยกร้าวฉานของประเทศไทยที่ความจริงทางโลกแก้ไขไม่ได้ โปรดอย่านึกว่าความแตกแยกร้าวฉานมันจบสิ้นแล้วหลังจากการเลือกตั้งได้สิ้นสุดลงแล้ว มีเหตุผลอยู่ 2 ประการที่ทำให้วางใจไม่ได้คือ 1.คนกรุงเทพฯ ไม่ได้เลือกข้างอย่างชัดเจน แม้ว่าส่วนใหญ่ดูจะเป็นเช่นนั้น ตรงกันข้ามลองไปดูคะแนนเลือกตั้งรวม ก็ย่อมจะรู้ว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ได้เลือกข้างเลย 2.ใครเป็นรัฐบาลลองเศรษฐกิจมันเป็นแบบนี้ก็เสียเปรียบฝ่ายตรงกันข้ามอยู่ดี เพราะสัญญาไม่ได้ สถิติเป็นแบบนั้น ประชาชนประเทศไหนก็คิดไกลๆ ไม่เป็นทั้งนั้น ลองรักษาสัญญาไม่ได้ดูซิ! เพราะฉะนั้นสมานฉันท์ปรองดองก็คงจะเป็นอย่างเก่า คือไม่ได้แก้ อีกอย่างหนึ่งผู้เขียนคิดว่าความจริงทางโลกแก้ไขเรื่องของมายากับความฝันกลางวันจริงๆ ทั้งๆ ที่ยังตื่น (lucid dream) ไม่มีทางได้
ผู้เขียนรับได้ว่าคณิตศาสตร์มีความหมาย และเป็นจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่ค่อยๆ คลี่ขยายออกมาจากองค์กรซ่อนเร้นตัวเอง (implicate order) ของเดวิด โบห์ม (คิดว่าเป็นเรื่องที่จะเป็นไปได้ที่มีองค์กรเช่นนั้นจริง แต่รับไม่ได้ว่ามีสสารวัตถุคลี่ขยายออกมาจากองค์กรนั้นด้วย เพราะมันผิดทางพุทธศาสนา)
อย่าลืมว่าความจริงทางธรรมนั้นมันเหมือนกันกับควอนตัมเม็คคานิกส์ เพราะฉะนั้นมันเหมือนกับเราตบลูกบิลเลียดสีแดงไกลๆ หลุมให้มันลงหลุม เราไม่มีทางรู้เหมือนนิวโตเนียนฟิสิกส์ว่า การตบแดงของเรานั้น ลูกขาวเรามันกระแทกแดงอย่างไร? และแดงหลังจากลูกขาวชนกระแทก มันวิ่งตรงไปที่หลุมตรงเป๊ะไหม? ลงหลุมอย่างไร? เพราะในทางควอนตัมฟิสิกส์นั้น พอเราออกคิวตบแดงเท่านั้นที่เรารู้ ส่วนลูกขาวมันจะชนกระแทกแดงหรือไม่? กระแทกแดงอย่างไร? แดงมันจะวิ่งอย่างไร? ตรงหลุมหรือไม่? เราไม่มีทางรู้ เรารู้ก็เมื่อแดงอยู่ในหลุมเรียบร้อยแล้ว เราคิดว่าความจริงทางธรรมมันเหมือนกับควอนตัมเม็คคานิกส์ คือพัวพันกันอย่างอีนุงตุงนัง (entangled) ไม่มีตำแหน่งแหล่งที่ (non-local) ไม่มีเหตุผล (irrational) ไม่เป็นจริงทางโลก (non-temporal) จึงเหมือนมายากับฝันกลางวัน (lucid dream) จริงๆ ทั้งๆ ที่ยังตื่นอยู่ ดังนั้นจึงคิดว่า อะไรก็ตามที่เป็นปัญหาประจำวันหากต้องการจะแก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดีตลอดรอดฝั่ง เช่น ความแตกแยกร้าวฉานของคนไทย เราควรแก้ไขด้วยความจริงทางโลกกับความจริงทางธรรม หรือควอนตัมฟิสิกส์ทั้ง 2 อย่าง.
http://www.thaipost.net/sunday/310711/42581