ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: สิงหาคม 07, 2011, 06:00:37 pm »

สูตรของความสุข

๑. ดื่มน้ำให้มาก

๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชาย  และเมื่อถึงอาหารเย็น ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลางๆ ตอนเที่ยง   และตกเย็นแล้วทำตัวเป็นยาจก ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)

๓. กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3E นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มากๆ

๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ

๖. เล่นเกมสนุกๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย

๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

๘. นั่งเงียบๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง

๑๐. เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

๑๑. ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

 

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วาง กำหนดเวลาของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

 


 

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรจะมีคู่กับสูตรสุขภาพมีดังนี้

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้ รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่ง เลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙.  ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐. ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑. ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒. จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป เหมือนโจทย์วิชา พีชคณิต แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก บางครั้งก็ยอมรับว่าเรา เห็นแตกต่างกันได้ เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

 


เราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเรา

๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อยๆ

๒. จงหาอะไรดีๆ ให้คนอื่นทุกวัน

๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสักหน่อย

๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด


ถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้ ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

๑. ทำสิ่งที่ควรทำ

๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย เก็บไว้ทำไม?

๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย get up, dress up and show up.

๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย

๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึกๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ ดังนั้น ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

 

……………………………………………….
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2011, 05:04:27 am »

ตับ
หน้าที่หนักของตับ ผลิตน้ำดีให้ถุงน้ำดี
ช่วยกรองเลือด ส่งเลือดดีเข้าสู่ร่างกาย
และส่งเลือดไปที่ไต ล้างสารพิษ และ
ตับยังช่วยย่อยอาหาร ดูแลผม ขน เล็บ
ถ้าตับทำงานหนัก ไตก็มาช่วยทำงาน
เมื่อทำงานหนัก ตับก็จะเสีย ไตก็จะเสื่อม

ตับทำงานหนัก เพราะกินบ่อย กินผิดเวลา
คือมื้อที่ตับรอย่อยอาหาร เช่น อาหารมื้อเช้า
เราไม่ได้กินอาหารมื้อเช้า ระหว่างเวลา
07.00-09.00น. แต่ไปกินอาหารเวลาที่ตับ
เลิกทำงานแล้ว คือหลังจากเวลา 09.00 น.
ตับจะย่อยผิดเวลา กลายเป็นว่า ตับต้องทำงาน
หนักหรือกิบจุบกินจิบทั้งวัน และการกินอาหารหนัก
แล้วก็เข้านอนเลย

โดยเฉพาะเวลา 01.00-03.00น. ร่างกายต้อง
นอนหลับสนิท และเป็นเวลาของตับ จะต้องขับ
สารพิษออกจากร่างกาย ก็ไม่ควรกินอาหาร
ในเวลานี้ ถ้าจะกินก็ควรจะให้เลย 03.00 น.ไปแล้ว

ถึงแม้ไม่ได้กินจุบจิบ ตับก็ต้องรับอารมณ์โกรธ โมโห
อิจฉา หรือเครียด เมื่อมีอารมณ์เหล่านี้ เซลล์ในตับ
ก็จะตายไปเป็นจำนวนมากา ทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น

เพิ่มภาระให้ตับ คือ การโกรกสีผม ทาเล็บ ใช้ยาสระผม
ทาปากด้วยเครื่องสำอางที่มีสารเคมีเจือปนอยู่
สารเคมีจะส่งไปถึงตับโดยตรง แล้วสะสมอยู่เป็นเวลานาน
พอตับมีปัญหา ขอบใต้ตาจะดำ อาหารก็ไม่ค่อยย่อย
ท้องจะอืด ลมแน่นท้อง เลือดไม่ไปเลี้ยงกระดูกเชิงกราน
มดลูกเริ่มโต เจ็บตึงที่ส้นเท้า ผู้ชายก็เป็นต่อมลูกหมากโตได้เหมือนกัน

วิธีล้างสารพิษในตับ
-กินเห็ดสามอย่างขึ้นไปปรุงอาหาร ห้ามผัดน้ำมัน
แต่ใช้กะทิแทนน้ำมัน จะได้ประโยชน์มากกว่า
(ต้มเห็ดแล้วกินแต่น้ำก็ได้)เพื่อชั้นไขมันขั้นต้น
-กินขมิ้นชันก่อนนอน(ไม่จำกัดจำนวน)

*การดูแลตับให้แข็งแรง จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
*งดใช้เครื่องสำอางที่มีสารเคมีกับใบหน้า งดใช้ยาสระผม
ที่มีสารเคมีกับหนังศรีษะ เพราะสารเคมีจะเข้าไปถึงตับได้โดยตรง
*ผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมท จะตกค้างในตับ
ทำร้ายตับโดยตรง และทำให้เลือดหนืด
*ไม่กินอาหารระหว่างตี1 ถึง ตี3 เพราะเป็นเวลาที่ตับ
ต้องขับสารพิษ ถ้ากินอาหารเวลานี้ ตับจะไม่ได้ทำหน้าที่หลัก
คือ การขับสารพิษออกจากร่างกาย

"ถึงจะบำรุงอะไร แต่ถ้าสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกาย
ก็ไม่เกิดประโยชน์"
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2011, 04:50:48 am »

ถุงน้ำดีข้น
เพราะมีไขมันเกาะติดอยู่ที่ผนังลำไส้เล็ก
ที่เกิดจากการกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ
เมื่อมีไขมันมาขวางการดูดซึมของน้ำ
การย่อยจะไม่ปกติ จึงดึงน้ำย่อยจากถุงน้ำดี
มาใช้งาน ซึ่งถุงน้ำดีเป็นถุงสำรอง เก็บน้ำย่อย
ที่ออกมาจากตับ

การดึงน้ำจากถุงน้ำดีมาใช้งานมากขึ้น ทำให้
ถุงน้ำดีข้น และถ้ากินน้ำน้อย ก็ทำให้ถุงน้ำดีข้น
ในร่างกายของคน ต้องมีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง
70% ในเมื่อดูดซึมน้ำไม่ได้ แล้วยังถูกขับ
ออกมาทางปัสสาวะ ผิวหนัง เหงื่อ น้ำตา
เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย จึงขาดน้ำไปหล่อเลี้ยง
ตัวเซลล์จะมีอายุสั้นลง ผิวพรรณก็ไม่ผุดผ่อง

คนที่มีปัญหาถุงน้ำดีข้น ที่เกิดจากลำไส้เล็กมีไขมัน
อุดตัน จะมีอาการดังนี้
ปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง น้ำในหูไม่เท่ากัน
เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย นอนไม่ค่อยหลับ
ตาเหลือง กินได้น้อย ปวดหลัง ปวดสะโพก ปวดน่อง
ตาฝ้าฟาง ตาเป็นต้น เหงือกบวม ปวดเข่า ขาไม่มีแรง
เมื่อถุงน้ำดีข้นมาก อาจเป็นนิ้วในถุงน้ำดี

ล้างระบบดูดซึม ด้วยสูตร
-มะละกอดิบ ต้มน้ำ แล้วเอามาชงชา(ดื่มกิน)
-โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว(ดื่มกิน)
-ใช้บอระเพ็ดยาว 1 เกียก(15ซม.)ต้มน้ำแล้วดื่มกินให้หมดภายใน 1 วัน
-ดื่มน้ำปัสสาวะตัวเอง
-ล้างลำไส้เป็นประจำ แล้วนิ่วในถุงน้ำดีจะหายไปเอง

วิธีดูแลถุงน้ำดี
-งดอาหารผัดน้ำมัน
-ดื่มน้ำครั้งละน้อยๆแต่ดื่มบ่อยครั้ง
-ไม่เครียด ไม่อดนอน
-กินดีบัว(ไส้ในของเม็ดบัว)แบบตากแห้ง ต้มกินน้ำ ช่วยบำรุงถุงน้ำดี
-กินลูกเกด(องุ่นตากแห้ง)
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2011, 06:15:10 pm »

:45: :12: :47:

โรคไต
เกิดมาจากระบบดูดซึมไม่ดี ทำให้อาหารที่กินเข้าไป
แล้วมันเข้าตัวไม่ได้ จะถูกส่งไปให้ไตขับทิ้ง
ทำให้ไตทำงานหนักกว่าปกติ

เป็นที่คาดการณ์กันว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีคน
ต้องรอล้างไตอีก 9 ล้านคน

-ลำไส้เล็กต้องดูดซึมกลุ่มสารอาหาร ที่จะไปสร้าง
กรดอะมิโน เพื่อไปสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย เช่น
เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท เซลล์กระดูก ได้แก่
โปรตีน วิตามินซี,บี1,บี3,บี6
-ลำไส้ใหญ่ต้องดูดซึมกลุ่มสารอาหาร ที่จะไปสร้าง
เม็ดเลือด เพื่อไปสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่ วิตามินเอ,
ซี,อี
-ถ้าลำไส้เล็กดูดซึมไม่หมด ก็จะส่งไปให้ไต

ไต มีหน้าที่กรองเลือดว่าเม็ดไหนหมดอายุแล้ว
ก็กรองออกไป เม็ดเลือดที่ยังไม่หมดอายุก็ส่งคืน
กลับไป และอื่นๆอีกมาก

ไตทำงานหนัก โดยไม่จำเป็น คือ
-กินอาหารรสจัด
-กินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ
-กินเนื้อสัตว์ แล้วไม่มีวิตามินซี,บี1,บี3,
บี6(ซึ่งหามาได้จากน้ำกระชาย) มาช่วยเปลี่ยน
โปรตีนให้เป็นกรดอะมิโนถึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย
-เกิดจากความกลัว ชี้ตกใจ ชอบข่มขู่คนอื่น ถ้าเป็นอย่างนี้
ร่างกายจะผลิตไขมันขึ้นมาเอง ให้เป็นไขมันฝ่ายร้าย
ถ้าอารมณ์ดี ไม่เครียด มีจิตเมตตาก็จะเป็นไขมันฝ่ายดี
(ถ้าดูแลปอดดี ไตก็แข็งแรง เมื่อไตแข็งแรง
กระดูกก็จะแข็งแรงด้วย)

วิธีดูแลไต
-รู้ว่าเป็นโรคไตแล้ว ควรให้หมอรักษาดีที่สุด
-งดอาหารผัดน้ำมัน
-ล้างลำไส้ หรือระบบดูดซึม เป็นประจำด้วยสูตร
1. มะละกอดิบต้มน้ำ เอาน้ำมาชงชา(ดื่มกิน)
2.โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว(ดื่มกิน)
3.ใช้เห็ดสามอย่างขึ้นไป นำมาปรุงอาหาร(ห้ามผัดน้ำมัน)

อาหารบำรุงไต เช่น น้ำกระชาย เม็ดบัว เห็ดหูหนูดำ ลูกเกด
องุ่นดำ ถั่วดำ งาดำ ลูกแปะก๊วย ผลไม้ชื่อลูกไข่เน่า
กล้วยตาก ลูกสำรอง เฉาก๊วย แก้วมังกร ถั่วห้าสี
ผักดอง ผลไม้ดอง

สูตรละลายนิ่วในไต
-กินแกนสับปะรดวันละ 3 แกน หรือจะปั่นกิน คู่กับ
ใบโหระพาก็ได้ กินจนหายปวดหลัง(สังเกตตัวเอง)
-เหล้าขาว 1 ก๊ง เติมมะนาว 1 ลูก กินก่อนนอน
10-20 วัน แล้วหยุดกิน

สูตรล้างไต
-รากหมาก รากมะพร้าว รากตาล ลูกใต้ใบ ต้มรวมกัน
แล้วเอาน้ำมาดื่ม เพื่อล้างไต
-ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบมะนาว กระชาย หอมแดง
ใบสะระแหน่ อย่างละ 1 กำมือ ใส่ในหม้อดิน
เติมน้ำให้ท่วม ต้มให้เดือด แล้วยกลง รอให้เย็น
กินให้หมด ภายใน 1 วัน
ข้อความโดย: สายลมที่หวังดี
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2011, 10:36:50 pm »

 :07:ขอบคุณนะค่ะคุณเล็ก อาหารผัดน้ำมันต้องทานเป็นประจำเลยอ่ะค่ะ
แบบว่าชอบทานอาหารตามสั่งเอาสะดวกไว้ก่อน ก็คงต้องลดละเลิกกันมั่งแระ  :17:
ถึงว่าความจำไม่ค่อยจะดี อิ อิ  :06:
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2011, 08:32:01 pm »

อาหารผัดน้ำมัน

ในน้ำมันที่ประกอบอาหาร ถ้ามีส่วนประกอบของน้ำมันปาล์มอยู่ด้วย
ไม่ควรนำเข้าร่างกาย เพราะน้ำมันปาล์ม น้ำมาสกัดไปใช้เป็น
เชื้อเพลิงอย่างอื่น ถ้าจะบอกว่าน้ำมันปาล์มไม่มีโคเลสเตอรอล
ถ้าอย่างนั้น น้ำมันเบนซินก็ไม่มีโคเลสเตอรอล น้ำมันดีเซล
ก็ไม่มีโคเลสเตอรอลเหมือนกัน แล้วน้ำมันเหล่านี้
สมควรเอามากินเล่นได้หรือไม่?

ดูจากก้นกระทะและรอบๆเตาแก๊ส หรือท่อน้ำมันที่ล้างจาน
จะมีคราบเหนียวของน้ำมันเกาะอยู่ เราก็ล้างมันออกได้
แล้วถ้ากินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำ น้ำมันที่เข้าไป
โดนอุณหภูมิของร่างกายที่ 37 องศาตลอดเวลา
น้ำมันจะเหนียวเป็นกาวยึดเกาะที่ผนักลำไส้ เป็นเวลานานเข้า
ก็จะหนาตัวขึ้น ไปขวางระบบดูดซึม ระบบดูดซึมของร่างกาย
จะเสีย แล้วเราจะส่งอะไรเข้าไปล้างมันได้

ระบบดูดซึมเสีย
เมื่อระบบดูดซึมเสีย ลำไส้จะดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์
ไปสร้างเม็ดเลือดไม่ได้ กินยา หรือวิตามินก็ไม่ดูดซึม
เพราะผ่านชั้นไขมันที่ผนังลำไส้ไปไม่ได้ หรือผ่านไปได้น้อย
ต่างกับการให้น้ำเกลือ โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดโดยไม่ต้อง
ผ่านระบบดูดซึม แต่ใครจะให้น้ำเกลือได้ทุกวันคงไม่มี

เมื่อระบบดูดซึมไม่ได้ พวกสารอาหารและโปรตีน จะถูกส่งไป
ให้ไตขับทิ้ง ไตก็ต้องทำงานหนัก และอ่อนล้าเป็นธรรมดา
ผลที่ตามมาคือความเจ็บป่วย การเกิดโรคต่างๆ
 
ทุกคนที่เคยกินอาหารผัดน้ำมัน หรือของที่ทอดน้ำมันบ่อยๆ
หรือทุกวัน ควรจะต้องล้างลำไส้เพื่อให้ระบบดูดซึมทำงานได้ดีขึ้น

การไม่ล้างลำไส้ ก็เปรียบเสมือนการกินข้าว แล้วไม่ล้างจาน
มื้อต่อไปก็ใช้จานใบเก่าใส่ข้าวกินใหม่



สูตรล้างระบบดูดซึม

1. มะละกอดิบต้มน้ำชงชา(ชามะละกอ)
วิธีทำ ใช้มะละกอดิบปอกเปลือง มาหั่นแบบชิ้นฟัก ใส่หม้อ
เติมน้ำ ต้มให้เดือดแล้วยกลง เอาเฉพาะน้ำมาชงชา
ใช้ชาจีน หรือชาเขียว หรือชาใบหม่อน ก็ได้ ควรแช่ชา
ไม่เกิน 5 นาที แล้วกรองชาออก สูตรนี้จะช่วยล้างไขมัน
ที่เกาะลำไส้ได้ดี ควรทำดื่มเป็นประจำทุกวัน เพราะ
เรากินอาหารผัดน้ำมันมาหลายปี

2. โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว
วิธีทำ นมสด 1 กล่อง เทใส่แก้ว เติมโยเกิตรสธรรมชาติ
ครึ่งถ้วยของโยเกิต เติมน้ำผึ้ง และมะนาว ชิมรสชาติตามชอบใจ
แล้วตั้งทิ้งไว้สักพักหนึ่ง เพื่อให้จุลินทรีย์ขยายตัวแล้วกิน
ความหวานของน้ำผึ้ง และช่วยย่อยไขมันของนมก่อน
แล้วจึงค่อยดื่ม จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดี(ถ้าดื่มเวลา 13.00-15.00น.)
จะได้ผลดีมาก เพราะตรงเวลาของลำไส้เล็ก

3. รากหญ้าคา เก๋ากี้ เก็กฮวย ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ตะไคร้หอม
ต้มรวมกันกินแต่น้ำ เป็นสูตรล้างลำไส้ดีที่สุด

4. บอระเพ็ด ยาว 1 เกียก เติมน้ำ 2 แก้ว แล้วต้มดื่มกินน้ำ
ก็ช่วยล้างลำไส้ได้
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2011, 08:21:05 pm »

วิธีกดนิ้วเพื่อให้เลือดเลี้ยงสมอง ป้องกันสมองเสื่อม
-ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วชี้      2 ครั้ง
-ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วกลาง 1 ครั้ง
-ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วนาง   3 ครั้ง
-ใช้นิ้วโป้ง กดที่ นิ้วก้อย   4 ครั้ง

แล้วทำกลับ โดยมา กดที่นิ้วนาง 3 ครั้ง
กดที่นิ้วกลาง 1 ครั้ง และกดที่นิ้วชี้ 2 ครั้ง

เป็นการจบเท่ากับ 1 ชุด รวมเป็น 1 ชุด
พอเริ่มชุดที่ 2 ให้กดนิ้วกลาง 1 ครั้ง ต่อไปเลย
ทำอย่างนี้ให้ได้ 50 ชุดต่อวัน

ความสัมพันธ์ของสมองกับปลายนิ้วมือ
จะเกิดพลังครบวงจรของเขาเอง
เป็นการกระตุ้นให้หลั่งสาร เอนโดรฟิน

ฝึกการหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
ให้พุงป่องออก แล้วหายใจออก ให้พุงยุบลง(หายใจลึกๆ)
เป็นการไปกระตุ้นเซลล์สมอง ที่คุมโปรแกรมความจำ
ที่ดีงามในอดีต หรือปัจจุบัน และเป็นการเพิ่มออกซิเจน
ให้ปอดกับสมอง

ในตรงกันข้าม ถ้าหายใจถี่ๆ ตื้นๆ เร็วๆ
จะเป็นการกระตุ้นเซลล์สมองกลุ่มที่บันทึก
เรื่องไม่ดีเอาไว้ให้ออกมาใช้งาน
จึงควรฝึกหายใจช้าๆ เพื่อกระตุ้นเซลล์สมอง
กลุ่มที่บันทึกเรื่องดีๆออกมาใช้งาน
เป็นวิธีป้องกันสมองเสื่อมได้อีกวิธีหนึ่ง
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2011, 08:57:28 pm »

เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนกลางได้น้อย
จะมีอาการง่วงนอนบ่อย หรือง่วงนอนทั้งวัน ปวดเมื่อยเนื้อตัว
ปวดส้นเท้า ขี้โมโห ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ต่อไปวันข้างหน้า
ความจำจะเสื่อม เริ่มจำไม่ค่อยได้ แต่ความจำระยะยาว
คือเรื่องเก่าๆยังจำได้ ส่วนความจำระยะสั้น คือเรื่องใหม่ๆ
ในปัจจุบันจะไม่ค่อยได้ หลงๆลืมๆ พูดวนไปวนมา
ความจำจะเสื่อมลงเรื่อยๆ

เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหลังได้น้อย
จะมีอาการ แขนขาไม่ค่อยมีแรง เดินไม่ค่อยไหว
ตอนตื่นนอนบางครั้งจะมีอาการแขนขาตายเหมือนผีอำ
ขยับตัวไม่ค่อยได้

สมองเสื่อม
จากการวิจัยในประเทศไทย พบว่าวันข้างหน้าอีกประมาณ 4-5 ปี
จะมีผู้ป่วยสูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมถึง 9 ล้านคน เมื่อเราทราบ
อย่างนี้แล้ว ก็มาหาทางบำรุงสมองกันดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้
สมองเสื่อมก่อนเหตุอันควร ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะเป็นภาระกับคน
ในครอบครัวอย่างมาก ที่จะต้องมาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา

สาเหตุอาจเกิดมาจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง เพราะกินอาหารผัดน้ำมัน
เป็นประจำติดต่อกันหลายปี น้ำมันจะเกาะผนังลำไส้ ทำให้ดูดซึม
สารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองไม่ได้

วิธีดูแลสมอง เช่น
1. ขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
2. กินอาหารเช้าระหว่าง 07.00-09.00 น.
เพื่อให้เลือดรับสารอาหารไปเลี้ยงสมอง และ
กินโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว ระหว่าง
เวลา 13.00-15.00 น. เพื่อเปลี่ยนขยะใน
ลำไส้เล็กให้เป็น บี12 แล้วส่งไปบำรุงสมอง
3. ล้างระบบดูดซึมด้วยสูตรมะละกอดิบต้มน้ำชงชา
4. ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสด ต้มกับพุทราจีน
ใช้ดื่มน้ำเพื่อล้างหลอดเลือดเป็นประจำ
5. กินน้ำกระชาย แล้วกินน้ำใบบัวบกตาม จะส่งบำรุง
สมองได้โดยตรง และผลไม้ชื่อลูกไข่เน่าเป็นผลไม้
ที่บำรุงสมองได้ดีมาก หรือคื่นฉ่าย,เม็ดบัว,ลูกแปะก๊วย
6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ก่อนที่จะกินอาหารอะไรเข้าไปบำรุง ให้นึกถึงลำไส้เรา
ได้ล้างบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่เคยล้าง ควรใช้สูตรมะละกอดิบ
ต้มน้ำ แล้วนำน้ำร้อนนั้นมาชงชาดื่มล้างลำไส้เป็นประจำ
ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2011, 08:06:46 pm »

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า จะเกิดอะไรขึ้น

ในช่วงเวลา 05.00-07.00 น. เป็นเวลา
ของลำไส้ใหญ่ ถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายอุจจาระ
แล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00-09.00 น.
ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหารแล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก
อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออก จะถูกบีบตัวขึ้น
มาจากลำไส้ใหญ่ ผ่านลำไส้เล็กมาที่กระเพาะอาหาร
ก็จะถูกดูดซึมซ้ำอีกครั้ง ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้ว
เกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งมี
ความร้อน 37 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตู้เย็น
ที่เก็บได้นานกว่า เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้
ก็จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด
ถ้าเลือดที่ไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย
ไหลผ่าน สมอง หัวใจ ปอด ม้าม ตับ ผิวหนัง
ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย

-ก่อนเที่ยงถึงบ่าย ง่วงนอน เพราะเลือดไม่สะอาด
ไปเลี้ยงหัวใจ หัวใจก็อ่อนล้า ไม่สดชื่น

-มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก ก็มาจากเลือดไม่สะอาด
ไปเลี้ยงปอด ปิดก็จะขับออกทางผิวหนังและลมหายใจ
ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น

-ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 05.00-07.00น.
นานๆเข้าเป็นระยะเวลาหลายๆปี เลือดที่ไม่สะอาด
ไหลผ่านไปเลี้ยงสมอง และไม่กินอาหารมื้อเช้าช่วงเวลา
07.00-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหาร
ที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวความจำจะเสื่อมเร็ว

-ปวดเข่า เมื่ออายุมากขึ้น เป็นริดสีดวงทวาร

วิธีแก้
-พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
ถ้าไม่ขับถ่าย ให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่

-ควรกินข้าวเช้าทุกวัน ระหว่างเวลา 07.00-09.00 น.


ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า
การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย
ที่เรามองข้ามไมป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่
เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการ
สารอาหารในช่วงเวลา 07.00-09.00 น. ระหว่างเวลานี้
สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจน
เป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือด
มารับออกซิเจนส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือด
มารับออกซิเจนส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองต้องการกรดอะมิโน
ไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี1,และบี12 มื้อเช้า
ถ้าไม่มีเวลาจริงๆก็ควรกิน สูตร โยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว
และกล้วย 1 ลูก

สาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
-กระดูกคอข้อที่หนึ่ง เคลื่อนไปเบียดทับเส้นประสาท หรือ
เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
-กินอาหารที่ผัดน้ำมันบ่อยเป็นเวลานาน แล้วเกิดไขมันเกาะตัว
เหนียวสะสมในลำไส้ ก็มีโอกาสที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
เพราะระบบดูดซึมเสีย และถุงน้ำดีข้น
-มีพยาธิในลำไส้ พยาธิที่ผิวหนังจะกัดกินเลือดในร่างกาย
-การไม่กินอาหารเช้าก็เป็นสาเหตุให้เลือดไม่เลี้ยงสมอง

ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย
จะเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย
นอนไม่ค่อยหลับ นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่อยๆ
ปวดหัวข้างเดียวด ปวดหัวสองข้าง ปวดหู ปวดกระบอกตา
เป็นไซนัส เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง
ปวดเข่า กระดูดสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท้า
หลังเท้า วิตกกังวล

อาจมีอาการทีละอย่าง หรือ หลายอย่างพร้อมกัน
สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง
อยู่กันคนละส่วน แต่มีเซลล์ประสาทกลุ่มเดียว
ที่ควบคุมกันไหลเวียนของเลือดทั้ง สามส่วน

เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้น้อย
วันข้างหน้าก็จะมีหินปูนเกาะที่สมองส่วนหน้า
แล้วจะมีอาการนอนไม่ค่อยหลับ เป็นเหตุให้
ตาเป็นต้น จอประสาทตาเริ่มเสื่อม ปัสสาวะบ่อย
เป็นฝ้า หน้าดำ

ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: กรกฎาคม 17, 2011, 07:49:52 pm »

หลักการพึ่งตนเองขั้นพื้นฐาน
เป็นการดูแลสุขภาพตัวเองไม่ให้เจ็บป่วย
ซึ่งเป็นสิทธิ์ขั้นพื่นฐานที่ทุกคนควรกระทำ
เพื่อไม่ต้องรอเวลาที่จะเจ็บป่วย
แล้วโยนภาระไปให้หมออย่างเดียว

ถ้าเริ่มต้นสนใจดูแล และใส่ใจสุขภาพ
ตอนนี้ก็ยังเรียกได้ว่าไม่สายเกินไป
ที่จะแก้ไขปัญหาสุขภาพของเราเอง
ดึกว่าจะปล่อยให้เวลาผ่านไปแต่ละวัน
แล้วเกิดเจ็บป่วยมากขึ้น
จนยากที่จะย้อนกลับมาแก้ไขได้

ขอขอบพระคุณคณะผู้จัดทำ
ได้นำบทความที่เกี่ยวกับสุขภาพจิต
สุขภาพกาย จากหนังสือ"กินเป็น ลืมป่วย"
เรียบเรียงโดย คุณนิพนธ์ วีระธรรมานนท์
และหนังสือ"นาฬิกาชีวิต"ซึ่งได้จากการ
บรรยายของอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา(นักธรรมชาติบำบัด)