ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2011, 01:38:55 pm »

ธ ทรงปกป้องผืนป่า พระปรีชาฟื้นดินถิ่นสมบูรณ์



พระราชกรณียกิจสำคัญที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ก็คือ “การสร้างป่าคืนให้แก่แผ่นดิน” ด้วยความตั้งมั่นพระราชหฤทัย

พระวิริยอุตสาหะ มิได้ทรงย่อท้อต่ออุปสรรคนานัปการ ในการทำนุบำรุงพลิกฟื้นผืนดินอันแห้งแล้ง ให้ค่อย ๆ กลับคืนมาเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์เช่นเคย ดังจะเห็นได้จากแนวพระราชดำริที่พระราชทานโครงการต่าง ๆ มีมากมาย อาทิ โครงการป่ารักน้ำ, โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่, โครงการจัดตั้งหมู่บ้านชาวไทยภูเขาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, โครงการพระราชทานธงพิทักษ์ป่าเพื่อรักษาชีวิต, โครงการสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เป็นต้น ล้วนเป็นแบบอย่างที่ดีในการพลิกฟื้นระบบสมดุลแห่งธรรมชาติให้กลับคืนสู่ผืน แผ่นดินไทยทั้งสิ้น

หนึ่งในโครงการพระราชดำริ อันถือเป็นต้นแบบดีเยี่ยม ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระวิริยอุตสาหะพลิกฟื้นมายาวนานโครงการหนึ่งคือ “โครงการพระราชดำริสวนป่าหาดทรายใหญ่” ซึ่งตั้งอยู่ที่ราบในหุบเขาติดชายฝั่งทะเล เขตติดต่อระหว่าง อ.หัวหิน และ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ แม้อาณาเขตขนาดพื้นที่ราบจำนวน 113 ไร่ รวมเนื้อที่บนภูเขาแล้ว มีพื้นที่ทั้งสิ้น 1,081 ไร่ จะตั้งอยู่บนภูมิทัศน์ที่สวยงาม มีภูเขาโอบล้อม 3 ด้านคือ ด้านทิศเหนือ, ด้านทิศตะวันตก และด้านทิศใต้ สำหรับด้านทิศตะวันออกจดทะเล แต่ก็นับว่าเป็นพื้นที่แห้งแล้งกันดารที่สุดของภาคกลางตอนใต้ เนื่องจากสภาพป่าถูกทำลายลงหมด พื้นดินเกือบเป็นทะเลทราย ดินเสื่อมโทรม ฝนตกน้อย ส่วนบนภูเขามีสภาพเป็นหินมีดินน้อย บนพื้นราบก็ไม่มีต้นไม้เหลืออยู่เลย

นับย้อนหลังไปหลายสิบปีก่อน แผ่นดินแห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์ด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่านานาชนิด แต่ได้ถูกทำลายลงไปจนหมดสิ้น เหลืออยู่เพียงพื้นดินที่แห้งแล้งและต้นไม้บนภูเขาเท่านั้น ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2508 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ มา ณ พื้นที่แห่งนี้ ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นความแห้งแล้ง จึงได้มีพระราชดำริที่จะฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนดินสามารถใช้ประโยชน์ ได้อีกครั้ง และเพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า “แม้พื้นดินจะแห้งแล้งสักเพียงใดก็สามารถที่จะพัฒนากลับให้ดีด้วยความตั้งใจ อดทนที่จะฟื้นธรรมชาติที่เสื่อมสลายให้กลับคืนมา”

ในปี พ.ศ. 2508 จึงเกิดฟาร์มส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับขยายพันธุ์สัตว์เลี้ยง อาทิ สุกร, โค, ไก่ไข่ พระราชทานให้แก่ราษฎรในพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีชื่อว่า “โครงการฟาร์มส่วนพระองค์หาดทรายใหญ่” และในปี พ.ศ.2526 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานโครงการแห่งนี้ให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงดำเนินงานเป็นโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติสัตว์ป่า และต้นน้ำลำธาร โดยมีชื่อว่า “โครงการพระราชดำริสวนป่าหาดทรายใหญ่” จวบจนปัจจุบัน

ก่อนการดำเนินงาน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2526 ใจความว่า “ก่อนถึงวันที่สัตว์จะหมดป่า ข้าพเจ้ามีความภูมิใจในทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้และสัตว์ป่าของไทยมาก ข้าพเจ้าเห็นว่าเราควรจะใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างระมัดระวัง และทะนุบำรุงให้คงอยู่ตลอดไป มิใช่ให้ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า ทรัพยากรเหล่านี้ถูกทำลายหมดสิ้นไปในระยะเวลาอันสั้นแค่อายุของเรา ทรัพยากรธรรมชาตินับเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ และเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษสมควรที่เราทั้งหลายจะช่วยกันรักษาไว้ให้คง ประโยชน์สืบไปชั่วลูกชั่วหลาน”

ในการนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานแนวพระราชดำริในการพัฒนาพื้นที่ไว้ 5 ประการ โดยโปรดให้ปลูกต้นไม้ทดแทนทั้งพื้นที่ราบและบนภูเขา นำสัตว์ป่าหายากใกล้สูญพันธุ์มาเลี้ยงขยายพันธุ์และปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ต่อไป, ปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมดให้มีความสวยงามตามธรรมชาติ และเสริมด้วยดอกไม้ชนิดต่าง ๆ, ให้เป็นสถานที่สามารถรับแขกบ้านแขกเมืองได้, ให้เป็นสถานที่ตัวอย่างเพื่อการศึกษาธรรมชาติในเรื่องของต้นไม้และสัตว์ป่า ตลอดจนให้เป็นสมบัติของชาติที่มีคุณค่าสืบไป

พร้อมกันนี้ทรงมอบหมายให้ ศูนย์ทหารราบ เป็นหน่วยดำเนินงาน เป็นโครงการส่วนพระองค์ โปรดเกล้าฯ ให้ราชเลขานุการในพระองค์ เป็นประธานอำนวยการ และให้ พล.อ.นพดล วรรธโนทัย ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ สำนักราชเลขาธิการ เป็นหัวหน้าฝ่ายแผนและนโยบายและเป็นหัวหน้าคณะทำงาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 ถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 27 ปี ซึ่ง พล.อ.นพดล วรรธโนทัย เปิดเผยว่า ในระยะแรกนั้น การทำงานเต็มไปด้วยอุปสรรคนานา เพราะสภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งดินที่เค็มเสื่อมสภาพกลายเป็นดินทราย ขาดแคลนน้ำจืด ฝนตกน้อย ถ้าฝนมาจากตะวันตกจะข้ามไปตกในทะเล ถ้าฝนมาจากตะวันออกจะข้ามไปตกหลังเขา ฉะนั้นหาดทรายใหญ่จะได้รับน้ำฝนน้อย งานอนุรักษ์ป่าไม้และธรรมชาติ จึงถือว่าเป็นงานที่ยากมาก

ในระยะแรกปี พ.ศ.2528 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ขึ้นบนภูเขาด้วยพระองค์เอง ตรงไหนสูงชันทรงใช้เชือกไต่ลงมา ทรงแนะนำว่าควรปลูกต้นไม้อะไร ที่ตรงไหน ที่ใดควรปลูกไม้อะไรก่อน และต่อไปควรปลูกอะไร แรก ๆ ก็มีกระถินณรงค์, ยูคาลิปตัส, ไม้มะค่า, หางนกยูง, เสลา, มะกอก, ลูกหว้า ชนิดไหนปลูกแล้วตายไม่โตก็เปลี่ยนใหม่ บางพันธุ์พอเติบโตรากหยั่งลึกเจอดินเค็มก็ทยอยตาย แต่บางชนิดก็ทนสภาพอยู่ได้ จึงต้องเปลี่ยนพันธุ์ไม้มา 4 รอบแล้ว ในปี พ.ศ.2534 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้นำหญ้าแฝกมาปลูก ปรากฏว่าขึ้นงามดี ซ้ำยังทำให้ดินดีขึ้นด้วย “หญ้าแฝก” ช่วยให้หาดทรายใหญ่ สามารถปลูกต้นไม้ได้เพิ่มมากขึ้นทุกที่ ดังที่เห็นในปัจจุบัน

ส่วนน้ำอาศัยระบบชลประทานจากอ่างเก็บน้ำเขาเต่า ส่งข้ามเขามาซึ่งค่อนข้างลำบากและไม่เพียงพอกับความต้องการ ระยะหลัง ๆ น้ำที่อ่างเขาเต่าก็กร่อย เพราะอยู่ใกล้ทะเล ต่อมากรมชลประทานได้ส่งน้ำมาให้ภายในโครงการฯ จึงทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นให้ความร่มรื่น บังเกิดทัศนียภาพที่สวยงามทั่วทั้งพื้นราบและพื้นที่บนภูเขา ไม่ว่าจะเป็นไม้ป่า ไม้ผลต่าง ๆ อาทิ หางนกยูง, นนทรี, ประดู่, ปีบ, มะค่าโมง, ตะแบก, เกด, โพธิ์ทะเล, จิกทะเล, เตยทะเล, เฟื่องฟ้า และไม้ดอกหอมอีกหลายสิบชนิด อาทิ ดอกพุดน้ำบุษย์ และดอกชมนาด ล้วนแต่เป็นงานที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระวิริยอุตสาหะทั้งสิ้น คณะทำงานเป็นเพียงผู้ดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทเท่านั้น

ด้าน งานอนุรักษ์สัตว์ป่าและสัตว์น้ำ มีพระราชดำริให้นำสัตว์ป่าที่หายากใกล้สูญพันธุ์แต่ไม่ดุร้ายเข้ามาเลี้ยง ไว้เพื่อศึกษาและขยายพันธุ์คืนสู่ธรรมชาติต่อไป สมัยก่อนพื้นที่แถบนี้มีป่าอุดมสมบูรณ์มีสัตว์ชุกชุม แต่ต่อมาถูกคนลอบตัดไม้และล่าสัตว์ไปจนเกือบหมด เหลืออยู่เพียงนกยูงและสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดเท่านั้น ดังนั้นโครงการฯ จึงได้หาสัตว์ป่ามาเลี้ยงหลายชนิด เช่น กวางป่า, เนื้อทราย, เก้ง, ละอง, ละมั่ง, ไก่ฟ้า, นกยูงไทย, นกเงือก และอื่น ๆ เมื่อขยายพันธุ์ได้มากแล้วก็ปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ การอนุรักษ์สัตว์น้ำ ได้มีการประกาศเป็นเขตห้ามจับสัตว์น้ำจากแนวชายหาด ด้านหน้าโครงการฯ ออกไป 1 ไมล์ทะเล

การทำงานที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคจากธรรมชาติ พล.อ.นพดล เปิดเผยความรู้สึกว่า “การทำงานเกี่ยวกับป่ามันท้าทาย เพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มิได้ทรงย่อท้อที่จะพิทักษ์รักษาป่า ผมจึงท้อไม่ได้ เพราะเห็นว่าพระองค์ท่านไม่ทรงท้อถอย เราทำเพียงจุดเล็ก ๆ แค่นี้ แต่พระองค์ท่านทรงทำทั่วทั้งประเทศมากมายไปหมด เราต้องถวายงานพระองค์ท่านอย่างเต็มความสามารถ”

ลักษณะพิเศษของการดำเนินงานโครงการฯ ก็คือ “ธรรมชาติได้ถูกคนทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว คนก็สร้างคืนมาได้ เป็นการต่อสู้เอาชนะธรรมชาติที่ค่อนข้างลำบากมากได้” เป้าหมายของการพัฒนาโครงการฯ เป็นงานที่ยังไม่ทราบวันจบ เพราะยังมีสภาพของพื้นที่ที่ต้องการทดสอบ ทดลอง เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการฯ แห่งนี้แม้จะเป็นโครงการส่วนพระองค์ อยู่ในเขตพระราชฐาน แต่ทรงพระราชานุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมเพื่อศึกษาหาความรู้ นับได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติอีกด้วย

เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 79 พรรษา 12 ส.ค. 2554 ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราชและอำนาจแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดดลบันดาลอภิบาลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเกษมสำราญ มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน พระบารมีแผ่ไพศาลทุกทิศานุทิศ ทรงสถิตเป็นร่มโพธิ์ทอง เป็นมิ่งขวัญแก่พสกนิกรชาวไทย ตลอดกาลนานเทอญ.

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะข้าพระพุทธเจ้า ทีมข่าวสตรี หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=359&contentID=156526-

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=359&contentID=156526


.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2011, 01:37:31 pm »

“แม่”คำสั้น ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง!!


วันที่ 12 สิงหาคมทุกปี เป็น “วันแม่แห่งชาติ” ซึ่งลูกของแม่ทุกคนต่างรับรู้ถึงพระคุณของแม่ดังเพลงค่าน้ำนมที่เนื้อเพลง ท่อนหนึ่งได้บอกว่า “หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย” ซึ่งเรื่องราวของแม่ที่ทำเพื่อลูกมีหลากหลายเรื่องของผู้ที่เป็นแม่แตกต่าง กันไปในแต่ละบุคคลผู้เป็นแม่ เดลินิวส์ออนไลน์ขอรายงานพิเศษเนื่องในวันแม่แห่งชาติจากข้อเขียนของผู้อ่าน “เดลินิวส์” จาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาที่บุตรสาวเขียนถ่ายทอดเรื่องของ “แม่” ตัวเอง ซึ่งแม่เห็นข้อเขียนของลูกแล้วประทับในเนื้อหา จึงได้ส่งมาที่ “เดลินิวส์ให้ช่วยเป็นสื่อกลางแบ่งปันความรู้สึกดี ๆ ให้ผู้อื่นได้มีโอกาสรับรู้ หรือนำสิ่งดี ๆ ไปถ่ายทอดให้กับครอบครัวอื่น ๆ ได้รับทราบต่อ ๆ กันไป ดังข้อเขียนของลูกที่เขียนถึงแม่ของตนเองที่สู้ชีวิตดังต่อไปนี้

......................................

ครอบครัวของหนูมีพื้นเพอยู่ที่ภาคใต้ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง มีอาชีพขายของเด็กเล่นใกล้ ๆ กับตลาดสด ในครอบครัวของหนูเป็นพี่คนโตมีน้องสาวหนึ่งคน น้องชายอีกหนึ่งคน คุณแม่ของพวกเราคือ คุณแม่เมตตา ทองจันทร์ ครอบครัวของพวกเราถึงจะเป็นครอบครัวขนาดเล็ก แต่ความรักและความอบอุ่นของครอบครัวเรานั้นไม่ได้เล็กเหมือนขนาดของครอบครัว เลย

ตั้งแต่หนูจำความได้ ย้อนไปเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในบ้านเช่าซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้น ชั้นบนเป็นห้องนอนและเป็นโกดังเก็บของเก่าไปในตัว ส่วนชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของเด็กเล่น ทุก ๆ วันคุณแม่จะต้องตื่นแต่เช้าเข้ามาเปิดร้านขายของ พร้อมทั้งต้องวุ่นวายกับการเตรียมพร้อมลูกลิงอย่างหนูและน้อง ๆ เพื่อไปโรงเรียนให้ทัน เหตุการณ์เหล่านี้เหมือนการจับปูใส่กระด้งก็ไม่ปาน

คุณแม่ของหนูเป็นคนที่ขยันมาก คุณแม่ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด เพื่อที่จะหาเงินมาให้พวกหนูได้เรียน ได้กิน ได้ใช้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ คุณแม่ไม่เพียงแต่ส่งเสียให้หนูเรียนในโรงเรียนเท่านั้น ไม่ว่าหนูอยากเรียนพิเศษในด้านภาษา หรือดนตรีเพิ่มเติม คุณแม่ไม่เคยปฏิเสธ ถึงแม่ตอนนั้นการเงินที่บ้านของพวกเราจะยังไม่พร้อมนัก คุณแม่ให้เหตุผลว่า “ชีวิตในวัยเด็กนั้นผ่านไปรวดเร็วนัก อะไรที่ลูกสนใจและใฝ่จะเรียน ย่อมเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะสนับสนุน หากผ่านวัยเหล่านี้ไปแล้ว เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ ตอนนั้นอยากจะกลับมาเรียนใหม่ก็คงยาก อีกทั้งการเรียนใช่ว่าจะเรียนไปแล้งสูญเปล่า ลูกสามารถที่จะนำวิชาเหล่านั้นไปพัฒนาตนได้ในอนาคต ตอนที่แม่ส่งเสริมให้เรียนก็เปรียบเสมือนกับแม่ได้ลงทุนให้ลูก เพื่อที่ลูกจะได้ไปเก็บกำไรในอนาคต”

ด้วยความที่คุณแม่เป็นคนขยันบวกกับการที่เป็นคนมีไหวพริบทางการค้าจึงทำให้ เป็นหาเงินได้เก่ง แต่เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นคุณแม่ได้นำไปใช้หาความสุขเป็นส่วนตนเลย เงินส่วนใหญ่หมดไปกับการเลี้ยงดูลูกๆและการเก็บออม

นอกจากจะเป็นคนขยันแล้ว คุณแม่ของหนูยังเป็นคนที่ประหยัดเอามาก ๆ คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าตอนแต่งงานกับคุณแม่ใหม่ ๆ อาหารเช้าของคุณพ่อและคุณแม่ คือข้าวกับผักบุ้งผัด แต่จะแยกส่วนก้านของผักบุ้งต้นเดิมไว้มาผัดเป็นอาหารเย็น เพื่อที่จะเก็บเงินไว้ซื้อนมดี ๆ ให้ลูกกิน เสื้อผ้าส่วนใหญ่ของคุณแม่นั้นมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าปีแล้วทั้งสิ้น ตอนหนูเด็ก ๆ คุณแม่ซื้อชุดนอนให้หนูแบ่งใส่กับน้องเพื่อความประหยัด แต่ชุดนอนที่ซื้อมาไม่ได้มาตรฐาน ยางของกางเกงนอนยืดเร็วมาก หนูกับน้องร้องขอให้คุณแม่ซื้อให้ใหม่ คุณแม่รีบซื้อยางยืดมาเปลี่ยนทันทีและอธิบายให้หนูและน้องฟังว่า พวกเราได้ประหยัดเงินไปกี่ร้อยบาท จากการซื้อเพียงแค่ยางยืดมาเปลี่ยน

คุณแม่เป็นคนชอบใช้แป้งฝุ่นมาก แป้งฝุ่นกระป๋องที่คุณแม่ใช้ คุณแม่จะจัดสติ๊กเกอร์ที่ปิดฝากระป๋องแค่ครึ่งเดียวแทนการลอกหมดทั้งแผ่น เหตุผลคือใช้เฉพาะที่ต้องการจะได้ไม่สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ถุงพลาสติกที่ใช้แล้ว คุณแม่จะเก็บมาใช้เป็นถุงมือสอง หากถุงใบใหญ่ๆที่มีรอยขาด คุณแม่จะใช้สก็อตเทปกาวเชื่อม แล้วอธิบายว่านี่คือถุงใหม่ที่เราสามารถนำมาใช้ได้อีก คุณแม่ยังรับซื้อถุงมือสองจากลูกค้า โดยการลดราคาสินค้าให้ ลูกค้าประทับใจมากเก็บมาให้กันเป็นมัดๆ คุณแม่นำมาใส่ของให้ต่อกลายเป็นความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย

คุณแม่เรียนจบเพียงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่หก แต่ระดับความคิด ไหวพริบ และสติปัญญาของคุณแม่นั้นเทียบเท่ากับระดับปริญญาก็ว่าได้ คำสอนต่าง ๆ ของคุณแม่นั้น ล้วนแต่เป็นคำคมที่มีเสน่ห์และน่าจดจำ เมื่อหนูได้นำมาคิดแล้วก็อดทึ่งกับคำสอนเหล่านั้นไม่ได้ คุณแม่เคยสอนว่า “คนเรานะลูกถึงจะสวยหล่อซักแค่ไหน แต่เกิดมาไม่มีหางก็จะหมดสวยหมดหล่อทันที” หนูตกใจมากนึกว่าคุณแม่ตำหนิ แต่ที่จริงแล้ว “หาง”ที่คุณแม่พูดถึง คือ “หางเสียง” ค่ะ ขา ครับ นั่นเองหนูจำคำนี้ได้แม่นไม่กล้าให้ตกหล่น

เมื่อถึงเทศกาลเดือนสิบของทุกปี คุณแม่จะกลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คุณแม่จะเตรียมซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ไปฝากคุณยายและคุณทวด โดยมอบหมายให้หนูเป็นคนห่อของขวัญสวย ๆ แล้วติดชื่อ พร้อมทั้งสอนว่าอย่าแล้งน้ำใจกับบรรพบุรุษของเรา คุณแม่ไม่รู้หรอกว่าท่านได้ถ่ายทอดสิ่งดี ๆ มาสู่จิตสำนึกของหนูมากมาย ทุกเช้าก่อนที่หนูจะไปมหาวิทยาลัย หนูจะมาสวัสดีคุณแม่ ท่านจะอวยพรและกล่าวว่า “ขอให้หนูโชคดีในวันนี้ และเป็นดอกไม้ยามเช้านะลูก” (มอบรอยยิ้มและความสดชื่นให้ทุก ๆ คนที่ได้พบเห็น) วันไหนหนูมีการนำเสนองามหน้าชั้นเรียนคุณแม่ก็จะถักเปียให้หนู เปียที่คุณแม่ทักให้เหมือนท่านได้ถักสายใยรักไปด้วย ทำให้หนูนำเสนองานอย่างมั่นใจ วันไหนที่หนูแต่งตัวดูดี คุณแม่จะไม่ชมหนู แต่ท่านะเปลี่ยนเป็นการยิ้มและร้องเพลงให้หนูฟังว่า “งามวงพักตร์ยิ่งดวงจันทรา จริตกริยานิ่มนวลละไม วาจากังวานอ่อนหวานจับใจ สมเป็นดอกไม้ของไทยเจ้าเอย” หนูรู้สึกว่าเป็นคำที่เชยมาก แต่เมื่อหนูโตหนูจึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งและหนูก็จดจำทุกประโยค

ก่อนจบมหาวิทยาลัยหนูได้รับประกาศนียบัตรผู้มีคุณธรรม จริยธรรมดีเด่น ประจำปี 2553 จากคณะ หลังจากนั้นน้องสาวของหนูก็ได้รับรางวัลนี้ในปีถัดมาคือ ปี 2554 ในวันที่เรานำใบประกาศเกียรติบัตรมาให้คุณแม่ คุณแม่ยิ้มและบอกว่า “แม่เลี้ยงดูลูก และเฝ้ามองการพัฒนาเติบโตของพวกหนูอย่างชื่นชม และแม่เลี้ยงลูกมาก็อยากให้คนอื่นชื่นชมด้วย แสดงว่าลูกของแม่เป็นเด็กดี ทั้งเพื่อนๆและอาจารย์ถึงยอมรับนะลูก” หนูบอกกับแม่ในใจว่าหนูเองก็เฝ้าชื่นชมแม่เหมือนกัน อ้อมกอดที่เรากอดกันหนูได้ยินเสียงหัวใจของแม่เต้น และหนูรู้ว่าแม่ก็ได้ยินเสียงหัวใจของหนูเต้นเช่นกัน

ทุกครั้งที่หนูประสบปัญหาไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน ข้างกายของหนูจะมีคุณแม่คอยเคียงข้างให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ และสู้ไปพร้อมกับหนูเสมอ คำแนะนำ และมุมมองในการมองชีวิตของคุณแม่นั้นลึกซึ้งและให้แง่คิดต่างๆกับหนูเสมอมา ตั้งแต่เล็กจนโตหนูพยายามสร้างความภูมิใจให้กับคุณแม่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสอบได้ที่ดีดี ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าชั้น ได้รับเกียรติบัตรเด็กดี เกียรติบัตรคุณธรรม จริยธรรมดีเด่น เรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ที่ผ่านมามีเพื่อนๆ มากมาย กล่าวคำชื่นชมในตัวหนู แต่คำชื่นชมที่หนูเฝ้ารอและประทับใจที่สุดก็คือคำชมจากคุณแม่ของหนู ดังคำที่ว่า “ร้อยคำชื่น หมื่นคำหวาน มาพร่างพรม ไม่เท่าหนึ่งคำชม ลมปากแม่”

หนูไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าที่หนูเติบโตมา ประสบความสำเร็จ มีความสุขอยู่ในสังคมอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะหนูมีคุณแม่ที่ดีคอยทุ่มเท กำลังกาย กำลังใจ เลี้ยงดูปลูกฝังสั่งสอน ถ่ายทอดสิ่งดีดีให้หนูเสมอมา หนูเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากคุณแม่ คำสอนต่างๆเปรียบเสมือนปุ๋ยและน้ำคอยกล่อมเกลาหล่อเลี้ยงจิตใจให้ดีงาม และในตอนนี้ต้นไม้ต้นนี้ก็ได้เติบโตพร้อมที่จะเป็นร่มเงาให้กับคุณแม่ได้พัก พิงแล้วนะคะ

เรียงความของหนูที่เขียนมาจุดประสงค์คือ อยากแบ่งปันสิ่งดีดีในครอบครัวของหนู เชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกและให้ลูกได้เห็นคุณค่าของความเป็นแม่ หนูเองไม่ค่อยได้ชมคุณแม่มากนัก เพราะหนูเป็นคนพูดไม่เก่ง หนูจึงใช้โอกาสนี้มอบความรู้สึกดีดี ให้กับคุณแม่ของหนูโดยผ่านเรียงความนี้ หนูหวังว่าจะเกิดประโยชน์สำหรับผู้อ่านทั้งผู้เป็นแม่และผู้เป็นลูกทุก ๆ ท่าน

“รุ่งลักษณ์”
ลูกที่รักและเคารพคุณแม่เป็นอย่างยิ่ง

-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=656&contentId=156630-


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=656&contentId=156630

.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2011, 01:36:23 pm »

ในห้องทรงงานที่พระตำหนักทุกแห่งจะมีแผนที่ประเทศไทยขนาดใหญ่ติดผนังห้องไว้ ทำให้ทุกพื้นที่ในประเทศไทยอยู่ในสายพระเนตรตลอดเวลา ธนาคารข้าวก็เป็นโครงการหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้ตั้งขึ้นเพื่อให้ราษฎรที่ประสบความเดือดร้อน มาขอยืมข้าวเมื่อทำนาและมีข้าวเหลือก็จะนำมาใช้คืน โดยให้ชาวบ้านดูแลจัดการกันเอง ในเวลาต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเยี่ยมราษฎรพื้นที่ภาคเหนือแทนพระองค์ ข้าพเจ้าก็ได้ยึดถือแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจัดตั้งโครงการช่วยเหลือชาวไทภูเขามาเป็นต้นแบบ โดยได้รับความร่วมมือจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อนุญาตให้ใช้พื้นที่ที่ถูกแผ้วถางจนโล่งเตียนหมดแล้ว จัดตั้งเป็นสถานีเกษตรที่สูงเพื่อช่วยเหลือชาวไทภูเขาให้หยุดการทำไร่เลื่อน ลอย และเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่เคยใช้ปลูกพืชเสพติดมาเป็นแปลงเกษตร ปลูกพืชเมืองหนาว และจัดตั้งฟาร์มตัวอย่างขึ้นในพื้นที่จ.เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน พะเยา น่าน บางพื้นที่ก็จัดทำเป็นโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ เพื่อช่วยอนุรักษ์ป่าไม้มีหลายพื้นที่ที่ราษฎรได้ตระหนักถึงภัยธรรมชาติที่ เคยเกิดขึ้นจากการที่ป่าส่วนมากถูกทำลาย จนเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและแผ่นดินถล่มลงมาทับถมบ้านเรือน ในยามที่เกิดพายุและฝนตกหนัก ราษฎรจึงได้ช่วยกันปลูกป่าและคืนผืนป่าให้แก่ทางราชการ ดังตัวอย่างเช่น ที่ดอยอมพาย อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ และที่บ้านกอก-บ้านจูน อ.ปัว จ.น่าน ราษฎรได้คืนผืนป่าให้ทางราชการเป็นจำนวนหลายพันไร่ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไซ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ก็สามารถช่วยฟื้นฟูสภาพป่าได้นับหมื่นไร่เช่นเดียวกัน

ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าพเจ้าได้ขอความร่วมมือจากหน่วยทหารในพื้นที่ หน่วยทหารพัฒนาของกองทัพและส่วนราชการต่าง ๆ จัดตั้งโครงการป่ารักษ์น้ำ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ฟาร์มตัวอย่าง และฝึกราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า เพื่อช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำ ลำธาร ให้กลับฟื้นคืนสภาพเป็นป่าที่สมบูรณ์ดั้งเดิม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ป่าไม้เป็นแหล่งดูดซับน้ำและช่วยชะลอการไหลของน้ำมิให้ เกิดน้ำป่าไหลหลาก ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงดังที่เป็นข่าวในปัจจุบัน ขอโทษนะที่นานหน่อย ยังอีกนาน มีโอกาสแสดงก็เลยนานหน่อย เมื่อครั้งที่ภาคกลางเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้ที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกินของราษฎรได้รับความเสียหายหนัก โดยเฉพาที่ จ.พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และสิงห์บุรี ข้าพเจ้าได้ปรึกษา พล.อ.ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ ขอให้ไปหาที่จัดตั้งฟาร์มตัวอย่างขึ้นที่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี อ.แสวงหา จ.อ่างทอง และ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อช่วยให้ราษฎรมีงานทำได้แก่การเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และงานศิลปาชีพ เป็นการทำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เคยมีพระราชปรารภกับข้าพเจ้าว่า การแจกของในยามที่ราษฎรประสบภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นการช่วยเหลือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ มิใช่การแก้ปัญหาอย่างถาวร การแก้ปัญหาอย่างถาวรต้องช่วยให้ราษฎรมีอาชีพ มีงานทำอย่างถาวร จึงจะเรียกว่าเป็นการช่วยที่ยั่งยืน ดังนั้นโครงการฟาร์มตัวอย่างและโครงการศิลปาชีพจึงเป็นการช่วยให้ราษฎรมี อาชีพยั่งยืนตามแนวพระราชดำรินั่นเอง

สำหรับงานศิลปาชีพ เป็นงานที่ข้าพเจ้าภูมิใจมาก เพราะว่าเป็นงานที่ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่าคนไทยของเราเก่ง มีสายเลือดของช่างฝีมือทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาวนา ชาวไร่ หรือมีอาชีพใด อยู่สารทิศใด คนไทยเรามีความละเอียดอ่อนและฉับไวต่อการรับศิลปะทุกชนิด ขอเพียงแต่ให้เขามีโอกาสเรียนรู้ ฝึกฝน เขาก็จะแสดงความสามารถออกมาให้เห็น ดังผลงานที่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้นำมาจัดแสดงไว้ให้ประชาชนและชาวต่างชาติชม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ผลงานเหล่านี้เป็นผลงานชั้นเลิศที่ถือได้ว่าเป็นสมบัติของแผ่นดิน ชาวต่างชาติต่าง ๆ ซึ่งเป็นแขกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้า ได้มีโอกาสเยี่ยมชมต่างก็แสดงความคิดเห็นว่าผลงานทุกชิ้นที่แสดงอยู่ที่พระ ที่นั่งอนันตสมาคมเป็นฝีมือของศิลปินชั้นเอก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝีมือของลูกหลานชาวนาชาวไร่ อันนี้เป็นความจริง คนไทยเราเก่งจริง ๆ

ต่อไปก็เป็นเรื่องโขน เรื่องต่อไปเป็นเรื่องการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทย ทราบว่าท่านทั้งหลายในที่นี้อาจได้ไปชมโขนชุดศึกมัยราพณ์ ปีนี้จัดแสดงต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 15-31 กรกฎาคม และยังได้เพิ่มรอบการแสดงต่อไปจนถึงวันที่ 7 สิงหาคม เพิ่งลาโรงไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง การจัดแสดงโขนไม่ใช่เรื่องง่าย คณะครูผู้เชี่ยวชาญการโขน ศิลปินแห่งชาติผู้แสดงและผู้จัดการแสดงต่างก็ทุ่มเทฝีมือ ความคิด และแรงกายแรงใจอย่างสุดกำลัง ทำให้โขนออกมาสนุกตื่นเต้นและสวยงามมาก มีฉากที่สร้างอย่างยิ่งใหญ่ เป็นที่ประทับใจคนดู เช่น ฉากหนุมานอมพลับพลา เป็นต้น ทุกครั้งที่จัดแสดงโขน คณะกรรมการจะคัดเลือกนักแสดงรุ่นใหม่มาเป็นผู้แสดงร่วม เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้มาฝึกฝนศิลปะการแสดง ชั้นยอดของไทยจากปรมาจารย์โดยตรง เมืองไทยจะได้มีนักแสดงฝีมือดีสืบทอดวิชาต่อไป ขณะเดียวกันก็มีการจัดตั้งเครื่องแต่งกาย และฉากใหม่ ๆ ทำให้ได้ช่างฝีมือหลายประเภท ประเภทที่มีความสามารถมากขึ้นตามลำดับ รวมทั้งวงดนตรีปี่พากย์ ผู้ขับร้องและผู้พากย์บทด้วยกัน ขณะนี้จึงพอมีความหวังแล้วว่า โขนซึ่งเป็นศิลปะชั้นเอกของไทยคงไม่สูญหายไป เพื่อนของข้าพเจ้าซึ่งเป็นชาวอเมริกันได้ไปดูโขนและแสดงความตื่นเต้นอย่าง มากเลยเป็นผู้ชาย ตื่นเต้นมากบอกว่าโขนน่าจะเอาไปแสดงที่ลอสแองเจลิสบ้าง เพราะเชื่อว่าคนต่างประเทศดูแล้วจะชื่นชมมาก เป็นศิลปะที่เก่าแก่และงดงามและโก้เหลือเกิน

ข้าพเจ้าปลื้มใจมาก มีผู้เข้าชมมากมายจากทั่วประเทศ เสียงชื่นชมทุกสารทิศที่ว่าโขนชุดนี้จัดได้ดีมาก เป็นที่ประทับใจผู้ชมทุกเพศทุกวัย ทำให้ข้าพเจ้าและคณะผู้จัดมีกำลังใจยิ่งขึ้นที่จะจัดโขนชุดต่อไปในปีหน้า ต่อไปข้าพเจ้าขอแจ้งให้ทราบถึงโครงการจัดสร้างพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลก นาถคันธารราฐอนุสรณ์ ที่วัดทิพย์สุคนธาราม อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี โครงการนี้เกิดจากความริเริ่มของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ซึ่งเมื่อวันวิสาขบูชาปีที่แล้ว ข้าพเจ้าได้ไปทำบุญฟังเทศน์ที่วัดชนะสงคราม สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ท่านได้ปรารภกับข้าพเจ้าว่า เรื่องความตั้งใจที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์สำคัญขึ้น วัตถุประสงค์คือเป็นศูนย์รวมความเคารพของพุทธศาสนิกชนอีกแห่งหนึ่ง และเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งพระพุทธรูปบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งถูกระเบิดทำลายไป เป็นข่าวใหญ่สะเทือนใจชาวพุทธทั่วโลกเมื่อหลายปีก่อน รวมทั้งเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา กับเพื่อเป็นเกียรติแก่ข้าพเจ้าที่จะมีอายุ 80 ปีในปีหน้า เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบข้าพเจ้าได้รับปากกับเจ้าพระคุณสมเด็จว่าข้าพเจ้าจะขอ ร่วมทำบุญ และจะพยายามสนับสนุนโครงการนี้ให้ดำเนินการจนสำเร็จ

บัดนี้สมเด็จพระมหาธีรจารย์ ท่านได้มรณภาพแล้วเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง ข้าพเจ้าจึงรับเป็นผู้อุปถัมภ์โครงการ และปาวารนาว่าจะดำเนินการให้ลุล่วงดังความตั้งใจของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหา ธีราจารย์ ผู้เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่และมีอุปการคุณแก่คณะสงฆ์ไทย และพุทธศาสนิกชนอย่างยิ่ง พระพุทธรูปองค์นี้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ท่านเป็นผู้ออกแบบ ดูแลแก้ไข และเลือกทำเลที่จะประดิษฐานด้วย ตามแบบเป็นพระพุทธรูปปางคันธราช หรือที่เรียกว่าปางขอฝน หล่อด้วยโลหะสำริด สูง 32 เมตร ซึ่งทางความหมายของอาจารย์แห่งกายครบ 32 ประการของมนุษย์ ยืนบนฐานที่สูงประมาณ 8 เมตร มีพุทธลักษณะงามมาก สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ตั้งชื่อว่า พระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถคันธารราราฐอนุสรณ์ มีความหมาย 3 ประการ คือ 1. เป็นพระพุทธรูปที่พึ่งของประชาชนชาวไทย และชาวโลก 2. เป็นพระพุทธรูปที่เป็นที่พึ่งของสามโลก ได้แก่ โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และยมโลก 3. เป็นพระพุทธรูปที่รำลึกถึงพระพุทธรูปแห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน ก่อนที่พระพุทธรูปใหญ่แห่งบามิยัน ประเทศอัฟกานิสถานจะถูกระเบิดไป

ประชาชนทั้งโลกทั้งเป็นศาสนาพุทธและไม่ใช่พุทธศาสนาต่างขอร้องไปที่ประเทศ อัฟกานิสถานว่าขออย่าให้ระเบิดท่านเลย พระพุทธรูปแห่งบามิยันนั้น ท่านอายุตั้ง 2,000 ปี ว่าอย่าระเบิดเลยเขาก็ระเบิดอยู่ดี เพราะฉะนั้นท่านก็เลยคิดว่าชาวไทยพุทธต้องช่วยกันสร้างพระพุทธรูปนี้ขึ้นแทน จากองค์ที่ถูกระเบิดไปที่อัฟกานิสถาน โครงการนี้จะต้องใช้ระยะเวลาการดำเนินการ 4 ปี จึงจะแล้วเสร็จ ที่ข้าพเจ้านำมาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังก็เพื่อจะบอกกล่าวให้พุทธศาสนิกชนได้ ทราบโดยทั่วกันว่าบ้านเมืองเราจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก เกิดในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้

เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากขอความร่วมมืออย่างจริงจังจาก รัฐบาลและคนไทยทั้งชาติ นั้นคือการแก้ปัญหายาเสพติดที่บ่อนทำลายสังคมไทยมาหลายสิบปีแล้ว และนับว่าจะรุนแรงขึ้น สมัยชาวไทยภูเขาเคยปลูกฝิ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุตส่าห์อาบเหงื่อต่างน้ำตั้งโครงการหลวงขึ้น มาแก้ไข ชวนชาวไทยภูเขาหันมาปลูกพืชเมืองหนาวแทน จนขณะนี้พวกเขาก็เลิกปลูกฝิ่นไปแล้ว พืชเมืองหนาวทำรายได้ดีกว่ามาก ข้าพเจ้าก็นึกจะเบาใจ เรื่องยาเสพติดไปได้ ที่ไหนได้กลับมีผู้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านของยาเสพติด และยังมีผู้ลักลอบผลิตอีกด้วย โดยเฉพาะชนิดที่แพร่ได้เร็วยิ่งกว่าเชื้อโรคคือยาบ้า เพราะสารตั้งต้นในการผลิตยาบ้านั้นหาได้ง่าย ผลก็คือคนไทยตกเป็นทาสยาบ้าไปแล้ว เป็นล้านล้านคน ทุกคนมีสุขภาพทรุดโทรม ทั้งร่างกายจิตใจ สติปัญญาก็เสื่อมถอย ยาบ้าและยาเสพติดทั้งหลายกำลังทำลายสังคมไทยอย่างน่ากลัว
ข้าพเจ้า ไม่สบายใจเลยที่มีข่าวว่ายาบ้ามีขายทุกตรอกซอกซอย แม้กระทั่งในโรงเรียน หรือในวัด ผู้ผลิตยาเสพติดและผู้ขายกำลังทำตนเป็นฆาตกรฆ่าลูกหลานไทยอย่างเลือดเย็น น่าเป็นห่วงเหลือเกิน เมื่อ พ.ศ. 2546 ข้าพเจ้าได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้แก่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยา เสพติด เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้นำเงินนี้ไปสมทบกับงบประมาณ ของสำนักงาน จัดตั้งเป็นกองทุนต่อต้านยาเสพติดขึ้น โดยขอใช้ชื่อว่ากองทุนแม่ของแผ่นดินมอบให้หมู่บ้านที่เข้าร่วมการแก้ปัญหายา เสพติด ในปี พ.ศ. 2547 จำนวน 672 หมู่บ้าน จากนั้นรัฐบาลที่แล้ว รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ได้นำไปขยายผลจัดตั้งกองทุนแม่ของแผ่นดินขึ้นทั่ว ทั้งประเทศ เวลานี้ก็มีหมู่บ้านต่าง ๆ เข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 12,189 หมู่บ้าน และรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ได้จัดการหาเงินสมทบทุนโครงการนี้ได้เป็นเงิน 300 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้าพเจ้าได้มอบเงินดังกล่าวแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด สำหรับนำไปดำเนินการโครงการหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ข้าพเจ้าเชื่อได้ว่ารัฐบาลต่อไปจะสานต่อโครงการนี้

อนึ่งถ้าสังคมไทยปล่อยให้รัฐบาลทำงานฝ่ายเดียวก็คงไม่สำเร็จ คนไทยทุกคนต้องผนึกกำลังโดยเริ่มจากคนในครอบครัวก่อน ต่อจากนั้นก็คือคนในสังคมทั้งหมดเป็นหูเป็นตาให้แก่กันและกัน ควรต่อต้านประณามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติดรวมทั้งแจ้งให้เจ้าหน้าที่ดำเนิน การ ทำไมปล่อยให้ลูกหลานติดยาโดยไม่พาไปรักษา ท่านต้องให้เวลาและให้กำลังใจในการฟื้นฟูลูกหลานที่ติดยาเพื่อให้เขากลับคืน มาเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม และเป็นกำลังของครอบครัวต่อไป มีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้ามีเรื่องจะปรึกษาท่านทั้งหลายที่มีใจเมตตามาในงานของข้าพเจ้าใน วันนี้ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ข้าพเจ้าทราบมาว่ามีผู้ก่อความไม่สงบลอบทำ ร้ายพระสงฆ์ขณะออกบิณฑบาตตามท้องถนน เป็นเหตุให้พระสงฆ์มรณภาพไปหลายรูป บางรูปก็ทุพพลภาพ บ้างก็ลาสิกขาบทเป็นสมณเพศ ความจริงการบิณฑบาตของพระสงฆ์ ถือเป็นการปฏิบัติกิจของศาสนาตามพุทธบัญญัติ และเป็นประเพณีของชาวพุทธ ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่โบราณกาล

ในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีประวัติการทำร้ายพระสงฆ์ในขณะออกบิณฑบาตเพราะพระ สงฆ์ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมแต่อย่างใด การทำบุญใส่บาตรก็เป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่มีเหตุการณ์การทำร้ายพระสงฆ์เกิดขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าตกใจและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเรามองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของบ้านเราตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ก็มีพวกมิชชันนารีนิกายศาสนาต่าง ๆ คาทอลิก โปรแตสแตนท์ เข้ามาชักชวนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอให้พระองค์เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ก็ทรงรับฟังและทรงพระเมตตาพระราชทานที่ดินให้จัดสร้างโบสถ์คริสต์ขึ้นใน ประเทศไทย พร้อมยังทรงขอร้องมิชชันนารีให้เข้ามาสอนภาษาอังกฤษ และภาษาลาติน เพื่อจะได้ทรงศึกษาให้เข้าพระทัย ถึงแก่นแท้ของแต่ละศาสนา นอกจากนั้นยังได้เชิญคณะมิชชันนารีร่วมเดินทางไปดูสุริยุปราคา ที่.หว้ากอ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่พระองค์ทรงคำนวณด้วยพระองค์เองว่าจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง และเห็นได้อย่างชัดเจน ที่ ต.หว้ากอได้อย่างแม่นยำ จึงทรงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยด้วยน้ำพระทัยที่เปิด กว้าง และเปี่ยมด้วยพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดังกล่าวแล้ว ทำให้ประเทศไทยของเราเป็นที่เลื่องลือไปนานาประเทศว่าเป็นประเทศที่มี เสรีภาพในการนับถือศาสนาเรื่อยมา จนบัดนี้จะได้เห็นว่าประเทศของเรามีวัดพุทธ มีโบสถ์คริสต์ มีมัสยิดอิสลาม โบสถ์พราหมณ์ที่เสาชิงช้า วัดแขกที่สีลม และศาลเจ้าต่าง ๆ มากมาย โดยที่ทุกศาสนาต่างก็ปฏิบัติศาสนกิจของตนไปตามความเชื่อศรัทธาของแต่ละบุคคล โดยไม่เบียดเบียนกัน จึงทำให้ประเทศไทยได้รับการยกย่องจากประชาชนโลกว่าเป็นประเทศที่น่าอยู่น่า ท่องเที่ยว ประชาชนมีอัธยาศัยดีงาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งทำให้กรุงเทพมหานครได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองที่น่า ท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลก ในปัจจุบัน

สำหรับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเยี่ยมประชาชนไปตามหมู่บ้านและชนบท ที่มีมัสยิดหรือโบสถ์ในวัดพุทธก็จะพระราชทานความช่วยเหลือทำนุบำรุงทุกศาสนา อย่างเท่าเทียมกัน มีการพระราชทานรางวัลแก่บรรดาโต๊ะอิหม่าม และครูสอนศาสนาอิสลาม เป็นประจำทุกปี เมื่อข้าพเจ้ามีโอกาสเสด็จเยี่ยมประชาชนแทนพระองค์เวลาต่อมา ข้าพเจ้าก็ยึดถือปฏิบัติเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเคย ปฏิบัติมาข้าพเจ้ายังจำภาพชาวไทยมุสลิมแต่ละหมู่บ้านมายืนจุดเทียนรอส่ง เสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในยามดึกดื่นค่ำคืนด้วยความห่วงใยด้วยเกรงว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับพระองค์ ในขณะที่ทรงขับรถผ่านพื้นที่อันตรายต่างๆ ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจซาบซึ้งในความมีน้ำใจของราษฎรชาวไทยมุสลิมอยู่เสมอ ไม่เคยลืม เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบว่าขณะนี้มีเหตุการณ์ทำร้ายพระสงฆ์เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ในขณะออกบิณฑบาตตามหมู่บ้านของชุมชนไทยพุทธ ไม่เฉพาะแต่พระสงฆ์เท่านั้นที่ถูกลอบทำร้าย แม้แต่ราษฎรชาวไทยละชาวไทยมุสลิมเองตลอดจนข้าราชการ ครู ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ก็ถูกลอบทำร้ายเช่นเดียวกัน

สำหรับข้าราชการครูที่อยู่นอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อาสาลงไปสอน หนังสือในพื้นที่เสี่ยงภัยนั้น ข้าพเจ้าได้นำเงินที่ท่านทั้งหลายมอบให้ข้าพเจ้าเป็นของขวัญวันเกิด ข้าพเจ้าได้นำเงินที่ท่านมอบให้ไปจัดสร้างศูนย์ครูใต้ขึ้นที่จ.ปัตตานีโดยมี การรักษาความปลอดภัยอย่างดี เป็นห้องสมุด ห้องประชุมอเนกประสงค์ และห้องสันทนาการต่างๆ สำหรับครูที่ลงไปสอนที่จังหวัดต่างๆ ภาคใต้ได้พักผ่อนหย่อนใจแลกเปลี่ยนความรู้กันและมีอินเตอร์เน็ตไว้ติดต่อกับ เพื่อนครูและญาติพี่น้องทางบ้าน มีโรงเรียนในนั้นด้วยสำหรับลูกหลานครู และในบริเวณเดียวกันมีฟาร์มตัวอย่างสำหรับประชาชนไว้เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในทุกๆ ท่านมาก ที่วันเกิดท่านได้มอบเงินให้แก่ข้าพเจ้าเป็นของขวัญ ข้าพเจ้าก็อยากจะบอกทุกๆ ท่านว่าได้นำเงินไปสร้างศูนย์ครูใหญ่แล้ว ซึ่งเป็นที่พึ่งของครูไทยที่ต้องไปสอนที่จังหวัดภาคใต้ เมื่อเข้าไปอยู่ที่ศูนย์ครูแล้วปลอดภัยทุกประการเพราะข้าพเจ้าได้จัดให้มี ผู้อารักขาล้อมรอบปลอดภัย ก็มีสตรีชาวไทยมุสลิมที่สูญเสียสามีก็ได้มาขอความช่วยเหลือ ขอเข้าอยู่อาศัยในหมู่บ้าน เศรษฐกิจพอเพียงบ้านรอตันบาตู จังหวัดนราธิวาส ที่ข้าพเจ้าได้ใช้เงินที่ท่านทั้งหลายให้ข้าพเจ้าในโอกาสวันเกิดในข้าพเจ้า ได้สร้างขึ้นเพื่อไว้ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยที่ภาคใต้ยามเดือดร้อนดัง กล่าว

ข้าพเจ้าไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นการกระทำของชาวไทยมุสลิม ซึ่งมีน้ำใจเมตตาดั่งที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักมาก่อน ในการที่ทำร้ายพระสงฆ์จึงรู้สึกไม่สบายใจมาก ไม่คิดว่าเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา บ้านเมืองของเราซึ่งได้ชื่อไปทั่วโลกว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย เพราะการกีดกันไม่ให้มีการใส่บาตรเช่นนี้ ต้องถือว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการประกอบกิจทางศาสนา ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวเหล่าทุกคนมีความรู้สึกสะเทือนใจเช่นเดียวกับ ข้าพเจ้า และคงไม่อยากให้เหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราอีกต่อไป ข้าพเจ้าจึงขอโอกาสขอความร่วมมือจากท่านทั้งหลายในวันนี้ที่มาอวยพรวันเกิด ข้าพเจ้าได้ช่วยกันมีส่วนร่วม ร่วมกันในความคิด หาวิธีที่จะนำความสงบสันติสุข กลับมาสู่ดินแดนภาคใต้ของเรา ให้ได้โดยเร็วที่สุด

ข้าพเจ้าขอขอบคุณชาวไทยทั้งประเทศที่ตั้งใจทำความดีและสร้างบุญกุศลในเดือน สิงหาคมเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้กุศลจากการทำดีของคนไทยทั้งหลายจงคุ้มครองคนทุกคนให้แคล้วจากภยันตราย ทั้งปวง ขอให้ประเทศไทยของเราร่มเย็นเป็นสุข รอดพ้นจากภัยธรรมชาติ และประชาชนทุกภาคสามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้อย่าง

ปกติสุข มีกำลังกาย มีกำลังสติปัญญาที่จะนำพาประเทศชาติของเราให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นสืบไป และขอให้ทุกท่านเดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัยทุกๆคน ขอขอบคุณ

-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=553&contentID=156654-


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=553&contentID=156654
.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2011, 01:35:31 pm »

พระราชดำรัสสมเด็จพระราชินี


สมเด็จพระราชินีทรงมีพระราชดำรัสต่อปวงชน ชาวไทย เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 ส.ค. ทรงห่วงปัญหาป่าไม้ถูกทำลาย ยาเสพติดระบาดเกลื่อนเมือง
วันนี้ ( 11 ส.ค.) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตราชกัญญาฯ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิตติคุณ พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ รวม 442 คณะ จำนวน 15,304 คน เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 ส.ค.2554

เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จขึ้นที่ประทับแล้ว ท่านผู้หญิงมนัสนิตย์ วณิกกุล ราชเลขานุการในพระองค์ กราบบังคมทูลถวายรายงานสรุป และขอพระราชทานพระราชานุญาติให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กราบบังคลทูลถวายพระพรชัยมงคลในนามผู้เข้าเฝ้าฯ ความว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่ง ในวันที่ 12 ส.ค. ศกนี้ ข้าพระพุทธเจ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในนามของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปลาบปลื้มปีติสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้พระราชทานพระราชวโรกาส ให้ปวงข้าพระพุทธเจ้าเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล ด้วยความจงรักภักดี ดังเช่นที่ปฏิบัติตลอดมา ข้าพระพุทธเจ้าและประชาชนชาวไทยทั้งปวง ต่างชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างยิ่งที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีพระสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทรงพระเกษมสำราญ ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อยังประโยชน์สุขแก่อาณาประชาราษฎร์เสมอมา ด้วยน้ำพระราชหฤทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตา กรุณาต่อพสกนิกรใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว ทรงเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร แม้ในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลความเจริญ ก็มิได้ทรงย่อท้อต่อความลำบากตรากตรำพระวรกาย จึงทรงทราบถึงวิถีชีวิตของราษฎร และปัญหาความยากจนการประกอบอาชีพไม่ได้ผล สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ด้อยโอกาส และปัญหาอื่น ๆ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาหาทางแก้ไขเพื่อให้พสกนิกรพ้นจากความยากไร้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นที่มาของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และโครงการที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทรับสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวเป็นจำนวนมาก ทั้งโครงการด้านการเกษตร การประกอบอาชีพ การศึกษา การสาธารณสุข การศาสนา การสังคมสงเคราะห์ การอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ตลอดจนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ เช่นโครงการป่ารักษ์น้ำ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ โครงการป่าเฉลิมพระเกียรติ โครงการธงรักษาป่า โครงการฟาร์มตัวอย่าง โครงการหมอชาวบ้าน โครงการสร้างปะการังเทียม โครงการธนาคารอาหาร โครงการศิลปาชีพฯ เป็นต้น

ซึ่งพระราชกรณียกิจนานัปการที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะปฏิบัติบำเพ็ญ ล้วนแต่เพื่อขจัดทุกข์ผดุงสุขของราษฎร ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ แม้ในปัจจุบันใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทก็ยังทรงพระกรุณาทรงงานติดตามศึกษาการ พัฒนาด้านต่าง ๆให้ดำเนินไปตามแนวพระราชดำริที่พระราชทานไว้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ในยามที่พสกนิกรประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติ ก็ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชทรัพย์ และพระราชานุเคราะห์แก่ราษฎรอย่างท่วงที และสม่ำเสมอ อีกทั้งยังทรงปลอบขวัญและพระราชทานพระกำลังใจให้มุ่งมั่นฝ่าฝันทุกข์ภัยทั้ง ปวงให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ส่วนพสกนิกรที่ได้รับอันตราย หรือเจ็บทุกข์ป่วยทรมาน ประสบความยากลำบากปราศจากที่พึ่ง เมื่อทราบความถึงพระเนตรพระกรรณก็ทรงพระกรุณารับไว้ในพระราชานุเคราะห์ พระเมตตากรุณาเอื้ออาทรต่อทวยราษฎร์ และพระวิริยะอุตสาหะทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อขจัดทุกข์ผดุงสุข แก่พสกนิกร ใต้เบื้องพระบารมีตลอดมาพระเกียรติคุณของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจึงแผ่ไพศาล ทั้งในประเทศและนานาประเทศ ดังปรากฏว่า องค์กรและสถาบันต่าง ๆ ได้ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญา ถวายรางวัล และประกาศเกียรติคุณต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความสำนึกของปวงชนชาวไทยในพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ และแล้วล้วนมีความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างไม่เสื่อมคลาย

เนื่องในวันมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษาในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เวียนมา บรรจบอีกวาระหนึ่ง ในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2554 ข้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ผู้มีความจงรักภักดี ขอพระราชทานน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระพรชัยมงคล ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดอภิบาลบันดาลดล ให้สมเด็จพระเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ พระเกียรติคุณแผ่ไพศาล มีพระราชประสงค์จำนงใด ขอจงสัมฤทธิ์ผล สถิตเป็นพระมิ่งขวัญ คู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงเป็นร่มโพธิ์ทองของพสกนิกรโดยทั่วถ้วนตราบกาลนานเทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

จากนั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำรัสตอบความว่า ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีและผู้แทนของข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน รวมทั้งผู้แทนของสภา สมาคม องค์กรต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนบ้านเมืองของเราให้เจริญก้าวหน้า รวมทั้งนิสิตนักศึกษา และประชาชน จำนวน 15,304 คน ที่มาชุมนุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ เพื่ออวยพรวันเกิดให้แก่ข้าพเจ้าซึ่งมีอายุครบ 79 ปี ไม่ใช่น้อย ท่านทั้งหลายก็เป็นกำลังใจให้มาก ขอขอบคุณผู้ที่ส่งจดหมายและคำประพันธ์จำนวนมากไปอวยพรข้าพเจ้า ขอขอบคุณหน่วยงาน และบริษัทห้างร้านหลายแห่งที่ส่งคำอวยพร ผ่านทางโทรทัศน์วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสื่อสารมวลชนแขนงต่างๆ บางหน่วยงานบำเพ็ญสาธารณกุศลหรือบำเพ็ญประโยชน์แก่บ้านเมืองเพื่อข้าพเจ้า เช่น โรงพยาบาลที่จัดทำโครงการช่วยชีวิตคนไข้เป็นจำนวนมาก หน่วยงานที่จัดพิธีอุปสมบทพระภิกษุ และบรรพชาพระสามเณร หรือจัดเลี้ยงอาหารแก่ผู้ด้อยโอกาสเพื่อเป็นกุศลจิตแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รับทราบหมดแล้วด้วยความขอบคุณ และซาบซึ้งใจยิ่ง อีกทั้งในวันนี้ยังมีผู้ใจบุญที่ทราบว่ามีประชาชนเดินทางมาอวยพรแก่ข้าพเจ้า นับหมื่นคน จึงขอมีส่วนช่วยดูแลประชาชนโดยจัดส่งอาหาร และเครื่องดื่มนานาชนิดมาให้จนไม่อาจกล่าวถึงได้ครบถ้วน ข้าพเจ้าซาบซึ้งขอขอบคุณในน้ำใจๆไมตรีของทุกทานไว้ ณ ที่นี้ด้วยเช่นกัน

สำหรับผู้ที่ส่งดอกไม้และสิ่งของต่าง ๆ มาถวาย เพื่อเป็นกำลังพระทัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประจำทุกวันที่โรง พยาบาลศิริราช ข้าพเจ้าขอแจ้งว่าขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสบายขึ้นมากแล้ว เพียงแต่แพทย์ยังแนะนำให้ทรงทำกายภาพบำบัดต่อไปเพื่อให้ทรงพระดำเนินได้แข็ง แรง พระองค์ท่านทรงงานได้เพิ่มขึ้น ทรงติดตามโครงการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะนี้ที่มีฝนตกหนักเพราะเป็นหน้าฝนเกิดปัญหาน้ำท่วมใน ภาคเหนือ และภาคอีสานก็ทรงเป็นห่วงมาก ได้พระราชทานสิ่งของไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมหลายแห่ง และทรงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมปรึกษาหารือถึงแนวทางที่จะช่วย เหลือประชาชน ส่วนการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าโดยเร่งด่วนนั้นข้าพเจ้าได้เห็นหน่วย ราชการ ทหาร ตำรวจ ตำรวจตะเวนชายแดนและองค์กรกุศลต่างๆได้ออกไปช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลัง ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจมากว่าคนไทยไม่เคยทอดทิ้งกันในยามทุกข์ยากเลย ไม่ว่าจะเป็นยามเกิดภัยแล้ง หรือน้ำท่วมก็ตาม เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยดูแลราษฎร์ในพื้นที่ของตนเองอย่างสุดชีวิตจนบางครั้ง เกิดเรื่องเศร้าสลดใจขึ้น เช่นเมื่อคราวน้ำท่วมจังหวัดสงขลา วันที่ 1 พ.ย.2553 เราต้องสูญเสีย ร.ต.วัชรัตน์ บุญฤทธิ์ ปลัดอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลาไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีก1ท่าน เพราะถูกน้ำพัดไป ระหว่างออกไปช่วยเหลือประชาชน

ทุกวันที่ 11 ส.ค. ที่ท่านทั้งหลายมาชุมนุมกัน ก็อวยพรวันเกิดให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะมีโอกาสเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ท่านทั้งหลายฟังครั้งหนึ่ง ซึ่งมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ที่เกิดขึ้นในรอบปีที่ผ่านมา รวมทั้งบางเรื่องที่นำมาเล่าซ้ำ เพราะตั้งใจที่จะเตือนความทรงจำของท่านทั้งหลายด้วย เรื่องแรกเป็นเรื่องโศกเศร้าของบ้านเมือง คือการสิ้นพระชนมของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาองค์เดียว ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี สมเด็จพระนางเจ้าภคินีเธอพระองค์นี้ทรงพระเมตตากรุณาต่อประชาชนชาวไทยมาตลอด พระชนม์ชีพของพระองค์ ข้าพเจ้าจึงขอขอบคุณรัฐบาลที่จะจัดงานพระศพอย่างสมพระเกียรติยศ และขอขอบคุณหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั้งหลายที่ทยอยกันไปถวายบังคมและฟังสวดพระอภิธรรมใน งานพระศพอย่างไม่ขาดสาย

ข่าวเศร้าอีกคราวหนึ่ง ก็เป็นข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นในเดือนที่แล้ว เช่นเดียวกันคือ ข่าวเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกตกในบริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานถึง 3 ลำ สูญเสียกำลังพลไป 16 นาย ช่างภาพโทรทัศน์ช่อง 5 อีก 1 นาย ข้าพเจ้าเศร้าเสียใจและรู้สึกเห็นใจครอบครัวของผู้สูญเสียทั้ง 17 รายนี้อย่างยิ่ง ผู้สูญเสียทุกคนล้วนอยู่ในวัยที่เป็นกำลังแข็งแกร่งของประเทศชาติ หลายคนมีลูกเล็กๆ ที่ไร้เดียงสา ซึ่งจากนี้ผู้เป็นแม่ต้องรับหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ต่อไปให้ดีที่สุด แต่กรณีนี้เข้าใจว่าทางราชการ คงดูแลครอบครัวของบุคคลอย่างเต็มที่ เพราะทุกท่านปฏิบัติหน้าที่อันสืบเนื่องมาแต่ภารกิจปกป้องพื้นป่าของประเทศ ไทย ชาวไทยทั้งหลายจึงควรระลึกถึงความดีของท่าน และร่วมกันปกป้องผืนป่าไว้ให้คงอยู่อย่าให้สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ ต้องเป็นความสูญเปล่า ข้าพเจ้าได้ติดตามข่าวนี้มาโดยตลอด ทราบว่าเจ้าหน้าที่ที่เดินป่าเข้าไปลำเลียงผู้เสียชีวิตออกมานั้น ทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยและยากลำบากแสนสาหัส ต้องทำงานแข่งกับเวลาที่จะมืดค่ำลงในป่าที่รกทึบ และมีฝนตกตลอกเวลา อากาศก็หนาวเย็น ยังเต็มไปด้วยทากและฝูงแมลง มาเกาะกินเลือดทั่วร่างกาย ชาวไทยทุกคนที่ติดตามข่าวนี้ก็คงเอาใจช่วยเจ้าหน้าที่ทุกท่านเช่นเดียวกับ ข้าพเจ้า พอทราบว่าทุกท่านออกจากป่ามาด้วยโดยปลอดภัยก็รู้สึกโล่งใจและซาบซึ้งในความ เสียสละของทุกท่าน ข้าพเจ้าคิดว่าบุญกุศลที่ท่านลำบากตรากตรำไปนำผู้เสียชีวิตออกมาคืนสู่ครอบ ครัวของเขา คงเป็นอานิสงค์ส่งให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ตลอดจนมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไปแน่นอน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ม.จ.ภีศเดช รัชนี ได้เชิญให้ข้าพเจ้าไปเปิดงานโครงการหลวง ครบรอบปีที่ 42 ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โครงการหลวงเป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์ จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2512 โดยมี ม.จ.ภีศเดช รัชนี สนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งประธานมูลนิธิโครงการหลวง ในการดำเนินงานได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครและหน่วยงานต่างๆ ต่อมารัฐบาลได้ให้การสนับสนุนงบประมาณส่วนหนึ่ง จากนั้นองค์กรประเทศและรัฐบาลต่างประเทศที่สนใจเข้ามาดูงานก็ให้การสนับสนุน เพิ่มเติม ก่อนที่จะเป็นโครงการหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จไปตามดอยต่าง ๆ ไม่ทราบว่ากี่ร้อยครั้ง ลงจากรถพระที่นั่ง เฮลิคอปเตอร์ แล้วก็ต้องทรงพระดำเนินไปอีกหลายกิโลเมตร พระราชประสงค์ที่ทรงจัดตั้งโครงการหลวง ก็เพื่อที่จะช่วยชาวไทยภูเขาให้เขาสามารถช่วยตนเองในการเลี้ยงชีพปลูกพืชที่ มีประโยชน์ เช่น พืชผัก ผลไม้ และไม้ดอกเมืองหนาว มากกว่า 200 ชนิด ทดแทนการปลูกพืชเสพติด ช่วยสร้างรายได้ให้ชาวไทยภูเขาสามารถเลี้ยงครอบครัวของเขาได้ดีกว่าแต่ก่อน และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
นอกจากนั้นโครงการหลวงยังช่วยลดการทำลาย ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า ถ้าเราช่วยชาวไทยภูเขาให้อยู่ดีกินดี โดยไม่ต้องปลูกพืชเสพติดก็เท่ากับช่วยบ้านเมืองของเราให้ปลอดภัยไปได้ทั่ว ประเทศ และได้รักษาป่าไม้ ได้รักษาดินให้เป็นประโยชน์ต่อไป ซึ่งประโยชน์อันนี้จะยั่งยืนมาก ขณะนี้โครงการหลวงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่าง ชาตินิยมไปท่องเที่ยวและพักผ่อนเป็นจำนวนมากทุกปี ผลงานของโครงการหลวงเป็นที่ประจักษ์ทั่วโลก หลายประเทศมาขอรับคำแนะนำจนกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่สูงให้แก่หลาย ประเทศแล้ว นอกจากโครงการหลวงแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงมีโครงการพระราชดำริอีกมากมาย ซึ่งข้าพเจ้าขอกล่าวอย่างกว้าง ๆ พอให้ท่านทั้งหลายทราบว่า พระองค์ท่านทรงห่วงใยประชาชนทุกภูมิภาคโดยเท่าเทียมกัน และการที่พระองค์เสด็จไปพื้นที่ทุรกันดารด้วยพระองค์เอง ทำให้ทรงเข้าถึงปัญหาแต่ละพื้นที่และหาวิธีแก้ไขได้ตรงจุด ทั้งนี้ก็โดยทรงเชิญนักวิชาการต่าง ๆ มาร่วมปรึกษาหารือ และช่วยกันดำเนินโครงการต่าง ๆ

โครงการพระราชดำริโครงการแรกเกิดที่ภาคกลาง โดยทรงเริ่มโครงการอ่างเก็บน้ำที่เขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ พ.ศ. 2506 เพื่อช่วยชาวบ้านเขาเต่าที่ขาดแคลนน้ำ ระหว่างประทับที่วังไกลกังวล ทรงพบว่าปัญหาของพื้นที่ในจังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ คือ ดินเป็นทราย ปลูกพืชไม่ค่อยขึ้น จึงทรงริเริ่มโครงการเกษตรขึ้น เช่น ที่หุบกะพง และดอนขุนห้วย ต่อมาทรงตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย จ.เพชรบุรี เพื่อทดลองการปรับปรุงบำรุงดินและมีการสร้างอ่างเก็บน้ำไว้ใช้ในพื้นที่ด้วย เมื่อไม่กี่ปีนี้ก็โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่ จ.ลพบุรี และเขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมให้กรุงเทพฯ และปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ราบสูงขาดแคลนน้ำและสภาพดินเป็นดินทราย แห้งแล้ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอ่างเก็บน้ำพร้อมด้วยคลองสูบน้ำขึ้นหลายแห่ง ต่อมาทรงสร้างศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน จ.สกลนคร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้การรักษาและฟื้นฟูสภาพป่า ต้นน้ำ ลำธาร และการบำรุงดิน เป็นต้น

ที่ภาคใต้เฉพาะอย่างยิ่งที่จ.นราธิวาส พระองค์ท่านประทับเรือไปในเขตพรุ ซึ่งมีพื้นที่มหาศาล น้ำในพรุนั้นมองดูใสสะอาด แม้แต่วัวยังหลงไปกิน แล้วปากก็เปื่อยเป็นแผลนาน เพราะน้ำนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสั่งให้เตรียมขวดน้ำตักน้ำด้วยพระองค์เอง เพื่อนำน้ำนั้นมาให้กรมชลประทานทดสอบคุณภาพ พระองค์ท่านมีพระราชประสงค์จะทรงเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวในภาคใต้ โดยทรงมีพระราชดำริ พื้นที่ตามขอบพรุนั้น น่าจะปรับปรุงให้เป็นพื้นที่เพาะปลูกได้ จึงทรงปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยงาน เช่น กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน กรมวิชาการเกษตร เป็นต้น เพื่อให้ขุดคลองระบายน้ำในพรุออก โดยให้มีประตูระบายน้ำเพื่อควบคุมระดับน้ำในพรุ และพระราชทานคำแนะนำแก้ปัญหาดินเปรี้ยว จนสามารถปรับปรุงที่นาที่ถูกทิ้งมา 20-30 ปี ให้นำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าแสนไร่ เช่น ที่นราธิวาส ได้ 20,000 กว่าไร่ นครศรีธรรมราช 20,000 กว่าไร่ ปัตตานี 10,000 กว่าไร่ เป็นต้น แต่เดิมชาวบ้านปลูกข้าวได้ไร่ละแค่ 4-5 ถัง เดี๋ยวนี้เพิ่มเป็น 50 ถังแล้ว และยังปลูกพืชผักผลไม้ได้อีกหลายชนิด รวมทั้งเลี้ยงสัตว์ด้วย ซึ่งชาวบ้านก็กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงทำเช่นนี้ในเขตพรุต่อไปอีก ก็รับสั่งว่าถ้าทำให้พื้นที่พรุแห้งเพิ่มมากเกินไปในที่ใกล้ ๆ กันนี้ อาจจะเกิดไฟลุกขึ้นในพรุ ซึ่งจะเป็นอันตรายได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงติดตามงานทุกโครงการโดยตลอด และทรงงานละเอียดมากทุกอย่าง ภาพที่คุ้นตาประชาชน คือภาพที่ทรงถือแผนที่ติดพระองค์เป็นประจำ แม้เวลาประทับบนเฮลิคอปเตอร์ หรือเวลาที่ทรงขับรถพระที่นั่ง จะทรงวางแผนที่ไว้ข้างพระองค์ และทอดพระเนตรสภาพพื้นที่จริงเทียบกับแผนที่ และทรงซักถามชาวบ้านถึงชื่อหมู่บ้าน ถนน แม่น้ำ ลำคลอง ทรงทำเครื่องหมายไว้และเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ลงไปเสมอ




-http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=553&contentID=156654-


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=553&contentID=156654
.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 12, 2011, 01:32:57 pm »

"จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา" พระราชปณิธานสมเด็จพระราชินี


"จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา" พระราชปณิธานสมเด็จพระราชินี

-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313120181&grpid=01&catid=&subcatid=-








นับตั้งแต่ทรงเข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็น "สมเด็จพระบรมราชินี" เมื่อปี 2493 พระราชกรณียกิจต่อประชาชน ชาวไทยในฐานะ "พระคู่บารมี" แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานตลอดกว่า 60 ปี

สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเยี่ยมราษฎรตั้งแต่ปี 2498 โดยมีราษฎรยากจนและอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเป็นจุดหมาย

ในหนังสือ ด้วยพลังแห่งรัก ได้กล่าวถึงพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2515 เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ว่า

"การ เยี่ยมราษฎรตามภาคต่างๆ เหมือนกับการได้ไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่อยู่ห่างไกล ราษฎรทุกคนพูดกับเราได้ทุกอย่าง อย่างคล่องแคล่ว ไม่เก้อเขิน เรื่องการใช้ราชาศัพท์ไม่เคยเกิดเป็นปัญหาเลย ส่วนมากเขาเรียกพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้าว่า คุณพ่อ คุณแม่ หรือท่าน พวกชาวเขาเผ่าต่างๆ ก็เรียก พ่อ แม่ การไปเยี่ยม ราษฎรทุกครั้งทำให้เราทั้งสองมีความสุข และชุ่มชื่นในไมตรีจิต ของประชาชน"

สิบ ปีต่อมา ทั้งสองพระองค์ยังทรงงานพร้อมเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเยี่ยมราษฎรโดยมิได้ขาด บรรยากาศระหว่างชาวบ้านกับพระเจ้าแผ่นดินและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ยังคงอบอุ่นใกล้ชิด ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อ 11 สิงหาคม 2525 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต

"เป็นพระราชินีตั้งแต่อายุ 17 จนอายุ 50 ไปที่ไหน แม้แต่อายุ 17-18 ประชาชนก็ยังเรียกคุณแม่ ทีแรกก็ตกใจ เอ๊ะ...คนเรียกเราดูเขาแก่กว่าเรา ทีหลังก็สำนึกได้ว่า คำว่า ′แม่′ นี้เป็นคำศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งที่สุด การที่ใครเรียกคนคนหนึ่งว่าแม่ บุคคลที่ถูกเรียก จะต้องคิดและสำนึกในเกียรติยศอันนี้ และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"



ประชาชนมาก่อนอื่นใด

ไม่ ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ไหน ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะ ทรงปฏิบัติพระองค์ให้ "ประชาชนมาก่อนสิ่งอื่นเสมอ"

ท่านผู้หญิงสมสุข ศรีวิสารวาจา เล่าถึงบรรยากาศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงไปเยี่ยมราษฎรเมื่อหลายสิบปีก่อนว่า

"เรื่อง ความวิริยอุตสาหะของพระองค์ พวกเราข้าราชบริพารต้องยอมแพ้เลย ส่วนใหญ่เวลาเสด็จพระราชดำเนินจะทรงไปในที่ทุรกันดารทั้งนั้น ทั้งไกล ทั้งลำบาก แต่ก็ทรงมุ่งมั่นที่จะเสด็จฯไป ไม่ว่าจะเสด็จฯทางรถไฟ รถยนต์ เครื่องบิน เรือพาย เรือยนต์ ทรงช้าง ทรงม้า ทรงพร้อมเสมอ บางแห่งรถเข้าไม่ถึง ถนน หนทางไม่มี ต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไป ทรงพระดำเนินตั้งครึ่งค่อนวัน ขึ้นเขาเป็นลูกๆ พอทรงเห็นพวกเราเดินตามไม่ทัน ก็จะทรงชะลอ ไม่ทรงเหน็ดเหนื่อยเพราะทรงรู้ว่าประชาชนกำลังรอพระองค์อยู่ข้างหน้า ไม่เคยมีใครได้ยินพระองค์ทรงบ่น ไม่ทรงแสดงอาการเหนื่อยล้า พระพักตร์แจ่มใสเสมอ บางครั้งกว่าจะเสด็จฯถึง ทรงเยี่ยมราษฎรเสร็จ พระอาทิตย์ก็ตกมืดแล้ว



"ยิ่ง เวลาเสด็จออกเยี่ยมราษฎร พระองค์จะไม่ค่อยเสวย บางทีทรงงานอยู่จนมืดค่ำตีหนึ่งตีสอง ทรงงานไปเรื่อยๆ ด้วยความเพลิดเพลิน เรื่องเสวยนี่ไม่สำคัญเลย แล้วยังสามารถทรงงานได้ทุกแห่งทุกที่ สามารถทรงพระอักษรได้อย่างไม่ต้องเป็นกิจจะลักษณะ โต๊ะเก้าอี้ก็ไม่โปรดนัก โปรดประทับกับพื้น ทรงนั่งได้ครั้งละนานๆ ทรงจดจ่ออยู่กับงาน ทรงไต่ถามทุกข์สุขประชาชน

"สมัยก่อนอย่าได้ทูลพระองค์เชียวนะ ว่าถึงเวลาเสด็จฯกลับ ไม่ทรง ยอมหรอก ทรงอยากจะช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด ไม่ทรงคิดถึงพระองค์เอง ทรงห่วงประชาชนมากกว่า สำหรับพระองค์ท่านแล้ว ประชาชนต้องมาที่หนึ่ง"



ทรง′เคียงคู่′กัน ปฏิบัติพระราชกรณียกิจ

จาก เมื่อก่อนที่ "พระพลานามัย" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงสมบูรณ์แข็งแรงดี ทุกปีทั้ง 2 พระองค์ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา จะเสด็จฯแปรพระราชฐานตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร ตั้งแต่ครั้งที่ยังไม่มีตำหนักที่ประทับ ก็จะประทับ ณ สถานที่ที่ทางราชการจัดเตรียมถวาย จนกระทั่งสร้างพระตำหนักในภูมิภาคต่างๆ แล้วเสร็จ จึงประทับที่พระตำหนักซึ่งเปรียบเสมือน "ศูนย์กลางการทรงงาน" ในแต่ละภูมิภาค

ราวเดือนสิงหาคม-กันยายน-ตุลาคม เป็นช่วงเวลาที่ทั้ง 2 พระองค์จะเสด็จฯ แปรพระราชฐาน ณ ทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส ครั้น ถึงเดือนพฤศจิกายน จะประทับ ณ ภูพานราชนิเวศน์ จ.สกลนคร และในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์-มีนาคม ประทับ ณ ภูพิงค์ราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่

ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานด้านการชลประทาน การเกษตร โปรดเกล้าฯให้จัดหาแหล่งน้ำและจัดการให้ราษฎรมีน้ำไว้ ใช้ในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทรงปรึกษาหารือกับชาวบ้านและผู้นำชุมชน พร้อมกล้องถ่ายภาพคล้องพระศอ แผนที่ในพระหัตถ์มีรายละเอียดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการชลประทานและการ เกษตร เพราะทรงตระหนักว่า น้ำคือต้นกำเนิดของชีวิต และเป็นต้นทางของ วิถีเกษตร ซึ่งเป็นวิถีที่แท้จริงของราษฎรในชนบทไทย พระองค์มี พระราชปฏิสันถาร พระราชทานแนวพระราชดำริ และพระบรม ราชานุเคราะห์ในทุกทางเพื่อให้ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ในขณะเดียวกัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรง ใช้เวลากับราษฎร ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ พระราชทานงานศิลปาชีพ ทรงตรวจ "การบ้าน" ที่พระราชทานไว้เมื่อปีกลาย พร้อมกับไถ่ถามทุกข์สุข ทรงรับฟังเรื่องราวทุกข์ใจของชาวบ้าน และบางครั้งก็ทรงสอนหนังสือเด็กๆ

พระ ราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติ "เคียงคู่" กันทั้งสองพระองค์ ช่วยให้ชาวชนบทผู้อยู่ห่างไกลโอกาสทางการศึกษา การสาธารณสุข การอาชีพ และห่างไกลโอกาสต่างๆ ในชีวิต ได้ผ่านช่วงเวลาทุกข์เข็ญ มานักต่อนัก





2 ปีที่ศิริราช...ไม่ทรงแยกจากกัน

แม้ ในระยะ 2 ปีมานี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะมิได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรเฉกเช่นแต่ก่อน ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้ารับการรักษาและฟื้นฟูพระวรกายที่โรง พยาบาลศิริราช สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจะทรง อยู่ด้วยตลอด ไม่เสด็จฯไปไหนไกลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลย

ท่านผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญ หลวงเทพนิมิต รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ผู้ถวายงานมาตลอด 38 ปี เล่าว่า

"ตั้งแต่ 19 กันยายน 2551 ก็ไม่ได้เสด็จฯไปไหนเลย ประทับ อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอด แม้ จะมีครั้งหนึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จฯไปรักษาพระอาการประชวรที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปตรวจรักษาพระเนตรที่โรงพยาบาลจักษุรัตนิน"



ทรงงานตลอดเวลา

แม้ เราจะไม่ได้เห็นภาพที่พระองค์ประทับนั่งพื้นหน้าโต๊ะเตี้ยๆ นานนับ 4-5 ชั่วโมง เพื่อทรงงานกับชาวบ้านที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันเข้ามา ทีละคนทีละกลุ่ม โดยไม่ทรงลุกไปไหน หรือภาพทรงคุกพระชานุอย่างไม่ทรงรังเกียจ ว่าพื้นดินจะเปียก จะแห้ง หรือเป็นฝุ่น ก็มิได้หมายความว่า พระองค์จะทรงละเลยความเดือดร้อนของราษฎร

"ทั้ง 2 พระองค์ยังคงทรงงานอยู่ตลอด แม้ไม่ได้เสด็จออกไปยี่ยม ราษฎร ก็จะทรงสั่งงาน แต่คนไม่ค่อยรู้ และบางครั้งก็ทรงงานโดย ผ่านสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไป ทำให้ ทอดพระเนตรให้และก็กลับมาถวายรายงาน" ท่านผู้หญิง สุภรภ์เพ็ญเล่า

ด้าน ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ รองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ บอกเสริมว่า พระองค์ทรงทำงานอยู่ทุกวันแม้ตลอด 2 ปี จะไม่ได้เสด็จฯเยี่ยมราษฎรตามจังหวัดต่างๆ เหมือนเช่นที่ผ่านมา เพราะพระองค์ต้องถวายการดูแลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ที่โรงพยาบาล ศิริราช แต่ก็ทรงงานอยู่ทุกวันในการติดตามความคืบหน้าของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อยู่เสมอ มีรับสั่งให้กองราชเลขานุการในพระองค์ฯ ลงไปติดตามการทำงานในด้านต่างๆ แล้วทำรายงานมาถวายพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานคำแนะนำในการดำเนินงานลงมาอยู่เสมอ



พระอุปนิสัยเป็นไทยแท้

ท่าน ผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญเล่าว่า ทั้งสองพระองค์ ทรงมีพระอุปนิสัยเป็นไทยแท้ คือจะไม่โอ้อวด ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินีนาถ จะทรงเป็นกุลสตรีไทยแท้ ไม่โอ้อวด ไม่อะไรทั้งสิ้น ฉะนั้นเวลาทรงทำอะไร ที่ผ่านมา พระองค์จะไม่ให้โฆษณาเลย เมื่อก่อนพวกเราออกมาพูดอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ทรงอนุญาต

"พระองค์รับสั่งว่า จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา ความดีทำไปเถอะ ไม่ต้องไปบอกใคร เพราะความดีก็คือความดี คนเขาเห็นเอง

"ฉะนั้น สิ่งที่ทำทั้งหมด พระองค์ไม่เคยโฆษณาเลย พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำโครงการพระราชดำริมา 3,000-4,000 โครงการ พระองค์ไม่เคยโฆษณาเลย มีเพียงราษฎรในพื้นที่เท่านั้น ที่รู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระ บรมราชินีนาถ ทรงทำตรงโน้น ตรงนี้ให้ แต่คนกรุงเทพฯ หรือไม่ใช่คนในพื้นที่ก็จะไม่รู้"

อย่างผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม ราชินีนาถ ทรงใช้อยู่ทุกวันนี้ ท่านผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญบอกว่า ทุกชิ้น ที่ทรงใช้ทรงซื้อจากมูลนิธิศิลปาชีพฯ ทั้งหมด

"ของที่ทรงใช้อยู่ ทั้งกระเป๋าย่านลิเภา หรือพระภูษาทรงมัดหมี่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระองค์ซื้อจากศิลปาชีพทั้งหมด แม้จะทรงก่อตั้งโรงฝึกศิลปาชีพ หรือปัจจุบันคือสถาบันสิริกิติ์ ก็ทรงต้องซื้อของ ที่พระราชทานประมุขต่างๆ เหมือนคนทั่วไป รับสั่งว่า ไม่ได้ตั้ง โรงฝึกศิลปาชีพขึ้นมาเพื่อผลิตของให้พระองค์เอง

"เวลามี แขกต่างประเทศมา เช่น สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีโซเฟีย แห่งสเปน วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ของพระราชทานต่างๆ ที่พระราชทานให้เป็นที่ระลึก ก็ทรงซื้อจาก มูลนิธิ รับสั่งว่า ของเหล่านี้ต่อไปจะถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่ต่างประเทศ เพราะประธานาธิบดีเมื่อหมดวาระแล้ว ไม่สามารถเอาเป็นของส่วนตัวได้ ต้องเข้าเป็นของรัฐทั้งหมด ซึ่งเราก็เคยเห็นมาก่อน เวลาตามเสด็จฯไปอเมริกา รัสเซีย ของพระราชทานจากรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 เขาก็นำมาจัดแสดง และเขียนว่า ของขวัญจาก คิง ออฟ ไทยแลนด์

"พระองค์ตรัสว่า งานศิลปะเหล่านี้ ถ้าใครมาเห็น เขาจะได้รู้ ว่า คนไทยเป็นยังไง เราไม่ต้องไปบอกว่า ฉันเก่งนะ เพราะเขา ดูปั๊บเขาก็รู้เลยว่า คนไทยเป็นยังไง เป็นคนประณีต ละเอียดอ่อน มีความสามารถ มีความอดทน รับสั่งว่า ที่ทำอยู่นี้เพื่อลูกหลาน ต่อไป ให้ยืนอยู่ได้บนผืนแผ่นดินไทยอย่างสง่าผ่าเผย และยืนอยู่ได้อย่างเป็นหนึ่ง ไม่เป็นที่สองรองใคร

"ยังรับสั่งอีกว่า การที่มีเงินเยอะมากแค่ไหน ถ้าเราไม่อยู่ใน แผ่นดินของเราเอง ต่อให้เป็นมหาเศรษฐีขนาดไหน แต่ต้องไปอาศัยอยู่ประเทศอื่น เขาก็ดูถูก เป็นประชาชนชั้น 2 ชั้น 3 ไม่ เท่าเทียมประชาชนของเขา

"ฉะนั้น ผืนดินที่เราอยู่สำคัญมาก ทุกคนต้องรักษาแผ่นดินให้ ลูกหลานเหมือนที่บรรพบุรุษในอดีตรักษามาให้เราจนถึงปัจจุบัน อันนี้เป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องทำ ไม่มีแผ่นดิน ต่อไปลูกหลานก็ไม่มีที่อยู่ ลูกหลานก็ทำมาหากินไม่ได้ เขาดูถูกไปหมด ทรงย้ำว่าหน้าที่ นี้สำคัญมาก" ท่านผู้หญิงสุภรภ์เพ็ญกล่าว

61 ปีที่พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นคู่พระบารมีที่เปี่ยมล้นด้วย น้ำพระราชหฤทัยในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพสกนิกรทุกคน


หน้า 24,มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2554



-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313120181&grpid=01&catid=&subcatid=-

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313120181&grpid=01&catid=&subcatid=

.