ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 12:15:50 pm »

 :45: ขอบคุณครับพี่มด อนุโมทนาครับ
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 08:15:25 am »


 

อานิสงส์ของมหาสติปัฏฐาน
 
การปฏิบัติธรรมในหลักมหาสติปัฏฐาน เป็น วิชาสูงสุดของพระพุทธศาสนาหลวงปู่ถ่ายทอด ให้แก่พวกเธอด้วยใจอารี เพื่อให้พวกเธอนำไปทำให้มีสาระ ทำตัวให้อยู่รอดปลอดภัย เป็นคน ฉลาด องอาจ สามารถ สง่างาม ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยการทำถูก พูดถูกและคิดถูก ไม่ตกเป็น ทาสของความโง่เขลา
 
การศึกษามหาสติปัฏฐานสูตร แม้พวกเธอบางคนอาจฟังแล้วยังไม่รู้เรื่อง ขอเพียงตั้งใจฟัง ( ตั้งใจอ่าน ) อานิสงส์ของมันก็นำพาเราไป ตายไปแล้ว ๗ ชาติ ไม่มีโอกาสโง่เลย ไม่ว่า เราจะไปอยู่ในที่ใด ภพใด ชาติใหน ใครก็หลอกเราไม่ได้ เพราะเราเคยฟังอบรมมหาสติ ปัฏฐานมา
 
นี่ย่อมหมายความว่า มหาสติปัฏฐานเป็นคุณสมบัติของคนฉลาด ของสัตบุรุษ ของมหาบุรุษ ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นคุณสมบัติของเอกสตรี ของสตรีผู้เจริญ เป็นคุณสมบัติของเอกบุรุษ ผู้องอาจ แกล้วกล้า เพราะฉะนั้น การได้สดับมหาสติปัฏฐานสูตร นอกจากจะมีอานิสงส์ให้กลายเป็น คนชาญฉลาด องอาจ สามารถแล้ว ยังมีผลส่งให้เรากลายเป็นผู้มีสติตั้งมั่น รอบรู้สภาวะตาม ความเป็นจริง มีวิธีบริหารการจัดการชีวิตได้อย่างเจริญ ประเสริฐ งามพร้อมและรุ่งเรือง นอกจากนี้ชีวิตและจิตวิญญาณของผู้นั้น ยังได้รับการปลดปล่อยจากการทำผิด คิดผิด พูดผิด อีกด้วย ทำให้ชีวิตเรามีแต่ความสง่างาม สวยงาม แถมยังช่วยขับไล่โรคร้ายที่เกิดจากใจเราได้อีกด้วย
 
มหาสติปัฏฐานของผู้มีสติตั้งมั่นจึงเป็นยารักษาโรคใจ โรคใด ๆ ที่เกิดจากใจ ไม่ว่าจะเป็น ราคะ โทสะ โมหะ หรือการตกเป็นทาส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ถ้ามียาชนิดนี้แล้ว มันจะช่วยผ่อน คลายได้ ถึงแม้สำหรับบางคนอาจจะยังรักษาไม่ได้เด็ดขาด แต่ก็ยังทำให้สบายขึ้นได้ อยู่เป็นสุข ขึ้นได้

 
ในช่วงเวลาที่พวกเธอมารับการถ่ายทอดมหาสติปัฏฐานจากหลวงปู่นี้ พวกเธอจงรู้ไว้ด้วยเถิดว่า พวกเธอได้บำเพ็ญครบทั้ง เนกขัมมะ ขันติ อธิษฐาน สัจจะ วิริยะ เมตตา ศีล ทาน อุเบกขา และปัญญา คือครบทั้งทศบารมีเลยทีเดียว บารมีเหล่านี้เป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ผู้คนปวงชน ทั้งหลายเข้าถึง วิถีพุทธทำให้มนุษย์ธรรมดาที่เดินดินก็กลายเป็นพระพุทธะได้ กลายเป็นพระ อริยะได้ กลายเป็นพระโพธิสัตว์ได้ กลายเป็นผู้วิเศษได้ กลายเป็นผู้ประเสริฐได้ กลายเป็นพรหม เป็นเทวดาผู้เจริญด้วยฤทธิ์ บุญญาภินิหารได้ ก็เพราะมีบารมี ๑o อย่าง หรือทศบารมีนี้
 
ทศบารมีทั้งหลายที่พวกเธอร่วมกันทำขึ้นมานี้ มันเป็นบารมีแห่งชัยชนะ พลัง อำนาจ ตบะ ความสำเร็จ ปัญญา ทรัพย์ ลาภ กำลัง และความสุขของพระพุทธะ หลวงปู่จึงอยากจะบอก พวกเธอว่า อย่าไปเสื่อมถอยศรัทธาพร้อมด้วยปัญญาที่จะสร้างบารมีเลย




 
 
ก่อนจากกัน หลวงปู่ขออำลาพวกเธอด้วยวิถีทางแห่งพุทธว่า
 
" เมล็ดพืชแห่งพุทธะ ข้าได้หว่านลงไปในเนื้อนาบุญและนาใจของพวกท่านทั้งหลายแล้ว หน้าที่ ของพวกท่านคือดูแล รักษา รดน้ำ พรวนดิน ให้เมล็ดพืชนี้แตกกระเปาะ ตั้งลำต้น ผลิใบออกดอก ยืนหยัดตระหง่าน และสร้างผลใบให้เป็นที่พึ่งพาอาศัยของชนทั้งทั้งหลายในโลก และจักรวาลได้ ... จิตวิญญาณของพระพุทธะ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธะ อำนาจและพลังของพระพุทธะ ความรู้ ความสามารถและปัญญาญาณของพระพุทธะล้วนอยู่ในเมล็ดพืชนี้ อยู่ในลำต้นโพธิ์ เพราะฉะนั้น เมื่อเมล็ดพืชและต้นแห่งโพธิ์มันเจริญงอกงามอยู่ในวิญญาณของพวกท่านแล้ว ก็แสดงว่า พวกท่าน ทั้งหลายต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตนได้ และก็เป็นที่พึ่งแก่คนชนทั้งหลายได้ ... ความอาทร ความ การุณย์ ความหวังดี ความเมตตา ความอนุเคราะห์เกื้อกูล นี่คือกลิ่นอายของพระพุทธะ คือวิญญาณ ของพระพุทธะ คือคุณสมบัติพิเศษของพระพุทธะ ทั้งหมดเป็นวิถีญาณ วิถีธรรม และเป็นพุทธวิถี เป็นพุทธอุบาย และเป็นพุทธธรรม อันเป็นธรรมที่ยังให้สัตว์ทั้งปวงเป็นพระพุทธะ และยังเป็น โพธิญาณ เป็นโพธิปัญญา เป็นโพธิศรัทธา ที่เกิดจากโพธิจิต ขอโพธิทั้งหลายที่มีอยู่ในสามโลก และในอนันตจักรวาล จงเบ่งบาน งอกงาม ไพบูลย์ ให้ลูกหลานของข้าจงสำเร็จลุล่วง และเจริญ ด้วยอำนาจ พลัง ตบะ ชัยชนะ ความสำเร็จ ทรัพย์ ลาภ กำลัง ความสุข ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ "
 
 
จาก วัชรเซน บทสุดท้าย  ชื่อ พุทธะธรรม ของหลวงปู่พุทธอิสระ

http://www.sookjai.com/index.php?topic=136.0#quickreply
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 08:14:29 am »



 
จงฝึกอย่างจริงจังและตั้งใจ
 
สิ่งแรกที่จำเป็นที่สุดของการเจริญมหาสติปัฏฐาน ก็คือ การมีศรัทธา ถ้าไม่ศรัทธากำลังใจ ก็ไม่มา ความมั่นใจที่จะฝึกสำเร็จก็ไม่มีเพราะฉะนั้นก่อนอื่น เราต้องมีศรัทธาก่อนว่าวิธีนี้ เป็นวิธีที่ทำให้เรา ฉลาด สะอาด สว่าง สงบได้
 
ไม่ว่าอะไรจะปรากฏขึ้นในขณะที่กำลังเจริญสติ จงรู้ไว้ด้วยเถิดว่า มันจะเป้นตัวทำร้าย ทำลายมหาสติ เพราะฉะนั้น เราต้องเพิกถอนหรือไม่ก็อย่าใส่ใจมัน รักษาความรู้เนื้อรู้ตัว เอาไว้ จงจำไว้ว่า ในการฝึก สติ จิต สมาธิ และปราณ เราต้องมีสติก่อน เมื่อมีสติแล้ว จิตตั้งมั่นสมาธิปรากฏ ปราณกับจิต สติ สมาธิจะผสมผสานกัน ปราณเป็นพลังที่เกิดจากจิต จากสติ จากสมาธิ ปราณมันเป็นทั้งกระแสอบอุ่นที่อยู่ในเลือด เป็นทั้งสารอาหารที่อยู่ในกาย รวมทั้งเป็นความสมดุลของจิต วิญญาณและอารมณ์ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมดุล ไม่มีสมาธิ ก็ไม่มีพลัง หากจิตไม่ตั้งมั่น โยกคลอน ปราณก็ไม่ปรากฏอีก ก่อนจะถึงคำว่าปราณ และลม ๗ ฐาน ต้องมี สติ มีจิต มีสมาธิ มีความตั้งมั่นก่อน
 
หลวงปู่อยากจะบอกพวกเธอว่า การที่จะเอาชนะความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ เมื่อย เหนื่อย เบื่อ เซ็ง หรืออารมณ์ฟุ้งซ่านทั้งหลาย บางครั้งมันก็ยากเหมือนกัน แต่ถ้าเราไม่ ยอมแพ้ เราไม่ยอมล้มเลิก เราไม่หยุดฝึก เราทำมันด้วยความเพียรมานะ ทำบ่อย ๆ สักวันหนึ่งเราต้องชนะมันจนได อย่าเพิ่งไปท้อแท้ ท้อถอย หวาดกลัว เบื่อหน่ายที่จะ ทำ วันนี้เวลานี้ทำไม่ได้ แต่อีกชั่วโมงข้างหน้า เวลาหน้าถ้าทำอาจจะทำได้ จึงอย่าไป ผัดต้องทำมันทุกเวลาเมื่อมีโอกาส แล้วชัยชนะมันจะปรากฏขึ้น ใหม่ ๆ หลวงปู่ก็เหมือน พวกเธอนั่นแหละ ไม่รู้เรื่องอะไร เขาบอกว่าทำอย่างนี้ดีก็ทำมันไป แล้วก็พยายามทำมัน ไม่หยุดหย่อน หลวงปู่ตอนฝึกกสินใหม่ ๆ นี่ หลวงปู่ฝึกจนดวงตาหลวงปู่สามารถมอง พระอาทิตย์ยามกลางวันได้ หลวงปู่เคยฝึกเตโชกสินจนกระทั่งขี้เทียนสูงเป็นศอก ๆ จากพื้น พอฉันข้าวเสร็จก็ฝึกเตโชกสิน สมัยนั้นตอนแรก ๆ ฝึกก็มองไม่รู้อะไร แต่ต่อ ๆ ไป สติก็เริ่มปรากฏ ก็เริ่มรับรู้ สภาพสภาวธรรม ทีนี้กสินก็ไม่จำเป็น
 
แต่ใหม่ ๆ หลวงปู่ก็เหมือนตาบอดคลำช้าง ( พุทธธรรม ) คลำไปเรื่อย สำคัญที่สุดคือต้อง ขยันคลำ ถ้าคนตาบอดคลำช้างแล้ว แค่ไปจับงวงก็บอกว่านี่คือช้าง เป็นอันจบเห่กัน หมดสิทธิ์บรรลุธรรม หากรู้ตัวว่า ตัวเองตาบอด ( ยังตกอยู่ใน สามไม่รู้ คือ ไม่รู้ว่าตัวเอง จะตายเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าตัวเองจะบรรลุธรรมเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าแนวทางที่ปฏิบัติอยู่จะทำ ให้บรรลุธรรมจริงหรือไม่ ) ผู้นั้นต้องมีความขยัน ต้องคลำให้มันตลอด ต้องคลำมันทั้งหู ทั้งหาง ทั้งตัว แล้วเราจะรู้ว่าช้างรูปร่างอย่างไรอย่าเป็นเหมือนคนที่จับแค่งวงแล้วเลิกคลำ โดยบอกว่ารู้แล้ว พอแล้วแค่นี้ไม่ได้ นั่นไม่ใช่ช้าง ! เพราะฉะนั้น อย่าไปท้อยถอย บุคคล ล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร บุคคลมีความสำเร็จได้เพราะความเพียร
 
คุณเครื่องยังให้สำเร็จ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่ามีทั้งหมดอยู่ ๔ อย่าง อย่างแรกคือ ฉันทะ ต้องสร้างความรัก ความพอใจที่จะทำ ในที่นี้หลวงปู่อยากใช้คำว่า " ศรัทธา " ทำให้เกิดศรัทธา เชื่อมั่นพร้อมที่จะทำ แล้วก็ทำมันบ่อย ๆ อย่างที่สองคือ วิริยะ ทำด้วยความเพียร ทำประจำ ทำเรื่อย ๆ ทำไม่ปล่อย อย่างที่สามคือ จิตตะมีใจจดจ่อ ที่หลวงปู่เรียกว่า " จอจ่อ จริงจัง จับจ้อง และตั้งใจ " อย่างที่สี่คือ วิมังสา มีปัญญาใคร่ครวญพิจารณาว่าทำอย่างนี้ถูกมั้ย วิธีนี้ ใช้ได้มั้ย วิธีนี้ทำมานานแล้วไม่ได้ผลก็เปลี่ยนวิธีใหม่ เหล่านี้เป็นต้น ถ้ารู้จักทำตามหลัก อิทธิบาท ๔ นี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า แม้นปรารถนาจะเป็นจอมจักรพรรดิ์ สักวันก็ได้เป็น แม้ปรารถนาจะเป็นธรรมราชา คือ เป็นพระศาสดาก็ได้เป็น


ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 08:13:47 am »



 
การเรียนรู้มหาสติปัฏฐานเป็นหัวใจของพุทธศาสนา
 
ในการเจริญปฏิบัติธรรม เราต้องระวังเรื่องการผิดศีล การผิดศีลด้วยกาย ด้วยวาจา ยังไม่ร้าย แรงเท่ากับการผิดศีลด้วยใจ เพราะมันสร้างสม สะสม ทำให้เกิดกระบวนการต่อเนื่องไม่จบสิ้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรา ระวังรักษาใจ จิตนี้มหัศจรรย์นัก การฝึกจิต ถ้าเริ่มต้นจากส่วน ที่เป็นมลภาวะของจิต มันก็จะกลายเป็นมลภาวะตลอดไป แม้ว่าในขณะจิตหนึ่ง อาจจะเกิด อกุศลขึ้นในดวงจิตบ้าง หรือจิตดวงต่อมาอาจจะเป็นอกุศลบ้าง แต่ถ้าเรารู้เท่าทันมัน จิตดวงที่เป็นอกุศลเราก็ไม่จับมันไว้ จิตดวงที่เป็นกุศลก็เข้าไปเรียนรู้ และศึกษามัน อย่างนี้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นการเรียนจิตถึงจิต รู้ภายในจิตของตนว่า จิตนี้มันมีจิตซ้อนจิต สารพัดจิตประกอบกันอยู่เป็นกุศลจิต เป็นอกุศลจิต เป็นโลภมูลจิต เป็นอโลภมูลจิต เป็น พยาบาทจิต เป็นอพยาบาทจิต มันสัมพันธ์ สัมผัสซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมากมายหมาศาล และมีทั้งหยาบ ปานกลาง ละเอียด สุขุม และปราณีต กระบวนการของจิตมีอานุภาพมหาศาล ถ้ารู้จักฝึกให้ดีมันจะยังประโยชน์สุขมาให้สังคมและตัวเราเอง
 
หลวงปู่อยกจะย้ำว่า การเรียนรู้มหาสติปัฏฐานเป็นสูตรที่ยิ่งใหญ่และเป็นหัวใจสำคัญของพุทธศาสน สูตรใด ๆ ก็ไม่เทียบเท่าสูตรมหาสติปัฏฐาน แม้แต่ธัมมจักกัปปวัตนสูตรก็ไม่มี อานุภาพเทียมเท่ามหาสติปัฏฐานสูตรนี้ พระศาสดาจึงเรียกว่า ทางนี้เป็นหนทางแห่งบุคคล ผู้เป็นเอกและเป็นทางเดียวที่จะเข้าไปสู่เป้าหมายแห่งชีวิตสุงสุดไม่มีทางอื่น

มหาสติปัฏฐานนี้ก็มาจากกระบวนการสัมมาสติ ถ้ามีสัมมาสติ สัมมาอื่น ๆ ได้แก่ สัมมาสมาธิ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาทิฐิ ก็ปรากฏตามมาด้วย หลวงปู่อยากจะบอกว่า สติปัฏฐาน ไม่ใช่ของพุทธ ไม่ใช่ของคริสต์ ไม่ใช่ของอิสลาม ไม่ใช่ของขงจื้อ ไม่ใช่ของชินโต หรือ ไม่ใช่ของใครที่ใหน แต่มันเป็นของโลก ของจักรวาล ของมนุษยชาติ ที่ทุกคนมีสิจน์ที่จะเรียนรู้ มัน ต่างกันตรงที่ว่า พระศาสดาทรงเป็นผู้ที่มีปัญญาอันเลิศ ทรงเห็นถึงขุมทรัพย์อันประเสริฐ นี้ก่อนใครในสองพันกว่าปีก่อน พระองค์จึงยกขึ้นมาและใช้สอนต่อ ๆ กันมา


หลวงปู่รู้ว่า สิ่งที่หลวงปู่เรียน สิ่งที่หลวงปู่ศึกษาและสิ่งที่หลวงปู่ปฏิบัตินั้น มันเป็นการเรียน ศึกษาและปฏิบัติ เพื่อทำให้สรรพสัตว์พ้นจากทุกข์ภัย ไม่ใช่เพื่อตามสรรพสัตว์ เพราะฉะนั้น พวกเธอจงฝึกเข้าไว้บ่อย ๆ อย่าปล่อยเวลาให่เสียไปกับสิ่งไร้ค่า จงเริ่มจากการฝึกตัวเองก่อน การมีสติช่วยตัวเองและช่วยโลกได้อย่างไร ? ถ้าหากเรามีสติอันยืนหยัดตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่สั่นคลอน เหมือนดั่งขุนเขาที่ยืนตระหง่านต้านทานกำลังลมและพายุร้ายได้อย่างไม่โยกคลอน มีหรือใครจะไม่ยอมทำตาม มีหรือใครจะไม่ยอมรับ ?
 
พวกเธอจงเรียนรู้ให้มาก พยายามเรียนรู้ได้ด้วยตนเองไม่ต้องอาศัยคนอื่น พวกเธอจงพยายาม ศึกษาหาความรู้ ครูสอนมาหนึ่ง เราต้องขนขวายหาได้สิบ นั่นจึงเรียกว่าคุณสมบัติของผู้นำ พระโพธิสัตว์ต้องเป็นผู้นำคนอื่น การเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นเครื่องยังมิให้กิเลสกำเริบ พระโพธิสัตว์ก็ต้องมีวิปัสสนา ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่มีวิปัสสนา ศีลของพระโพธิสัตว์ก็รักษา ไม่ได้ เพราะพระโพธิสัตว์ต้องมีคุณสมบัติรักษาศีล และมีสมาธิจิตอันเลิศ เรียกว่าฌานสมาบัติ เพื่อจะใช้เป็นเครื่องปลดปล่อยสรรพสัตว์

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 08:13:03 am »




จงฝึกมหาสติเพื่อช่วยโลก
 
หลวงปู่อยากบอกว่า ถ้าหากหลวงปู่เป็นคนมีความคิดอย่างพวกเธอ และมีครูสอนอย่างพวก เธอ ป่านนี้ พวกเธอคงไม่ได้เห็นหน้าหลวงปู่หรอก เพราะถ้าหากหลวงปู่คิดว่า นิพพานอัน แปลว่าดับและเย็นเป็นที่หวังของหลวงปู่จริง ๆ หลวงปู่คงไม่ต้องมานั่งลำบากทนสอนผู้คน อยู่อย่างนี้หรอก แต่เพราะพระโพธิสัตว์นั้นเขาจะไม่เอาวิถีชีวิตของเขาไปสู่เป้าหมายนิพพาน ก่อนที่จะโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ เพราะเมื่อใดที่อยู่ในวิถีของพระนิพพานแล้ว จะไม่สามารถ เป็นพระโพธิสัตว์ได้ เพราะจะหมดสิทธิ์ในการกลับมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จะต้องมีดุลยพินิจและมีความสามารถในการเรียนรู้ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้ารู้ แล้วก็ปฏิบัติให้ได้ เป็นครูสอนคนอื่นได้ต้อง รู้จริง รู้แจ้ง มิใช่แค่รู้จำเฉย ๆ และเขาจะไม่ทำ ตัวเองให้หมดจากอาสวะกิเลส เพราะเขาจะต้องกลับมาเกิดเพื่อปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้พ้นภัย
 
เพราะแค่พระโพธิสัตว์เดินเข้าสู่เป้าหมายของวิถีแห่งพระนิพพาน เพียงแค่ก้าวเดียว คือ พระโสดาบันก็หมดสิทธิ์จะมาเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว พวกเธอมีปัญญาพอที่สามารถรับรู้ สิ่งต่าง ๆ ที่จะอบรมสั่งสอน หรือถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ได้เยอะแยะ การณ์ข้างหน้า สังคมและโลกกำลังสับสน มันจะเกิดกลียุค ถ้าหากพวกเธอเรียนรู้มหาสติอย่างจริง ๆ จัง ๆ มหาสติปัฏฐานที่พวกเธอมีและกำลังฝึกอยู่มันจะช่วยโลกได้ โดยการถ่ายทอดออกไปสู่สังคม ข้างนอกให้มีสติยั้งคิด จะทำ-พูด -คิด ก็ต้องไม่ผิดพลาด ความรัก-โลภ-โกรธ-หลง ทั้งหลาย ที่กำลังเร่าร้อนอยู่ในสังคมมันก็จะลดน้อยถดถอยลงไป ความยื้อแย่ง อวดดีอวดฉลาด แก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบ โหดร้าย อาฆาต พยาบาท ฆ่าฟันกัน มันก็จะลดน้อยถอย ลงไป เพราะฉะนั้น การฝึกมหาสติจึงเป็นสูตรที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้พ้น จากทุกข์ภัยได้ ถ้าหากเราฝึกมันอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำมันเฉย ๆ
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 08:12:21 am »



 

การพิจารณาโครงกระดูกในท่ายืน

 
ทั้งหมดยืนขึ้น ทำการสำรวจโครงสร้างภายในกาย การยืนก็ต้องมีสติ โดยต้องระลึกรู้ว่า กายเรา โครงสร้างเราเป็นยังไง เท้าเราแตะพื้นครบมั้ย ฝ่าเท้าแนบพื้นมั้ย นิ้วเท้าชี้ตรงไป ข้างหน้าหมดทุกนิ้วหรือเปล่า ถ้าไม่ก็ขยับให้ตรง เดี๋ยวหลวงปู่จะสอนให้ ทะลวงจุดกลาง กระหม่อมในท่ายืน อันเป็นพื้นฐานของวิชาลม ๗ ฐาน
 
เริ่มไล่ความรู้สึกไปตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา โดยเริ่มจากนิ้วเท้าก่อน ให้มีสติอยู่ที่กระดูกนิ้วเท้า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ข้อเท้า ไล่ขึ้นมาเรื่อย จนถึงกระดูกขาท่อนล่าง ว่ากระดูกขาท่อนล่างมีสภาพ อย่างไร ไล่ให้เห็นกระดูกนะ เนื้อหนังไม่เอา กระดูกขาท่อนล่างมีสองท่อน เป็นเหมือน ตะเกียบใหญ่อัน เล็กอัน อยู่คู่กันมีเอ็นร้อยรัดผูกไว้กับข้อเท้า จากนั้นขึ้นมาพิจารณากระดูก หัวเข่าทั้งสองข้าง มีสะบ้าเป็นกระดูกท่อนหนึ่งมีสัณฐานเหมือนเบี้ย ติดอยู่ที่หัวเข่าด้านบน ข้อต่อระหว่างสองข้าง แล้วมีเส้นเอ็นแผ่นใหญ่ยึดระหว่างข้างล่างกับข้างบนช่วงเข่า จาก นั้นดูขึ้นไปจนถึงกระดูกต้นขาด้านบนทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นกระดูกท่อนเดียวจนถึงก้นกบ ซึ่ง เป็นแผ่นกระดูกคล้ายกระดองเต่า แล้วมีหางเป็นติ่งงอกออกมาหน่อยนึง ....
 
จากกระดูกก้นกบก็ไล่ขึ้นมาที่กระดูกสันหลัง จับความรู้สึกจากกระดูกสันหลังข้อที่ ๑ ไล่ขึ้น ไปทีละข้อ จากข้อที่ ๒ ... ข้อที่ ๓ ...ข้อที่ ๔ ....ข้อที่ ๕ ... ข้อที่ ๖ พอข้อที่ ๗ ให้ดูกระดูกซี่โครง ซึ่งมี ๑๒ ท่อนพร้อมกันไปด้วย ... ข้อที ๘ ... ข้อที่ ๙ ... ข้อที่ ๑o ... ข้อที่ ๑๑ ...ข้อที่ ๑๒ ... ข้อที่ ๑๓ ... ข้อที่ ๑๔ ... ข้อที่ ๑๕ ... ข้อที่ ๑๖ ... และข้อที่ ๑๗ จนถึงบ่า ... บ่านี้ก็มีกระดูกสะบัก ไหปลาร้า หัวไหล่ ... ตอนที่ยังไม่ขึ้นไปที่ลำคอ ... บ่าหรือกระดูกไหล่เป็นเหมือนไม้คาน โดยมีกระดูกสันหลังเป็นตัวรับน้ำหนัก ไม้คานข้างซ้ายก็เป็นแขนซ้าย ไม้คานข้างขวาก็เป็น แขนขวาถ่วงไว้ ทำให้ไม้คานเที่ยงตรง ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ...

ทีนี้ก็ดูไปที่กระดูกหัวไหล่ต่อกับท่อนแขนด้านบน ไหลเรื่อยลงไปที่ข้อศอก ไล่ไปที่กระดูก แขนด้านล่างทั้งสองข้าง .... ตามลงไปจนถึงกระดูกข้อมือทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นกระดูกชิ้นเล็ก ๆ ติดกันประมาณ ๘ ชิ้นต่อข้าง ... กระดูกฝ่ามือทั้งสองข้าง ... กระดูกนิ้วโป้งทั้ง ๒ ข้าง ไล่ไป ทีละนิ้ว นิ้วชี้ ... นิ้วกลาง .. นิ้วนาง ...นิ้วก้อย ....พอถึงตรงนี้เราจะรู้สึกว่าเหมือนกับมีลมอุ่น ๆ ที่ขุ่นมัวไหลออกจากปลายนิ้ว ถ่ายเทของเสียออกไป ปราณที่เสีย ๆ จะโดนไหลทิ้งไป จาก นั้นให้จับความรู้สึกที่ปลายนิ้วมือทั้งสิบใหม่ คราวนี้ดูดเอาปราณที่ดีกลับเข้ามา คนที่ทำวิธี นี้ได้ดีแล้ว เขาจะสามารถหายใจทางผิวหนังได้ เพราะปลายนิ้วทั้งสิบนี้จะดูดเอาลมบริสุทธิ์ เข้ามา ผิวหนังมีลมเข้าลมออกได้ ... จากนั้นไล่กลับไปทีละข้อ จนถึงฝ่ามือ ถึงข้อมือ ถึง กระดูกแขนด้านล่าง ถึงกระดูกแขนท่อนบน เอาละ สำรวมให้ดี ...... ไล่จิตมาถึงหัวไหล่ ... จากหัวไหล่มา ถึงกระดูกต้นคอ ...
 
เมื่อกี้เราพักเอาไว้ ไม่ขึ้นไปที่หัว ลองจับความรู้สึก สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พักเอาไว้ที่จุดเดิม ตรงต้นคอ แล้วก็พ่นลมออกยาว ๆ หายใจเป็นปกติ ... จงทำความรู้สึกราวกับว่า ไออุ่นของเรา แล่นขึ้นจากฝ่าเท้าสองข้างจนถึงขา ก้นกบ กระดูกสันหลัง แล้วมาประจวบกับไออุ่น ที่เกิดจากฝ่ามือทั้งสองข้าง แล้วไปหยุดที่หัวไหล่ และต้นคอ พลังปราณทั้ง ๓ สายนี้ รวมกันเป็นหนึ่ง แล้วพุ่งเข้าไปที่กระดูกต้นคอข้อที่หนึ่ง ... ข้อที่สอง ... ข้อที่สาม ... ข้อที่สี่ ...ข้อที่ห้า ... ข้อที่หก ... ข้อที่เจ็ด แล้วไปที่กระโหลกศีรษะ ...

กลางกระหม่อม เอาจิตอยู่ที่นี่ สักพัก แล้วเราจะรู้สึกเหมือนกับมีไออุ่นหลุดรอดออกไปนอกกะโหลกศีรษะ ....สูดลมหายใจเข้าแล้วก็พ่นลมออกยาว ๆ
ทีนี้มาจับโครงสร้างของด้านหน้า หน้าผาก โดยใช้ความรู้สึกจับจากหน้าผาก ไปที่โหนกคิ้ว กระบอกตา กระดูกจมูก โหนกแก้ม ฟันบน ฟันล่าง คาง กระดูกกราม กกหูซ้ายขวา แล้วก็ ขึ้นมารวมที่จุดจอมประสาทตรงกลางกระหม่อม ... ลืมตาได้ สงบมั้ย ทำอย่างนี้แหละ ค่อย ๆ ทำไป ทำเรื่อย ๆ มีโอกาสทำที่ใหนก็ทำไป ฝึกตัวรู้เอาไว้บ่อย ๆ แล้วเราจะฉลาด สมองเรา จะผ่องใส คิดอะไรก็ออก ทำอะไรก็เบาสบาย ผ่อนคลาย ก้าวไกล

จงหมั่นพิจารณากระดูกแบบนี้ เห็นสังขารตามความเป็นจริงของขันธ์ทั้งปวง มันจะได้ไม่มีความปรุงแต่ง จิตก็จะมีเสรีภาพ มีความปล่อยวาง เบาสบาย โปร่งโล่งผ่อนคลายจากการปรุง ไม่กระเพื่อมไปตามกระบวนการปรุงแต่ง ของจิต

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 08:09:29 am »




การฝึกมหาสติต้องเป็นสัมมาสติ
 
จิตนี้ศักดิ์สิทธิ์และมหัศจรรย์ยิ่งนัก ในกระบวนของจิตที่ฝึกนี้ หลวงปู่อยากจะบอกว่า บางครั้ง การที่เราไปเคร่งเครียด คร่ำเคร่งกับมัน ก็จะไม่ได้อะไรหรือไม่รู้อะไร ทั้ง ๆ ที่ทำทั้งวัน แต่ถ้าผ่อนคลายเบาสบายเสียบ้าง มันจะมี " สติ "ขึ้นมาในฉับพลันทันที จริง ๆ แล้วตอนที่คร่ำเคร่ง คร่ำเครียดมันก็มีสติเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่สัมมาสติ มันเป็น มิจฉาสติ คือ เป็นสติที่โดนกดทับ เป็นสติที่โดนบังคับให้อยู่ ขณะตัวสัมมาสติเป็นสติ ที่ไม่ได้กดทับ ไม่ได้บังคับให้อยู่ คือไม่มีกระบวนการปรุงจิต ไม่มีความอยากที่จะมี อยากดี อยากเป็น อยากได้ อยากทำอยู่ในจิตนั้น อยู่ในสตินั้น แต่สติที่โดนกดทับ สติที่พยายามบังคับให้คร่ำเคร่ง คร่ำเครียดกับมันนี่ มันประกอบไปด้วยความอยากมี อยากดี อยากได้ ซึ่งทำให้ตายก็ไม่ได้อะไร เพราะฉะนั้น การฝึกจิตนี่ต้องฉลาด ต้องรู้ เท่าทันสภาวธรรมและอารมณ์ของมัน อย่าฝึกแบบคนโง่ คือ เขาทำก็ทำตามเขาไป
 
เราจึงต้องทำให้จิตมันมีงานทำ และเป็นสัมมาสติ อันเป็นจิตที่เป็นกุศล วิธีฝึกสติมันมี สารพัดวิธี มีทุกรูปแบบโดยไม่จำเป็นต้องออยู่กับที่ ไม่จำเป็นต้องนั่งตัวตรงหลับตาแข็งทื่อ มหาสติมันมีในทุกอิริยาบถ ครูและอาจารย์ที่ดีเขาจะไม่สอนศิษย์ให้อยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถ เดียว คนที่สอนให้ศิษย์อยู่แค่อิริยาบถใดอิริยาบถเดียวนั่นไม่ใช่ครูที่ดี ไม่ใช่อาจารย์ที่ประเสริฐ เพราะดันไปคิดว่า อิริยาบถจะกำกับสติ แต่ไม่ใช่หรอก สติต้องกำกับอิริยาบถต่างหาก เมื่อเกิดมหาสติแล้วมันจะมีอยู่ในทุก ๆ อิริยาบถ เมื่อจะทำให้สติเกิด ก็ต้องทำให้มันปรากฏ ในทุก ๆ อิริยาบถไม่ใช่เฉพาะในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง
 
การที่พระศาสดาทรงแสดง บอก ชี้แจงให้เราว่า จงตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น เฉพาะหน้า นั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะตอนที่ฝึกนั่งสมาธิเท่านั้น เพราะในมหาสติปัฏฐานสูตร โดยเฉพาะในข้อ กายานุปัสนาสติปัฏฐาน ยังกล่าวถึง อิริยาบถบรรพ ซึ่งประกอบไปด้วย กิน ยืน นั่ง เดิน นอน ไม่ใช่แค่นั่งอย่างเดียว และในสัมปชัญญบรรพก็ยังกล่าวถึงอิริยาบถย่อย ๆ อีกมากมาย เช่น คู้ เหยียด พูด หันซ้าย หันขวา ลุกขึ้น นั่งลงเรียกว่าอิริยาบถย่อย มีสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม เป็นมหาสติ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 08:08:43 am »


 
การฝึกแบบกายรวมใจ คือการฝึกการรับรู้สภาพของการนั่ง ที่เรียกว่า อิริยาบถบรพ หรือ การฝึกการรู้โครงสร้างของกายแต่ละชิ้นแต่ละส่วน หรือการฝึกระลึกรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต เช่น เวทนา สุข ทุกข์ ชอบ ไม่ชอบ ยอมรับหรือปฏิเสธ สรุปก็คือ ฝึกยังไงก็ได้ให้ใจมันอยู่ ในกายนี้ อย่าให้มันหลุดออกไปจากกายเด็ดขาด
 
พวกเธอมาปฏิบัติธรรมในป่าในเขาได้สามวันแล้ว หลวงปู่อยากถามพวกเธอว่า จิตของ พวกเธอได้โลดแล่นออกไปจากป่าจากเขานี้บ้างหรือเปล่า ? สำหรับผู้ที่เพิ่งบวชมาไม่นาน และบารมีภูมิธรรมยังไม่แก่กล้า ป่าเขาลูกนี้และธรรมชาติรอบกายย่อมไม่มีย่อมไม่มีความ ศักดิ์สิทธิ์ พอที่จะไปกักขังสำนึกและจิตวิญญาณของพวกเธอไม่ให้ปรุงแต่งได้
 
ธรรมชาติของจิตนั้นมันไวยิ่งกว่าแสงและไปได้รอบทิศ แม้กายจะอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้น มหาสติปัฏฐานจึงมีเรื่อง ๒ เรื่องที่ต้องให้ทำคือกายกับจิต ถ้าพ้นกายกับจิตไม่ใช่มหาสติปัฏฐาน เรื่องที่เราจะต้องฝึก ต้องดู ต้องรู้ ต้องเห็น ต้องเข้าใจและทำให้เป็น คือ การรู้ แค่กายกับจิตเท่านั้น ถ้ารู้เกินกว่ากายกับจิตนี้ไม่ใช่มหาสติปัฏฐาน
 
ความหมายของมหาสติปัฏฐาน คือ การฝึกดูกายและการฝึกดูจิต ในขณะที่กำลังฝึกอยู่ นั้นมันย่อมเกิดอาการเบื่อ เหนื่อย หน่าย เมื่อย เซ็้ง เพราะเราไม่รู้ว่า การดูนั้นคืออะไร แต่หลวงปู่อยากจะบอกว่า สิ่งที่เราต้องตั้งอกตั้งใจที่เฝ้าดูคือ ดูความเป็นไปของกายนี้ ความเป็นไปของอารมณ์ภายในตัวเรานี้ นี่แหละคือการดูกายกับการดูจิต แล้วจะดูกาย ดูจิตอย่างไร ? หลวงปู่อยากบอกว่าให้เอา " สติ " ดูมัน ใช้สติดูกาย ใช้สติดูจิต สตินี้ ต้องฝึก การจะทำให้เกิดสติก็คือ การฝึก และสติที่ฝึกด้วยวิธีการฝึกสติก็คือ การระลึก รู้ลมหายใจก็ได้ การดูโครงกระดูกของตัวเองก็ได้ คือทำยังไงก็ได้ให้อารมณ์ทั้งปวงมัน รวมเป็นหนึ่ง ให้สติมันจับอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง หรือในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง ขณะที่นั่ง ยืน เดิน นอน เคลื่อนไหว ทำ พูด หรือคิด
 
เราอาจจะไม่รู้ชัด ไม่เข้าใจกระจ่างว่ามันกำลังจะเป็นอย่างไร มีคำตอบแบบใหน แต่ตราบใด ที่ยังไม่ปรากฏอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น แสดงว่าเรากำลังจะมีสติ ในขณะที่เรากำลังรับรู้ลมหาย ใจเข้าออกก็ตาม หรือรู้โครงกระดูกก็ตาม หรือรู้ความเคลื่อนไหวของกายนี้ก็ตาม ตอนแรก ๆ มันอาจไม่รู้สึกอะไรเลย มันโหวงเหวงเบา ๆ อึมครึม คลุมเครือ ก็อย่าเพิ่งหยุดฝึกสติมัน เพราะเรายังไม่รู้จักหน้าตาแท้ ๆ ของสติ ต้องทำมันต่อไปจนกว่ามันจะเกิดความรู้สึกว่า รู้ชัดว่า รู้แจ้งว่า เมื่อใดที่ไม่ปรากฏอารมณ์ใด ๆ ความคิดไม่แตกแยก กระบวนการทางความ คิดไม่เกิด มีแต่ความรู้เฉพาะหน้าปรากฏขึ้นเท่านั้น นี่แหละคือ การที่เราสามารถจับกระ บวนการของสติให้รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนได หลวงปู่ได้แต่หวังว่า เมื่อไหร่ภูมิธรรม และบารมีธรรมของพวกเธอจะแก่กล้าสามารถที่จะต่อสู้และยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ฝึกสอน ตัวเองได้ อบรมตัวเองได้ และบอกตัวเองได้ว่า " ขณะนี้เรากำลังจะทำอะไรอยู่ "


 
เมื่อคืนตอนตีสาม หลวงปู่ลุกขึ้นมาเจริญสติ ขณะที่เจริญสติ หลวงปู่ได้บทโศลก ๒ บท เอามาฝากพวกเธอดังนี้
 
( ๑ ) ... ลูกรัก ขณะที่พ่อเจริญสติอยู่นั้น ได้เกิดคำถามขึ้นในจิตพ่อว่า เมื่อจิตเกิดดับมี ธรรมชาติรู้อยู่ในตัวแล้วเช่นนี้ ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ และอุปาทานเกิดขึ้นมาจาก ใหน ? แล้วก็เกิดคำตอบขึ้นมาในฉับพลันว่า เพราะความไม่รู้ชัด ไม่รู้แจ้ง จึงเกิดความ ปรุงในอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จนทำให้เป็นเหตุแห่งกรรม และชาติภพ เพราะฉะนั้น ถ้าจะดับก็ต้องดับที่ความไม่รู้ชัด ไม่รู้แแจ้งแล้วสรรพสิ่ง ก็จะไม่เกิดไม่ปรากฏ ....
 
( ๒ ) ... ลูกรัก ธรรมชาติของจิตนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก เหตุเพราะมีลักษณะรู้ที่หยาบ ปานกลาง ละเอียด สุขุม และปราณีต ในที่นี้คงจะเทียบวัดกันได้ว่า ใครมีจิตอันหยาบ ใครมีจิตอัน ปานกลาง ใครมีจิตละเอียด ใครมีจิตสุขุม และใครมีจิตประณีต แต่ละลักษณะก็มีเครื่อง ห่อหุ้มจนทำให้การรับรู้ต่างกัน เพราะฉะนั้น กรรมฐานแต่ละกองจึงเป็นเครื่องฟอกจิต ขัดจิตได้ ต่างกันอยู่ที่ว่า จิตในขณะนั้น หยาบ ปานกลาง ละเอียด สุขุม หรือ ประณีต ปานใด เพราะจิตแต่ละลักษณะจะซึมซับหรือเกิดวิชชาและอวิชชาได้แตกต่างกัน การเจริญสติเพื่อให้เกิดวิชชาปัญญาสุดยอดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง จิตทั้ง ๕ ลักษณะมีอุปมา ดังสาวน้อยที่งดงามสะคราญตา แต่งตัวนุ่งห่มอาภรณ์เต็มสูตร แล้วเดินนวยนาดยืนอยู่ เฉพาะหน้า บุรุษผู้มีความฉลาดอันเป็นอุปมาของวิชชาปัญญารู้แจ้ง บุรุษนั้นค่อย ๆ เปลื้อง อาภรณ์ชั้นนอกของสาวน้อยนั้นออกด้วยความพินิจพิเคราะห์เพื่อจะหาความงดงามอันแท้จริง ของสาวน้อยนั้นให้พบ เปรียบได้ดังจิตหยาบที่มีตัวรู้หยาบ
 
บุรุษผู้ฉลาดนั้น หลังจากเปลื้องอาภรณ์ชั้นนอกของสาวน้อยออกแล้ว ก็เปลื้องอาภรณ์ ชั้นในของสาวน้อยนั้นออกด้วยความพิจารณาในปัญญารู้แจ้ง เปรียบได้ดังจิตที่ปานกลาง บุรุษผู้ฉลาดนั้น หลังจากเปลื้องชั้นในของสาวน้อยนั้นแล้วก็ใช้กำลังที่มีถลกหนังและเนื้อ ของสาวน้อยนั้นออก เพื่อจะค้นหาความงามอันแท้จริงของสาวน้อยนั้น เปรียบได้ดังจิต ที่มีตัวรู้ละเอียดขึ้น
 
บุรุษที่ฉลาดและมีปัญญา เมื่อถลกหนังและเนื้อของสาวน้อยนั้นออกแล้วจนเหลือแต่กระดูก ก็ทุบกระดูกจนป่นเพื่อค้นหาความงามที่แท้จริงของสาวน้อยนั้น เปรียบได้ดังจิตสุขุม เมื่อ กระดูกนั้นป่นจนละเอียดยิบแล้ว บุรุษผู้ฉลาดก็ทำการค้นหาความงามอันบริสุทธิ์แท้จริงของ สาวน้อยในกองกระดูกที่ป่นนั้น จนกระทั่งพบว่า ความงามที่สูงสุดยอดของสาวน้อย ไม่มีจริง ๆ เปรียบได้ดังจิตที่ประณีต ...
 
ความหมายของจิตแต่ละดวงที่เกิดดับ และอวิชชาที่ครอบงำสภาวธรรมที่ปรากฏ เราไม่ สามารถรู้ชัด การที่มนุษย์ดูรูปสวยเพียงแค่รูปและเสื้อผ้า ถือว่า มนุษย์ผู้นั้นมีจิตระดับ หยาบ ผู้มีปัญญาจึงต้องมองทะลุเนื้อหนังมังสา มองทะลุผ้าผ่อนท่อนสไบจนกระทั่งเข้าไปถึงไขของกระดูก หลวงปู่เป็นห่วงพวกเธอ ก็เลยเขียนบทโศลกชิ้นที่ ๒ นี้ขึ้นมาตอน ตีสามกว่า ๆ ขอให้พวกเธอจงนำบทโศลกชิ้นนี้ไปไตร่ตรองให้ดี เพราะมันตรงกับขณะ ปัจจุบันธรรมของพวกเธออยู่พอดี
 
ต่อไปนี้ ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป พวกเธอทุกคนต้องไปทำรายงานโดยจดมาให้หลวงปู่ว่า แต่ละชั่วโมง ทุกคนคิดเรื่องอะไรบ้าง แล้วออกมาอ่านข้างหน้าในเวลาประชุม จงฝึกเมื่อรู้ตัวว่าเราผิด เพราะความรู้ตัวนั้นเป็นสติชนิดหนึ่ง ให้พวกเธอจดบันทึกมาว่า คิด เรื่องอะไรบ้าง อย่าเข้าใจผิดว่า หลวงปู่บอกให้พวกเธอห้ามคิดนะ เพราะการเจริญสติ ไม่ใช่การไม่คิดอะไร แต่จะต้องเป็นการคิดเรื่องอะไรที่ตัวเราควบคุมมันได้ เป็นนายมัน ถูก และคอนโทรลมันสนิท แต่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เตลิดเปิดเปิงฟุ้งซ่านไปที่ไหนก็ไม่รู้ หลวงปู่เชื่อว่าไม่มีครูคนใหนในแผ่นดินนี้มาสอนพวกเธออย่างนี้หรอก เพราะคงไม่มีครู คนใหนมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชพวกเธออย่างนี้หรอก เขาคงได้แต่บอก ทำไม่ได้ก็เป็นเรื่อง ของเธอเอง ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน โปรดอย่าให้ความหวังดีของหลวงปู่ กลายเป็นหมัน เพราะการไม่รู้จักเตือนตัวเองของพวกเธอเลย
 
วิธีฝึกสตินั้น มีสารพัดวิธีเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นพัน ถ้าหากรู้ตัวว่า จิตยังหยาบอยู่ ก็จงหาสรรพวิทยาทั้งหลายเอามาฝึกให้จิตมันละเอียดลง โดยเราต้องรู้ตัวว่าจิตเราอยู่ ขั้นใหนแล้วใน ๕ ขั้น คือ หยาบ ปานกลาง ละเอียด สุขุม และประณีต ทั้ง ๕ ขั้นนี้ เป็นคุณสมบัติของผู้ฝึกจิต พวกเธอต้องรู้สภาวะของตัวเองแล้วก็เทียบเอา ถ้าเรายังเห็น ของสวยเป็นของสวยอยู่ ยังมองไม่ทะลุเนื้อหนัง แสดงว่า เรายังหยาบ ถ้ายังมองเห็น เสื้อผ้าอาภรณ์และสีต่าง ๆ เป็นของสง่างามอยู่ ก็แสดงว่าจิตเรายังปานกลาง ถ้าเรายัง มองเห็นความจริงที่ปรากฏไม่เป็นตามความเป็นจริง ยังปรุงแต่งไปด้วยอารมณ์ความรัก ความใคร่ความชอบใจ แสดงว่าเรายังเห็นเพียงแค่ปานกลางแก่ ๆ กำลังขยับเข้าสู่ความละเอียด
 
 
จนกว่าจะเห็นความจริงอย่างแท้จริง ก็ต้องถลกหนังถลกเนื้อออก แล้วเราก็จะรู้ตัวเรา เองว่า วิถีทางของจิตนั้น มันจะต้องสุขุมลง ประณีตลง แล้วอย่าหยุดอยู่แค่นั้น ต้องมอง เลยไป มองให้ลึกลงไปจนกระทั่งถึงไขกระดูกของมัน แล้วเมื่อพ้นไขกระดูกนั้นไปแล้ว เราก็จะรู้ได้เองว่า มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ก็ดับไป สุดท้าย มันก็จบ ชาติก็สิ้น ชราก็ไม่พบ ตัณหาอุปาทาน ทั้งปวงเราก็ชนะมี อำนาจครอบงำเหนือมันได้ ชีวิตเราก็มีเสรีภาพ มีอิสระ และเป็นไท กลางคืน หลวงปู่ อยากเดินตะโกนไปทั่วขุนเขาแล้วร้องประกาศว่า " อะโห พุทโธ อะโห ธัมโม อะโห สังโฆ พระพุทธเจ้าช่างประเสริฐดีเลิศพร้อม พระธรรมช่างประเสริฐดีเลิศพร้อม พระสงฆ์ช่างประเสริฐดีเลิศพร้อม " ด้วยความรู้สึกปีติสุขในพระธรรมที่หลวงปู่ได้พบพา
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 08:07:00 am »





ต่อไปเป็นคำสอนเรื่องมหาสติปัฏฐานของหลวงปู่ล้วน ๆ ขณะที่ท่านพาคณะลูกศิษย์ ที่มาบวชกับท่าน ไปฝึกจิตใจในป่าเขาท่ามกลางธรรมชาติ จึงเป็นคำสอนที่มีชีวิตชีวามาก .....
 
การได้มาซึมซับบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติรอบ ๆ ข้าง ความสงบของป่า ความเปลี่ยนแปลง ของอากาศรอบ ๆ ตัวเรา และความเย็นของลำธาร จะทำให้จิตใจมันปล่อยวางจาก รัก โลภ โกรธ หลง ลงไปได้บ้าง ถ้าหากเรารู้จักที่จะซึมซับดูดดื่มกับสิ่งที่อยู่รอบ ๆ กายเราที่เป็น ธรรมชาติ มันเป็นยารักษาโรคได้ชนิดหนึ่ง โรคโลภ โรคโกรธ โรคหลง ที่มันอุบัติขึ้นมา ในกายมนุษย์ มันแก้ไขได้โดยธรรมชาติบำบัด ...
 
หลวงปู่อยากให้พวกเธอลองสำรวจดูอารมณ์จิตตัวเอง ใน " มหาสติปัฏฐานสูตร " มีข้อ ว่าด้วย กาย เวทนา จิต และธรรม การสำรวจดูอารมณ์จิตตัวเองอยู่ในข้อคำว่า " จิต " ว่า สภาพสภาวะอะไรที่อุบัติขึ้นในจิตตัวเองในเวลานี้ ในขณะที่เรากำลังมาอยู่ในอ้อมกอด ของธรรมชาติ และกลิ่นอายของน้ำตก ภูเขา ป่าไม้ รับรู้ถึงสภาพสภาวะที่เกิดขึ้นในจิตว่า มีอารมณ์ใดปรากฏบ้าง สงบตั้งมั่นหรือไม่ หรือว่าโยกโคลง ทะยานอยาก สั่นคลอน กายมันนั่งอยู่ในป่าตรงนี้ แต่ใจอยากกลับวัด กลับบ้าน กลับที่อยู่อาศัย นั่นแสดงว่าเรา ไม่ใช่นักบวช ไม่ใช่สมณะ วิญญาณของเรากำลังจะโดนกักขังจองจำ ซากอยู่นี่แต่วิญญาณ โดนจองจำอยู่ที่ใหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เมื่อกายอยู่ตรงนี้ ก็จงให้ใจมันอยู่ตรงนี้ด้วย
 
อยู่เพื่อจะรับรู้สภาพสภาวะรอบ ๆ ตัวเราแล้วก็ดูดดื่ม ดื่มด่ำมันเข้าไปด้วยความรู้สึก ซึมซาบ เราจะสัมผัสได้ถึง วิญญาณแห่งธรรมชาติหลวงปู่อยากจะบอกถึงความหอม หวานและความสวยงามของวิญญาณ พูดอย่างนี้พวกเธอคงไม่รู้ว่าหน้าตามันเป็นยังไง แต่เมื่อใดที่พวกเธอมีจิตสงบเท่ากับป่าที่มีแล้ว พวกเธอจะรู้จักวิญญาณของธรรมชาติ วิญญาณของผีโป่ง วิญญาณของผีป่า วิญญาณของเจ้าภูเขา วิญญาณของเจ้าที่เจ้าทาง แล้วก็วิญญาณของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่รอบ ๆ กายเรา สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นวิญญาณ ของธรรมชาติ ถ้าจิตของพวกเธอสงบพร้อมและนิ่งพอ พวกเธอจะรับรู้ถึงความเป็นไป และความโยกโคลงเคลื่อนไหวของวิญญาณเหล่านั้นได้ มันจะเป็นเพื่อนเราเป็นเพื่อนคุย เป็นเครื่องบอก เครื่องเตือนภัย และก็เป็นมหามิตรอันยิ่งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจกลับกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดต่อเรา เมื่อใดที่เราทรยศและเป็นกบฏต่ออุดม การณ์ และทำชีวิตให้ไม่ชอบมาพากล
 
เพราฉะนั้น ความหมายของการรับรู้ถึงวิญญาณของธรรมชาติ จึงเป็นหนึ่งในวิชามหา สติปัฏฐานสูตร ข้อที่ว่าด้วยการพิจารณาจิตในจิต การอยู่ป่าเราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะธรรมชาติรอบกายมันไม่ได้ปรุงแต่งให้เรามีอารมณ์ใด ๆ จิตจึงสงบได้เอง มันไม่ได้ มีแสงเสียงสีอะไรมากมาย ถึงมันมี ก็เป็นกลิ่นอายของธรรมชาติ ดอกไม้ ใบหญ้า เสียงสายลม น้ำไหล สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ปรุงให้จิตกำเริบ มันไม่ได้ทำให้เกิดกิเลส ตัณหา และอุปาทานใด ๆ ถ้าหากเราอยู่อย่างนี้ ถ้ากระแสของธรรมชาติและไออุ่นของธรรมชาติ มันสามารถซึมซับเข้ามาในจิตวิญญาณเราได้ตลอดเวลาแล้วละก้อ เราจะเป็นคนที่มีสุขภาพ จิตดีที่สุด สามารถจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง สง่างามได้ทุกกาลสมัย
 

ในเวลาสองวันที่หลวงปู่สังเกตดูพวกเธอกราบพระ พวกเธอยังไม่มีความสำรวม สังวร ระวังดีพอ พวกเธอกราบแบบแค่ให้มันจบ ๆไป อาจจะคิดว่า พื้นไม่สะอาด หรืออะไร ก็ตามทีเถอะ พวกเธอยังไม่ได้กราบพระด้วยความดื่มด่ำ ซึมซาบด้วยความสำรวมสังวร ระวัง พวกเธอยังไม่ได้กราบพระด้วยกายพร้อมจิตวิญญาณ ยังกราบแค่ซากอย่างนี้จะ เรียกว่า เรากราบด้วยการเจริญสติได้อย่างไร มันก็จะไม่มีสติในการควบคุมอิริยาบถในการ กราบ พวกเธอเข้าใจความหมายของ " มหาสติปัฏฐาน " แค่ใหน ?

มหา แปลว่า ใหญ่ มหาสติปัฏฐาน คือ สติปัฏฐานที่มีความเป็นใหญ่ ต่อการกระทำ พูด คิด คือมันซึมสิงไปทุกอณูลมหายใจเข้าออก มันไม่ใช่มีเฉพาะบางเวลา บางขณะ บาง โอกาส เพราะถ้าหากมหาสติปัฏฐานมันมีแค่เฉพาะบางเวลา บางขณะ บางโอกาส มันจะเป็นมหาสติปัฏฐานไปไม่ได้เลย มันก็จะเป็นผู้มีสติแค่บางเวลา บางโอกาสเท่านั้น
 
หลวงปู่อยากจะเตือนว่า ทางป่า ทางถนน ทางน้ำ และทางเมือง มันคนละทางกัน การ อยู่ในป่าจะต้องใช้มหาสติปัฏฐานอย่างยิ่ง หลวงปู่จะบอกวิธีการสังเกตหนทางในป่าให้ พวกเธอได้รู้

อันดับแรก พวกเธอต้องสังเกตกลิ่น ต้นไม้แต่ละต้นจะมีกลิ่นเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน พวกเธออยู่ไกล้ต้นไม้ไหนก็จะรู้จักที่สูดดมกลิ่นต้นไม้รอบ ๆ กายพวกเธอ
 
อันดับสอง พวกเธอต้องสังเกตุทิศ พวกเธอปักกลดอยู่ในทิศไหนแล้วเดินออกมาจาก ทิศใหน เดินตรงไปสู่ทิศไหน ต้องรู้จักสังเกตทิศ

อันดับสาม พวกเธอต้องสังเกตก้อนหินและแผ่นดิน ก้อนหินมีรูปร่างไม่เหมือนกัน ลักษณะสีสันไม่เหมือน เพราะฉะนั้น กลางคืนเวลาจะเดินหรือเวลาจะกลับไปสู่กลด พวกเธอต้องมองดูรอบ ๆ ตัวเธอว่า กำลังอยู่ในทำเล ตำแหน่ง และสภาพแวดล้อม เช่นใด ถ้าพวกเธอมีมหาสติ ก็จะรู้ว่า พวกเธอเดินผิด หรือเดินถูก นอกจากนี้ กลิ่น ของแผ่นดินก็ไม่เหมือนกัน ดินที่โดนแดดกับดินไม่โดนแดด ดินที่อยู่ไกล้ความชื้น กับดินที่อยู่ไกลความชื้น กลิ่นของดอกไม้ ทิศทางลม อากาศรอบ ๆ กายเหล่านี้ก็เป็น เครื่องเตือน บอกเราให้รู้ว่า เราเดินถูกทางหรือผิดทาง สรุปก็คือ พวกเธอจะรู้สิ่งเหล่านี้ อย่างละเอียดอ่อนได้ดีมากน้อยแค่ใหนก็ขึ้นอยู่กับว่า พวกเธอมีสติหรือไม่ ?
 
 
พวกเธอต้องฝึกมหาสติ จนกระทั่ง " บรรลุในทวารทั้ง ๖ " นั่นคือ การใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัส รับทราบถึงสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราได้อย่างละเอียดหมดจด ถ้า พวกเธอทำได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้น พวกเธอจะธุดงค์ในป่าได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฉาย พวกเธอ จะธุดงค์ในป่าได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฉาย พวกเธอจะคุ้นเคยกับป่า เหมือนกับบ้านของพวกเธอเอง
 
เวลาอาบน้ำในลำธารก็เหมือนกัน พวกเธออย่าไปกลัวหนาวเพราะถ้าพวกเธอกลัวหนาว พวกเธอจะเป็นไข้ มันอยู่ที่กำลังใจ ถ้ากำลังใจพวกเธอดี ปราณของพวกเธอจะสร้างพลัง ต่อต้านและธาตุไฟในกายของพวกเธอจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความหนาวเหน็บ หากพวกเธอ มีสติระลึกรู้เห็นโครงกระดูกภายในกายตัวเองโดยไม่มีเนื้อหนังติดพวกเธอจะไม่รู้สึกหนาว และก่อนพวกเธอเข้านอนจงอย่างลืมภาวนาในใจก่อนนอนว่า ขอให้สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข เถิด สำหรับคนที่ฝึกเจริญสติอย่างอื่นไม่เป็นเลยสักอย่างเดียว ก็ขอให้นึกถึงแต่โครงกระดูก ภายในกายตัวเองอย่างเดียวพอ ไม่ต้องฝึกลมหายใจอะไรทั้งนั้น
 
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในขณะเจริญสติ ขอให้พวกเธอจงรู้เถิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นมารที่จะ ทำร้ายสติ หรือทำลายเราให้พ้นจากสติที่กำลังเจริญอยู่ แม้จะเกิดฟ้าผ่า น้ำท่วม ฝนตก หรือไฟใหม้ สำหรับผู้เจริญสติแล้ว ต้องตั้งมั่น ไม่สั่นคลอน ไม่โยกคลอน ไม่หวั่นไหว และไม่สะดุ้งผวา ถึงจะเรียกว่ามีมหาสติ
 
คนที่มีสติจริง ๆ เขาจะรู้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม มันก็เป็นแค่สภาวธรรมหนึ่ง ๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป เพราะฉะนั้น จงเข้าใจว่า สิ่งที่เราต้องทำจริง ๆ ก็คือ การเจริญสติให้ตั้งมั่น ทำสติให้ปรากฏชัดเฉพาะหน้า รู้ทุกอณูของอากาศ สิ่งแวดล้อม กายนี้ เลือดเนื้อ และชีวิตอินทรีย์ เมื่อสติปรากฎชัดมันจะทำหน้าที่รู้ทุกอย่างในกายตน สติเกิด สมาธิปรากฏ ปัญญาก็จะตามมา สำคัญก็คือหน้าที่ของเราทำอย่างไร จะให้สติ มันเกิดและเกิดได้ทุกขณะจิต ทุกเวลาลมหายใจเข้าออก นี่คืองานที่เราต้องทำ เพราะ ฉะนั้น ในขณะที่เรากำลังทำงานที่สำคัญอยู่นี้ ไม่ว่าฝนจะตก น้ำท่วม ไฟใหม้ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หรือเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นตรงหน้าในขณะที่กำลังเจริญสติ เราต้องไม่ให้ความ สำคัญต่อมัน ต้องไม่ใส่ใจมัน ต้องไม่วอกแวก ไม่เสียสติ ไม่ขาดจากการรับรู้สภาวธรรม รักษาความเป็นเอกัคตา คือ ความเป็นหนึ่งในการรู้เฉพาะหน้าในกรรมฐานกองใดกองนั้น ไม่ให้มีอารมณ์อื่นเข้ามาวุ่นวาย ไม่ให้มีเวทนา นิมิต หรืออุปทานใด ๆ เข้ามาปรากฏ ไม่ให้มีแม้กระทั่งปีติใด ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วมันจะฉุดกระชากลากถูเราให้เนิ่นช้า ไม่ก้าวหน้า ไป มีแต่การรับรู้ยิ่งขึ้น ๆ รู้จนถึงขนาดรอบข้างเรา มันมีสภาพสภาวะใด ๆ ปรากฏ รู้ถึงขนาดการเกิดของเซลล์แต่ละชนิด แต่ละตัวที่เกิดขึ้นแล้วใช้เวลาอุบัติขึ้น อยู่ เจริญ เปลี่ยนแปลง เสื่อมทรามแล้วตายลง ว่าใช้เวลากี่นาที กี่วินาที รู้อย่างนี้จึงเรียกว่า รู้อย่างคนเจริญสติ ไม่ใช่รู้เพียงแค่มีกระดูก มีโครงสร้าง มีเลือด มีเนื้อ มีลมหายใจ หรือรู้แค่มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็บอกว่ารู้ อย่างนั้นยังไม่ใช่ ผู้รู้ แบบมีมหาสต
 
หลวงปู่เคยเจริญมหาสติจนกระทั่งต้องอุทานออกมาว่า " มันมีแค่นี้เองหรือ ! " ตอนนั้น หลวงปู่รู้ละเอียด รู้ลึกไปถึงกระบวนการแห่งการเกิดเซลล์ของกระดูกทั้งปวง หลวงปู่ป่น กระดูกจนละเอียดเป็นผุยผง กระดูกเหล่านั้นเกิดจากเซลล์ชนิดใด แล้วมันก็ดับลงไปด้วย กระบวนการใด เหตุปัจจัยไม่ปรุงใด เซลล์เหล่านั้นจึงตายลง อย่างนี้ถึงเรียกว่า รู้แบบ มหาสติ อย่าเพียงแค่รู้แค่ ดิน น้ำ ลม ไฟ รู้แค่ลมหายใจเฉย ๆ นั่นยังไม่ถือว่าเป็นผู้รู้ใน ระดับมหาสติ เพราะนักบวชอื่นเขาก็ทำได้ศาสนาอื่นเขาก็สอนกัน นิกายลัทธิต่าง ๆ ที่มีมา ก่อนพระพุทธเจ้าเขาก็มีการสอนเจริญสติ สมาธิ เหมือนกัน แค่ระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก พระพุทธเจ้าท่านรู้มาก่อนที่จะมาบวชและอุบัติขึ้นเป็นพระศาสดาด้วยซ้ำ นี้ย่อมแสดงว่า การระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในกาย เขามีการสอนกันมาก่อนพระพุทธเจ้า เกิด แต่สิ่งที่ไม่ได้สอนก่อนพระพุทธเจ้าเกิดมันคืออะไร ? เพราะฉะนั้น จงอย่าไปคิดว่า ทุกวันนี้เรารู้มหาสติปัฏฐานแล้ว คนรู้จริงนั้นไม่ต้องจำ ทำได้ มีประโยชน์ แต่คนรู้ไม่จริง นั้นจำให้ตาย ทำไม่ได้ก็มีแต่โทษ
 
แต่ก่อนที่พวกเธอจะรู้ละเอียด รู้ลึกในมหาสติปัฏฐานได้ พวกเธอจำเป็นจะต้องรู้ในหลักการ เบื้องต้นของมหาสติปัฏฐานเสียก่อน นี่แค่วิชามหาสติปัฏฐานเท่านั้นนะ ยังไม่ต้องพูดถึง วิชาลม ๗ ฐานเลย เพราะยิ่งฝึกลำบากใหญ่ เนื่องจากวิชาลม ๗ ฐานต้องประกอบไปด้วย อำนาจของสติ สมาธิ ปราณ ทั้งสามอย่างนี้ต้องรวมเป็นหนึ่งต้องผสมผสาน สอดคล้อง กลมกลืน ให้ทำงานร่วมกัน ยิ่งยากใหญ่ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เอาแค่เจริญสติให้ได้ก่อน จงระลึกรู้รูปกายของตน รู้อิริยาบถของตน รู้โครงกระดูกของตนให้มาก จงหมั่นฝึกให้สติ และจิตรวมอยู่กับกายที่หลวงปู่เรียกว่า " กายรวมใจ " อันเป็นพื้นฐานของการเจริญลม ๗ ฐาน


ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2010, 08:04:19 am »



การฝึกมหาสติโดยการพิจารณาโครงกระดูกตัวเอง
 
 
วิธีการฝึกมหาสติโดยการพิจารณาดครงกระดูกตัวเองนี้ อาจกล่าวได้ว่า เป็นวิธีการฝึกที่สำคัญที่สุดในวิชาลม ๗ ฐาน ของหลวงปู่พุทธะอิสระก็ว่าได้ ซึ่งนอกจากจะใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันแล้ว ยังมีอานิสงส์ มหาศาลมาก ซึ่งท่านผู้อ่านคงจะได้ทราบเอง สำหรับตัวผมแล้ว การฝึกพิจารณา โครงกระดูก คลำกระดูกตัวเองและบริกรรมถึงแต่กระดูก ตามแนวทางของ หลวงปู่คือ การเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของแนวทางสติปัฏฐานในพระไตรปิฎก ที่เป็นปริยัติ ให้สมบูรณ์ยิงขึ้นในทางปฏิบัติ ..... ( ต่อไปเป็นคำสอนของหลวงปู่ล้วนๆ )
 
ทั้งหมดนั่งขัดสมาธิ กายตั้งตรง หลับตา ถ้าอารมณ์ยังฟุ้งอยู่ ก็จงสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ หายใจเพื่อเตือนสติตัวเองว่า หลังจากนี้ฉันจะใช้แกแล้วนะ แล้วก็พ่นลมออกยาว ๆ เมื่อหายใจเรียบร้อยแล้วให้สติรู้อยู่ที่รูปนั่งขัดสมาธิของตัวเอง จิตรับรู้อยู่ในท่านั่ง หลับตา แล้วก็เลื่อนจิตเอาความรู้สึกจับไปที่กลางกระหม่อมให้เห็นเป็นกระดูกปรากฏ จับไปที่ กระดูกใหม่ ๆ อาจจะยังไม่ชัดแต่ให้เริ่มต้นทำไปก่อน
 
 
กลางกระหม่อม .... เลื่อนจิตไปจับกระดูกหน้าผา .... เลื่อนมาเรื่อย ๆ ที่กระดูกโหนกคิ้ว ทั้งสองข้าง ..... เธอจะรู้สึกร้อนวูบวาบตามจุดต่าง ๆ ที่บอกไป..... กระดูกเบ้าตาสองข้าง ...... กระดูกสันจมูกซึ่งมีรูสองข้าง ..... กระดูกโหนกแก้มสองข้างซ้ายขวา ..... กระดูกริม ฝีปากด้านบนพร้อมฟัน ..... สำรวจให้ทั่ว ..... กระดูกริมฝีปากล่างพร้อมฟัน ..... เอาจิตจับ ตามไปนะ ..... สติรับรู้ตามไป ..... กระดูกปลายคาง ..... กระดูกกรามข้างขวา..... เอาจิตจับ ไปที่กรามข้างขวา ..... กกหูข้างขวา ..... เสร็จแล้วอ้อมไปด้านหลังกะโหลกศีรษะด้านขวา .....เลื่อนไปที่กะโหลกศีรษะด้านหลังตรงกลาง ..... กะโหลกศีรษะด้านซ้าย .....กระดูกกก หูตรงศีรษะด้านซ้าย ..... กรามข้างซ้าย ..... มาถึงปลายคาง .....ขยับขึ้นที่ริมฝีปากด้านล่าง พร้อมกระดูกฟัน ..... ขยับขึ้นที่ริมฝีปากด้านบนพร้อมกระดูกฟัน.....เลื่อนไปที่กระดูก โหนกแก้มสองข้าง .....เลื่อนไปที่สันจมูกซึ่งมีรูสองข้าง ...... เบ้าตาสองข้าง .....กระดูกคิ้ว สองข้าง ..... กระดูกหน้าผากอันเป็นภาพกว้าง ๆ กระดูกหน้าผากขาวโพลนขึ้นไปจนถึง จอมประสาทกลางกระหม่อม
 
 
จากกลางกระหม่อมก็ไหลเรื่อยลงไปด้านหลังที่กะโหลกศีรษะด้านหลังด้านหลัง ไปถึง ข้อกระดูกต้นคอที่ติดกับกะโหลกศีรษะข้อหนึ่ง ... ข้อที่สอง ...กระดูกคอข้อที่สาม .... ข้อที่สี่ ... ข้อที่ห้า ... ข้อที่หก ...ข้อที่เจ็ด
ต่อไปก็เป็นกระดูกบ่าหรือกระดูกไหปลาร้าติดต่อกัน เราจะสำรวจดูกระดูกบ่าด้านหลัง ทั้งซ้ายและขวาก่อน ซึ่งมีสะบักสองข้าง มีแผ่กระดูกบาง ๆ อยู่สองข้างเป็นรูปใบโพธิ์ ... สำรวจทั้งสองข้างเสร็จแล้วอ้อมไปด้านขวาด้านหน้าไปสำรวจดูไหปลาร้าด้านหน้า ด้านขวา ..... ตั้งแต่หัวไหล่ขวาไปถึงลำคอด้านขวา .....จากด้านขวาก็ไปไหปลาร้าด้าน ซ้ายตั้งแต่ลำคอไปถึงหัวไหล่ซ้าย ..... มาที่กระดูกหัวไหล่ข้างซ้าย ... มาที่กระดูกสะบักอีก ครั้ง ...มาถึงต้นคอด้านซ้ายด้านหลัง ... กระดูกบ่าต้นคอด้านขวาด้านหลัง ... มันจะร้อน วูบวาบไปตามจุดที่บอกถ้าเธอเอาสติจับรับรู้มัน

เสร็จแล้วเลื่อนไปที่กระดูกหัวไหล่ด้านขวา ... ลงไปที่กระดูกต้นแขนท่อนบนด้านขวา ... ไล่ลงไปจนถึงข้อศอกขวา ... ท่อนแขนด้านล่างด้านขวา ... ซึ่งมีกระดูกลักษณะคล้าย ตะเกียบสองท่านอยู่ติดกันกับกระดูกท่อนบนด้านขวา ... ไหลเลยเรื่อยไปจนถึงกระดูก ข้อมือขวา ...จากข้อมือก็ไปถึงกระดูกฝ่ามือด้านขวา ... เลาะไปถึงนิ้วโป้งด้านขวา ... นิ้วโป้งข้อที่หนึ่ง ... ข้อที่สอง ... ย้อนกลับขึ้นมา ข้อที่สอง ....ข้อที่สาม ... จากกระดูก นิ้วชี้ด้านขวาข้อที่สามกลับขึ้นมาเป็นข้อที่สอง ... แล้วก็เป็นข้อหนึ่ง ... เลื่อนไปกระดูกนิ้ว กลาง ... นิ้วกลางข้อที่หนึ่ง ... ข้อที่สอง ...ข้อที่สาม ... ย้อนกลับขึ้นมา ... สาม ... สอง ...หนึ่ง ...เลื่อนไปที่นิ้วนาง ...ข้อที่หนึ่ง...ข้อที่สอง...ข้อที่สาม ...แล้วก็ ...สาม ...สอง ...หนึ่ง...เลื่อนไป ที่นิ้วก้อย ... ข้อที่หนึ่ง...ข้อที่สอง ... ข้อที่สาม ... แล้วก็ ...สาม...สอง...หนึ่ง... ไหลขึ้นย้อนขึ้น มาที่กระดูกฝ่ามือ ...กระดูกข้อมือซึ่งประกอบด้วยกระดูกชิ้นเล็ก ๆ ปะติดปะต่อกัน ... มาถึงกระดูกแขนด้านล่างด้านขวา ซึ่งเป็นกระดูกสองชิ้นต่อจากกระดูกข้อมือ ... และขึ้น มาจนถึงกระดูกข้อศอก ... กระดูกต้นแขนบนด้านขวา ... ขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ขวา ... ทีนี้ ก็ไต่เลยมาจนถึงกระดูกบ่าด้านขวาด้านหลัง

มาถึงต้นคอด้านหลัง ... ไหลไปทางกระดูกบ่าด้านหลังด้านซ้าย... ไปถึงหัวไหล่ด้านซ้าย ...มันจะไหลมีไออุ่นตามไป ( แล้วก็กำหนดสติตามไป แบบเดียวกับการพิจารณากระดูก แขน ข้อมือ และนิ้วด้านขวาข้างต้นแต่คราวนี้เป็นด้านซ้าย ) ... ต่อมาก็กระดูกท่อนแขน ซ้ายด้านบน ... ขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ซ้าย
 
จากหัวไหล่ซ้ายก็มาที่บ่าด้านซ้าย ... เลาะมาจนถึงต้นคอด้านซ้าย ... ทีนี้ก็จะไล่จากกระดูก สันหลังต้นคอที่ติดต่อกันระหว่างกระดูกคอข้อที่เจ็ด ... เราจะเริ่มนับหนึ่งใหม่จากหัวไหล่ เริ่มนับข้อที่หนึ่งลงไปจนถึงกระดูกก้นกบ ... พิจารณาทีละข้ออย่าลงไปเลย ... ข้อที่หนึ่ง ... ข้อที่สอง ... ข้อที่สาม ...ข้อที่สี่ ...ข้อที่ห้า ... ความรู้สึกมันจะเหมือนสภาพที่เราดูดน้ำออกมา แล้วมันค่อย ๆ ยุบลง ... ข้อที่หก ... ข้อที่เจ็ด ...ข้อที่แปด ...ข้อที่เก้า... ข้อที่สิบ... ข้อที่สิบเอ็ด ข้อที่สิบสอง ... ข้อที่สิบสาม ... ข้อที่สิบสี่ ... ข้อที่สิบห้า ... ข้อที่สิบหก ... ขอที่สิบเจ็ด
 
ต่อไปก็เป็นกระดูกก้นกบลักษณะคล้าย ๆ กับหางเต่า ... จับจนไปถึงปลายหาง ... แล้วก็ย้อน ไล่ขึ้นมาจนถึงกระดูกก้นกบด้านบน ... กระจายความรู้สึกไปรับรู้ถึงกระดูกเชิงกรานทั้งสอง ข้างที่มีลักษณะเหมือนใบตาล ... จากนั้นก็มาไล่พิจารณากระดูกขาข้างขวา ... จับกระดูกเชิง กรานข้างขวาให้ชัด ... กระดูกขาท่อนบนด้านขวาที่เป็นเหมือนลูกหมากที่ติดกับเชิงกราน ... ค่อย ๆ เลาะไปเรื่อยจนถึงหัวเข่า... ถึงสะบ้า ... ถึงกระดูกหน้าแข้งอันเป็นกระดูกขาด้านล่าง สองท่อนซึ่งมีลักษณะคล้ายตะเกียบเช่นกัน ... เลาะลงไปจนกระทั่งถึงกระดูกข้อเท้า ... กระดูกส้นเท้าและกระดูกฝ่าเท้า ... นิ้วโป้งข้อที่หนึ่ง ... สอง ... สาม ... พิจารณาย้อนกลับ ... สอง ... หนึ่ง ... นิ้วชี้มีสามท่อน ... หนึ่ง ... สอง ... สาม... แล้วก็ สาม ...สอง ... หนึ่ง ( ให้พิจารณานิ้วกลางข้างขวา นิ้วนางขวา และนิ้วก้อยขวาในทำนองเดียวกัน )
 
 
ทีนี้จับภาพกระดูกฝ่าเท้าขวาทั้งแผ่นให้ชัด ... สติเราจะเหมือนกับโฟกัสของกล้องถ่ายรูป เราขยายมันให้เห็นภาพกว้างก็ได้ หรือจะให้เห็นเฉพาะจุดก็ได้ ... ย้อนขึ้นมาจนถึงข้อเท้า ... ท่อนขาด้านล่าง ... หัวเข่า ... สะบ้า ... ท่อนขาด้านบนด้านขวา ... ถึงเชิงกรานด้านขวา ( จากนั้นก็ย้ายมาพิจารณากระดูกขาด้านซ้ายในทำนองเดียวกับการพิจารณากระดูกขาด้าน ขวาดังข้างต้น ) ... ให้พิจารณาไปเรื่อย ๆ เหมือนกับน้ำไหลทีละน้อยมองเห็นถนัดเป็นสี ขาวขุ่น
 
พิจารณาย้อนขึ้นมาจนถึงกระดูกเชิงกรานด้านซ้าย ... เข้ามาหยุดตรงกระดูกก้นกบข้อที่สิบเจ็ด ... ขยับขึ้นไปที่กระดูกสันหลังข้อที่สิบหก ... สิบห้า ... สิบสี่ .. ( พิจารณาย้อนกลับขึ้นไปทีละข้อ จนถึงกระดูกสันหลังข้อที่หนึ่งตามลำดับ ) ... คราวนี้จะเห็นภาพกระดูกหัวไหล่ทั้งสองข้าง ปรับภาพให้ชัด ให้กว้างขึ้น ... ทีนี้จับไปที่กระดูกต้นคอข้อที่เจ็ดที่ต่อกับกระดูกหัวไหล่ ... เจ็ด ... หก ... ห้า ... สี่ ...สาม...สอง ... กระดูกต้นคอข้อที่หนึ่งที่ติดกับกะโหลกศีรษะ ... จับภาพ กะโหลกศีรษะด้านด้านหลังให้ชัด ... ไล่ขึ้นไปช้า ๆ เธอจะรู้สึกอุ่น ... เธอจะเห็นภาพกะโหลก ศีรษะด้านบนแล้วหยุดอยู่ที่กึ่งกลางกระหม่อมที่เรียกว่า จอมประสาท ... สูดลมหายใจเข้า ไปลึก ๆ ให้เต็มปอด ... แล้วพ่นลมออกมายาว ๆ ช้า ๆ นิ่มนวล สุภาพ หมดจด ... แล้วก็ลืมตา ... ยกมือไหว้พระกรรมฐาน

สงบมั๊ย ... ถ้าเธอทำตามที่หลวงปู่สอนมาข้างต้นนี้ โดยสามารถจับภาพได้ชัด รับรองว่า สงบแน่ ... ทำแบบนี้แหละ วิธีพิจารณากระดูกแล้ว มันจะหยุดราคะ โทสะ โมหะได้อย่าง ฉับพลัน จิตเราจะสงบนิ่ง " สติ " อุปมาเหมือนแสงไฟฉายที่ส่องไปในความมืด แสง สว่างนั้นแหละที่เป็นสติของเรา ฉายไปทางใหนก็จะทำให้เราเห็นภาพที่ฉาย
 
เพราะฉะนั้น เวลาเราหลับตา ก็จงส่งความรู้สึกทั้งตัวให้อยู่ในกายนี้ เช่น พอเอาจิตไปจับ ที่กระหม่อม หรือที่หน้าผาก ก็จะเกิดความรู้สึกว่า ตรงที่ที่เราเอาจิตเข้าไปจับนั้นมันจะ รู้สึกหนักเหมือนกับมีไออุ่นออกมา ถ้าถึงคำว่าหนักแสดงว่าสติเธอชัดแล้ว ถ้ายิ่งกว่าชัด คือแจ๋วเลย คือเห็นภาพกระดูกใสเลย หลวงปู่ทวดท่านสำเร็จวิชานี้ถึงขนาดกระดูกข้อ ของท่านกลายเป็นทองแดงทีเดียวแหละ เพราะฉะนั้น มหาสติปัฏฐาน จึงมีอานิสงส์ มหาศาล ทำให้กระดูกกลายเป็นแก้วได้เมื่อดับขันธ์แล้ว และทำให้ธาตุในกายสามารถ รักษาและควบคุมมันได้

หลวงปู่ขอย้ำว่า การพิจารณาโครงกระดูกนี้ ให้ดูกระดูกภายใน กายเรามิใช่กายอื่น ที่ให้ดูโครงกระดูกข้างหน้าประกอบก่อนหลับตา พิจารณาก็เพื่อที่จะให้น้อมเข้าหาตัว เองว่า กระดูกเราก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ไม่ใช่ให้ไปดูและทุบกระดูกคนอื่น แต่ให้ดู กระดูกตัวเองทุบกระดูกตัวเอง ย่อยกระดูกตัวเองจนป่นละเอียดเป็นความว่าง