เกิดนิมิตช่วยกำลังใจ
ในคืนหนึ่ง หลังจากใช้ปัญญาพิจารณาในสัจธรรมในแง่ต่าง ๆ ไปแล้ว ก็มากำหนดจิตให้ลงสู่ความสงบเพื่อเป็นอุบายพักจิตต่อไป เมื่อจิตลงสู่ความสงบแล้วก็เกิดความสว่างอย่างกว้างขวาง เป็นความสว่างที่ไม่มีประมาณ โล่งไปทั้งหมด ในขณะนั้น ก็ปรากฏเห็นรถแก้วคันหนึ่งลอยมาแต่ที่ไกล แล้วก็ลอยตรงเข้ามาหาข้าพเจ้า และหยุดอยู่บนอากาศห่างจากตัวข้าพเจ้าประมาณ ๕ วา จึงมองเห็นรถแก้วคันนั้นได้อย่างชัดเจน รถแก้วคันนั้นมีเครื่องประดับด้วยแก้วนานาชนิด มีแสงสว่างแพรวพราวไปหมด มีรัศมีแผ่ออกไปรอบด้าน ในรถแก้วคันนั้นมี ธนู ศร หอก ดาบ และมีอาวุธอื่น ๆ อีกมากมาย และยังมีพระราชาองค์หนึ่งประทับนั่งอยู่ในรถคันนั้น เครื่องประดับของพระราชาองค์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพชรนิลจินดา ประดับเครื่องทรงเจิดจ้าแพรวพราวระยิบระยับอยู่รอบองค์ จากนั้น ก็ได้ประกาศลงมาว่า นี่ทูล ข้าพเจ้าเป็นพระยาธรรมมิกราช มาครั้งนี้ เพื่อจะเตือนให้รู้ว่า นับแต่นี้ไป โลกมนุษย์เริ่มหมุนไปสู่ความหายนะ มนุษยโลกจะเกิดโกลาหลฆ่ากันตีกันทำลายกันด้วยวิธีต่าง ๆ จะหาผู้มีศีลมีธรรมประจำใจนั้นมีน้อย ทั้งพระสงฆ์ผู้ทรงศีลอันดีงาม ผู้ทรงธรรมที่เป็นสาระแก่นสารก็จะมีน้อย ฉะนั้น ขอให้ออกบวชเสียแต่ในช่วงนี้ เพื่อจะได้เป็นกำลังแก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไป เมื่อสั่งเสร็จแล้ว รถแก้วก็เลื่อนลอยขึ้นไปสู่อากาศ ลอย
สูงขึ้น ๆ จนสุดสายตา จากนั้น ความสว่างก็ค่อย ๆ เลือนลางไป ในขณะนั้น ก็มีลมพัดมาจากทิศตะวันออกดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนกับต้นไม้โค่นล้มกันไปเป็นทิวแถว แล้วพัดตรงเข้ามาหาข้าพเจ้า แล้วมีคน ๖ คนวิ่งมากับลมนั้นด้วย จากนั้น ลมก็พัดตรงเข้าที่บ้านอย่างจัง เหมือนกับบ้านจะพังไป แต่ก็เป็นเพียงโยกคลอนไปมาเท่านั้น ทำให้คนรอบข้างเกิดความสะดุ้งตกใจร้องโวยวายขึ้นว่า นี่อะไรเกิดขึ้น มีลมพัดบ้านเหมือนกับบ้านจะพังไป ขณะนั้น ใจก็ถอนออกจากสมาธิ จึงได้บอกคนใกล้เคียงไปตามเหตุที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้บอกทั้งหมด เพราะเขากำลังต่อต้านในการออกบวชของข้าพเจ้าอยู่แล้ว แต่ได้บอกเขาไปเป็นบางส่วนเท่านั้น ส่วนตัวข้าพเจ้าเองได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะออกบวชอย่างแน่นอน
เรื่องของพ่อตู้อ้วน
ก่อนออกบวช มีเรื่องหนึ่งที่จะต้องพูดถึง นั่นคือ เรื่องของพ่อตู้อ้วน พ่อตู้อ้วนนี้เดิมอยู่บ้านค้อนารายณ์ เป็นผู้สนใจในการภาวนาปฏิบัติมาแล้วประมาณ ๓๐ ปี มีการรักษาศีล ๕ มาตลอดชีวิต และมีการรักษาศีลอุโบสถทุกวันพระมิได้ขาด ในช่วงนี้ พ่อตู้อ้วนได้ย้ายมาอยู่บ้านโนนสมบูรณ์ มีบ้านอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านข้าพเจ้า ท่านให้ความรักในตัวข้าพเจ้าเหมือนกับลูกคนหนึ่ง ต่อมา พ่อตู้อ้วนได้ไปสร้างกุฏิไว้สองหลัง แต่ละหลังห่างกัน ๒๐ เมตร และคิดโครงการว่าจะสร้างห้องส้วมอยู่ระหว่างกลางของกุฏิทั้งสอง เมื่อกุฏิสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว คิดว่าจะสร้างห้องส้วมต่อไป แต่ขณะนั้นเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาเสียก่อน ลูกหลานจึงได้นำตัวไปรักษาที่บ้านค้อนารายณ์ แต่อาการป่วยก็ไม่ดีขึ้น ในที่สุด ก็ได้เสียชีวิตไปท่ามกลางหมู่ญาติทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าทราบข่าว ก็ไปร่วมในการประชุมเพลิงศพครั้งนี้ด้วย และใช้ปัญญาพิจารณาความตายอยู่ตลอดว่า อนาคตของเราต่อไปก็ต้องเป็นอย่างนี้ จะหนีจากความตายนี้ไปไม่ได้เลย พ่อตู้อ้วนอายุ ๗๐ กว่าปี แต่ยังมีร่างกายแข็งแรงดี มีความขยันในการงาน และมีความขยันในการภาวนาปฏิบัติอย่างไม่ท้อถอย แต่ก็ได้ตายไปจากญาติลูกหลานไม่มีวันจะฟื้นขึ้นมาอีกเลย ส่วนตัวเราเอง ถึงอายุยังไม่มาก แต่ก็มีสิทธิ์ตายได้เช่นกัน ดังเห็นอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั่วไป หลายคนเป็นผู้มีอายุยังน้อยทั้งนั้น นี่เราจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปนานเท่าไรหนอ เราไม่สามารถคาดการณ์ในความตายล่วงหน้าได้ อาจจะเร็ว ๆ นี้ก็ได้ใครจะรู้ ในวันนั้นจะคิดในเรื่องความตายนี้อยู่ตลอด เมื่อกลับจากงานศพมาแล้ว ก็คิดพิจารณาในความตายต่อไป
ในคืนนั้น ทำสมาธิมีความสงบได้ที่แล้วก็เกิดนิมิตขึ้น คือปรากฏเห็นพ่อตู้อ้วนเดินมาหา จึงคิดว่าพ่อตู้อ้วนจะมาที่นี่ทำไม บุญกุศลต่าง ๆ ตลอดการรักษาศีลและการภาวนาปฏิบัติก็มีความมั่นคง ทำไมจึงไม่ได้ไปสู่สุคติหนอ เมื่อพ่อตู้อ้วนเดินเข้ามาใกล้ ๆ คิดจะถามว่า ทำไมจึงไม่ไปสู่สวรรค์ จากนั้น พ่อตู้อ้วนก็ได้เข้ากอดตัวข้าพเจ้าทางด้านหลัง โดยรวบแขนไว้แน่น เมื่อแขนและตัวของพ่อตู้อ้วนถูกร่างกายเราส่วนไหน จะมีความเย็นยะเยือกในร่างกายไปหมด จากนั้น ก็ถามพ่อตู้อ้วนว่า พ่อตู้ ทำไมจึงไม่ขึ้นไปอยู่เมืองสวรรค์ บุญกุศลต่าง ๆ พ่อตู้ก็ได้ทำมามาก หรือมีอุปสรรคขัดข้องในสิ่งใด พ่อตู้ก็ได้กระซิบใส่หูข้าพเจ้าเบา ๆ ว่า มีความเป็นห่วงในห้องส้วมที่ยังไม่ได้ทำ ก็ถามต่อไปว่า พ่อตู้จะสร้างห้องส้วมที่ไหน พ่อตู้ตอบว่า สร้างระหว่างกลางกุฏิสองหลังนั่นแหละ จึงบอกพ่อตู้อ้วนไปว่า ไม่ยากหรอกพ่อตู้ ในวันพรุ่งนี้ ผมจะไปบอกพ่อแสนและญาติทุกคนให้มาร่วมสร้างห้องส้วมหลังนี้ให้เสร็จเร็วที่สุด ขอให้พ่อตู้คอยอยู่รับอนุโมทนาในการสร้างห้องส้วมนี้ก็แล้วกัน พ่อตู้พูดว่า เออให้บอกเขาจริง ๆ นะ พ่อตู้จะคอยอยู่ที่บริเวณนี้ จากนั้น พ่อตู้อ้วนก็ได้วางมือจากตัวข้าพเจ้าไป แล้วจิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิ
ต่อมา ข้าพเจ้าก็ได้ใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่องนิมิตนี้อย่างละเอียด จนเข้าใจได้อย่าง
ชัดเจน ข้อพิจารณาเป็นอย่างไรนั้นจะอธิบายให้ฟังในช่วงหลัง รุ่งเช้า ข้าพเจ้าก็รีบไปเล่าให้พ่อแสนกับแม่แสนฟังทั้งหมด ทั้งสองตกตะลึงแล้วพูดว่า เคยได้ยินพ่อตู้พูดว่า จะสร้างห้องส้วมนี้เหมือนกัน นี่ถ้าทูลไม่มาบอกเล่าให้ฟังก็คงลืมไปเลย ข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพิ่งได้รู้ในคืนที่พ่อตู้มาบอกนั่นเอง แล้วก็บอกพ่อแสนไปว่าให้รีบไปหาญาติ ๆ ทางบ้านเดี๋ยวนี้นะ ให้พากันมาสร้างห้องส้วมให้เสร็จอย่างช้าก็อย่าให้เกินสองวัน ขณะนี้ พ่อตู้ยังคอยรับบุญกุศลในการสร้างห้องส้วมอยู่ในบริเวณนี้ ให้รีบสร้างรีบถวาย เพื่อให้พ่อตู้ได้อนุโมทนา แล้วพ่อตู้จะได้ไปสวรรค์โดยเร็ว ไม่เช่นนั้น พ่อตู้จะเป็นเปรตต่อไปอีกนาน เมื่อพ่อแสนได้ฟังดังนั้น ก็รีบแต่งตัวจับได้จักรยานสองล้อถีบไปอย่างรีบร้อนทีเดียว เพื่อไปตามญาติ ๆ มาสร้างห้องส้วม เมื่อไปถึงวัด ข้าพเจ้าก็กำหนดให้สร้างตรงนี้ ๆ ต่างคนก็ช่วยกันขุดหลุมส้วมพร้อมทั้งใส่ท่อเป็นอย่างดี กลุ่มที่ทำไม้ก็ช่วยกันเต็มที่ ตั้งใจว่าจะให้เสร็จในวันนั้นทั้งหมด ในที่สุดก็เสร็จในวันนั้นจริง ๆ เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกหลานทุกคนก็ร่วมกันถวายพระเป็นอันเสร็จพิธี ในคืนนั้น ข้าพเจ้าก็ภาวนาเป็นปกติและดำริว่า พ่อตู้อ้วนได้รับกองบุญในวันนี้หรือเปล่าหนอ เมื่อจิตสงบในสมาธิได้ที่แล้ว นิมิตเห็นพ่อตู้อ้วนเดินเข้ามาหา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสสดชื่นดีมาก ผิวพรรณผ่องใสไปทั้งหน้าและร่างกาย ผ้าที่
นุ่งห่มมีความสวยงามมาก เมื่อเดินมาได้แล้วก็ยืนอย่างเรียบร้อยแล้วพูดว่า ทูลเอย บัดนี้ พ่อตู้หมดห่วงแล้วนะ ถ้าทูลไม่ช่วยพ่อตู้ในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าพ่อตู้จะอยู่เป็นเปรตต่อไปอีกนานเท่าไร พ่อตู้จึงขอขอบคุณที่ช่วยเหลือพ่อตู้ได้ทัน ไม่เช่นนั้น พ่อตู้ก็จะอยู่เป็นเปรตทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกนี้สิ้นกาลนาน จึงขอให้ทูล ได้ ทำบุญให้มาก ๆ การรักษาศีลภาวนาก็อย่าได้ขาด และจงบอกคนอื่นด้วยนะ อย่าพากันติดอยู่กับวัตถุสิ่งใด ๆ เลย เมื่อใจยึดติดอยู่กับของสิ่งใด ใจก็จะมืด ยึดติดอยู่กับสิ่งนั้น ๆ โดยไม่มีทางไปแต่อย่างใด จากนั้น พ่อตู้ได้พูดคำ
สุดท้ายว่า จากนี้ไป พ่อตู้จะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์แล้วนะ ว่าแล้วก็ลอยขึ้นไปสู่อากาศจนมองสุดสายตา จากนั้น จิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิ
ข้าพเจ้าได้ใช้ปัญญาพิจารณาดูในเรื่องของพ่อตู้อ้วนนี้ทั้งหมด เห็นว่าเป็นอุบายสอนใจให้คนทั้งหลายได้เกิดความสำนึกตัวได้ดีมากทีเดียว ข้าพเจ้าจะอธิบายในเรื่องการยึดติดในวัตถุทั้งหลายให้ทราบดังนี้ ความยึดติดทางใจนี้เป็นความยึดติดที่เหนียวแน่นมากและยากที่จะรู้ตัว กำลังความหนักหน่วงจะเป็นลูกถ่วงภายในใจอย่างมืดมิดทีเดียว บุญกุศลอื่นใดที่ทำมาแล้วและสิ้นเงินไปอย่างมหาศาลมาแล้ว ไม่ว่าเท่าไรก็ตาม ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ก่อน จิตจะออกจากร่างกายนี้ไป จึงเป็นโค้งสุดท้ายของชีวิตที่จะเบนเข็มทิศชี้ทางให้ใจได้เปลี่ยนไป ถ้าใจไปยึดติดอยู่กับสิ่งใด ใจก็จะไม่ยอมถอนตัว ถึงบุญกุศลจะสร้างมาแล้วมากน้อยเท่าไรไม่สำคัญ บุญกุศลนั้นจะผลักด้นให้จิตหลุดออกจากการยึดติดนั้นไม่ได้ บุญกุศลนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ยังมีแฝงอยู่ที่ใจนั่นเอง แต่ไม่สนใจกับบุญกุศลที่มีอยู่ มีแต่ความลุ่มหลงในการยึดติดในสิ่งนั้น ๆ จนลืมตัว จะยึดติดนานเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์หลายอย่าง ใจบางคนก็กลับได้ช้า ใจบางคนก็กลับได้เร็ว เหตุปัจจัยที่จะให้ใจถอนตัวออกจากความยึดมั่นต้องได้พูดกันยาวมาก เพราะเหตุปัจจัยในการยึดติดนั้นไม่เหมือนกัน ความหลงตัว การลืมตัว ก็มีความตื้นลึกหนาบางต่างกัน
ฉะนั้น การยึดติดจึงมีอำนาจกว่าบุญกุศลทั้งหลาย ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ บุคคลในโลกนี้ที่จะไปสู่สุคติได้ เท่ากันกับเขาโค บุคคลที่จะไปสู่ทุคติในอบายภูมินั้น เหมือนกันกับขนโค ดูซิว่า โคตัวหนึ่งมีเขามีขนมากต่างกันทีเดียว นี่ก็เพราะความยึดติดของใจที่ฝังแน่นอยู่ในสิ่งที่เรารัก เพราะความยึดติดนั้น เป็นภพที่จะไปสู่ชาติคือความเกิดนั่นเอง ดังคำของนักปราชญ์พูดไว้ว่า ถ้าใจหนักไปในทางกุศล บุญกุศลนั้น ก็จะนำพาไปสู่สวรรค์ ถ้าใจหนักไปในทางบาปอกุศล บาปอกุศลนั้นก็จะนำพาไปทุคติ คำพูดของ
นักปราชญ์อย่างนี้ส่วนมากจะมีความเข้าใจตรง ๆ ไปเลย เช่น คำว่า ผู้มีความหนักแน่นในทางบุญก็จะต้องทำบุญมาก ๆ มีปัจจัย ๔ คือ จีวรผ้านุ่งห่ม อาหารการฉันนานาชนิด สร้างเสนาสนะ มีอุโบสถศาลา กุฏิ วิหาร เป็นต้น หรือยารักษาโรคต่าง ๆ ตามที่เราทำกันอยู่ในขณะนี้ อีกอย่างหนึ่ง คือ หนักไปทางทำบาปอกุศล ก็จะเข้าใจว่าผู้นั้นต้องฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทำผิดประเวณี พูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล กินเหล้ายาที่เป็นของมึนเมาต่าง ๆ คำนี้จะอธิบายให้ฟังในที่นี้เลยว่า คำว่าทำบุญมาก หรือทำบาปมากนั้น มิใช่ว่าจะเอาเรื่องของการกระทำนั้นมาเป็นเครื่องตัดสินแต่อย่างเดียวเท่านั้น คำว่า มาก ในที่นี้ หมายเอาในชั่วขณะที่จิตจะออกจากร่างกายไปเท่านั้น ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คือ ในขณะลมหายใจจะหมดไปนี่เองที่เป็นจุดสำคัญ ในช่วงนาทีสุดท้ายนี้ เมื่อใจเกิดความวิตกขึ้นมา หรือเรียกว่า นิมิตหมายที่จะทำให้ใจมากไปในทางใด ก็จุดนี้แหละจะเป็นเครื่องตัดสิน ถ้าใจมีนิมิตหมายไปในทางบาปมาก เมื่อตายไปก็จะไปสู่อบายภูมิ ถ้าใจมีนิมิตหมายไปในทางบุญกุศลมาก เมื่อตายไปก็จะได้ไปสู่สุคติสวรรค์ ฉะนั้น ขอให้ท่านได้พิจารณาในเรื่องคำว่า มาก นี้ให้ชัดเจนด้วยเหตุด้วยผลที่ถูกต้องตามหลักความเป็นจริงด้วยเทอญ
การออกบวช
การออกบวชในครั้งนี้ ตั้งใจเอาไว้อย่างสูงมาก เพราะได้มาพิจารณาความเป็นอยู่ของฆราวาสว่า เป็นอุปสรรคมากในการที่จะรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมระดับสูง เพราะภาระของฆราวาสมีปัญหาในการรับผิดชอบมากมาย ไม่มีอิสระที่จะภาวนาปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันได้ ฉะนั้น จึงได้ออกบวชตามความตั้งใจ ถึงจะมีอุปสรรคขัดขวางอยู่บ้างก็แก้ปัญหานั้นไปได้ จากนั้น ก็เข้ามามอบกายถวายตัวกับครูอาจารย์ เมื่อรู้ตัวเองว่าบวชได้แล้ว ความหนักหน่วงในหัวใจในครั้งที่แบกหามโลกอยู่ ก็ได้หลุดออกไปจากจิตใจ มีความร่าเริงเบิกบานอยู่ตลอดเวลา เป็นใจที่มีอิสระ ไม่มีภาระภายนอกมาผูกพัน และความมั่นใจในตัวเองนั้นสูงมาก คือชีวิตเราทั้งชาติจะมอบไว้กับเพศนักบวชนี้ไปจนตลอดวันตาย เมื่อถึงกำหนดวันบวชก็ยิ่งมีความอิ่มเอิบภายในใจมาก
ทีเดียว และมีอุบายสอนใจตัวเองอยู่เสมอว่า วันนี้เราจะได้บวชเป็นพระอยู่แล้ว การบวชเป็นพระของเราในครั้งนี้ เราบวชทั้งกาย และบวชทั้งใจ ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เพื่อทำประโยชน์ตนให้ถึงพร้อมตามที่เราได้กำหนดเป้าหมายเอาไว้ให้สมบูรณ์ แล้วจะได้ทำประโยชน์ท่านที่เป็นส่วนรวมต่อไป
ได้เวลาแล้วก็เข้าสู่พระอุโบสถ ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มี พระธรรมเจดีย์ (จูม) พนฺธุโล เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้ตั้งฉายาให้ว่า ขิปฺปปญฺโญ มี พระธรรมบัณฑิต (องค์ปัจจุบัน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าคุณจันโทปมาจารย์เป็นพระอนุศาสนาจารย์ อุปสมบทวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ เมื่ออายุย่างเข้า ๒๗ ปี เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขมวนาราม บ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
พรรษาที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๐๔
เมื่อเข้าพรรษาในปีนี้ นึกหาข้อวัตรปฏิบัติว่ามีอะไรบ้างที่จะเป็นอุบายในการทำความเพียรให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงนึกขึ้นได้ในอุบายหนึ่งว่า สัจจะ ถ้าเรามีสัจจะประจำใจตัวเองแล้ว และยืนหยัดอยู่ในความจริงใจที่ตั้งไว้แล้ว ไม่เป็นผู้โกหกพกลมแก่ตนเอง เราจะต้องเป็นนักปฏิบัติที่
จริงจัง เราจะมีสัจจะเป็นหลักยืนตัวที่มั่นคง เพื่อไม่ให้การปฏิบัติมีความย่อหย่อนหละหลวม ไม่ให้เกิดความล่าช้าที่จะให้ถึงจุดหมายปลายทางในชาตินี้ ฉะนั้น เราจะมีสัจจะบังคับใจตัวเอง รีบเร่งในการปฏิบัติให้เต็มที่ ถ้าเรามีสัจจะที่เข้มแข็งก็สามารถบังคับความเกียจคร้าน คือ เห็นแก่หลับนอน เห็นแก่การเล่นมั่วสุมอยู่กับหมู่คณะ อันจะทำให้เสียเวลาไป
เปล่า ๆ เพราะวันหนึ่ง คืนหนึ่ง หรือชั่วโมงหนึ่ง ก็มีคุณค่าในการปฏิบัติธรรม ฉะนั้น ในพรรษานี้ เราจะภาวนาปฏิบัติให้เต็มที่ สติปัญญา ศรัทธา ความเพียร มีเท่าไรก็จะทุ่มเทให้เต็มตัว
มีสัจจะบังคับใจตนเอง
ในวันเข้าพรรษาก็ได้พิจารณาข้อวัตรปฏิบัติที่ตัวเองได้วางเอาไว้ และใช้สัจจะเป็นที่ตั้ง เพื่อให้ข้อวัตรปฏิบัติเกิดความมั่นคง สามารถปฏิบัติให้ได้ครบถ้วนทุกประการ จึงได้เกิดความ
มั่นใจในตนเองว่า จะปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในพรรษานี้ให้ได้ และมองเห็นความสิ้นสุดแห่งทุกข์ ความหลุดพ้นไปจากวัฏสงสาร เหมือนในชั่วเอื้อมมือเดียวเท่านั้น ทั้งยังมีความมั่นใจในตัวเองว่า นับแต่วันเริ่มเข้าพรรษานี้ไป จะให้รู้กันภายใน ๗ วันเท่านั้น นี่ไม่ใช่พูดโอ้อวด แต่พูดจากความ
รู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจเท่านั้น ความรู้สึกภายในใจอย่างนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรนั้น ก็ให้อ่านติดตามกันไป
พอเข้าพรรษาในวันแรก ก็เริ่มทำความเพียรอย่างหนัก อาศัยสัจจะบังคับตัวเองเต็มที่ และมีความกล้าหาญกล้าเสียสละ ไม่คิดเสียดายแม้กระทั่งชีวิต ถึงจะตายไปเพราะการทำความเพียรในขณะนี้ก็ยอม จะได้บูชาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม และคุณของพระอริยสงฆ์ไปเลย และรู้ตัวเองอยู่เสมอว่าเราได้ตั้งใจไว้เพียง ๗ วันเท่านั้น จากนั้น เร่งความเพียรให้เต็มที่ สติปัญญามีเท่าไรก็ทุ่มเทให้เต็มกำลัง และอยู่ในอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง เท่านั้น อิริยาบถทั้ง ๓ นี้ จะมีความเพียรอยู่ตลอดเวลา เดินบิณฑบาตก็มีความเพียร นั่งฉันอาหารก็มีความเพียร ตลอดทำกิจวัตรต่าง ๆ ก็มีความเพียร ความเพียรในที่นี้ คือ มีสติปัญญาอยู่ภายในใจนั่นเอง ในช่วงทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ ๓ นี้ จะเป็นตายอย่างไรไม่สำคัญ ถึงธาตุขันธ์จะมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างไรก็ต้องอดทน ตัดสินใจฝืนไปว่าถึงธาตุขันธ์จะแตกหักต้านทานความความเพียรไม่ไหว จะตายไปในขณะนี้ก็ยอม ไม่หวั่นไหวในความตายแม้แต่น้อยเลย เพราะความเกิดความตายเราได้ผ่านมาแล้วทุกภพทุกชาติ แต่บัดนี้ เราจะทำความเพียรให้เต็มที่ ธาตุขันธ์มันจะตายก็ให้มันตายไป ถ้าใจยังมีเชื้อของกิเลสอยู่ก็มาเกิดอีกใหม่ได้ ในช่วง ๗ วันนี้ ชีวิตเราจะหมดไปวินาทีใด เราก็พร้อมแล้วทุกลมหายใจ
เกิดนิมิตเตือนใจ
ในคืนที่ ๗ นับแต่ได้เข้าพรรษามา ถือว่าเป็นวันสำคัญ เป็นวันสุดท้ายแห่งชีวิต ในช่วงนั้น ได้เกิดทุกขเวทนาทางกายขึ้นอย่างหนัก ความเจ็บปวดในร่างกายมีความเจ็บปวดรุนแรงมากขึ้น แทบจะเดินจงกรมนั่งสมาธิไม่ได้เลย เพราะธาตุขันธ์ต้านทานความเพียรไม่ไหว จำเป็นต้องอาศัยสัจจะเป็นกำลังบังคับตัวเองเต็มที่ ทั้งใช้ปัญญาพิจารณาเตือนตัวเองว่า นี่ทูล ตัวเองเป็นพระกรรมฐาน เป็นนักปฏิบัติที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญและกล้าตาย ยอมเสียสละได้แม้กระทั่งชีวิต เพียงมีความทุกข์เจ็บปวดเท่านี้ ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งส่วนร้อยของพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าทำความเพียรจนถึงขึ้นสลบไสลแล้วฟื้นขึ้นมาหลายครั้ง พระองค์ก็ยังไม่ท้อถอยในความเพียรนี้เลย นี่เราผู้หวังติดตามพระพุทธเจ้า เราก็อย่ายอมแพ้ในความเกียจคร้านในการปฏิบัติธรรม จึงขอมอบกายถวายชีวิตนี้เพื่อเป็นดอกไม้ธูปเทียนบูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระธรรม และบูชาคุณพระ
อริยสงฆ์ ด้วยสัจจะที่ได้ตั้งไว้นี้เถิด เมื่อได้ทอดอาลัยในชีวิตสังขารอย่างนี้แล้ว จากนั้น ก็รีบเร่งภาวนาปฏิบัติให้สุดกำลัง ทั้งเดินจงกรม นั่งสมาธิ ทั้งใช้ปัญญาพิจารณาในสรรพสังขารทั้งหลายให้เป็นไปในสัจธรรม คือไตรลักษณ์ อยู่เสมอ เมื่อเหนื่อยจากการใช้ปัญญาก็กำหนดจิตในการทำสมาธิต่อไป
ในขณะนั่งสมาธิ จิตได้สงบลงเต็มที่ไม่รู้ว่านานเท่าไร จากนั้น จิตก็เริ่มจะถอนตัว ในขณะที่จิตเริ่มจะถอนนี้เอง จึงได้เกิดความรู้ขึ้นที่ใจว่า ผลไม้ยังไม่แก่จะบังคับให้สุกนั้นไม่ได้ จากนั้น จิตก็ถอนออกมา จึงได้พิจารณาดูตามความรู้ที่ได้เกิดขึ้น ดูก็มีเหตุผลที่พอจะเชื่อถือได้ เพราะเราก็เพิ่งบวชเข้ามาได้เพียง ๗ วันเท่านั้น จะมาบังคับให้กิเลสตัณหาหลุดออกไปจากใจในขณะนี้ยังไม่ได้ จำเป็นจะต้องคอยอีกระยะหนึ่ง จากนั้น ก็ตั้งใจให้มีความหวังไว้ว่า เมื่อถึงวันปวารณาออกพรรษาก็จะแก่เต็มที่ ในวันนั้น ก็จะเป็นวันตัดสินกันว่าจะหลุดพ้นไปได้หรือไม่ ถึงจะคาดหมายเอาไว้ในวันออกพรรษาก็ตาม แต่ความเพียรก็ปฏิบัติต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา เป็นอันว่าจะภาวนาให้หลุดพ้นภายใน ๗ วัน ก็เป็นโมฆะไป จึงได้ตั้งใจไว้ในวันปวารณาเป็นวันตัดสินอีกครั้งหนึ่ง การปฏิบัติภาวนาก็ไม่ขาดวรรคตอน ความตั้งใจก็ยังคงเส้นคงวา สติปัญญาก็มีความมั่นคง การปฏิบัติภาวนาก็ต่อเนื่องกันมาตลอด การปฏิบัติผ่านมาได้ ๑ เดือน ก็เกิดนิมิตขึ้นอีก