ข้อความโดย: ต๊ะติ้งโหน่ง
« เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 08:12:09 pm »กุรุงคมิคชาดก ว่าด้วยกวางกุรุงคะ
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นกวาง เที่ยวเคี้ยวกินผลาผลทั้งหลายในราวป่าแห่งหนึ่ง ในคราวหนึ่ง กวางนั้นกิน ผลมะรื่นที่ต้นมะรื่นอันมีผลสะพรั่ง ลำดับนั้น มีพรานนั่งห้างชาวบ้านคนหนึ่ง พิจารณารอยเท้าเนื้อทั้งหลายแล้ว จึงผูกห้างบนต้นไม้ แล้วนั่งบนห้างนั้น เอาหอกแทงพวกเนื้อที่มากินผลไม้ แล้วขายเนื้อของเนื้อเหล่านั้นเลี้ยงชีวิต
วันหนึ่ง พรานนั้นเห็นรอยเท้าของพระโพธิสัตว์ที่โคนต้นไม้นั้น จึงผูกห้างบนต้นมะรื่นนั้น แล้วบริโภคอาหารแต่เช้าตรู่ แล้วถือหอกเข้าป่าขึ้นไปยังต้นไม้นั้นแล้วนั่งห้าง ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ออกจากที่อยู่แต่เช้าตรู่มาด้วยหวังว่าจักกินผลมะรื่น แต่ก็ไม่ได้ผลุนผลันเข้าไปที่โคนต้นไม้นั้น คิดว่า บางคราวพวกพรานนั่งห้างจะผูกห้างบนต้นไม้ อันตรายเช่นนี้มีไหมหนอ จึงได้ยืนพิจารณาอยู่แต่ภายนอก
ฝ่ายนายพรานรู้ว่าพระโพธิสัตว์ไม่เข้ามา ก็โยนผลมะรื่นจากบนห้างให้ตกลงข้างหน้าพระโพธิสัตว์นั้น พระโพธิสัตว์คิดว่า ผลเหล่านี้มาตกลงข้างหน้าเรา เบื้องบนต้นไม้นั้นมีนายพรานหรือหนอ เมื่อแลดูบ่อย ๆ ก็เห็นนายพราน แต่ทำเป็นไม่เห็นพูดว่า ต้นไม้ผู้เจริญ เมื่อก่อนท่านให้ผลไม้ทั้งหลายตกลงตรง ๆ เหมือนเขย่าผลที่ห้อยอยู่ฉะนั้น บัดนี้ท่านละทิ้งรุกขธรรมเสียแล้ว เมื่อท่านละทิ้งรุกขธรรมเสียอย่างนี้ เราจักเข้าไปยังโคนต้นไม้ต้นอื่น แสวงหาอาหารของเรา
ลำดับนั้น นายพรานทั้งที่นั่งอยู่บนห้างนั่นแล ก็พุ่งหอกไปเพื่อฆ่าพระโพธิสัตว์นั้น แล้วกล่าวว่า ท่านจงไปเถิด เรานี้ผิดหวังท่านยิ่งนัก พระโพธิสัตว์ก็หันกลับมายืนกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ บัดนี้ท่านผิดหวังเราก็จริง แต่ ถึงกระนั้นท่านจะไม่ผิดหวังมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๖ ขุม และกรรมกรณ์ทั้งหลายมีการจองจำ ๕ ประการเป็นต้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ได้ไปตามชอบใจ ฝ่ายนายพรานลงมาแล้วก็ไปตามความชอบใจของตนเช่นกัน
แม้พระศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเราในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ตะเกียกตะกายแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดก ว่า นาย พรานนั่งห้างในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัต ส่วนกวางในครั้งนั้นได้เป็น เราแล.
จบกุรุงคมิคชาดก
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นกวาง เที่ยวเคี้ยวกินผลาผลทั้งหลายในราวป่าแห่งหนึ่ง ในคราวหนึ่ง กวางนั้นกิน ผลมะรื่นที่ต้นมะรื่นอันมีผลสะพรั่ง ลำดับนั้น มีพรานนั่งห้างชาวบ้านคนหนึ่ง พิจารณารอยเท้าเนื้อทั้งหลายแล้ว จึงผูกห้างบนต้นไม้ แล้วนั่งบนห้างนั้น เอาหอกแทงพวกเนื้อที่มากินผลไม้ แล้วขายเนื้อของเนื้อเหล่านั้นเลี้ยงชีวิต
วันหนึ่ง พรานนั้นเห็นรอยเท้าของพระโพธิสัตว์ที่โคนต้นไม้นั้น จึงผูกห้างบนต้นมะรื่นนั้น แล้วบริโภคอาหารแต่เช้าตรู่ แล้วถือหอกเข้าป่าขึ้นไปยังต้นไม้นั้นแล้วนั่งห้าง ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ออกจากที่อยู่แต่เช้าตรู่มาด้วยหวังว่าจักกินผลมะรื่น แต่ก็ไม่ได้ผลุนผลันเข้าไปที่โคนต้นไม้นั้น คิดว่า บางคราวพวกพรานนั่งห้างจะผูกห้างบนต้นไม้ อันตรายเช่นนี้มีไหมหนอ จึงได้ยืนพิจารณาอยู่แต่ภายนอก
ฝ่ายนายพรานรู้ว่าพระโพธิสัตว์ไม่เข้ามา ก็โยนผลมะรื่นจากบนห้างให้ตกลงข้างหน้าพระโพธิสัตว์นั้น พระโพธิสัตว์คิดว่า ผลเหล่านี้มาตกลงข้างหน้าเรา เบื้องบนต้นไม้นั้นมีนายพรานหรือหนอ เมื่อแลดูบ่อย ๆ ก็เห็นนายพราน แต่ทำเป็นไม่เห็นพูดว่า ต้นไม้ผู้เจริญ เมื่อก่อนท่านให้ผลไม้ทั้งหลายตกลงตรง ๆ เหมือนเขย่าผลที่ห้อยอยู่ฉะนั้น บัดนี้ท่านละทิ้งรุกขธรรมเสียแล้ว เมื่อท่านละทิ้งรุกขธรรมเสียอย่างนี้ เราจักเข้าไปยังโคนต้นไม้ต้นอื่น แสวงหาอาหารของเรา
ลำดับนั้น นายพรานทั้งที่นั่งอยู่บนห้างนั่นแล ก็พุ่งหอกไปเพื่อฆ่าพระโพธิสัตว์นั้น แล้วกล่าวว่า ท่านจงไปเถิด เรานี้ผิดหวังท่านยิ่งนัก พระโพธิสัตว์ก็หันกลับมายืนกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ บัดนี้ท่านผิดหวังเราก็จริง แต่ ถึงกระนั้นท่านจะไม่ผิดหวังมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๖ ขุม และกรรมกรณ์ทั้งหลายมีการจองจำ ๕ ประการเป็นต้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ได้ไปตามชอบใจ ฝ่ายนายพรานลงมาแล้วก็ไปตามความชอบใจของตนเช่นกัน
แม้พระศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเราในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ตะเกียกตะกายแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดก ว่า นาย พรานนั่งห้างในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัต ส่วนกวางในครั้งนั้นได้เป็น เราแล.
จบกุรุงคมิคชาดก