ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 12, 2011, 10:51:20 am »อุทยมาณพปัญหาที่ ๑๓
ข้าพระเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามถึงปัญหา จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงนั่งบำเพ็ญฌาน มีพระสันดานปราศจากกิเลสธุลี หาอาสวะมิได้ ได้ทรงทำกิจที่จะต้องทำเสร็จแล้ว บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ขอพระองค์จงทรงแสดงธรรมเป็นเครื่องพ้น (จากกิเลส) ที่ควรรู้ทั่วถึง เป็นเครื่องทำลายอวิชชา ความเขลา ไม่รู้แจ้งเสีย
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องละความพอใจในกาม และโทมนัสเสียทั้งสองอย่าง เป็นเครื่องบรรเทาความง่วง เป็นเครื่องห้ามความรำคาญมีอุเบกขากับสติเป็นธรรมบริสุทธิ์ มีความตรึกประกอบด้วยธรรมเป็นเบื้องหน้า ว่าเป็นธรรมเครื่องพ้น (จากกิเลส) ที่ควรรู้ทั่วถึง เป็นเครื่องทำลายอวิชชา ความเขลาไม่รู้แจ้งเสีย
อ. โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่านิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละอะไรได้
พ. โลกมีความเพลิดเพลินผูกพันไว้ ความตรึกเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั้น ท่านกล่าวกันว่า นิพพาน ๆ ดังนี้ เพราะละตัณหาเสียได้
อ. เมื่อบุคคลมีสติระลึกอย่างไรอยู่วิญญาณจึงจะดับ
พ. เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินเวทนา ทั้งภายในภายนอก มีสติระลึกอย่างนี้วิญญาณจึงดับ
โปสาลมาณพปัญหาที่ ๑๔
ข้าพระเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามปัญหา จึงได้มาเฝ้าพระองค์ ผู้ทรงสำแดงพระปรีชาญาณในกาลเป็นอดีตไม่ทรงหวั่นไหว (เหตุสุขทุกข์) มีความสงสัยอันตัดเสียได้แล้ว บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ข้าพระเจ้าขอทูลถามถึงญาณของบุคคลผู้ความกำหนดหมายในรูปแจ้งชัด (คือได้บรรลุปฐมฌานแล้ว) ละรูปารมณ์ทั้งหมดได้แล้ว (ล่วงรูปฌานไปแล้ว) เห็นอยู่ทั้งภายในภายนอกว่า ไม่มีอะไรสักน้อยหนึ่ง (คือได้บรรลุอรูปฌานที่เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ) บุคคลเช่นนั้น จะควรแนะนำสั่งสอน ให้ทำอย่างไรต่อไป ?
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า พระตถาคตเจ้าทรงทราบภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณทั้งหมด จึงทรงทราบบุคคลผู้เช่นนี้ แม้ยังอยู่ในโลกว่า มีอัธยาศัยน้อมไปในอากิญจัญญายตนภพ มีอากิญจัญญายตนภพ เป็นที่ไปในเบื้องหน้า บุคคลเช่นนั้นรู้ว่ากรรมอันเป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพ มีความเพลิดเพลินยินดี เป็นเครื่องประกอบดังนี้แล้ว สำคัญนั้น ย่อมพิจารณาเห็นสหชาติธรรมในอากิญจัญยายตนฌาน นั้น (คือ ธรรมที่เกิดพร้อมกันกับฌานนั้น) แจ้งชัดโดยลักษณะสาม (คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว) ข้อนี้เป็นสัญญาณอันถ่องแท้ของพราหมณ์เช่นนั้น ผู้มีพรหมจรรย์ได้ประพฤติจบแล้ว
โมฆราชมาณพปัญหาที่ ๑๕
ข้าพระเจ้าได้ทูลถามปัญหาถึงสองครั้งแล้ว พระองค์ไม่ทรงแก้ประทานแก่ข้าพระเจ้า ๆ ได้ยินว่า ถ้าทูลถามถึงสามครั้งแล้ว พระองค์ทรงแก้ ครั้นว่าอย่างนี้แล้ว ทูลถามปัญหาเป็นคำรบ ๑๕ ว่า โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี พรหมโลกกับทั้งเทวโลกก็ดี ย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ เหตุฉะนี้จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ ผู้ทรงพระปรีชาเห็นล่วงสามัญชนทั้งปวงอย่างนี้ ข้าพระเจ้าจักพิจารณาเห็นโลกอย่างไร ? มัจจุราช (ความตาย) จึงจักไม่แลเห็น คือ ว่าจักไม่ตามทัน
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่าถอนความเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้ และมัจจุราชจึงไม่แลเห็น
ปิงคิยมาณพปัญหาที่ ๑๖
ข้าพระเจ้าเป็นคนแก่แล้ว ไม่มีกำลัง มีผิวพรรณสิ้นไปแล้ว ดวงตาของข้าพระเจ้าก็เห็นไม่กระจ่าง หูก็ฟังไม่สะดวก ขอข้าพระเจ้าอย่าเป็นคนหลงฉิบหายเสีย ในระหว่างเลย ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมที่ข้าพระเจ้าควรรู้ เป็นเครื่องละชาติ ชรา ในอัตภาพนี้เสีย
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่า ท่านเห็นว่าชนทั้งหลายผู้ประมาทแล้ว ย่อมเดือดร้อนเพราะรูปเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น ท่านจะเป็นคนไม่ประมาท ละความพอใจในรูปเสีย จะได้ไม่เกิดอีก
ปิ. ทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ ทั้งทิศเบื้องบน เบื้องต่ำ ที่พระองค์ไม่ได้เห็น แล้วไม่ได้ฟังแล้ว ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้รู้แล้ว แม้น้อยหนึ่งมิได้มีในโลก ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมที่ข้าพระองค์ควรรู้ เป็นเครื่องละชาติ ชราในอัตภาพนี้เสีย
พ. เมื่อท่านเห็นหมู่มนุษย์ อันตัณหาครอบงำแล้ว มีความเดือดร้อนเกิดแล้ว อันชราถึงรอบข้างแล้วเหตุนั้น ท่านจะเป็นคนไม่ประมาท ละตัณหาเสีย จะได้ไม่เกิดอีก
Credit by : http://www.heritage.thaigov.net/religion/religion.htm
ภาพจากอินเตอร์เนต..
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย.. อนุโมทนาสาธุค่ะ..
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ...