ก้อนเมฆไม่เคยตายก่อนที่พระพุทธองค์จะปรินิพพานไป พระพุทธองค์ได้
สอนบทคาถาที่สวยงาม
ที่มีชื่อเป็นภาษาบาลีของเถรวาท ในพระสูตรมหาปรินิพพานว่า
"สังขารเป็นอนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมา
เป็นอนิจจัง
เป็นปรากฏการณ์ที่จะต้อง ผ่านการเกิดและการตาย
เมื่อธารแห่ง "การเกิดและการตาย" นั้นจบสิ้นลง
นิพพาน ก็กลายเป็นแหล่งแห่ง ความสุข"
เมื่อ
ความคิดเห็นเรื่องการเกิดและการดับ
ได้ถูกถอดถอนออกไป
การดับสิ้นซึ่งความคิดเห็นนั้นเราเรียกว่า
ความสุข เราอาจแบ่งบทคาถานี้ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนต้นคือสองประโยคแรกซึ่งหมายถึง
ภาวะที่ยังมีการเกิดการดับ สองประโยคสุดท้ายคือ
เป็นความจริงอันสูงสุด หรือ
ปรมัตถ์ธรรม สองประโยคแรกนี้พูดถึง
ความเป็นจริงเปรียบเทียบ หมายถึงปรากฏการณ์ต่างๆ สรรพสิ่งต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมานั้นเป็น
อนิจจัง เพราะทั้งหมดจะต้องผ่านการเกิดการตาย เวียนว่ายอยู่ในนั้น เป็นประโยคที่พูดอยู่ใน
โลกธรรม ส่วนสองประโยคสุดท้ายพูดถึง
ความเป็นจริงอันสูงสุด หรือ
ปรมัตถ์ธรรมเมื่อเราได้ถอดถอนความคิดเห็นเรื่องของการเกิดการดับ เราก็จะพบความสุขที่แท้จริง เพราะว่าการเกิดการดับเป็นเพียงความคิดเห็น ไม่ใช่ความเป็นจริง เมื่อเราฝึกอย่างลึกซึ้ง เราจะมองเห็นว่าภาพข้างนอกเหมือนกับมีการเกิดการตายอยู่ แต่เมื่อมองอย่างลึกซึ้งเธอจะเห็นว่า ไม่มีการเกิด-การตาย ไม่มีการเกิด-การดับ
เมื่อเรามองไปที่เมฆบนท้องฟ้า เราจะเห็นว่าเมฆไม่เคยตาย เมฆไม่เคยดับไป
เมฆนั้นไม่เคยตายไปจากความไม่มีอะไรไปเป็นสิ่งที่มีอะไร แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เมฆนั้นจะเกิดขึ้นมา เพราะว่ามีการเกิดขึ้นนั้นหมายถึง จากที่ไม่มีอะไร เธอได้เกิดเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง จากที่ไม่เคยเป็นใคร เธอเกิดขึ้นมาเป็นใครคนหนึ่ง เมฆไม่เคยเป็นแบบนั้น ก่อนที่จะเกิดขึ้นมาเป็นเมฆ เมฆได้เป็นอะไรสักอย่างมาก่อนแล้ว เช่น เป็นมหาสมุทร เป็นไอร้อนที่สร้างขึ้นจากพระอาทิตย์ ฉะนั้นเมฆไม่ได้มาจากสิ่งที่ไม่มีอะไรแล้วกลายมาเป็นเมฆ
ธรรมชาติของเมฆจึงเป็นธรรมชาติของการไร้การเกิดไร้การตายธรรมบรรยายโดยท่านติช นัท ฮันห์