ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 24, 2011, 08:20:13 pm »[๙๕-๙๗] บัดนี้ พระสารีบุตรละอาการ ๙ เหล่านั้นในลำดับวาระแห่งอาการ ๙ แล้วประกอบด้วยบทแห่งปัจจัยอาศัยเหตุ แล้วชี้แจงวาระ ๓ มีอาทิว่า อวิชฺชา เหตุ, สงฺขารา เหตุสมุปฺปนฺนํ - อวิชชาเป็นเหตุ สังขารทั้งหลายอาศัยเหตุเกิดขึ้น ในวาระแห่งอาการ ๙ ท่านกล่าวปัจจัยด้วยสามารถเป็นชนกอุปถัมภกปัจจัย - ปัจจัยอุดหนุนให้เกิด,
ในที่นี้ บทว่า เหตุ ได้แก่ ความเป็นชนกปัจจัย เพราะเหตุวาระและปัจจยวาระมาต่างหากกัน.
บทว่า ปจฺจโย พึงทราบความเป็นอุปถัมภกปัจจัย เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นแม้อย่างหนึ่งๆ ก็เกิดโดยประการทั้งสอง.
พึงทราบวินิจฉัยในปฏิจจวาระดังต่อไปนี้
บทว่า อวิชฺชา ปฏิจฺจ - อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไป.
ความว่า อวิชชา ชื่อว่า ปฏิจฺจา เพราะต้องถึงต้องไปเฉพาะหน้าด้วยสังขารทั้งหลาย เพราะเพ่งอวิชชา เป็นเหตุของสังขารทั้งหลายในความเกิดของตน.
ด้วยบทนี้เป็นอันท่านกล่าวถึงความที่อวิชชาสามารถให้สังขารเกิด.
บทว่า สงฺขารา ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา - สังขารทั้งหลายอาศัยอวิชชาเกิดขึ้น.
ความว่า สังขารทั้งหลายมิได้เกิดขึ้นเสมอโดยมิได้อาศัยอะไร เพราะต้องอาศัยอวิชชาแล้ว จึงเกิดขึ้นเป็นไปอยู่.
แม้ในบทที่เหลือก็พึงประกอบโดยสมควรแก่ลิงค์อย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า อวิชฺชา ปฏิจฺจ - อวิชชาอาศัยปัจจัยเป็นไปด้วยสามารถความขวนขวาย แต่ความในบทนี้พึงประกอบด้วยปาฐะที่เหลือว่า อวิชชาอาศัยปัจจัยของตนเป็นไป.
แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น.
ในวาระแม้ ๔ อย่างเหล่านี้ ท่านชี้แจงธรรมฐิติญาณด้วยสามารถแห่งองค์ ๑๑ มีอวิชชาเป็นต้น เพราะธรรมฐิติญาณควรชี้แจงด้วยสามารถปัจจัยแห่งองค์ปฏิจจสมุปบาท ๑๒. แต่ท่านไม่ชี้แจงด้วยสามารถชรามรณะนั้น เพราะชรามรณะตั้งอยู่ในที่สุด. ธรรมฐิติญาณด้วยสามารถชรามรณะนั้น ทำชรามรณะให้เป็นปัจจัยแห่งองค์ปฏิจจสมุปบาทเหล่านั้นแล้วพิจารณาควรทีเดียว เพราะแม้ชราและมรณะก็เป็นปัจจัยแห่งโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส.
[๙๘] บัดนี้ พระสารีบุตรประสงค์จะจำแนกองค์ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เหล่านั้น จึงแสดงสังเขป ๔ กาล ๓ สนธิ ๓ ด้วยอาการ ๒๐ แล้วจึงชี้แจงธรรมฐิติญาณ กล่าวบทมีอาทิว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ - ในกรรมภพก่อน ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ ได้แก่ ในกรรมภพก่อน.
อธิบายว่า เมื่อทำกรรมภพในอดีตชาติ.
บทว่า โมโห อวิชฺชา - โมหะเป็นอวิชชา. ความว่า หลงด้วยโมหะในทุกข์เป็นต้นแล้วทำกรรม, นั้นคืออวิชชา.
บทว่า อายูหนา สงฺขารา - กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร.
ความว่า เจตนาก่อนของผู้ทำกรรมนั้น, เจตนาก่อนเกิดขึ้นแก่ผู้คิดว่า เราจักให้ทานดังนี้ แล้วสละอุปกรณ์การให้เดือนหนึ่งบ้าง ปีหนึ่งบ้าง.
เจตนา ท่านกล่าวว่าภพ เพราะวางทักษิณาไว้บนมือของปฏิคคาหก. เจตนาในอาวัชชนะ ๑ หรือในชวนะ ๖ ชื่อว่ากรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร. เจตนาในชวนะที่ ๗ เป็นภพ.
อนึ่ง เจตนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นภพ, ชื่อว่าการประมวลมาเป็นสังขาร เพราะสัมปยุตด้วยเจตนานั้น.
บทว่า นิกนฺติ ตณฺหา - ความใคร่เป็นตัณหา.
ความว่า ความใคร่ ความปรารถนาในอุบัติภพอันเป็นผลของผู้ทำกรรม ชื่อว่าตัณหา.
บทว่า อุปคมนํ อุปาทานํ - ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน.
ความว่า การเข้าถึง คือ ความถือมั่นอันเป็นปัจจัยแห่งกรรมภพเป็นไปแล้วว่า เมื่อทำกรรมนี้จักสำเร็จความประสงค์ ดังนี้ก็ดี เราทำกรรมนี้แล้วจักได้เสวยกรรมในฐานะโน้น ดังนี้ก็ดี อัตตาคือตัวตน ขาดสูญ ขาดสูญด้วยดีแล้วก็ดี มีความสุขปราศจากความเดือดร้อนก็ดี บำเพ็ญศีลพรตได้โดยสะดวกก็ดี นี้ชื่อว่าอุปาทาน.
บทว่า เจตนา ภโว - เจตนาเป็นภพ ได้แก่เจตนาดังกล่าวแล้ว ในที่สุดแห่งการประมวลมา ชื่อว่าภพ.
บทว่า ปุริมกมฺมภวสฺมึ - ในกรรมภพก่อน ได้แก่ เมื่อทำกรรมภพไว้ในอดีตชาติ ธรรมเหล่านี้เป็นไปแล้ว.
บทว่า อิธ ปฏิสนฺธิยา ปจฺจยา - ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในภพนี้ ได้แก่ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในปัจจุบัน.
บทว่า อิธ ปฏิสนฺธิ วิญฺญาณํ - ปฏิสนธิเป็นวิญญาณในภพนี้ ได้แก่วิญญาณ ที่ท่านกล่าวว่าเป็นปฏิสนธิ เพราะภพปัจจุบันเกิดด้วยสามารถแห่งการสืบต่อกันในระหว่างภพนั้น ชื่อว่าวิญญาณ.
บทว่า โอกฺกนฺติ นามรูปํ - ความก้าวลงเป็นนามรูป ได้แก่ ความก้าวลงในครรภ์แห่งรูปธรรมและอรูปธรรม ดุจมาแล้วเข้าไป นี้ชื่อว่านามรูป.
บทว่า ปสาโท อายตนํ - ประสาทคือความผ่องใส เป็นอายตนะ ได้แก่ ความที่รูปผ่องใส นี้เป็นอายตนะ. ท่านทำเป็นเอกวจนะโดยถือเอาชาติ.
ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงอายตนะ ๕ มีจักขุเป็นต้น.
พึงทราบว่า แม้มนายตนะ ท่านก็กล่าวด้วยคำว่า ปสาทะ เพราะมนายตนะเป็นวิบากในที่นี้โดยพระบาลีว่า๑- ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺต, ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร, ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองด้วยอุปกิเลสที่จรมา ดังนี้.
ในพระบาลีนี้ ท่านประสงค์เอาภวังคจิต, และเพราะจิตนั้นผ่องใสด้วยความไม่มีสิ่งปฏิกูลด้วยกิเลส,
____________________________
๑- องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๐
บทว่า ผุฏฺโฐ ผสฺโส - ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ได้แก่ ส่วนที่ถูกต้องกระทบ เกิดอารมณ์ นี้ชื่อว่าผัสสะ.
บทว่า เวทยิตํ เวทนา - การเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ได้แก่ การเสวยวิบากเกิดร่วมกับผัสสะ ด้วยปฏิสนธิวิญญาณก็ดี ด้วยสฬายตนะเป็นปัจจัยก็ดี นี้ชื่อว่าเวทนา.
บทว่า อิธุปปตฺติภวสฺมึ ปุเรกตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจยา - ธรรม ๕ ประการในกรรมภพก่อน เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้.
ความว่า ธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปด้วยปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ อันเป็นวิบากภพในปัจจุบัน.
บทว่า อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานํ - เพราะอายตนะทั้งหลายในภพนี้แก่รอบ ท่านแสดงโมหะเป็นต้นในการทำกรรมของผู้มีอายตนะแก่รอบ.
บทว่า อายตึ ปฏิสนฺธิยา คือ เป็นปัจจัยแก่ปฏิสนธิในอนาคต.
บทมีอาทิว่า อายตึ ปฏิสนฺธิ วิญฺญาณํ - ปฏิสนธิในอนาคตเป็นวิญญาณ มีอรรถดังได้กล่าวแล้ว.
ท่านถือเอาอาการ ๒๐ เหล่านี้ด้วยองค์แห่งปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เป็นอย่างไร?
ท่านกล่าวธรรมทั้ง ๒ เหล่านี้โดยสรุปว่า อวิชฺชา สงฺขารา ดังนี้ว่าเป็นเหตุในอดีต.
ก็เพราะไม่รู้แจ้งจึงสะดุ้ง, สะดุ้งแล้วย่อมถือมั่น, เพราะการถือมั่นของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ, ฉะนั้นจึงเป็นอันท่านถือเอาแม้ตัณหาอุปาทานและภพ ด้วยการถือเอาธรรมทั้งสอง คืออวิชชาและสังขารเหล่านั้นด้วย.
ท่านกล่าวถึงวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะและเวทนา ในปัจจุบันโดยสรุป.
ท่านกล่าวตัณหา อุปาทานและภพว่าเป็นเหตุในปัจจุบัน โดยสรุป,
ก็เมื่อถือเอาภพแล้วก็เป็นอันถือเอาสังขารทั้งหลายอันเป็นส่วนเบื้องต้นของภพนั้นหรือสัมปยุตด้วยภพนั้น.
อนึ่ง สังขารทั้งหลายสัมปยุตด้วยภพนั้น ด้วยการถือตัณหาและอุปาทาน.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านถือเอาตัณหาที่คนลุ่มหลงทำกรรมว่า เป็นอวิชชา. ท่านกล่าวธรรมทั้ง ๒ ว่า ชาติชรามรณะในอนาคตโดยสรุป,
ก็ด้วยการถือเอาชาติชรามรณะนั่นแล จึงเป็นอันท่านถือผลในอนาคต ๕ มีวิญญาณเป็นต้นนั่นเอง.
เป็นอันท่านถือเอาอาการ ๒๐ ด้วยองค์ ๑๒ แห่งปฏิจจสมุปบาทเหล่านั้น ด้วยบทว่า ชาติชรามรณานิ ด้วยประการฉะนี้
อตีเต เหตุโย ปญฺจ อิทานิ ผลปญฺจกํ
อิทานิ เหตุโย ปญฺจ อายตึ ผลปญฺจกํ.
อาการ ๒๐ แห่งปัจจยาการ คือ ธรรมเป็นอดีตเหตุ ๕ อย่าง
ธรรมเป็นปัจจุบันผล ๕ อย่าง ธรรมเป็นปัจจุบันเหตุ ๕ อย่าง
ธรรมเป็นอนาคตผล ๕ อย่าง.
ท่านกล่าวความแห่งคาถานั้นไว้แล้ว,
บทว่า อิติเม แยกบทเป็น อิติ เม. ปาฐะว่า อิติ อิเม.
บทว่า จตุสงฺเขเป - มีสังเขป ๔ ได้แก่ มีกอง ๔.
ธรรมเป็นเหตุ ๕ อย่างในอดีต เรียกว่าเหตุสังเขป อย่างหนึ่ง.
ธรรมเป็นผล ๕ อย่างในปัจจุบัน เรียกว่าผลสังเขป อย่างหนึ่ง.
ธรรมเป็นเหตุ ๕ อย่างในปัจจุบัน เรียกว่าเหตุสังเขป อย่างหนึ่ง.
ธรรมเป็นผล ๕ อย่างในอนาคต เรียกว่าผลสังเขป อย่างหนึ่ง.
บทว่า ตโย อทฺเธ ได้แก่ ในกาล ๓.
อดีตกาล พึงทราบด้วยสามารถปัญจกะ คือ ธรรมหมวด ๕#- ที่ ๑, ปัจจุบันกาลพึงทราบด้วยสามารถปัญจกะที่ ๒ ที่ ๓, อนาคตกาลพึงทราบด้วยสามารถปัญจกะที่ ๔.
____________________________
#- ธรรมหมวด ๕ นี้ คือ อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน กรรมภพ.
บทว่า ติสนฺธึ - สนธิ ๓ ชื่อว่าติสันธิ เพราะอรรถว่ามีปฏิสนธิ ๓, ซึ่งปฏิสนธิ ๓ นั้น.
อธิบายว่า เหตุผลสนธิอย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งเหตุอดีตและผลปัจจุบัน, ผลเหตุสนธิอย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งผลปัจจุบันและเหตุอนาคต, เหตุผลสนธิอย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งเหตุปัจจุบันและผลอนาคต.
แต่ด้วยสามารถมาแล้วโดยสรุปใน ปฏิจฺจสมุปฺปาทปาลิ มีดังนี้
อวิชชา สังขารา เป็นสังเขปที่ ๑.
วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะและเวทนา เป็นสังเขปที่ ๒.
ตัณหา อุปาทาน ภพ เป็นสังเขปที่ ๓,
ชาติ ชรามรณะ เป็นสังเขปที่ ๔.
องค์ ๒ คือ อวิชชาและสังขาร เป็นอดีตกาล,
ธรรม ๘ มีวิญญาณเป็นต้น มีภพเป็นที่สุด เป็นปัจจุบันกาล,
องค์ ๒ คือ ชาติและชรามรณะ เป็นอนาคตกาล,
เหตุผลสนธิอย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งสังขารและวิญญาณ, ผลเหตุสนธิอย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งเวทนาและตัณหา, เหตุผลสนธิอย่างหนึ่งมีในระหว่างแห่งภพและชาติ.
บทว่า วีสติยา อากาเรหิ - อาการ ๒๐ ได้แก่ โดยส่วน ๒๐.
พึงเชื่อมความว่า พระโยคาวจรย่อมรู้ปฏิจจสมุปบาทมีสังเขป ๔ กาล ๓ สนธิ ๓ ด้วยอาการ ๒๐ ดังนี้.
ชานาตีติ สุตานุสาเรน ภาวนารมฺภญาเณน ชานาติ ฯ
บทว่า ชานาติ ได้แก่ ย่อมรู้ด้วยญาณ คือการเริ่มภาวนาโดยทำนองเดียวกับสุตะ - การฟัง.
บทว่า ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นสิ่งที่รู้แล้วด้วยญาณดุจเห็นด้วยตา และทำให้ถูกต้องแล้วดุจมะขามป้อมบนฝ่ามือ.
บทว่า อญฺญาติ - ย่อมรู้ทั่ว ได้แก่ ทำอาเสวนะโดยอาการที่เห็นแล้ว ชื่อว่าย่อมรู้ด้วยญาณ. ความแห่งศัพท์ว่า มริยาทะ ในที่นี้คืออาการ.
บทว่า ปฏิวิชฺฌติ - ย่อมแทงตลอด ได้แก่ ให้ถึงความสำเร็จด้วยการบำเพ็ญภาวนา ชื่อว่าทำการแทงตลอดด้วยญาณ.
อีกอย่างหนึ่ง ย่อมรู้ด้วยสามารถแห่งลักษณะ, ย่อมเห็นด้วยสามารถเป็นไปกับด้วยกิจ, ย่อมรู้ทั่วด้วยสามารถแห่งอาการปรากฏ, ย่อมแทงตลอดด้วยสามารถแห่งปทัฏฐาน
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาโท พึงทราบว่า ได้แก่ธรรมเป็นปัจจัย.
บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมอันเกิดขึ้นด้วยปัจจัยนั้นๆ.
หากถามว่า รู้ได้อย่างไร?
แก้ว่า ด้วยพระพุทธพจน์. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในเทศนาสูตรที่บัณฑิตกำหนดด้วยปฏิจจสมุปปาทะและปฏิจจสมุปปันนธรรมว่า
กตโม จ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท, ฯเปฯ อยํ
วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปปาโท.๒-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน?
เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ, พระตถาคตทรง
อุบัติก็ตาม ยังไม่ทรงอุบัติก็ตาม ธาตุนั้นเป็นธรรมฐิติ -
ยังตั้งอยู่โดยธรรมดา เป็นธรรมนิยาม - ความแน่นอน
อยู่โดยธรรมดา เป็นอิทัปปัจจยตา - ความอาศัยกันเกิด
ขึ้นยังคงมีอยู่, พระตถาคตตรัสรู้บรรลุธรรมนั้น, ครั้น
ตรัสรู้แล้ว บรรลุแล้ว ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ
ทรงตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงทำให้ง่าย ตรัสว่า
พวกเธอจงเห็น ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมี
ชราและมรณะ, เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ ฯลฯ เพราะ
อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร. พระตถาคตอุบัติก็ตาม ยัง
ไม่อุบัติก็ตาม ฯลฯ ย่อมทำให้ง่าย ตรัสว่า พวกเธอจงเห็น
ดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึง
มีสังขาร. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล ความ
จริงแท้แน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่น ชื่อว่าความที่สิ่งนี้เป็น
ปัจจัยของสิ่งนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท.
____________________________
๒- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๖๑
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ จึงตรัสว่า ธรรมเป็นปัจจัยนั่นแล ชื่อว่าปฏิจจสมุปบาท โดยไวพจน์มีคำว่า ตถตา - ความเป็นของจริงแท้เป็นต้น. เพราะฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาท๓- จึงมีการเป็นปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายมีชราและมรณะเป็นต้นเป็นลักษณะ, มีการผูกพันอยู่กับทุกข์เป็นรส, มีการเดินผิดทางเป็นอาการปรากฏ, มีปัจจัยพิเศษของตนเป็นปทัฏฐาน เพราะแม้ตนเองก็มีปัจจัย.
____________________________
๓- มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
๑. ชรามรณาทีนํ ปจฺจยลกฺขโณ
๒. ทุกฺขานุพนฺธนรโส
๓. กุมฺมคฺคปจฺจุปฏฺฐาโน
๔. สยมฺปิ สปจฺจยตฺตา อตฺตโน วิเสสปฺปจฺจยปทฏฺฐาโน.
บทว่า อุปฺปาทา วา อนุปฺปาทา วา ได้แก่ เมื่ออุบัติก็ตาม เมื่อไม่อุบัติก็ตาม.
อธิบายว่า เมื่อพระตถาคต แม้อุบัติแล้ว แม้ยังไม่อุบัติแล้ว ดังนี้.
บทว่า ฐิตา ว สา ธาตุ ได้แก่ สภาพของปัจจัยนั้นยังตั้งอยู่.
อธิบายว่า ในกาลไหนๆ จะไม่มีปัจจัยของชาติชราและมรณะหามิได้เลย.
บทว่า ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา อิทปฺปจฺจยตา - มีชาติเป็นปัจจัยนั่นเอง. ธรรมเกิดขึ้นเพราะปัจจัยกล่าวคือชราและมรณะ ย่อมตั้งอยู่ได้ เพราะอาศัยธรรมนั้น เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชาติเป็นปัจจัย ย่อมกำหนดธรรมคือชราและมรณะ, เพราะฉะนั้น ชาติ ท่านกล่าวว่า ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา ดังนี้.
ชาตินั่นแลเป็นปัจจัยของชราและมรณะนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อิทปฺปจฺจโย, อิทปฺปจฺจโย นั่นแล ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา.
บทว่า ตํ คือ ปัจจัยนั้น.
บทว่า อภิสมฺพุชฺฌติ คือ ย่อมตรัสรู้ด้วยญาณ.
บทว่า อภิสเมติ คือ ย่อมบรรลุด้วยญาณ.
บทว่า อาจิกฺขติ คือ ย่อมกล่าว.
บทว่า เทเสติ คือ ย่อมแสดง.
บทว่า ปญฺญาเปติ คือ ย่อมให้รู้.
บทว่า ปฏฺฐเปติ คือ ย่อมตั้งอยู่ในหัวข้อคือญาณ.
บทว่า วิวรติ คือ ย่อมทรงเปิดเผยแสดง.
บทว่า วิภชติ คือ ย่อมทรงจำแนก.
บทว่า อุตฺตานีกโรติ คือ ย่อมทำให้ปรากฏ.
บทว่า อิติ โข คือ ด้วยประการฉะนี้แล.
บทว่า ยา ตตฺร ได้แก่ ความเป็นของจริงแท้แน่นอนไม่แปรผัน ในบทมีอาทิว่า ชาติปจฺจยา ชรามรณํ. เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ.
ปฏิจจสมุปบาทนี้นั้น ท่านกล่าวว่า ตถตา - ความจริงแท้ เพราะธรรมนั้นๆ เกิดโดยไม่หย่อนไม่ยิ่งด้วยปัจจัยนั้นๆ,
ท่านกล่าว อวิตถตา - ความแน่นอน เพราะไม่มี ความไม่เกิดแห่งธรรมที่เกิดจากธรรมนั้น แม้ครู่เดียวในปัจจัยที่เข้าถึงความพร้อมเพรียง,
ท่านกล่าวว่า อนญฺญถตา - ความไม่เป็นอย่างอื่น เพราะไม่มีธรรมอื่นเกิดขึ้นด้วยปัจจัยแห่งธรรมอื่น,
ท่านกล่าวว่า อิทปฺปจฺจยตา - ความเป็นปัจจัยแห่งธรรมนี้ เพราะเป็นปัจจัยแก่ชราและมรณะเป็นต้นเหล่านี้ หรือเพราะเป็นที่รวมปัจจัย.
ในบทนั้นมีอธิบายคำดังต่อไปนี้
ปัจจัยแห่งธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยา, อิทปฺปจฺจยา นั้นแล ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา.
อีกอย่างหนึ่ง การรวม อิทปฺปจฺจยา ทั้งหลายชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา. แต่ในที่นี้ พึงทราบลักษณะโดยอรรถแห่งศัพท์.
จบอรรถกถาธรรมฐิติญาณนิทเทส
-----------------------------------------------------
.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา ธรรมฐิติญาณนิทเทส จบ.