ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 26, 2011, 09:32:53 am »13 เกมสยอง: สุดยอดแนวคิดแหวกแนวของคนเขียนการ์ตูน
ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ บ้านเรามีหนังที่สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนถึงสองเรื่องสองสัญชาติด้วยกัน เรื่องแรกที่เข้าโรงฉายไปได้ 1 สัปดาห์และคาดว่าโกยเงินรายได้ไปหลายล้านแล้ว ก็คือ Death Note ที่ถูกสร้างมาจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น ที่ดังมากถึงขนาดเมื่อวานผมไปเดินหาซื้อหนังสือการ์ตูน ร้านหนังสือยังบอกผมว่า ล็อตสองที่ทางสำนักพิมพ์ปล่อยออกมาขายกำลังจะหมด และอีกเรื่องที่กระแสมาแรงไม่แพ้กันก็คือ 13 เกมสยอง ที่ถูกสร้างมาจากการ์ตูนสั้นเรื่อง 13 QUIZ SHOW
13 เกมสยอง เป็นเรื่องราวของ ภูชิต (น้อยวงพรู) เซลล์แมนขายเครื่องดนตรีกำลังเดินทางมาถึงทางตันของชีวิตแล้วจริง ๆ เมื่อจุดจบในหน้าที่การงานกำลังจะถูกหยิบยื่นโดยเจ้านายของเขาโทษฐานที่ไม่สามารถทำยอดขายทะลุเป้าได้ หนำซ้ำคนรักก็ทิ้งไปมีคนใหม่ หนี้สินล้นตัวจากเงินกู้ในฐานะลูกที่ดีที่เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ต้องรับผิดชอบส่งเสียน้องสาววัยเรียนและแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเขาและน้องเพียงลำพังตั้งแต่เล็ก เริ่มออกดอกออกผลกลืนกินชีวิตเขาเข้าเต็มที แม้แต่รถยนต์ที่ขาดส่งไป 3 เดือนก็ยังถูกยึดไปต่อหน้าต่อตา แต่แล้วโอกาสสุดท้ายในชีวิตก็ถูกหยิบยื่นให้ตรงหน้าโดยที่เขาเองก็ไม่คาดคิด ในฐานะ “ผู้ถูกเลือก” เมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เสียงลึกลับจากปลายสายดึงเขาเข้าสู่ “13 BELOVED” เกมท้าทายชีวิตที่มีโจทย์ 13 ข้อให้เขาค้นหาคำตอบและเล่นโดยมีผลตอบแทนที่ดึงดูดใจคือเมื่อใดก็ตามที่เขาสามารถผ่านโจทย์แต่ละข้อมูลค่าของเงินสะสมก็พร้อมที่จะทวีคูณขึ้นไปเรื่อย ๆจะถูกส่งเข้าบัญชีธนาคารที่เขาสามารถตรวจสอบได้ทันที และถ้าเขาสามารถทำได้ครบทั้ง13ข้อยอดเงินสะสมที่มีตัวเลขสูงถึง100 ล้านบาท จะเป็นของเขาทันที นี่คือผลตอบแทนในฐานะผู้พิชิตที่อุตสาห์ร่วมบากบั่นในฐานะผู้ร่วมสนุกในเกม
โดยมีเงื่อนไขที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาหยุดเล่นเงินสะสมทั้งหมดจะถูกยกเลิก หากบอกต่อให้คนอื่นรู้เกมถือว่าเป็นโมฆะ และหากพยายามติดต่อกลับหมายเลขดังกล่าวถือว่าเกมสิ้นสุด เพียงทว่าการเล่นเกมดังกล่าวของเขากลับปลุกอดีตที่หลับใหลให้มาบรรจบปัจจุบันขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่าพร้อมที่จะส่งผลต่ออนาคตที่เกิดจากการ“เลือก”และ“ตัดสินใจ”เดินบนเส้นทางนี้ของเขาเองถึงแม้ว่ามันจะเดิมพันด้วยชีวิตของเขาและคนรอบข้างก็ตาม
หนังทำออกมาในแนว Bad-Comedy หรือ ตลกร้าย โดยสื่อออกมาเพื่อซ้ำเติมให้คนดูอินกับการที่ตัวละครเอก “ภูชิต” ดูน่าสมเพชเวทนามากๆ ด้วยมุขตลกให้คนดูขำในความอาภัพอับโชคของเขาอยู่ตลอดเวลา เช่นในฉากที่เขาต้องกิน “อุจจาระ” หรือ “อึ” ในภัตตาคารหรูเพื่อแลกกับเงินรางวัลที่ค่อนข้างสูงในระดับหนึ่ง ทำให้เห็นว่าคนเราในเวลาที่หลังชนฝา ก็สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น ในตอนนี้ ผมเห็นคนในโรง ทั้งหัวเราะ ทั้งขยะแขยงในภาพที่หนังสื่อออกมา และหนังก็สื่อได้ดีซะด้วย ต้องชมผู้กำกับและคนตัดต่อภาพ ที่เปลี่ยนมุมกล้องเป็นมุมของคนที่กำลังจะกินอะไรสักอย่างจริงๆ เลยดูเหมือนช้อนที่ตัก “อึ” คำนั้น กำลังจะถูกส่งเข้าปากผู้ชมทุกคน หรือในตอนที่เขาต้องไปนั่งคุยกับคนบ้าที่พูดจาไม่รู้เรื่อง เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งตัวช่วยในการเล่นเกมต่อไป ซึ่งก็เป็นอีกฉากที่ทั้งขำ ทั้งน่าสมเพช และสงสารในตัวละครตัวนี้ และก็ยังมีอีกหลายๆ ตอนที่หนังต้องการสื่อให้คนดูรู้สึกแบบนี้เพื่อจะปูทางไปสู่จุดพีคที่สุดของหนัง
แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่า หนังจะเป็นแบบนี้ไปตลอด เพราะมันไม่ใช่แค่นั้น อารมณ์ของหนังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะเกมแต่ละข้อที่ “ภูชิต” ถูกกำหนดให้ทำนั้น มันยากขึ้นๆ และไม่สามารถเดาออกได้เลยว่า เขาจะตัดสินใจทำมันต่อหรือไม่ ถึงแม้จะคิดไปก่อนแล้วว่า ยังไง หนังก็ต้องให้เขาเล่นจนถึงข้อสุดท้าย แต่ในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจของเขา ก็ทำให้คนดูคอยลุ้นไปกับเขาด้วย โดยเฉพาะข้อหลังๆ ที่หนังแสดงให้เห็นถึงทางเลือกระหว่าง การคงความเป็นมนุษย์ หรือการยอมรับความเป็นปีศาจกระหายเงิน ซึ่งผมว่า มันเป็นข้อคิดที่ดีทีเดียวของหนังเรื่องนี้ และมันก็ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของหนัง ที่จะเอาอารมณ์ตรงนี้ของตัวละคร มาทำให้การตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำในคำถามแต่ละข้อ
แต่หนังทุกเรื่องย่อมมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน เรื่องนี้ก็เช่นกัน จุดอ่อนของเรื่องอยู่ที่ตัวละครอื่นๆ ที่มาประกอบในเรื่อง แต่ตัวละครเหล่านั้นแหละ ที่ถ้ามองในมุมกลับกัน มันควรจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องดำเนินไปในรูปแบบที่จะทำให้คนดูประหลาดใจและทึ่งในบทของหนังมากกว่านี้ อย่างเช่น พ่อของภูชิต ซึ่งบทในหนังเขียนให้เป็นคนที่ภูชิตต้องมีความหลังอันเลวร้ายกับพ่อ และจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องคือทางเลือกระหว่างสายเลือดกับการตัดเยื่อใยความเป็นพ่อลูกเพื่อเงินรางวัล แต่หนังกลับทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครกับเนื้อเรื่องไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้ถึงขั้นที่จะนำมาเป็นจุดจบของเรื่อง เพราะหนังไม่ได้พูดถึงความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้เลย
จนมาถึงตอนใกล้จบเรื่อง ซึ่งผมคิดว่าน้ำหนักมันไม่พอที่จะเอามาเป็นจุดไคลแม็กซ์ และอีกตัวละครที่ทำให้หลายๆ คนที่อ่านหนังสือการ์ตูนต้องผิดหวังกับตอนจบของเรื่องนี้ก็คือ ตัวละครคุณยายปริศนา ที่โผล่ออกมาตอนต้นเรื่องและในโจทย์ข้อที่ 12 (ผมได้อ่านหนังสือการ์ตูนทีหลัง ถึงได้รู้เสียดายเหมือนกัน) คุณยายคนนี้แหละที่ควรจะเป็นจุดจบของเรื่องที่ทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบ เพราะในตอนแรกของหนังที่แกโผล่ออกมา ก็มีคนที่เกี่ยวข้องกับแกต้องมาตายลงไป แต่หนังก็ทิ้งคุณยายให้คนดูลืม จนมาถึงข้อที่ 12 ยายแกก็โผล่มาอีก จนเหมือนกับว่า ยายคนนี้แหละคือผู้บงการทั้งหมด แต่ยายแกก็ถูกลืมอีกเป็นครั้งที่สอง และก็หายไปจากหนังเลย ไม่มีการพูดถึงอีก ทั้งๆที่ ถ้าเปลี่ยนจากพ่อของภูชิต มาเป็นยายตอนท้ายเรื่อง จะกลายเป็นตอนจบที่แสนจะโหดร้ายสำหรับอารมณ์คนดู แต่จะเป็นตอนจบที่น่าประทับใจมากกว่าในมุมมองของหนังหักมุมแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะต้องการเก็บยายเอาไว้เป็นจุดไคลแม็กซ์สุดท้ายของโปรเจค 14 ที่กำลังจะตามมาก็เป็นได้
ก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้อ่านหนังสือการ์ตูนมาก่อน และไม่ทราบด้วยว่าเรื่องนี้ทำมาจากการ์ตูน เพราะผมไม่ค่อยชอบลายเส้นของการ์ตูนไทยสักเท่าไหร่ พอดูหนังจบ ผมยกนิ้วให้แนวความคิดของคนเขียนบท และยังชมกับเพื่อนที่ไปดูด้วยกันว่า คอนเซ็ปต์เจ๋งมาก คิดได้ไงเนี่ย! แต่เพื่อนผมกลับบอกว่า ถ้าผมได้อ่านการ์ตูน จะรู้สึกได้ว่า หนังไม่น่าเปลี่ยนบทเลย เพราะถ้าคงของเดิมไว้ทั้งหมด จะเป็นอะไรที่ perfect มากกว่า จนทำให้ผมต้องรีบไปตามหาซื้อหนังสือการ์ตูนที่มีเรื่องนี้รวมอยู่มาอ่าน และก็เห็นด้วยกับคำที่หลายๆคนบอก คือไม่ควรเปลี่ยนจุดจบของเรื่องเลย แต่ก็ต้องขอชมการปรับบทที่ไม่เปลี่ยนให้หนังเสีย เพราะที่ดูเท่านี้ก็รู้สึกถึงไอเดียที่สุดยอดในบทของเรื่องนี้แล้ว อีกอย่างผมคงต้องชมทีมงานผู้สร้างที่สร้างกระแสของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี โดยการปล่อยหนังสั้นเรื่อง 12 ที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นหรือปฐมบทของ 13 ให้ผู้ชมได้ดู และ 12 ก็หาดูยากกว่า 13 ทำให้ความต้องการในการดูหนังเรื่อง 13 มีเพิ่มมากขึ้น และยังมีข่าวอีกว่าจะมีโปรเจค 14 ซึ่งเป็นภาคตต่อของ 13 อีก เหมือนการเล่นกับความอยากรู้อยากเห็นของคน และก็ได้ผล เพราะผมเห็นว่ามีกระแสตอบรับที่ดีมากจากปากต่อปาก ในเรื่อง 12 ผมได้ดูมาแล้ว แต่ผมจะไม่พูดถึง เพราะมันเป็นเพียงหนังสั้นแค่ครึ่งชั่วโมง ที่เล่าเรื่องราวให้มันเกี่ยวข้องกับ 13 แต่ผมกลับคิดว่า 12 นั้นดีกว่า อาจเป็นเพราะด้วยเวลาที่สั้น จึงทำให้หนังเข้มข้น และกระชับมากกว่า
โดยส่วนตัว ผมชอบหนังเรื่องนี้ ทั้งในแง่ของเนื้อเรื่อง และการกำกับที่ออกมา รวมไปถึงการแสดงของ น้อย วงพรู ที่ถ้าไม่ใช่เขาคนนี้ ผมก็ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นใครที่จะมาเล่นบทของ “ภูชิต” ได้ เพราะคาแรคเตอร์แบบนี้ มีเพียงไม่กี่คนในหมู่นักแสดงไทย อาจจะมีอีกคนที่ผมนึกถึง ถ้าไม่ใช่ น้อย วงพรู ก็ต้องเป็น เรย์ แม็คโดนัลด์ ซึ่งถ้าไม่ใช่สองคนนี้ก็อาจจะไม่มีใครเหมาะกับบทนี้ ซึ่งรวมๆ แล้ว ผมให้เรื่องนี้ 4 ดาวเลย เอาง่ายๆนี่แหละ เพราะผมชอบ และรวมไปถึงข้อดีที่ผมกล่าวมาทั้งหมด แต่อย่างที่บอก ถ้าไม่เปลี่ยนเนื้อหา ผมยินดีให้ 5 ดาวพร้อมการคารวะจากผมไปเลย
http://movie.sanook.com/review/review_11903.php
ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ บ้านเรามีหนังที่สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนถึงสองเรื่องสองสัญชาติด้วยกัน เรื่องแรกที่เข้าโรงฉายไปได้ 1 สัปดาห์และคาดว่าโกยเงินรายได้ไปหลายล้านแล้ว ก็คือ Death Note ที่ถูกสร้างมาจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น ที่ดังมากถึงขนาดเมื่อวานผมไปเดินหาซื้อหนังสือการ์ตูน ร้านหนังสือยังบอกผมว่า ล็อตสองที่ทางสำนักพิมพ์ปล่อยออกมาขายกำลังจะหมด และอีกเรื่องที่กระแสมาแรงไม่แพ้กันก็คือ 13 เกมสยอง ที่ถูกสร้างมาจากการ์ตูนสั้นเรื่อง 13 QUIZ SHOW
13 เกมสยอง เป็นเรื่องราวของ ภูชิต (น้อยวงพรู) เซลล์แมนขายเครื่องดนตรีกำลังเดินทางมาถึงทางตันของชีวิตแล้วจริง ๆ เมื่อจุดจบในหน้าที่การงานกำลังจะถูกหยิบยื่นโดยเจ้านายของเขาโทษฐานที่ไม่สามารถทำยอดขายทะลุเป้าได้ หนำซ้ำคนรักก็ทิ้งไปมีคนใหม่ หนี้สินล้นตัวจากเงินกู้ในฐานะลูกที่ดีที่เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ต้องรับผิดชอบส่งเสียน้องสาววัยเรียนและแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเขาและน้องเพียงลำพังตั้งแต่เล็ก เริ่มออกดอกออกผลกลืนกินชีวิตเขาเข้าเต็มที แม้แต่รถยนต์ที่ขาดส่งไป 3 เดือนก็ยังถูกยึดไปต่อหน้าต่อตา แต่แล้วโอกาสสุดท้ายในชีวิตก็ถูกหยิบยื่นให้ตรงหน้าโดยที่เขาเองก็ไม่คาดคิด ในฐานะ “ผู้ถูกเลือก” เมื่อโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เสียงลึกลับจากปลายสายดึงเขาเข้าสู่ “13 BELOVED” เกมท้าทายชีวิตที่มีโจทย์ 13 ข้อให้เขาค้นหาคำตอบและเล่นโดยมีผลตอบแทนที่ดึงดูดใจคือเมื่อใดก็ตามที่เขาสามารถผ่านโจทย์แต่ละข้อมูลค่าของเงินสะสมก็พร้อมที่จะทวีคูณขึ้นไปเรื่อย ๆจะถูกส่งเข้าบัญชีธนาคารที่เขาสามารถตรวจสอบได้ทันที และถ้าเขาสามารถทำได้ครบทั้ง13ข้อยอดเงินสะสมที่มีตัวเลขสูงถึง100 ล้านบาท จะเป็นของเขาทันที นี่คือผลตอบแทนในฐานะผู้พิชิตที่อุตสาห์ร่วมบากบั่นในฐานะผู้ร่วมสนุกในเกม
โดยมีเงื่อนไขที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาหยุดเล่นเงินสะสมทั้งหมดจะถูกยกเลิก หากบอกต่อให้คนอื่นรู้เกมถือว่าเป็นโมฆะ และหากพยายามติดต่อกลับหมายเลขดังกล่าวถือว่าเกมสิ้นสุด เพียงทว่าการเล่นเกมดังกล่าวของเขากลับปลุกอดีตที่หลับใหลให้มาบรรจบปัจจุบันขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่าพร้อมที่จะส่งผลต่ออนาคตที่เกิดจากการ“เลือก”และ“ตัดสินใจ”เดินบนเส้นทางนี้ของเขาเองถึงแม้ว่ามันจะเดิมพันด้วยชีวิตของเขาและคนรอบข้างก็ตาม
หนังทำออกมาในแนว Bad-Comedy หรือ ตลกร้าย โดยสื่อออกมาเพื่อซ้ำเติมให้คนดูอินกับการที่ตัวละครเอก “ภูชิต” ดูน่าสมเพชเวทนามากๆ ด้วยมุขตลกให้คนดูขำในความอาภัพอับโชคของเขาอยู่ตลอดเวลา เช่นในฉากที่เขาต้องกิน “อุจจาระ” หรือ “อึ” ในภัตตาคารหรูเพื่อแลกกับเงินรางวัลที่ค่อนข้างสูงในระดับหนึ่ง ทำให้เห็นว่าคนเราในเวลาที่หลังชนฝา ก็สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น ในตอนนี้ ผมเห็นคนในโรง ทั้งหัวเราะ ทั้งขยะแขยงในภาพที่หนังสื่อออกมา และหนังก็สื่อได้ดีซะด้วย ต้องชมผู้กำกับและคนตัดต่อภาพ ที่เปลี่ยนมุมกล้องเป็นมุมของคนที่กำลังจะกินอะไรสักอย่างจริงๆ เลยดูเหมือนช้อนที่ตัก “อึ” คำนั้น กำลังจะถูกส่งเข้าปากผู้ชมทุกคน หรือในตอนที่เขาต้องไปนั่งคุยกับคนบ้าที่พูดจาไม่รู้เรื่อง เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งตัวช่วยในการเล่นเกมต่อไป ซึ่งก็เป็นอีกฉากที่ทั้งขำ ทั้งน่าสมเพช และสงสารในตัวละครตัวนี้ และก็ยังมีอีกหลายๆ ตอนที่หนังต้องการสื่อให้คนดูรู้สึกแบบนี้เพื่อจะปูทางไปสู่จุดพีคที่สุดของหนัง
แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่า หนังจะเป็นแบบนี้ไปตลอด เพราะมันไม่ใช่แค่นั้น อารมณ์ของหนังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะเกมแต่ละข้อที่ “ภูชิต” ถูกกำหนดให้ทำนั้น มันยากขึ้นๆ และไม่สามารถเดาออกได้เลยว่า เขาจะตัดสินใจทำมันต่อหรือไม่ ถึงแม้จะคิดไปก่อนแล้วว่า ยังไง หนังก็ต้องให้เขาเล่นจนถึงข้อสุดท้าย แต่ในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจของเขา ก็ทำให้คนดูคอยลุ้นไปกับเขาด้วย โดยเฉพาะข้อหลังๆ ที่หนังแสดงให้เห็นถึงทางเลือกระหว่าง การคงความเป็นมนุษย์ หรือการยอมรับความเป็นปีศาจกระหายเงิน ซึ่งผมว่า มันเป็นข้อคิดที่ดีทีเดียวของหนังเรื่องนี้ และมันก็ถือเป็นจุดแข็งที่สุดของหนัง ที่จะเอาอารมณ์ตรงนี้ของตัวละคร มาทำให้การตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำในคำถามแต่ละข้อ
แต่หนังทุกเรื่องย่อมมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน เรื่องนี้ก็เช่นกัน จุดอ่อนของเรื่องอยู่ที่ตัวละครอื่นๆ ที่มาประกอบในเรื่อง แต่ตัวละครเหล่านั้นแหละ ที่ถ้ามองในมุมกลับกัน มันควรจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องดำเนินไปในรูปแบบที่จะทำให้คนดูประหลาดใจและทึ่งในบทของหนังมากกว่านี้ อย่างเช่น พ่อของภูชิต ซึ่งบทในหนังเขียนให้เป็นคนที่ภูชิตต้องมีความหลังอันเลวร้ายกับพ่อ และจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องคือทางเลือกระหว่างสายเลือดกับการตัดเยื่อใยความเป็นพ่อลูกเพื่อเงินรางวัล แต่หนังกลับทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครกับเนื้อเรื่องไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้ถึงขั้นที่จะนำมาเป็นจุดจบของเรื่อง เพราะหนังไม่ได้พูดถึงความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้เลย
จนมาถึงตอนใกล้จบเรื่อง ซึ่งผมคิดว่าน้ำหนักมันไม่พอที่จะเอามาเป็นจุดไคลแม็กซ์ และอีกตัวละครที่ทำให้หลายๆ คนที่อ่านหนังสือการ์ตูนต้องผิดหวังกับตอนจบของเรื่องนี้ก็คือ ตัวละครคุณยายปริศนา ที่โผล่ออกมาตอนต้นเรื่องและในโจทย์ข้อที่ 12 (ผมได้อ่านหนังสือการ์ตูนทีหลัง ถึงได้รู้เสียดายเหมือนกัน) คุณยายคนนี้แหละที่ควรจะเป็นจุดจบของเรื่องที่ทำให้หนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบ เพราะในตอนแรกของหนังที่แกโผล่ออกมา ก็มีคนที่เกี่ยวข้องกับแกต้องมาตายลงไป แต่หนังก็ทิ้งคุณยายให้คนดูลืม จนมาถึงข้อที่ 12 ยายแกก็โผล่มาอีก จนเหมือนกับว่า ยายคนนี้แหละคือผู้บงการทั้งหมด แต่ยายแกก็ถูกลืมอีกเป็นครั้งที่สอง และก็หายไปจากหนังเลย ไม่มีการพูดถึงอีก ทั้งๆที่ ถ้าเปลี่ยนจากพ่อของภูชิต มาเป็นยายตอนท้ายเรื่อง จะกลายเป็นตอนจบที่แสนจะโหดร้ายสำหรับอารมณ์คนดู แต่จะเป็นตอนจบที่น่าประทับใจมากกว่าในมุมมองของหนังหักมุมแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะต้องการเก็บยายเอาไว้เป็นจุดไคลแม็กซ์สุดท้ายของโปรเจค 14 ที่กำลังจะตามมาก็เป็นได้
ก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้อ่านหนังสือการ์ตูนมาก่อน และไม่ทราบด้วยว่าเรื่องนี้ทำมาจากการ์ตูน เพราะผมไม่ค่อยชอบลายเส้นของการ์ตูนไทยสักเท่าไหร่ พอดูหนังจบ ผมยกนิ้วให้แนวความคิดของคนเขียนบท และยังชมกับเพื่อนที่ไปดูด้วยกันว่า คอนเซ็ปต์เจ๋งมาก คิดได้ไงเนี่ย! แต่เพื่อนผมกลับบอกว่า ถ้าผมได้อ่านการ์ตูน จะรู้สึกได้ว่า หนังไม่น่าเปลี่ยนบทเลย เพราะถ้าคงของเดิมไว้ทั้งหมด จะเป็นอะไรที่ perfect มากกว่า จนทำให้ผมต้องรีบไปตามหาซื้อหนังสือการ์ตูนที่มีเรื่องนี้รวมอยู่มาอ่าน และก็เห็นด้วยกับคำที่หลายๆคนบอก คือไม่ควรเปลี่ยนจุดจบของเรื่องเลย แต่ก็ต้องขอชมการปรับบทที่ไม่เปลี่ยนให้หนังเสีย เพราะที่ดูเท่านี้ก็รู้สึกถึงไอเดียที่สุดยอดในบทของเรื่องนี้แล้ว อีกอย่างผมคงต้องชมทีมงานผู้สร้างที่สร้างกระแสของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี โดยการปล่อยหนังสั้นเรื่อง 12 ที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นหรือปฐมบทของ 13 ให้ผู้ชมได้ดู และ 12 ก็หาดูยากกว่า 13 ทำให้ความต้องการในการดูหนังเรื่อง 13 มีเพิ่มมากขึ้น และยังมีข่าวอีกว่าจะมีโปรเจค 14 ซึ่งเป็นภาคตต่อของ 13 อีก เหมือนการเล่นกับความอยากรู้อยากเห็นของคน และก็ได้ผล เพราะผมเห็นว่ามีกระแสตอบรับที่ดีมากจากปากต่อปาก ในเรื่อง 12 ผมได้ดูมาแล้ว แต่ผมจะไม่พูดถึง เพราะมันเป็นเพียงหนังสั้นแค่ครึ่งชั่วโมง ที่เล่าเรื่องราวให้มันเกี่ยวข้องกับ 13 แต่ผมกลับคิดว่า 12 นั้นดีกว่า อาจเป็นเพราะด้วยเวลาที่สั้น จึงทำให้หนังเข้มข้น และกระชับมากกว่า
โดยส่วนตัว ผมชอบหนังเรื่องนี้ ทั้งในแง่ของเนื้อเรื่อง และการกำกับที่ออกมา รวมไปถึงการแสดงของ น้อย วงพรู ที่ถ้าไม่ใช่เขาคนนี้ ผมก็ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นใครที่จะมาเล่นบทของ “ภูชิต” ได้ เพราะคาแรคเตอร์แบบนี้ มีเพียงไม่กี่คนในหมู่นักแสดงไทย อาจจะมีอีกคนที่ผมนึกถึง ถ้าไม่ใช่ น้อย วงพรู ก็ต้องเป็น เรย์ แม็คโดนัลด์ ซึ่งถ้าไม่ใช่สองคนนี้ก็อาจจะไม่มีใครเหมาะกับบทนี้ ซึ่งรวมๆ แล้ว ผมให้เรื่องนี้ 4 ดาวเลย เอาง่ายๆนี่แหละ เพราะผมชอบ และรวมไปถึงข้อดีที่ผมกล่าวมาทั้งหมด แต่อย่างที่บอก ถ้าไม่เปลี่ยนเนื้อหา ผมยินดีให้ 5 ดาวพร้อมการคารวะจากผมไปเลย
http://movie.sanook.com/review/review_11903.php