ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 19, 2011, 06:18:57 pm »ถึงแม้ว่ามนุษย์เกือบทุกคนมักจะตกอยู่ใต้อำนาจของกามหรือภพอันเนื่องจากกามแต่ก็มีบุคคลบางจำพวกมองเห็นโทษของกามโดยประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นโดยการได้ผ่านกามมาแล้ว อย่างโชกโชน หรือ ด้วยการศึกษาอบรมจิตใจ เพื่อให้มองเห็นอย่างนั้นก็ตาม ย่อมมองเห็นกามว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจเพราะเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ จึงจัดกามไว้เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา หรือแม้แต่บุญกุศลซึ่งคนบูชากันนักนั้น ก็พลอยถูกรังเกียจไปด้วยฐานะที่เป็นปัจจัยของกาม ทั้งอย่างที่เป็นของมนุษย์และเป็นของสวรรค์ จึงทำให้เขาชะเง้อมองหาสิ่งอื่นซึ่งเป็นกุศลอันแท้จริง ที่อาจจะตัดความเยื่อใยในกามให้ขาดออกไปได้ ในที่สุด เขาก็ค้นพบภาวะทางจิตใจอย่างใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับกามเลย ซึ่งแท้จริงก็เป็นสิ่งที่มีตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่มนุษย์ธรรมดาสามัญ ได้มองข้ามมันไปเสีย เช่น บางขณะจิตของคนเราผละไปจากกาม ไปพอใจอยู่ในความว่างจากกามเป็นครั้งเป็นคราว แต่เขาก็ไม่สนใจ และไม่ถือว่าเป็นการพักผ่อนเสียด้วยซ้ำไป เว้นแต่จะเป็นบุคคลพิเศษซึ่งเห็นกามเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง ถ้าใครเผอิญมาเป็นดังนี้ เราก็ต้องยอมรับว่า เขาเป็นบุคคลที่ผิดไปจากพวกคนธรรมดา นั่นแหละคือมูลเหตุ แห่งการเกิดขึ้นของพวกพรหม และภูมิทั้ง ๒ นี้เอง คือ ภูมิหรือภพที่ไม่เนื่องด้วยกาม แม้จะยังมีความรู้สึกว่าเป็น "ตัวเรา-ของเรา" เหลืออยู่เต็มที่ แต่ก็ถือว่าเป็นเส้นเขตแดน ปักปันกันระหว่างโลกุตตรภูมิ ซึ่งเป็นที่มุ่งหมายของพุทธศาสนา กับโลกียภูมิ ซึ่งไม่เป็นที่มุ่งหมายของพุทธศาสนาแต่ประการใด
ดังนั้น ทุกคนจะต้องมองให้เห็นอย่างชัดว่า หลักพุทธศาสนานั้น เป็นไปเพื่อโลกุตตรภูมิ หาใช่เพื่อกามาวจรภูมิ, รูปาวจรภูมิ และ อรูปาวจรภมิ แต่ประการใดไม่ ถ้าจะมีพูดถึงเรื่องหลังเหล่านี้บ้าง ก็ขอให้เข้าใจไว้เถิดว่า พูดเพื่อเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า นี่แหละคือ ตัวอุปสรรคของการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ และเป็นสิ่งที่เราต้องก้าวให้พ้นไปทั้งกามและภพ จนกระทั่งไม่เป็นภพในลักษณะไหนหมด นั่นแหละคือข้อยืนยันที่ว่า โลกุตตรภูมิหรือนิพพานนั้น จะเป็นภพชนิดไหนไปไม่ได้เลย เพราะเป็นสิ่งที่ปราศจาก "ตัวตน-ของตน" โดยแท้จริง เราต้องก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้จริงๆ เท่านั้นจึงจะพบกับตัวแท้ของพุทธศาสนา ไม่หลงเอาโลกียภูมิมาเป็นพุทธศาสนา แล้วยังมายืนยันทุ่มเถียงกันคอเป็นเอ็น หรือสอนให้ผู้อื่นให้เข้าใจผิด ซึ่งนับว่าเป็นการทำบาปอย่างยิ่ง
สรุปความสั้นๆ ว่าถึงเป็นพรหมแล้ว แม้จะปราศจากกามโดยสิ้นเชิง ก็ยังไม่หลุดพ้นจากอุปาทานที่ยึดถือว่า "ตัวตน-ของตน" และยังถูกจัดว่าเป็นโลกียภูมิ เป็นวัฏฏสงสารเพราะเขายังมี "ตัวตน-ของตน" อย่างเต็มที่ ยังเป็นปุถุชนไม่ใช่อริยบุคคลอยู่นั่นเอง หวังว่า การกล่าวยืนยันสัจธรรมเช่นนี้ ผู้ที่ยกตัวเองว่า เป็นปราชญ์ในการสอนพุทธศาสนาทั้งหลาย จะไม่เหมาเอาว่าเป็นการพูดโดยอัตโนมัติ พูดนอกตำหรับตำรา หรือผิดไปจากหลักอภิธรรมที่ตนเคยศึกษาเล่าเรียนมา เพราะถ้าจะปฏิบัติพุทธศาสนากันเพื่อให้เข้าถึงตัวแท้ของพุทธศาสนาโดยเร็วแล้ว เราจำเป็นต้องข้ามสิ่งทั้งหลายที่จะทำให้เราเสียเวลา เช่นการเรียนพุทธประวัติ ประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา คัมภีร์ต่างๆ ชาดกต่างๆ ตลอดจนอภิธรรม ซึ่งอาจทำให้ผู้ศึกษาหรือผู้สอนเกิดมี "ตัวตน" และ "ของตน" ใหญ่ขึ้นไปอีก
Credit by : http://www.watnawamin.org/?name=knowledge&file=readknowledge&id=54
Pics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ