ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2011, 05:29:11 am »พุทธศาสนาสอนในทำนองว่า ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย หรือความหายนะ ซึ่งเป็นความจริงทางโลกที่ไม่ใช่สัจธรรมความจริง - เรื่องที่ในช่วงหลังๆ มานี้ผู้เขียนได้พูดเรื่องของความเป็น 2 นี้มากเป็นพิเศษ - สัจธรรมคือความจริงแท้ทั้งในทางศาสนาและทั้งในทางวิทยาศาสตร์หรือควอนตัมฟิสิกส์ ที่แม่นยำที่สุด - อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้านั้นทรงมีชีวิตและพูดในเรื่องความจริงทางโลกว่าเป็นมายา แต่สอนให้เรารู้ความจริงที่แท้จริงหลังจากพระองค์ได้รับการพิสูจน์ยืนยันทางจิตจนรู้แจ้งเห็นจริงด้วยการตรัสรู้ มนุษย์นั้นอยู่กับความจริงทางโลกหรือมายา แล้วคิดอย่างเชื่อมั่นว่ามันคือความจริงที่แท้จริง มนุษย์จึงประมาท และมีแต่ปัญหาและปัญหาอย่างไม่รู้จบ
สัตว์โลกทั้งหลาย โดยเฉพาะมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความประมาทอย่างเหลือหลาย เรียกว่าประมาทอย่างที่สุดก็ว่าได้ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเพราะสัตว์โลกทั้งหลายต่างก็มีจิต (ไร้สำนึกร่วมจักรวาล) แห่งอัตตา (self) นั่นคือ หากเราจะไล่ไปแล้วคือการแสวงหาความสุข หรือความสนุกสะดวกสบายที่ในปัจจุบันนี้มีความหมายที่ถ่ายโอนอย่างเบ็ดเสร็จจาก ”สังคม” แห่งอำนาจ ซึ่งเคยเป็นเรื่องทางสังคมกายภาพที่สำคัญที่สุดมานานเป็นส่วนใหญ่ของโลกในวันนี้ ทั้งหมดนั้นก็เพราะความโลภหรือโลภะกิเลส เพราะว่าโดยรวมนั้นใครๆ ก็อยากรวย ดังที่ โจเซฟ เพีร์ซ อธิบาย (Joseph C. Pierce : Biology of Trancendence, 1999) ซึ่งคำแปลของปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าที่แปลเป็นภาษาไทย - ไม่ว่าจะแปลถูกหรือผิดจากภาษาบาลีที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า strives ซึ่งคนแปลแปลว่า “ประมาท” ได้แสดงอย่างชัดเจนถึงนิสัยของมนุษย์ ในที่นี้ผู้เขียนหมายถึงความประมาทในเรื่องของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ - อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ทั้งๆ ที่มีนักวิชาการมากมายที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้ได้ออกมาเขียนเตือนซ้ำๆ ซากๆ มาตั้งนานแล้ว (Peter Russel in : Ecological Revolution, 1999) แต่มนุษย์โลกโดยเฉพาะผู้นำของประเทศต่างๆ ไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อย หรือประมาทนั่นเอง โดยเฉพาะผู้นำโลกที่เป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเป็นสงครามโลกจริงๆ (traditional warfare) ครั้งสุดท้าย - แต่ผู้เดียวคือสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีจอร์จ บุช จูเนียร์ ซึ่งนอกจากจะไม่สนใจคำเตือนของนักวิทยาศาสตร์มากหลายแล้ว แถมยังต่อต้านอย่างรุนแรงเสียด้วย
ปีเตอร์ รัสเซล นั้น ว่าไปแล้วก็คล้ายๆ กับผู้เขียนหลายอย่าง เพียงแต่เรื่องของความมีชื่อเสียง ซึ่งผู้เขียนไม่มีทางเทียบได้ ปีเตอร์ รัสเซล เป็นนักฟิสิกส์ที่จบจากเคมบริดจ์ และเป็นศิษย์เอกของสตีเฟน ฮอว์กิง แต่หลังไปอยู่อินเดียมาปีหนึ่ง และกลับมาเรียนต่อที่เคมบริดจ์ และได้สนใจทางวิชาจิตวิทยา (experimental psychology) ปีเตอร์ รัสเซล เป็นทั้งนักพูดและนักเขียน และอยู่กับความประมาทของมนุษยชาติ ดังนั้นเขาถึงได้พูดและเขียนเรื่องของโลกพัง (doomsday) เพราะมนุษย์ทำร้ายและทำลายธรรมชาติมานาน แทบว่าตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา ปีเตอร์ รัสเซล คือผู้ที่พูดกระแนะกระแหนรัฐบาลและคนอเมริกันส่วนใหญ่ - ที่ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นแม็ตทีเรียลิสต์และเป็นทุนนิยมสุดโต่ง - เรื่องไม่ดูแลธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร และเตือนชาวอเมริกันในเรื่องนี้ จนกระทั่งมีคนอเมริกันบางคนไม่พอใจ และต่อว่า ปีเตอร์ รัสเซล โดยบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่โลกจะพัง โดยเฉพาะชาวอเมริกันและประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะสิ่งแวดล้อมธรรมชาติตามที่เขาพูด เนื่องจากอเมริกันและสหรัฐอเมริกานั้น ”ยิ่งใหญ่” ชาวอเมริกันส่วนไม่น้อยเลยที่คิดและเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ผู้เขียนไม่ได้เป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย เพียงแต่ชอบกระแนะกระแหนและไม่ชอบหลักการวัตถุนิยมและแม็ตทีเรียลิสต์ (materialist) จึงมักจะต่อต้านใครก็ตามที่ “หัวเราะเยาะเย้ยเหวยๆ ฟ้า” และมักจะไม่ชอบคนที่ไม่รู้หรือไม่รู้จัก หรือไม่ชอบในเรื่องของวิวัฒนาการตามธรรมชาติของจิตและเรื่องของจิตวิญญาณ (spirituality) แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเป็นผู้ที่นับว่าเป็นคนที่ถือว่าตั้งอยู่ในความประมาท ทั้งยังเชื่อว่าธรรมชาติมีความสำคัญอย่างที่สุด จึงมักจะปล่อยให้เรื่องอะไรก็ตามเป็นเรื่องของธรรมชาติ ดังนั้นธรรมชาติจะเป็นผู้ที่จัดการเอง นั่นคือผู้เขียนชอบปล่อยให้เลยตามเลยคล้ายกับว่ามันมีลิขิตหรือกรรมแห่งปัจเจก - ผลของการกระทำของตัวเองเป็นปัจเจกในอดีตชาติ - คอยควบคุมอยู่แล้ว จึงชอบปล่อยอะไรให้เป็นไปเอง ซึ่งในด้านของความจริงทางโลกก็คือความประมาทนั่นเอง
ความประมาทนั้นเป็นเรื่องของอัตตาตัวตน (self) ดังกล่าวมาแล้ว แต่เนื่องจากการเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องของสังคมโลกทั้งสังคมโดยรวม เป็นเรื่องของทุกๆ ประเทศ หรือมนุษยชาติเฉพาะที่ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายพลอยรับกรรมร่วมไปกับมนุษยชาติด้วย ผู้เขียนถึงได้เชื่อว่าเป็นอัตตาตัวตนของสังคมร่วมโดยรวม ทั้งๆ ที่มนุษยชาติคือต้นเหตุปฐม เพราะฉะนั้น ความประมาทที่มีเรื่องของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติเป็นสาเหตุ และมีมนุษยชาติเป็นตัวการ จึงก่อให้สัตว์โลกทั้งหมดพลอยเดือดร้อนด้วยไปนั้น ถึงได้บอกว่าเป็นเรื่องของสังคมมนุษย์หรืออัตตาตัวตนโดยรวมเป็นหลัก นั่นคือความประมาทมีอัตตาตัวตนของมนุษย์คือต้นเหตุ พูดง่ายๆ เป็นความประมาทของมนุษย์คือตัวการทั้งหมด เพราะอัตตาตัวตนร่วมโดยรวมที่ว่านั่น และอัตตาตัวตนก็คือจิตไร้สำนึกจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในสมองของแต่ละคนเป็นที่รวมกัน
ผู้เขียนคิดว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้มนุษย์ไม่ให้ประมาท โดยเฉพาะศาสนาพุทธนิกายเถรวาทที่แปลปัจฉิมโอวาทเป็นภาษาไทยดังได้กล่าวมาแล้ว คือสอนย้ำเป็นพิเศษให้เรา - คนไทยส่วนใหญ่ที่นับถือพุทธศาสนาในนิกายเถรวาทไม่ให้ประมาท ซึ่งคนไทยในสมัยเมื่อไม่นานมานี้ แม้เมื่อเพียงเมื่อก่อนจะจบสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ เท่าที่ผู้เขียนสังเกตก็มักจะไม่ประมาท แต่มนุษย์ค่อยๆ ประมาทขึ้นจนกระทั่งในปัจจุบัน - และก่อนหน้านั้นคนไทยยังปฏิบัติตามพุทธศาสนามากกว่านี้ คือ ไม่แสวงหาความสุขหรือความทุกข์ทางกายและทางจิตใจตามธรรมะ หรือเส้นทางแห่งความจริงทางธรรม โดยเน้นให้เราเดินสายกลาง (ไม่ยินดียินร้าย) แต่สังคมของมนุษย์โลกคิดตามความจริงทางโลกเน้นอีกอย่าง คือเน้นความสุข ซึ่งเป็นเรื่องของความสุขทางกายมากกว่า คือเน้นความสนุก สะดวกสบาย และคิดหรือเชื่อว่า ด้วยความสุข สนุก สะดวก สบายนั้น เราคิดว่ามนุษย์จะหลีกหนีความทุกข์ได้ทั้งหมด พูดง่ายๆ เราคิดว่าถ้าหากมีเงิน มนุษย์ในปัจจุบันก็สามารถหนีความทุกข์ไปได้ ความคิดความเชื่อที่ผู้เขียนคิดว่าเกี่ยวข้องหรือเป็นผลของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีอเมริกันจ๋าเช่นเดี๋ยวนี้ จนกระทั่งเรา - คนไทยค่อยๆ มีความประมาทมากขึ้น มีกิเลสตัณหาราคะมากขึ้น มีโลภจริตมากขึ้น หวังรวยมากขึ้น จนกระทั่งสื่อต่างๆ และโทรทัศน์ทุกช่องเลยต่างพากันโฆษณาประชาสัมพันธ์กันอย่างหน้าตาเฉย โดยหารู้ไม่ว่าตัวเองกำลังประพฤติผิดความจริงที่แท้จริง หรือความจริงทางธรรมของพุทธศาสนา และผิดวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ โดยเฉพาะทฤษฎีทางควอนตัม มัวเมาหลงใหลในหลักการวัตถุนิยม หรือหลักการทางรูปกายภาพ (physical) และเป็นอเมริกันจ๋าขี้ข้าตะวันตกมากขึ้นๆ ทุกที
ผู้เขียนเชื่อว่า โดยรวมหรือโดยเฉลี่ย การแสวงหาความสุขทางรูปทางกายของสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษยชาติกับความประมาทนั้นเป็นของคู่กัน และเป็นเรื่องของจิตแห่งอัตตา (self) อันมีการเอาตัวรอดและปลอดภัยเป็นเป้าหมายสูงสุด และเมื่อไล่ไปแล้ว การอยู่ให้รอดปลอดภัยคือการแสวงหาความสุข สนุก สะดวก สบายอย่างว่านั่น นั่นคือมูลเหตุที่มาของความประมาทและความขี้สงสัยของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพศชาย เนื่องจากแข็งแรงกว่าเพศหญิง วัฒนธรรมความเชื่อที่มนุษยชาติมีมาช้านานตั้งแต่ยุคสมัยของเจ้าแม่ (mother goddess) ซึ่งเป็นยุคสมัยที่มนุษยชาติถือว่าโลกนี้จักรวาลนี้มีแต่รูปกายและความแข็งแรงเท่านั้นที่มีความสำคัญ ปัญญาไม่เกี่ยว หลักการที่เป็นที่มาของความเป็นแม็ตทีเรียลิสติกในสมัยต่อมา (materialistic)
แปลกแต่จริงสำหรับบทความบทนี้ก็คือ ความประมาทของมนุษยชาติ โดยรวมและคนไทยในประเทศไทย ซึ่งคนไทยมีความเร่งด่วนเป็นพิเศษในฐานะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทยอยู่ในภาคเกษตรกรรมที่มีภาคอุตสาหกรรมตามมาติดๆแต่ในประเด็นนี้ส่วนใหญ่มากๆ ของคนไทย จะเป็นลูกจ้างของชาวต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ที่ว่าแปลกแต่จริงนั้น เราคนไทยมักไม่เชื่อการคาดการณ์ที่มีเหตุผลนักวิทยาศาสตร์ ถ้าการคาดการณ์นั้นๆ แตกต่างไปจากความเคยชินของความเชื่อหรือวัฒนธรรมของเรา - นอกจาก ชีววิทยาเก่า หรือนีโอ-ดาร์วินิซึ่ม ที่สำหรับผู้เขียนชีววิทยาเก่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ยกเว้นโมเลกุลชีววิทยาที่ในสายตาผู้เขียนคือฟิสิกส์ยุคเก่า พูดง่ายๆ คือ ชีววิทยาเก่าไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ หรือควอนตัมเม็คคานิกส์ ซึ่งเป็นความจริงทางธรรมของพุทธศาสนา สำหรับผู้เขียนและนักฟิสิกส์ใหม่เชื่อมั่นว่าทั้ง 2 ศาสตร์เป็นเรื่องเดียวกัน (Fritjof Capra) ซึ่งก็คือเรา - คนไทยมักจะไม่เชื่อการทำนายของนักวิทยาศาสตร์ แต่จะเชื่อนิสัยความเคยชินของเรามากกว่า ซึ่งถ้าหากเราเชื่อการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ต้น คือ ถ้าหากเราเชื่อนักวิทยาศาสตร์หลายๆ คน เช่น ปีเตอร์ รัสเซล มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980-1990 มนุษยชาติ และเรา - คนไทยอาจจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับสภาวะโลกร้อนและผลของการขาดแคลนพลังงานที่ได้จากฟอสซิลคาร์บอนสกปรก - ที่ผู้เขียนได้พูดได้เขียนมาตลอดว่า เป็นเพราะเราไม่ยอมเลิกระบบสังคมที่ตั้งหน้าตั้งตาชูแต่กิเลสตัณหาโลภจริต อันได้แก่ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี หรือที่คนไทยต้องประสบกับภัยทางอุทกศาสตร์ ดังที่เรามีอยู่ในปัจจุบันวันนี้ ซึ่งสภาวะน้ำท่วมประเทศไทยเรา - รวมทั้งยังท่วมบางส่วนของกรุงเทพฯ ที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ นั่นยิ่งกว่าสภาพน้ำท่วมที่เราเคยประสบเมื่อปี พ.ศ.2485 (ที่เราทั้งไม่มีคันกั้นน้ำและไม่มีเขื่อนใดๆ เลย) น้ำท่วมที่มีความหนักหนาสาหัสมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ หรือประเทศไทยเท่าที่ผู้เขียนรู้ น้ำท่วมที่จะทำให้รัฐบาลไทยต้องจนลงอย่างมหาศาล เพราะต้องไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และทั่วโลกประสบกับการขาดแคลนเงินกันทั่วหน้า เพราะระบบเศรษฐกิจที่ว่านั้นเป็นสาเหตุ สภาพที่ทุกๆ ประเทศกำลังประสบกับชะตากรรมอย่างเดียวกันถ้วนหน้า ซึ่งทั้งหมดเป็นดังที่ปีเตอร์ รัสเซล เคยเตือนไว้เมื่อกว่า 10 ปีมาแล้วว่า มันสายเกินไปจริงๆ เหมือนกับที่ผู้เขียนได้ถามไว้ว่า แล้วปี 2012 ปลายปีเราจะว่ายังไง?
นั่นคือผลพวงของความประมาทของมนุษยชาติและคนไทยที่พระพุทธองค์บอกเรามาตั้งแต่ 2,500 กว่าปีมาแล้ว.
http://www.thaipost.net/sunday/061111/47663