ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 09:06:17 pm »

ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

พี่รบกวนคุณน้องต๊ะ  นำพระไตรปิฏก  มาอ้างอิงหน่้อยว่า เป็นอย่างไรครับ

อ่าๆๆ

เอาคาถาธรรมบทไปอ่านซะก่อน
แล้วก็มากราบขอโทษ กราบขอขมา น้องต๊ะซะ

ในกรณีที่ไม่เป็นที่รักของอสัตบุรุษอ่า
ในกรณีที่มาแบนน้องต๊ะ อ่า


คาถาธรรมบท ปัณฑิตวรรคที่ ๖

             [๑๖]    บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี้โทษ เหมือนบุคคลผู้บอก
                          ขุมทรัพย์ มักกล่าวข่มขี่ มีปัญญา พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิต
                          เช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ
                          โทษที่ลามกย่อมไม่มี บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอน
                          และพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั้น ย่อมเป็น
                          ที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย แต่ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ
                          บุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่ควรคบบุรุษอาธรรม์ ควร
                          คบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด บุคคลผู้อิ่มเอิบในธรรม
                          มีใจผ่องใสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม
                          ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้วทุกเมือ

 :25: :25: :25:

รู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แบบคุณพี่หนุ่ม ก็เรียกว่า ปุถุชน ที่ไม่ได้สดับอ่า
เพราะไม่ได้ละธรรมสี่ประการดังนี้อ่า
เรียกว่า รู้อะไร ก็รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดอ่า

อานันทสูตร
ละธรรม ๔ ประกอบธรรม ๔ เป็นพระโสดาบัน
             [๑๔๘๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตร
ออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่าน
การปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอานนท์
ว่า ดูกรอานนท์ เพราะละธรรมเท่าไร เพราะเหตุประกอบธรรมเท่าไร หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาค
จึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ใน
เบื้องหน้า?
             [๑๔๘๖] ท่านพระอานนท์กล่าวตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔
ประการ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔ ประการ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า
เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔
ประการเป็นไฉน? ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ ประกอบ
ด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้นว่า
แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม.
             [๑๔๘๗] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้
ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
อริยสาวกนั้นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน.
             [๑๔๘๘] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้
สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
อริยสาวกนั้นว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
             [๑๔๘๙] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความทุศีลเห็นปานใด
เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความทุศีลเห็นปานนั้น ย่อมไม่มี
แก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วเห็นปานใด เมื่อแตกกาย
ตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว เป็นศีลไม่ขาด ... เป็นไปเพื่อสมาธิ
เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้น.
             [๑๔๙๐] ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔ ประการนี้ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔
ประการนี้ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็น
ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้อง
ส่วนเรื่อง ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
ก็ไม่ได้เกียวกับเรื่องนี้ 

ความรู้ของพระโปฎิละ ไม่ใช่รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด อ่า
แต่เป็นความรู้ อันเป็นสัมมาทิฎฐิ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่บริบูรณ์เท่านั้น
แต่ท่านเลยโสดาบันบุคลไปนานแย้วอ่า

และในที่สุด ความรู้อันนั้น เมื่อบริบูรณ์  ก็ทำให้ท่านหลุดพ้นได้
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอ่า


 :25: :25: :25:

ส่วนเรื่องรู้ท่วมหัว เอาตัวรอด แบบน้องต๊ะ
ต้องไปอ่านอันนี้
แล้วจะรู้ ว่า มันกองท่วมหัวน้องต๊ะ แถมทำให้รอดซะด้วยอ่า

ญาณวัตถุสูตรที่ ๑
             [๑๑๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงญาณวัตถุ ๔๔ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังซึ่งญาณวัตถุนั้น
จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
             [๑๑๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณวัตถุ ๔๔
เป็นไฉน คือความรู้ในชราและมรณะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและ
มรณะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึง
ความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในชาติ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
ชาติ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชาติ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่ง
ชาติ ๑ ความรู้ในภพ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ ๑ ความรู้ในความ
ดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในอุปาทาน ๑
ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในความดับแห่งอุปาทาน ๑
ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในตัณหา ๑ ความรู้ใน
เหตุเป็นแดนเกิดแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในปฏิปทา
อันให้ถึงความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในเวทนา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิด
แห่งเวทนา ๑ ความรู้ในความดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความ
ดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในผัสสะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งผัสสะ ๑
ความรู้ในความดับแห่งผัสสะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งผัสสะ ๑
ความรู้ในสฬายตนะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ใน
ความดับแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสฬายตนะ ๑
ความรู้ในนามรูป ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในความดับ
แห่งนามรูป ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ใน
วิญญาณ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
วิญญาณ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในสังขาร
ทั้งหลาย ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
สังขาร ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เหล่านี้เรียกว่า ญาณวัตถุ ๔๔ ฯ
             [๑๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะ
ของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความ
แก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา
ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยู
ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่ง
อินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เราเรียกว่ามรณะ ชราและมรณะ
ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่าชราและมรณะ เพราะชาติเกิด ชราและมรณะจึงเกิด
เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือ ความเห็น
ชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายาม
ชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ความตั้งใจไว้ชอบ ๑ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่
ดับชราและมรณะ ฯ
             [๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดซึ่งชราและมรณะอย่างนี้
รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งความดับแห่งชราและ
มรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ นี้ชื่อว่า
ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วย
ธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว
อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้
ชราและมรณะ ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ได้รู้ความดับแห่งชรา
และมรณะ ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้
ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ก็จักรู้ชราและมรณะ จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ จักรู้ความดับ
แห่งชราและมรณะ จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เหมือน
อย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
             [๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑- อันวย-
*ญาณ ๒- ๑ เหล่านี้ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ฯ
             [๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
ภพเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ตัณหาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ผัสสะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สฬายตนะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน ... ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารเป็นไฉน ... สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑
@๑. มรรคญาณ ฯ ๒. ผลญาณ ฯ
จิตสังขาร ๑ นี้เรียกว่าสังขาร เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชา
ดับ สังขารจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความ
ดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑
ระลึกชอบ ๑ ตั้งใจไว้ชอบ ๑ ฯ
             [๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดสังขารอย่างนี้ รู้ชัดเหตุ
เป็นแดนเกิดแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาอันให้
ถึงความดับแห่งสังขารอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริย-
*สาวกนั้นย่อมนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว
ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือ
พราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้สังขาร ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
สังขาร ได้รู้ความดับแห่งสังขาร ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร
เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาล
แม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็จักรู้สังขาร จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร จักรู้
ความดับแห่งสังขาร จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร เหมือนอย่างที่
เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
             [๑๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑ อันวย-
*ญาณ ๑ เหล่านี้ ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
ประกอบด้วยวิชชา ของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๓
             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  บรรทัดที่ ๑๔๔๐ - ๑๕๒๕.  หน้าที่  ๕๙ - ๖๒.
 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=1440&Z=1525&pagebreak=0


 :25: :25: :25:

.

คุณน้องต๊ะ ไปอ่านเยอะๆครับ

การที่จะให้ไปกราบขอโทษ กราบขอขมา คุณน้องต๊ะ 

คงเป็นไปไม่ได้

เนื่องจาก เมื่อไหร่ที่คุณน้องต๊ะ  กลับไปหาคุณพ่อของน้องต๊ะ , คุณแม่ของน้องต๊ะ และ ครูบาอาจารย์ของน้องต๊ะให้อบรมสั่งสอนมาให้ดีก่อน  เมื่อนั้น คุณพี่หนุ่ม จะบอกกราบหน้าบอร์ด

การเป็นคนดี  อย่าไปดูถูก ดูหมิ่น ปรามาส ครูบาอาจารย์ของคนอื่น

กราบเนื่องจากกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี  ไม่นำพระธรรม มาหาความชอบธรรมในโพสของตนเองครับ

คุณพี่หนุ่ม ให้คุณน้องต๊ะ โพสในหมวด(โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ ! )นี้เท่านั้น  หลังจากนี้ไป  หากคุณพี่หนุ่มเห็นโพสคุณน้องต๊ะในหมวดอื่น  คุณพี่หนุ่มจะนำมาไว้ในหมวดโครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !  ครับ


ข้อความโดย: น้องต๊ะเจ้าเก่า
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 08:26:09 pm »

ชัดมั๊ยครับคุณพี่หนุ่ม

รู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แบบคุณพี่หนุ่ม
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร
รู้ตามพระครูโลกอุดรอวตาร

 ที่ไม่ใช่ศาสนพุทธ ไม่ใช่เถรวาท
เป็นพวกลัทธิอื่น ศาสนาอื่น นิกายอื่นอ่าครับ

ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
อริยสาวกนั้นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน.

ข้อนี้แหละสำคัญอ่า
พระพุทธเจ้าท่าน ไม่เคยตรัสสอนเรื่องอวตาร อ่า
ข้อนี้แหละ คือ ไม่รู้จักในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
หาใช่วิญญูชนไม่ อ่า

พวกลัทธิเหล่านั้น ศาสนาเหล่านั้น

จึงมีอุปมาอันเป็นสังขาร ส่วนตัว เช่น ทำจิตให้เหมือนน้ำ
แต่พระพุทธเจ้า เปรียบน้ำเหมือน กิเลสอ่า

ดังนั้น  พวกลัทธิอื่น นิกายอื่น ศาสนาอืน จึงพยายามทำจิต ให้เป็นกิเลสอ่า ให้เป็นเหมือนน้ำอ่า

อุปมาส่วนตัว นี้เลยเป็นกิเลส เจ้าตัวลัทธิ คาดไม่ถึง ไม่รู้ตัวเองอ่า
หลงตัวเองอ่า
เพราะการปฎิบัติไม่พอ และก็ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดอะไรอ่า
เพราะไม่เชื่อพระพุทธเจ้าว่าตรัสไว้ดีแล้วอ่า

เลยเป็นธรรมะที่คนมีมลทินคิดค้นขี้นมาเองอ่า



 :25: :25: :25:


ข้อความโดย: น้องต๊ะเจ้าเก่า
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 08:13:35 pm »

ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

พี่รบกวนคุณน้องต๊ะ  นำพระไตรปิฏก  มาอ้างอิงหน่้อยว่า เป็นอย่างไรครับ

อ่าๆๆ

เอาคาถาธรรมบทไปอ่านซะก่อน
แล้วก็มากราบขอโทษ กราบขอขมา น้องต๊ะซะ

ในกรณีที่ไม่เป็นที่รักของอสัตบุรุษอ่า
ในกรณีที่มาแบนน้องต๊ะ อ่า


คาถาธรรมบท ปัณฑิตวรรคที่ ๖

             [๑๖]    บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี้โทษ เหมือนบุคคลผู้บอก
                          ขุมทรัพย์ มักกล่าวข่มขี่ มีปัญญา พึงคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิต
                          เช่นนั้น เพราะว่าเมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น มีแต่คุณที่ประเสริฐ
                          โทษที่ลามกย่อมไม่มี บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพร่ำสอน
                          และพึงห้ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั้น ย่อมเป็น
                          ที่รักของสัตบุรุษทั้งหลาย แต่ไม่เป็นที่รักของพวกอสัตบุรุษ
                          บุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่ควรคบบุรุษอาธรรม์ ควร
                          คบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด บุคคลผู้อิ่มเอิบในธรรม
                          มีใจผ่องใสแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม
                          ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้วทุกเมือ

 :25: :25: :25:

รู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แบบคุณพี่หนุ่ม ก็เรียกว่า ปุถุชน ที่ไม่ได้สดับอ่า
เพราะไม่ได้ละธรรมสี่ประการดังนี้อ่า
เรียกว่า รู้อะไร ก็รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดอ่า

อานันทสูตร
ละธรรม ๔ ประกอบธรรม ๔ เป็นพระโสดาบัน
             [๑๔๘๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตร
ออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่าน
การปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอานนท์
ว่า ดูกรอานนท์ เพราะละธรรมเท่าไร เพราะเหตุประกอบธรรมเท่าไร หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาค
จึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ใน
เบื้องหน้า?
             [๑๔๘๖] ท่านพระอานนท์กล่าวตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔
ประการ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔ ประการ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า
เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔
ประการเป็นไฉน? ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ ประกอบ
ด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้นว่า
แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม.
             [๑๔๘๗] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้
ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
อริยสาวกนั้นว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ฯลฯ อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน.
             [๑๔๘๘] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ได้
สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป
ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่
อริยสาวกนั้นว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก
ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
             [๑๔๘๙] ดูกรท่านผู้มีอายุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความทุศีลเห็นปานใด
เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ความทุศีลเห็นปานนั้น ย่อมไม่มี
แก่ปุถุชนนั้น ส่วนอริยสาวกผู้ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้วเห็นปานใด เมื่อแตกกาย
ตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว เป็นศีลไม่ขาด ... เป็นไปเพื่อสมาธิ
เห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้น.
             [๑๔๙๐] ดูกรท่านผู้มีอายุ เพราะละธรรม ๔ ประการนี้ เพราะเหตุประกอบธรรม ๔
ประการนี้ หมู่สัตว์นี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็น
ธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้อง
ส่วนเรื่อง ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด
ก็ไม่ได้เกียวกับเรื่องนี้ 

ความรู้ของพระโปฎิละ ไม่ใช่รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด อ่า
แต่เป็นความรู้ อันเป็นสัมมาทิฎฐิ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่บริบูรณ์เท่านั้น
แต่ท่านเลยโสดาบันบุคลไปนานแย้วอ่า

และในที่สุด ความรู้อันนั้น เมื่อบริบูรณ์  ก็ทำให้ท่านหลุดพ้นได้
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอ่า


 :25: :25: :25:

ส่วนเรื่องรู้ท่วมหัว เอาตัวรอด แบบน้องต๊ะ
ต้องไปอ่านอันนี้
แล้วจะรู้ ว่า มันกองท่วมหัวน้องต๊ะ แถมทำให้รอดซะด้วยอ่า

ญาณวัตถุสูตรที่ ๑
             [๑๑๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงญาณวัตถุ ๔๔ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังซึ่งญาณวัตถุนั้น
จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
             [๑๑๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณวัตถุ ๔๔
เป็นไฉน คือความรู้ในชราและมรณะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและ
มรณะ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึง
ความดับแห่งชราและมรณะ ๑ ความรู้ในชาติ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
ชาติ ๑ ความรู้ในความดับแห่งชาติ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่ง
ชาติ ๑ ความรู้ในภพ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งภพ ๑ ความรู้ในความ
ดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งภพ ๑ ความรู้ในอุปาทาน ๑
ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในความดับแห่งอุปาทาน ๑
ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งอุปาทาน ๑ ความรู้ในตัณหา ๑ ความรู้ใน
เหตุเป็นแดนเกิดแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในปฏิปทา
อันให้ถึงความดับแห่งตัณหา ๑ ความรู้ในเวทนา ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิด
แห่งเวทนา ๑ ความรู้ในความดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความ
ดับแห่งเวทนา ๑ ความรู้ในผัสสะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งผัสสะ ๑
ความรู้ในความดับแห่งผัสสะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งผัสสะ ๑
ความรู้ในสฬายตนะ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ใน
ความดับแห่งสฬายตนะ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสฬายตนะ ๑
ความรู้ในนามรูป ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งนามรูป ๑ ความรู้ในความดับ
แห่งนามรูป ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งนามรูป ๑ ความรู้ใน
วิญญาณ ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
วิญญาณ ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ ๑ ความรู้ในสังขาร
ทั้งหลาย ๑ ความรู้ในเหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร ๑ ความรู้ในความดับแห่ง
สังขาร ๑ ความรู้ในปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เหล่านี้เรียกว่า ญาณวัตถุ ๔๔ ฯ
             [๑๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะ
ของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความ
แก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา
ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยู
ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่ง
อินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เราเรียกว่ามรณะ ชราและมรณะ
ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่าชราและมรณะ เพราะชาติเกิด ชราและมรณะจึงเกิด
เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือ ความเห็น
ชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายาม
ชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ความตั้งใจไว้ชอบ ๑ เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่
ดับชราและมรณะ ฯ
             [๑๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดซึ่งชราและมรณะอย่างนี้
รู้ชัดซึ่งเหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งความดับแห่งชราและ
มรณะอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะอย่างนี้ นี้ชื่อว่า
ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริยสาวกนั้นนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วย
ธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว
อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้
ชราและมรณะ ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ ได้รู้ความดับแห่งชรา
และมรณะ ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึง ความดับแห่งชราและมรณะ เหมือนอย่างที่เรารู้
ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลแม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ก็จักรู้ชราและมรณะ จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งชราและมรณะ จักรู้ความดับ
แห่งชราและมรณะ จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ เหมือน
อย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
             [๑๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑- อันวย-
*ญาณ ๒- ๑ เหล่านี้ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
ประกอบด้วยวิชชาของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ฯ
             [๑๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชาติเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
ภพเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ตัณหาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนาเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ผัสสะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สฬายตนะเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็นามรูปเป็นไฉน ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณเป็นไฉน ... ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารเป็นไฉน ... สังขารมี ๓ คือ กายสังขาร ๑ วจีสังขาร ๑
@๑. มรรคญาณ ฯ ๒. ผลญาณ ฯ
จิตสังขาร ๑ นี้เรียกว่าสังขาร เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชา
ดับ สังขารจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือความเห็นชอบ ๑ ความ
ดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ อาชีพชอบ ๑ พยายามชอบ ๑
ระลึกชอบ ๑ ตั้งใจไว้ชอบ ๑ ฯ
             [๑๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกรู้ชัดสังขารอย่างนี้ รู้ชัดเหตุ
เป็นแดนเกิดแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดปฏิปทาอันให้
ถึงความดับแห่งสังขารอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ความรู้ในธรรมของอริยสาวกนั้น อริย-
*สาวกนั้นย่อมนำนัยในอดีตและอนาคตไปด้วยธรรมนี้ ซึ่งตนเห็นแล้ว รู้แล้ว
ให้ผลไม่มีกำหนดกาล อันตนได้บรรลุแล้ว อันตนหยั่งรู้แล้ว สมณะหรือ
พราหมณ์ในอดีตกาลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็ได้รู้สังขาร ได้รู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่ง
สังขาร ได้รู้ความดับแห่งสังขาร ได้รู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร
เหมือนอย่างที่เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาล
แม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็จักรู้สังขาร จักรู้เหตุเป็นแดนเกิดแห่งสังขาร จักรู้
ความดับแห่งสังขาร จักรู้ปฏิปทาอันให้ถึงความดับแห่งสังขาร เหมือนอย่างที่
เรารู้ในบัดนี้เหมือนกันทั้งนั้น นี้ชื่อว่า อันวยญาณของอริยสาวกนั้น ฯ
             [๑๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ ๒ อย่าง คือธรรมญาณ ๑ อันวย-
*ญาณ ๑ เหล่านี้ ของอริยสาวก เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง
ผู้มาสู่สัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณของพระเสขะบ้าง
ประกอบด้วยวิชชา ของพระเสขะบ้าง ถึงกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นอริยบุคคล
ผู้มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลสบ้าง อยู่ชิดประตูอมตนิพพานบ้าง ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๓
             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  บรรทัดที่ ๑๔๔๐ - ๑๕๒๕.  หน้าที่  ๕๙ - ๖๒.
 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=1440&Z=1525&pagebreak=0


 :25: :25: :25:

.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 09:28:28 am »

ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

พี่รบกวนคุณน้องต๊ะ  นำพระไตรปิฏก  มาอ้างอิงหน่้อยว่า เป็นอย่างไรครับ



.
ข้อความโดย: น้องต๊ะเจ้าเก่า
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 09:14:01 am »

คุณพี่หนุ่ม ไม่สามารถหายใจแ่ทน คุณน้องต๊ะได้

คุณพี่หนุ่ม ไม่สามารถทานอาหารแทน คุณน้องต๊ะได้

และ

คุณน้องต๊ะ ไม่สามารถหายใจแ่ทน คุณพี่หนุ่มได้

คุณน้องต๊ะ ไม่สามารถทานอาหารแทน คุณพี่หนุ่มได้

ดังนั้น คุณน้องต๊ะ จะทำอะไร ก็เชิญครับ

.

อ่าๆๆ

ความเห็นในธรรมะ ของคุณพี่หนุ่ม คับแคบมากไปอ่าครับ

ลมหายใจคุณพี่หนุ่ม คือเศษเหลือของลมหายใจออกของ น้องต๊ะที่พ่นออกไปนานแย้ว อ่า
อาหารที่คุณพี่หนุ่มกิน น้องต๊ะถ่ายไปให้เป็นปุ๋ยมาก่อนที่พี่หนุ่มจะได้กินอีกอ่า

ความเห็นทางธรรมะคุณพี่หนุ่มคับแคบอ่า

แล้วอีกอย่าง ที่เกี่ยวพันอย่างที่สุด คือเรื่องกรรมอ่า
กรรมขาว กรรมดำ กรรมไม่ขาวไม่ดำ อ่า

คุณพี่หนุ่ม ขว้างงูไม่พ้นคอหรอกอ่า

 :25: :25: :25:




ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2011, 07:46:28 am »

คุณพี่หนุ่ม ไม่สามารถหายใจแ่ทน คุณน้องต๊ะได้

คุณพี่หนุ่ม ไม่สามารถทานอาหารแทน คุณน้องต๊ะได้

และ

คุณน้องต๊ะ ไม่สามารถหายใจแ่ทน คุณพี่หนุ่มได้

คุณน้องต๊ะ ไม่สามารถทานอาหารแทน คุณพี่หนุ่มได้

ดังนั้น คุณน้องต๊ะ จะทำอะไร ก็เชิญครับ

.
ข้อความโดย: ต๊ะติ้งโหน่งเจ้าเก่า
« เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2011, 11:24:09 pm »

:24: :24: :24:

อ่าๆๆ อ๊ะจ๊าก

ผัสสะทำให้เกิดเวทนา

ประสานกายกะจิตโดยอาศัยผัสสะ ไม่รู้ว่า นั่นมันเป็นเวทนา อ๊ะจ๊าก
เลยไม่รู้จักตรงผัสสะที่ดับไปอ่า

เวรกรรมๆๆ

ลัทธิอื่น นิกายอื่น ตั้งทฤษฎีไม่รัดกุมมากๆ อ่า
สัมมาทิฎฐิ แบบนี้ นี่ไม่รู้จักอ่า
เป็นมิจฉาทิฎฐิ โดยแท้


 :42: :42: :42:

อ่าคุณพี่หนุ่ม
โครตเกรียน ต้องกระทู้นี้เลยอ่า

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6624.msg27237/topicseen.html#msg27237

คุณพี่หนุ่มลืมยกกระทู้มาเทียบเคียง น้องต๊ะไม่ว่าหรอก
แต่ถ้าตั้งใจที่จะยกแต่ของน้องต๊ะ มา  โดยไม่ยกกระทู้ที่น้องต๊ะให้คอมเมท์มาด้วย

ถามคุณพี่หนุ่ม ตรงๆอ่าครับ
ว่าตั้งใจอะไรไว้ในใจ

ไม่อยากให้คนเห็น  ที่มาที่ไป ของคอมเมท์หรือเปล่าอ่า
มันต้องมีเหตุ มันถึงมีปัจจัยอ่าครับ

ถ้าตั้งใจยกแต่คำพูดน้องต๊ะมา
โดยกลัวว่า คนอ่าน สมาชิกอื่นๆ จะได้เห็นความเป็นมิจฉาทิฎฐิของลัทธินี้
พยายาม ที่จะปกปิด ปกป้องลัทธิที่ว่านั้น

เวรกรรมหนักหละครับคุณพี่หนุ่ม
คุณพี่หนุ่มโปรดจงรับผลกรรมนั้นด่วนจี๋เลยอ่า

ลัทธิที่สอนแบบไม่รอบคอบ สอนแบบขัดแย้งพระไตรปิกฎก

นั่นแหละ
โครตเกรียนล้างโลกตัวจริงอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไปเห็นดีเห็นงามกับลัทธิแบบนี้ ลงนรกลูกเดียวอ่า

ไปดูรูปศาสดา เจ้าของลัทธินี้ให้ดีๆน่ะ มีเขี้ยวออกมานอกปากด้วยอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไม่รู้ว่า พวกลัทธิเหล่านี้ เกิดขี้นจากอนันตริยกรรม แยกศาสนามา
ไปเห็นดีเห็นงามด้วย
 
ก็เวรกรรมๆๆๆ หละครับ
ลงนรกลูกเดียวอ่า

คุณพี่หนุ่มจะไปหรือไม่ไปนรก คุณน้องต๊ะก็ไม่เกี่ยวอะไร น้องต๊ะไม่ได้ไปกับคุณพี่หนุ่มสักหน่อย

แต่ที่เกี่ยวกับคุณน้องต๊ะก็คือ บนอินเตอร์เน็ต  ต้องวางอุเบกขาให้เป็น

อย่าทำตัวเหมือนกับคำพังเพยที่ว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดครับ

นี่แหละธงในใจคุณพี่หนุ่ม

.

อ่าๆๆ

อุเบกขา แบบไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้สิ่งใดถูก ไม่รู้สิ่งใดผิด
ไม่รู้ว่า อันนั่น เป็นมิจฉาทิฎฐิ
ไม่รู้ว่าอันนั้น เป็นสัมมาทิฎฐิ
อ่า...

อุเบกขา แบบซื่อบื่ออ่า
มันไม่ได้เรียกว่าอุเบกขาอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไปศึกษาคำว่า อุเบกขาให้ดีๆก่อนนะครับ
ว่าอุเบกขานี่  ของปุถุชนนี่ เรียกว่าอุเบกขาหรือเปล่า
หรือต้องเป็นโสดาบันขี้นไป ถึงเรียกว่าอุเบกขาของจริงๆๆอ่า

ไม่ใช่ไปอุเบกขาตะพึดตะพือ
ไม่รู้รู้อันไหนมิจฉาทิฎฐิ
ไม่รู้ว่าอันไหนสัมมาทิฎฐิ

อุเบกขาของพรโสดาบันขี้นไป ต้องรู้ว่า ไม่ใช่อุเบกขาตะพึดตะพือ
ไม่ใช่อุเบกขาซื่อบื่อ
โดยอ้างว่า อุเบกขาๆๆๆๆๆ

นั่นอุเบกขาแบบซื่อบื่ออ่าครับ

และอีกอย่าง รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด นั่นหมายถึงรู้ในมิจฉาทิฎฐิ แบบคุณพี่หนุ่มอ่าครับ
ถ้ารู้กอร์ปด้วยสัมมาทิฎฐิ แบบน้องต๊ะ รอดแน่นอน อ่า
ที่น้องต๊ะพูด เรื่องนี้ มีพุทธพจน์ มีพระไตรปิกยืนยันได้ทั้งหมดด้วยแหละจ๊า

แต่ที่บอกรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด พูดลอยๆ พูดเพ้อเจ้อ พูดพล่อยๆ ไม่มีพระไตรปิฎกรองรับแบบ
แบบคุณพี่หนุ่ม แบบนั้น ไม่รอดแน่นอนอ่า
นอกจากไม่รอดแล้ว ยังลงนรกด้วยอ่า
เพราะมิจฉาทิฎฐิ เห็นผิดจน เหลือรัปประทานแล้วอ่าครับ

 :24: :24: :24:

หากคุณน้องต๊ะ ยังโพสแบบนี้

พี่จะนำมาไว้ใน หมวด โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !   

อย่างที่่บอก คุณพี่หนุ่ม จะไปนรกหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับคุณน้องต๊ะ

แต่เรื่องที่คุณพี่หนุ่มจะเกี่ยวกับคุณน้องต๊ะก็คือ โพสของคุณน้องต๊ะเอง เพราะคุณพี่หนุ่มจะนำโพสของคุณน้องต๊ะ มาไว้ในหมวด โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !   แน่นอนครับ 

ส่วนคุณน้องต๊ะ จะมาโพสตอบหรือว่าคุณพี่หนุ่มในเรื่องอะไรก็ตาม มาโพสในหมวดโครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ ! ได้ตลอดเวลาครับ

 
.

อ่า  แต้งกิ้วอ่า

น้องต๊ะจะขอเอาไปลงที่พลังจิต และก็ที่เฟสบุค และก็ที่เวปอื่นๆด้วยอ่าครับ

แต้งกิ้วๆๆๆ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2011, 11:12:16 pm »

:24: :24: :24:

อ่าๆๆ อ๊ะจ๊าก

ผัสสะทำให้เกิดเวทนา

ประสานกายกะจิตโดยอาศัยผัสสะ ไม่รู้ว่า นั่นมันเป็นเวทนา อ๊ะจ๊าก
เลยไม่รู้จักตรงผัสสะที่ดับไปอ่า

เวรกรรมๆๆ

ลัทธิอื่น นิกายอื่น ตั้งทฤษฎีไม่รัดกุมมากๆ อ่า
สัมมาทิฎฐิ แบบนี้ นี่ไม่รู้จักอ่า
เป็นมิจฉาทิฎฐิ โดยแท้


 :42: :42: :42:

อ่าคุณพี่หนุ่ม
โครตเกรียน ต้องกระทู้นี้เลยอ่า

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6624.msg27237/topicseen.html#msg27237

คุณพี่หนุ่มลืมยกกระทู้มาเทียบเคียง น้องต๊ะไม่ว่าหรอก
แต่ถ้าตั้งใจที่จะยกแต่ของน้องต๊ะ มา  โดยไม่ยกกระทู้ที่น้องต๊ะให้คอมเมท์มาด้วย

ถามคุณพี่หนุ่ม ตรงๆอ่าครับ
ว่าตั้งใจอะไรไว้ในใจ

ไม่อยากให้คนเห็น  ที่มาที่ไป ของคอมเมท์หรือเปล่าอ่า
มันต้องมีเหตุ มันถึงมีปัจจัยอ่าครับ

ถ้าตั้งใจยกแต่คำพูดน้องต๊ะมา
โดยกลัวว่า คนอ่าน สมาชิกอื่นๆ จะได้เห็นความเป็นมิจฉาทิฎฐิของลัทธินี้
พยายาม ที่จะปกปิด ปกป้องลัทธิที่ว่านั้น

เวรกรรมหนักหละครับคุณพี่หนุ่ม
คุณพี่หนุ่มโปรดจงรับผลกรรมนั้นด่วนจี๋เลยอ่า

ลัทธิที่สอนแบบไม่รอบคอบ สอนแบบขัดแย้งพระไตรปิกฎก

นั่นแหละ
โครตเกรียนล้างโลกตัวจริงอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไปเห็นดีเห็นงามกับลัทธิแบบนี้ ลงนรกลูกเดียวอ่า

ไปดูรูปศาสดา เจ้าของลัทธินี้ให้ดีๆน่ะ มีเขี้ยวออกมานอกปากด้วยอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไม่รู้ว่า พวกลัทธิเหล่านี้ เกิดขี้นจากอนันตริยกรรม แยกศาสนามา
ไปเห็นดีเห็นงามด้วย
 
ก็เวรกรรมๆๆๆ หละครับ
ลงนรกลูกเดียวอ่า

คุณพี่หนุ่มจะไปหรือไม่ไปนรก คุณน้องต๊ะก็ไม่เกี่ยวอะไร น้องต๊ะไม่ได้ไปกับคุณพี่หนุ่มสักหน่อย

แต่ที่เกี่ยวกับคุณน้องต๊ะก็คือ บนอินเตอร์เน็ต  ต้องวางอุเบกขาให้เป็น

อย่าทำตัวเหมือนกับคำพังเพยที่ว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดครับ

นี่แหละธงในใจคุณพี่หนุ่ม

.

อ่าๆๆ

อุเบกขา แบบไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้สิ่งใดถูก ไม่รู้สิ่งใดผิด
ไม่รู้ว่า อันนั่น เป็นมิจฉาทิฎฐิ
ไม่รู้ว่าอันนั้น เป็นสัมมาทิฎฐิ
อ่า...

อุเบกขา แบบซื่อบื่ออ่า
มันไม่ได้เรียกว่าอุเบกขาอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไปศึกษาคำว่า อุเบกขาให้ดีๆก่อนนะครับ
ว่าอุเบกขานี่  ของปุถุชนนี่ เรียกว่าอุเบกขาหรือเปล่า
หรือต้องเป็นโสดาบันขี้นไป ถึงเรียกว่าอุเบกขาของจริงๆๆอ่า

ไม่ใช่ไปอุเบกขาตะพึดตะพือ
ไม่รู้รู้อันไหนมิจฉาทิฎฐิ
ไม่รู้ว่าอันไหนสัมมาทิฎฐิ

อุเบกขาของพรโสดาบันขี้นไป ต้องรู้ว่า ไม่ใช่อุเบกขาตะพึดตะพือ
ไม่ใช่อุเบกขาซื่อบื่อ
โดยอ้างว่า อุเบกขาๆๆๆๆๆ

นั่นอุเบกขาแบบซื่อบื่ออ่าครับ

และอีกอย่าง รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด นั่นหมายถึงรู้ในมิจฉาทิฎฐิ แบบคุณพี่หนุ่มอ่าครับ
ถ้ารู้กอร์ปด้วยสัมมาทิฎฐิ แบบน้องต๊ะ รอดแน่นอน อ่า
ที่น้องต๊ะพูด เรื่องนี้ มีพุทธพจน์ มีพระไตรปิกยืนยันได้ทั้งหมดด้วยแหละจ๊า

แต่ที่บอกรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด พูดลอยๆ พูดเพ้อเจ้อ พูดพล่อยๆ ไม่มีพระไตรปิฎกรองรับแบบ
แบบคุณพี่หนุ่ม แบบนั้น ไม่รอดแน่นอนอ่า
นอกจากไม่รอดแล้ว ยังลงนรกด้วยอ่า
เพราะมิจฉาทิฎฐิ เห็นผิดจน เหลือรัปประทานแล้วอ่าครับ

 :24: :24: :24:

หากคุณน้องต๊ะ ยังโพสแบบนี้

พี่จะนำมาไว้ใน หมวด โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !   

อย่างที่่บอก คุณพี่หนุ่ม จะไปนรกหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับคุณน้องต๊ะ

แต่เรื่องที่คุณพี่หนุ่มจะเกี่ยวกับคุณน้องต๊ะก็คือ โพสของคุณน้องต๊ะเอง เพราะคุณพี่หนุ่มจะนำโพสของคุณน้องต๊ะ มาไว้ในหมวด โครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ !   แน่นอนครับ 

ส่วนคุณน้องต๊ะ จะมาโพสตอบหรือว่าคุณพี่หนุ่มในเรื่องอะไรก็ตาม มาโพสในหมวดโครตเกรียนล้างโลก - ลงชักโครกซะ ! ได้ตลอดเวลาครับ

 
.
ข้อความโดย: ต๊ะติ้งโหน่งเจ้าเก่า
« เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2011, 11:03:23 pm »

:24: :24: :24:

อ่าๆๆ อ๊ะจ๊าก

ผัสสะทำให้เกิดเวทนา

ประสานกายกะจิตโดยอาศัยผัสสะ ไม่รู้ว่า นั่นมันเป็นเวทนา อ๊ะจ๊าก
เลยไม่รู้จักตรงผัสสะที่ดับไปอ่า

เวรกรรมๆๆ

ลัทธิอื่น นิกายอื่น ตั้งทฤษฎีไม่รัดกุมมากๆ อ่า
สัมมาทิฎฐิ แบบนี้ นี่ไม่รู้จักอ่า
เป็นมิจฉาทิฎฐิ โดยแท้


 :42: :42: :42:

อ่าคุณพี่หนุ่ม
โครตเกรียน ต้องกระทู้นี้เลยอ่า

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6624.msg27237/topicseen.html#msg27237

คุณพี่หนุ่มลืมยกกระทู้มาเทียบเคียง น้องต๊ะไม่ว่าหรอก
แต่ถ้าตั้งใจที่จะยกแต่ของน้องต๊ะ มา  โดยไม่ยกกระทู้ที่น้องต๊ะให้คอมเมท์มาด้วย

ถามคุณพี่หนุ่ม ตรงๆอ่าครับ
ว่าตั้งใจอะไรไว้ในใจ

ไม่อยากให้คนเห็น  ที่มาที่ไป ของคอมเมท์หรือเปล่าอ่า
มันต้องมีเหตุ มันถึงมีปัจจัยอ่าครับ

ถ้าตั้งใจยกแต่คำพูดน้องต๊ะมา
โดยกลัวว่า คนอ่าน สมาชิกอื่นๆ จะได้เห็นความเป็นมิจฉาทิฎฐิของลัทธินี้
พยายาม ที่จะปกปิด ปกป้องลัทธิที่ว่านั้น

เวรกรรมหนักหละครับคุณพี่หนุ่ม
คุณพี่หนุ่มโปรดจงรับผลกรรมนั้นด่วนจี๋เลยอ่า

ลัทธิที่สอนแบบไม่รอบคอบ สอนแบบขัดแย้งพระไตรปิกฎก

นั่นแหละ
โครตเกรียนล้างโลกตัวจริงอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไปเห็นดีเห็นงามกับลัทธิแบบนี้ ลงนรกลูกเดียวอ่า

ไปดูรูปศาสดา เจ้าของลัทธินี้ให้ดีๆน่ะ มีเขี้ยวออกมานอกปากด้วยอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไม่รู้ว่า พวกลัทธิเหล่านี้ เกิดขี้นจากอนันตริยกรรม แยกศาสนามา
ไปเห็นดีเห็นงามด้วย
 
ก็เวรกรรมๆๆๆ หละครับ
ลงนรกลูกเดียวอ่า

คุณพี่หนุ่มจะไปหรือไม่ไปนรก คุณน้องต๊ะก็ไม่เกี่ยวอะไร น้องต๊ะไม่ได้ไปกับคุณพี่หนุ่มสักหน่อย

แต่ที่เกี่ยวกับคุณน้องต๊ะก็คือ บนอินเตอร์เน็ต  ต้องวางอุเบกขาให้เป็น

อย่าทำตัวเหมือนกับคำพังเพยที่ว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดครับ

นี่แหละธงในใจคุณพี่หนุ่ม

.

อ่าๆๆ

อุเบกขา แบบไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้สิ่งใดถูก ไม่รู้สิ่งใดผิด
ไม่รู้ว่า อันนั่น เป็นมิจฉาทิฎฐิ
ไม่รู้ว่าอันนั้น เป็นสัมมาทิฎฐิ
อ่า...

อุเบกขา แบบซื่อบื่ออ่า
มันไม่ได้เรียกว่าอุเบกขาอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไปศึกษาคำว่า อุเบกขาให้ดีๆก่อนนะครับ
ว่าอุเบกขานี่  ของปุถุชนนี่ เรียกว่าอุเบกขาหรือเปล่า
หรือต้องเป็นโสดาบันขี้นไป ถึงเรียกว่าอุเบกขาของจริงๆๆอ่า

ไม่ใช่ไปอุเบกขาตะพึดตะพือ
ไม่รู้รู้อันไหนมิจฉาทิฎฐิ
ไม่รู้ว่าอันไหนสัมมาทิฎฐิ

อุเบกขาของพรโสดาบันขี้นไป ต้องรู้ว่า ไม่ใช่อุเบกขาตะพึดตะพือ
ไม่ใช่อุเบกขาซื่อบื่อ
โดยอ้างว่า อุเบกขาๆๆๆๆๆ

นั่นอุเบกขาแบบซื่อบื่ออ่าครับ

และอีกอย่าง รู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด นั่นหมายถึงรู้ในมิจฉาทิฎฐิ แบบคุณพี่หนุ่มอ่าครับ
ถ้ารู้กอร์ปด้วยสัมมาทิฎฐิ แบบน้องต๊ะ รอดแน่นอน อ่า
ที่น้องต๊ะพูด เรื่องนี้ มีพุทธพจน์ มีพระไตรปิกยืนยันได้ทั้งหมดด้วยแหละจ๊า

แต่ที่บอกรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด พูดลอยๆ พูดเพ้อเจ้อ พูดพล่อยๆ ไม่มีพระไตรปิฎกรองรับแบบ
แบบคุณพี่หนุ่ม แบบนั้น ไม่รอดแน่นอนอ่า
นอกจากไม่รอดแล้ว ยังลงนรกด้วยอ่า
เพราะมิจฉาทิฎฐิ เห็นผิดจน เหลือรัปประทานแล้วอ่าครับ

 :24: :24: :24:

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2011, 10:45:50 pm »

:24: :24: :24:

อ่าๆๆ อ๊ะจ๊าก

ผัสสะทำให้เกิดเวทนา

ประสานกายกะจิตโดยอาศัยผัสสะ ไม่รู้ว่า นั่นมันเป็นเวทนา อ๊ะจ๊าก
เลยไม่รู้จักตรงผัสสะที่ดับไปอ่า

เวรกรรมๆๆ

ลัทธิอื่น นิกายอื่น ตั้งทฤษฎีไม่รัดกุมมากๆ อ่า
สัมมาทิฎฐิ แบบนี้ นี่ไม่รู้จักอ่า
เป็นมิจฉาทิฎฐิ โดยแท้


 :42: :42: :42:

อ่าคุณพี่หนุ่ม
โครตเกรียน ต้องกระทู้นี้เลยอ่า

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6624.msg27237/topicseen.html#msg27237

คุณพี่หนุ่มลืมยกกระทู้มาเทียบเคียง น้องต๊ะไม่ว่าหรอก
แต่ถ้าตั้งใจที่จะยกแต่ของน้องต๊ะ มา  โดยไม่ยกกระทู้ที่น้องต๊ะให้คอมเมท์มาด้วย

ถามคุณพี่หนุ่ม ตรงๆอ่าครับ
ว่าตั้งใจอะไรไว้ในใจ

ไม่อยากให้คนเห็น  ที่มาที่ไป ของคอมเมท์หรือเปล่าอ่า
มันต้องมีเหตุ มันถึงมีปัจจัยอ่าครับ

ถ้าตั้งใจยกแต่คำพูดน้องต๊ะมา
โดยกลัวว่า คนอ่าน สมาชิกอื่นๆ จะได้เห็นความเป็นมิจฉาทิฎฐิของลัทธินี้
พยายาม ที่จะปกปิด ปกป้องลัทธิที่ว่านั้น

เวรกรรมหนักหละครับคุณพี่หนุ่ม
คุณพี่หนุ่มโปรดจงรับผลกรรมนั้นด่วนจี๋เลยอ่า

ลัทธิที่สอนแบบไม่รอบคอบ สอนแบบขัดแย้งพระไตรปิกฎก

นั่นแหละ
โครตเกรียนล้างโลกตัวจริงอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไปเห็นดีเห็นงามกับลัทธิแบบนี้ ลงนรกลูกเดียวอ่า

ไปดูรูปศาสดา เจ้าของลัทธินี้ให้ดีๆน่ะ มีเขี้ยวออกมานอกปากด้วยอ่า

คุณพี่หนุ่ม ไม่รู้ว่า พวกลัทธิเหล่านี้ เกิดขี้นจากอนันตริยกรรม แยกศาสนามา
ไปเห็นดีเห็นงามด้วย
 
ก็เวรกรรมๆๆๆ หละครับ
ลงนรกลูกเดียวอ่า

คุณพี่หนุ่มจะไปหรือไม่ไปนรก คุณน้องต๊ะก็ไม่เกี่ยวอะไร น้องต๊ะไม่ได้ไปกับคุณพี่หนุ่มสักหน่อย

แต่ที่เกี่ยวกับคุณน้องต๊ะก็คือ บนอินเตอร์เน็ต  ต้องวางอุเบกขาให้เป็น

อย่าทำตัวเหมือนกับคำพังเพยที่ว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดครับ

นี่แหละธงในใจคุณพี่หนุ่ม

.