ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2011, 11:10:11 am »หลวงปู่มั่นเจอยักษ์
พระอาจารย์มั่น ผู้ใจสงบตั้งมั่นเป็นอันดี ท่านได้เที่ยวจาริกไปตามจังหวัดต่างๆ ไปเที่ยววิเวกทางถ้ำสาลิกา เขาใหญ่ จังหวัดนครนายก ใกล้กับน้ำตกสาลิกา พักอยู่ถ้ำสาลิกา ๓ ปี
ขณะที่พักอยู่ในถ้ำนั้นบางครั้งไปส้วม ถึงกับถ่ายเป็นเลือดออกมาอย่างสดๆ ร้อนๆก็มี ฉันอะไรเข้าแล้วไม่ยอมย่อยเอาเลย พยายามหยั่งสติปัญญาลงในทุกขเวทนา แยกแยะส่วนต่างๆของธาตุขันธ์ออกพิจารณาด้วยปัญญาไม่ลดละ แต่เวลาพลบค่ำถึงเที่ยงคืนคือ ๒๔.๐๐ นาฬิกา จึงลงเอยกันได้ ขณะนั้นโรคก็ดับ ทุกข์ก็ดับ ความฟุ้งซ่านของใจก็ดับ พอจิตรวมสงบถึงที่แล้ว ! ถอนออกมาขั้นอุปจารสมาธิแล้วจิตสว่างออกไปนอกกาย
ปรากฏเห็นบุรุษมีรูปร่างใหญ่ดำและสูงราว ๑๐ เมตร ถือตะบองเหล็ก ใหญ่เท่าขาราวๆ ๒ วา เดินเข้ามาหาและบอกกับท่านว่าจะทุบตีท่านให้จม
ถ้าไม่หนีจะฆ่าให้ตายในบัดเดี๋ยวใจตามที่ผีบอกกับท่านว่า “ตะบองเหล็กที่เขาแบกอยู่บนบ่านั้นตีช้างสารใหญ่ตัวหนึ่งเพียงหนเดียวเท่านั้น ช้างสารนั้นต้องจมลงไปในดินแบบจมมิดเลย โดยไม่ต้องตีซ้ำอีก”
ท่านได้กำหนดจิตถามผีร่างยักษ์นั้นว่า “จะมาตีและฆ่าอาตมาทำไม ? อาตมามีความผิดอะไรบ้างถึงจะต้องถูกตีถูกฆ่าเล่า ? การมาอยู่ที่นี้มิได้มากดขี่ข่มเหงหรือเบียดเบียนใครให้เดือดร้อน พอจะถูกใส่กรรมทำโทษถึงขนาดตีและฆ่าให้ตายถึงเช่นนี้ !
เขาบอกว่า เขาเป็นผู้มีอำนาจรักษาภูเขาลูกนี้อยู่นานแล้ว ไม่ยอมให้ใครมาอยู่ครองอำนาจเหนือตนไปได้ ต้องรีบปราบปรามและกำจัดทันที !
ท่านตอบว่า “ก็อาตมามิได้มาครองอำนาจบนหัวใจใคร ? นอกไปจากมาปฏิบัติบำเพ็ญศีลธรรมอันดีงาม เพื่อครองอำนาจเหนือกิเลสบาปธรรมบนหัวใจตนเท่านั้น จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่ท่านจะมาเบียดเบียนและทำลายคนเช่นอาตมา ซึ่งเป็นนักบวชทรงศีล และเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า ! ผู้มีใจบริสุทธิ์ และมีอำนาจในทางเมตตาครอบไตรโลกธาตุ ไม่มีใครเสมอเหมือน ?
ท่านซักถามและเทศน์ให้ผีร่างยักษ์ฟังขณะนั้นว่า “ถ้าท่านเป็นผู้มีอำนาจเก่งจริงดังที่อวดอ้างแล้ว ท่านมีอำนาจเหนือกรรมและธรรมอันเป็นกฎใหญ่ ปกครองมวลหมู่สัตว์ในไตรภพด้วยหรือเปล่า ?” เขาตอบว่า “เปล่า” ท่านจึงพูดว่า “พระพุทธเจ้าท่านเก่งกล้าสามารถปราบกิเลสตัวที่คอยอวดอำนาจว่า ตัวดีตัวเก่งอยู่ภายใน คิดอยากตีอยากฆ่าคนอื่นสัตว์อื่นให้หมดไปจากใจได้ ส่วนท่านที่ว่าเก่ง! คิดปราบกิเลสดังกล่าวให้หมดสิ้นไปบ้างหรือยัง ?”
เขาตอบว่า “ยังเลยท่าน” ท่านว่า “ถ้ายัง ! ท่านก็มีอำนาจไปในทางที่ทำตนให้เป็นคนมืดหนาป่าเถื่อนต่างหาก ! ซึ่งนับว่าเป็นบาปและเสวยกรรมหนัก แต่ไม่มีอำนาจปราบความชั่วของตัวที่กำลังแผลงฤทธิ์แก่ผู้อื่นอยู่ โดยไม่รู้สึกตัวว่าเป็นผู้มีอำนาจแบบก่อไฟเผาตัว และต้องจัดว่ากำลังสร้างกรรมอันหนักมาก มิหนำยังจะมาตีมาฆ่าคนที่ทรงศีลธรรมอันเป็นหัวใจของโลก ถ้าไม่จัดว่าท่านทำกรรมอันเป็นบาปหยาบช้ายิ่งกว่าคนทั้งหลายแล้ว ! จะจัดว่าท่านทำความดีที่น่าชมเชยตรงไหน ?
“อาตมาเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม มุ่งทำประโยชน์แก่ตน และแก่โลก โดยการประพฤติธรรมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ท่านจะยังมาทุบตีและสังหารโดยมิได้คิดคำนึงถึงบาปกรรมที่จะเป็นเหตุฉุกลากท่านให้ลงสู่นรกเสวยกรรมอันเป็นมหันต์ทุกข์เลย ! อาตมารู้สึกเมตตาสงสารท่านยิ่งกว่าจะอาลัยในชีวิตของตัวเอง เพราะท่านหลงอำนาจของตัว ! ถึงกับจะเผาตัวเองทั้งเป็นขณะนี้แล้ว”
“อำนาจอันใดบ้างที่ท่านว่ามีอยู่ในตัวท่าน อำนาจเหล่านั้น จะสามารถต้านทานบาปกรรมอันหนักที่ท่านกำลังจะก่อขึ้นเผาผลาญตัวเองอยู่เวลานี้ได้หรือไม่ ?
ท่านว่าตนเองเป็นผู้มีอำนาจอันใหญ่หลวง ปกครองเขตเหล่านี้ แต่อำนาจนั้นมีอำนาจมีฤทธิ์เหนือกรรม และเหนือธรรมไปได้ไหม ? ถ้าท่านมีอำนาจเหนือธรรม แล้วท่านก็ทุบตีหรือฆ่าอาตมาได้ ! สำหรับอาตมาเอง ไม่กลัวความตาย”
“แม้ท่านไม่ฆ่า ! อาตมาก็จักต้องตายอยู่โดยดี เมื่อกาลของมันมาถึงแล้ว เพราะโลกนี้เป็นที่อยู่ของมวลสัตว์ผู้เกิดแล้วต้องตายทั่วหน้ากัน แม้ตัวท่านเองที่กำลังอวดตัวว่าเก่ง ! ในความมีอำนาจจนกลายเป็นผู้มืดบอดอยู่ขณะนี้ แต่ท่านก็มิได้เก่งไปกว่าความตายและกฎแห่งกรรม ที่ครอบงำสรรพสัตว์ทั่วสามโลกธาตุไปได้”
ขณะที่ท่านอาจารย์มั่นซักถาม และเทศน์สอนบุรุษลึกลับทางสมาธิอยู่นั้น ท่านเล่าว่า เขายืนตัวแข็ง บ่าแบกตะบองเหล็กเครื่องมือสังหารอยู่เหมือนตุ๊กตา ไม่กระดุกกระดิก ไม่ขยับเขยื้อน ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ทั้งอายทั้งกลัวจนตัวแข็งแทบลืมหายใจ แต่นี่เขาเป็น อมนุษย์ พิเศษ จึงไม่ทราบว่าเขามีลมหายใจหรือไม่ ?
แต่อาการทั้งหมดแสดงให้เห็นชัดว่า เขาทั้งอายทั้งกลัวอาจารย์มั่นจนสุดที่จะอดกลั้นได้ แต่เขาก็อดกลั้นได้อย่างน่าชม ตอนท่านแสดงธรรมจบลง เขาได้ทิ้งตะบองเหล็กจากบ่าอย่างเห็นโทษ และเปลี่ยนภาพร่างบุรุษลึกลับที่มีกายสูงดำใหญ่มาเป็นสุภาพบุรุษพุทธมามกะ ผู้อ่อนโยน นิ่มนวลด้วยอัธยาศัย แสดงความเคารพคารวะและกล่าวคำขอโทษท่านอาจารย์ แบบบุคคลผู้เห็นโทษสำนึกในบาปอย่างถึงใจ !
ซึ่งต่อไปนี้เป็นใจความของเขา ที่กล่าวตามความสัตย์จริงต่อท่านพระอาจารย์มั่นว่า
“กระผมรู้สึกแปลกใจ ! และสะดุ้งกลัวท่านแต่เริ่มแรก มองเห็นแสงสว่างที่แปลกและอัศจรรย์มาก ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน พุ่งจากองค์ท่านมากระทบตัวผม ทำให้อ่อนไปหมด แทบไม่อาจแสดงอาการอย่างใดออกมาได้ อวัยวะทุกส่วน ตลอดจนจิตใจอ่อนเพลียไปตามๆกัน ไม่อาจทำอะไรได้ ด้วยพลการ เพราะมันอ่อนและนิ่มไปด้วยความซาบซึ้ง จับใจในความสว่างนั้น ทั้งๆที่ไม่ทราบว่านั่นคืออะไร? เพราะไม่เคยเห็น เท่าที่แสดงกิริยาคำรามว่าจะทุบตีและฆ่านั้น มิได้ออกมาจากใจจริงแม้แต่น้อยเลย
แต่แสดงออกตามความรู้สึกที่เคยฝังใจมานานว่า ตัวเป็นผู้มีอำนาจในหมู่อมนุษย์ด้วยกัน และมีอำนาจในหมู่มนุษย์ผู้ไม่มีศีลธรรม ชอบรักบาปหาบความชั่วประจำนิสัยต่างหาก
อำนาจนี้ ! จะทำอะไรให้ใครเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ โดยปราศจากการต้านทานขัดขวาง มานะอันนี้แลพาให้ทำเป็นผู้มีอำนาจ แสดงออกพอไม่ให้เสียลวดลาย ทั้งๆที่กลัวและใจอ่อนทำไม่ลง และมิได้ปลงใจที่จะทำ หากเป็นเพียงแสดงออก พอเป็นกิริยาของผู้เคยมีอำนาจเท่านั้น กรรมอันไม่งามใดๆ ที่แสดงออกให้เป็นของอันน่าเกลียดในวงนักปราชญ์ที่แสดงต่อท่านในวันนี้ ขอได้เมตตาอโหสิกรรมนั้นๆ ให้กระผมด้วย อย่าให้ต้องได้รับบาปหาบทุกข์ต่อไปเลย เท่าที่เป็นอยู่เวลานี้ก็มีทุกข์อย่างพอตัวอยู่แล้ว ยิ่งจะเพิ่มความทุกข์ทรมานให้มากกว่านี้อีก ก็คงเหลือกำลังที่ตนเองจะทนรับต่อไปไหว”
ท่านถามเขาว่า “ท่านเป็นผู้ใหญ่มีอำนาจวาสนามาก กายก็เป็นทิพย์ไม่ต้องพาหอบหิ้วเดินเหินไปมาให้ลำบากเหมือนมนุษย์ การเป็นอยู่หลับนอนก็ไม่เป็นภาระเหมือนมนุษย์ทั่วโลกที่เป็นกัน แล้วทำไมยังบ่นว่าทุกข์ ถ้าโลกทิพย์ไม่เป็นสุขแล้วโลกไหนจะเป็นสุขเล่า?”
เขาตอบว่า “ถ้าพูดอย่างผิวเผินและเทียบกับกายมนุษย์ที่หยาบๆ พวกกายทิพย์อาจมีความสุขมากกว่ามนุษย์เพราะเป็นภูมิที่ละเอียดกว่า แต่กล่าวตามชั้นภูมิแล้ว กายทิพย์ก็ย่อมมีความทุกข์ไปตามวิสัยของภพภูมินั้นๆ”
สุดท้ายแห่งการสนทนาธรรม ท่านว่าบุรุษลึกลับ มีความเลื่อมใสในธรรมเป็นอย่างยิ่ง ! และปฏิญาณตนถึงพระไตรสรณะคมน์ตลอดชีวิต กล่าวอ้างพระอาจารย์มั่นเป็นสรณะ ! และเป็นองค์พยานด้วย
พร้อมทั้งให้ความอารักขาแก่ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นอย่างดี และขอนิมนต์ท่านพักอยู่ที่นี่นานๆ ถ้าตามใจเขาแล้วไม่อยากให้ท่านจากไปสู่ที่อื่นตลอดอายุของท่าน เขาจะเป็นผู้คอยดูแลรักษาท่านทุกอิริยาบถ ไม่ให้มีอะไรเบียดเบียนหรือรังแกท่านได้เลย
ความจริงแล้วเขาไม่ใช่บุรุษลึกลับและมีร่างกายดำสูงใหญ่ ดังที่แสดงภาพต่อท่าน แต่เขาเป็นหัวหน้าแห่งรุกขเทวดา ซึ่งมีบริวารมากมายอาศัยอยู่ในภูเขาและสถานที่ต่างๆ มีเขตอาณาบริเวณกว้างขวางติดต่อกันหลายจังหวัด มีนครนายกเป็นต้น
นับแต่ขณะจิตท่านสงบลง และระงับโรคจนหายสนิทไม่ปรากฏเลย ประมาณเที่ยงคืน กับที่รุกขเทพมาเกี่ยวข้องและสนทนาธรรมกันจนถึงเวลาจากไป และจิตถอนขึ้นมาก็ประมาณ ๐๔.๐๐ น. คือ ๑๐ ทุ่ม โรคที่กำลังกำเริบในขณะที่นั่งทำสมาธิภาวนาพอจิตถอนขึ้นมาก็ปรากฏว่าหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องอาศัยยาอื่นใดรักษาอีกต่อไป โรคหายได้เด็ดขาดด้วยธรรมโอสถทางภาวนาล้วนๆ จึงเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากสำหรับท่านในคืนวันนั้น พอจิตถอนขึ้นมาแล้ว ท่านทำความเพียรต่อไป มิได้หลับนอนตลอดรุ่ง เมื่อออกจากที่ภาวนาแล้วร่างกายก็ไม่มีการอ่อนเพลีย แต่กลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
คืนวันนั้น ท่านได้เห็นความอัศจรรย์หลายอย่างคือ
· เห็นอานุภาพแห่งธรรมที่สามารถยังเทวดาให้หายพยศและเกิดความเลื่อมใสหนึ่ง
· จิตรวมสงบลงเป็นเวลาหลายชั่วโมง และเห็นความอัศจรรย์ในขณะที่จิตสงบตัวอยู่อย่างมีความสุขหนึ่ง
· โรคที่เคยกำเริบอยู่เสมอจนควรเรียกได้ว่าเป็นโรคประเภทเรื้อรังได้หายไปโดยสิ้นเชิงหนึ่ง
· จิตได้หลักยึดเป็นที่พอใจ หายสงสัยในสิ่งที่เคยเป็นมาหลายชนิดหนึ่ง
· อาหารที่ฉันลงไปในตอนเช้าแต่วันหลังกลับทำการย่อยตามปกติหนึ่ง
· ความรู้แปลกๆ ปรากฏขึ้นมากมาย ทั้งประเภทถอดถอน และประเภทประดับความรู้ตามวาสนาหนึ่ง
ในคืนต่อไป ท่านบำเพ็ญเพียรด้วยความสะดวก และมีความสงบสุขทางใจอย่างบอกไม่ถูก ! ร่างกายก็เป็นปกติสุข ไม่มีอาการใดมาก่อกวน บางคืนยามดึกสงัดก็ต้อนรับพวกรุกขเทวดาที่มาจากที่ต่างๆ จำนวนมากมาย โดยมีเทพลึกลับที่เคยทำสงครามวาทะกับท่านอาจารย์ เป็นผู้ประกาศโฆษณาให้ทราบ และเป็นหัวหน้าพามา คืนที่ไม่มีเรื่องมาเกี่ยวข้อง ท่านก็จะสนุกบำเพ็ญสมาธิภาวนา
(จบตอน)...
http://thammadeedee.blogspot.com/2011/04/blog-post_14.html
หลวงปู่มั่นสอนยักษ์.avi