ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2012, 04:49:39 am »









:39: :07: :13:









ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2012, 09:33:41 am »

ล้อเลียนพระพุทธเจ้า... ไม่หยุด ไม่เลิก!
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    
25 พฤษภาคม 2555 20:49 น.
-http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000064098-



ความคิดเห็นที่ 16

ความไม่เคลียร์ของพวกเรากันเองก็ด้วย....ลองไปเดินดูร้านขายของที่ระลึกสิ

จะเห็นลายไทย หัวเศียรไทยจำลอง วางขายกันเกลื่อน แล้วฝรั่งมันจะไปรู้ได้อย่างไร ในเมื่อเราเป็นเสียเอง

เสื้อเอ่ย อะไรต่อมีอะไรมีเยอะแยะไป ฝรั่งมันเห็นก็มองออกว่าต่อยอดได้ แต่ความรู้ไม่มี มีแต่หลักออกแบบ มันก็ทำเอาเสียเลยสิ

ฝรั่ง ไม่ว่าประเทศไหนมันก็งงแหละครับ ระหว่างคำว่า ลายไทย ของสไตล์ไทย และศาสนา มันคลุมเครือในสายตาเค้า แต่มันเป็นองค์ความรู้รวมของเราที่ครอบคลุมหมดจนเป็นสัญญลักษณ์ทางจิตวิญญาณ ของคนไทย....

สำคัญคือ จะทำยังไงให้เค้ารู้ ไม่ใช่ถึงเวลาก็ด่าๆๆๆๆๆ พอเงียบหายไป ก้ไม่ทำอะไร พอมีใครทะลึ่งทำขึ้นมา ก็ด่าด่าด่า ด่า ด่า แล้วก็ด่า

การด่าและการบ่นไม่ได้แก้ไขปัญหาได้หรอก เชื่อสิ

หวังว่าใครนี้ มาร่วมกันต่อต้านอย่างถูกวิธีเสียทีเถอะ เลิกเอาแต่ด่า แล้วก็กลับไปนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียที

อย่างแมคโดเนล ก็เอาเลย ประท้วงรณรงค์คนไทย อย่าเข้าร้านมัน แล้วดูมันชักกระเด่วๆๆๆๆ ไม่มีลูกค้าเข้าร้านมันจะเป็นยังไง

จะทำอะไร ก็ต้องชัดเจนที่ตัวเราเสียก่อน แล้วทุกอย่างแก้ได้ แล้วดีด้วย
-century21@yahoo.com-

.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2012, 09:18:24 am »

ล้อเลียนพระพุทธเจ้า... ไม่หยุด ไม่เลิก!
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    25 พฤษภาคม 2555 20:49 น.

-http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000064098-


อย่าทำอย่างนี้!




















       ---ล้อมกรอบ---
       อย่าทำ!
       - ห้ามไม่ให้ประพฤติดูหมิ่นหรือกระทำไม่ดีใดๆ ต่อพระพุทธเจ้า
       - ไม่วางหรือนำพระรูปของพระพุทธเจ้าไปไว้ในที่ๆ ไม่สมควร เช่น ไปสกรีนไว้ในผ้าเช็ดหน้า,ผ้าเช็ดปาก,ผ้าขนหนู, พรมเช็ดเท้า, พรมต่างๆ, หรือในอุปกรณ์การทำความสะอาดทั้งหลาย รวมถึงของเล่น, เฟอร์นิเจอร์ และไม่นำพระรูปของพระพุทธเจ้าไปไว้ในส่วนล่างของร่างกาย เช่น กางเกง,กระโปรง, รองเท้า ฯลฯ เพราะชาวพุทธที่แท้จริงจะรู้สึกทุกข์ใจและไม่สบายใจอย่างยิ่ง หากเห็นผู้ใดกระทำย่ำยีต่อพระรูปของพระศาสดาเช่นนี้
       - ไม่วางพระพุทธรูป หรือรูปปั้นพระพุทธเจ้าเป็นดั่งเฟอร์นิเจอร์ หรือของตกแต่ง เช่น ไม่เอาพระพุทธรูปหรือรูปปั้น ไปวางไว้ที่โต๊ะกลางของชุดเฟอร์นิเจอร์ ไม่วางไว้ในห้องน้ำ, ในบาร์ หรือร้านอาหาร ประดุจพระพุทธรูปเป็นเพียงของตกแต่ง
       - ไม่ปฏิบัติต่อพระพุทธรูปหรือรูปปั้นพระพุทธเจ้าเป็นดั่งสินค้า หากมีการซื้อขาย ให้เป็นไปเพื่อบูชาที่บ้านหรือในสถานที่อันควร
       - ไม่นำชื่อพระพุทธเจ้าไปใช้อย่างดูถูกดูหมิ่น เช่น การตั้งชื่อร้านไอศกรีมว่า Buddhi Belly
       - ไม่ล้อเลียนพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องอื่นใด เช่น การทำภาพโปสเตอร์โดยมีผู้ชายนั่งอยู่บนไหล่ของพระพุทธรูป
       - ไม่นำรูปพระพุทธเจ้าหรืออื่นใดที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ มาเป็นรอยสักตามร่างกาย
       
       ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
       ภาพจาก องค์กร Knowing Buddha (-knowingbuddha.org-)


.

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2012, 09:14:28 am »

ล้อเลียนพระพุทธเจ้า... ไม่หยุด ไม่เลิก!
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    25 พฤษภาคม 2555 20:49 น.

-http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000064098-





ธุรกิจล้อเลียนพระพุทธศาสนา นิยมไปทั่วโลก



ลูกอม Sweet nik's Buddha lollipop สัญชาติอเมริกัน


ธุรกิจสัตว์เลี้ยง ล้อพระนามพระพุทธเจ้า


ภาคต่อ Air Bud มีสุนัขชื่อ Buddha


แมคโดนัลด์ปางพระพุทธรูป


แปลงไปเป็นสินค้าต่างๆ



“ไอ้พวกฝรั่งโรคจิต” “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กับพระกับเจ้ายังเอามาเล่น” “ทำอย่างนี้ได้ต้องไม่ใช่ชาวพุทธแหงๆ จิตใจตกต่ำจริงๆ” “ขอให้กรรมตามสนองมัน” และอีกสารพันคำด่าสาดเสียเทเสียบนโลกออนไลน์เมื่อภาพ “แมคโดนัลด์ปางพระพุทธรูป” ถูกส่งต่อจนกลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อต้นเดือนแล้ว ในตอนที่ข่าวนี้ยังเป็นที่สนใจของสื่อทุกแห่ง ผู้เกี่ยวข้องต่างทำงานตัวเป็นเกลียว ติดตามเสาะหาคนผิดอยู่พักหนึ่ง แต่ท้ายสุดเรื่องก็เงียบไปตามระเบียบ...
       ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “ชาวพุทธ” และไม่อาจทนนิ่งเฉยต่อการย่ำยีพุทธศาสนาในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วโลกขณะนี้ได้ นั่นแสดงว่าวันที่ 24 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ คุณมีนัดเสียแล้ว!
       
       
       ดึงพระพุทธองค์ลงที่ต่ำ
       เก่าเกินไปแล้วที่จะมานั่งพูดถึงแค่ “แมคโดนัลด์ปางพระพุทธรูป” ซึ่งเคยเป็นประเด็นร้อน ชักชวนให้ผู้คนเข้ามาด่าทอ หาตัวคนปั้นกันให้ว่อนเน็ต เพราะเดี๋ยวนี้พฤติกรรมล้อเลียนพระพุทธศาสนามีให้เห็นตื่นตาตื่นใจกันยิ่งกว่านั้นอีก เรียกได้ว่ายิ่งเสิร์ชยิ่งเจอ ยิ่งอยู่เมืองนอกยิ่งเห็น แถมยังทำกันเป็นธุรกิจ อัปเดตอยู่ตลอดจนตามความเคลื่อนไหวกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพระพุทธรูปที่เรากราบไหว้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะถูกนำมาประดับลงบนของใช้ กลายเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านไปเสียได้ ทั้งยังขายดิบขายดีในตลาดสากลจนน่าใจหายอีกด้วย
       
       
       เริ่มตั้งแต่ส่วนเศียรของพระพุทธรูปที่ได้รับความนิยมในธุรกิจแฟชั่นอย่างมาก พระพักตร์ที่ชาวพุทธมองว่าน่าเคารพนับถือกลับกลายเป็นลายเส้นทรงเสน่ห์ ดึงดูดให้นักออกแบบเลือกมาใช้เป็นลายผ้า สกรีนลงบนเสื้อ กางเกง กระโปรง ย่าม หนักข้อไปจนถึงถุงเท้า รองเท้า เสื่อมถึงขนาดถูกนำไปใช้บนกางเกงในจีสตริง!
       
       
       “เราได้รับร้องเรียนเรื่องการนำเอาสัญลักษณ์พระพุทธเจ้าไปเป็นเครื่องหมายสินค้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกเป็นระยะ ตั้งแต่ปี 2549 ฝรั่งเศสเอารูปเศียรพระไปประดับเครื่องนอน ปี 2550 สหรัฐอเมริกานำพระพุทธรูปไปประดับบาร์และเครื่องหมายสินค้าบนกางเกงในจีสตริง ต่อมาสวีเดนนำไปเป็นเครื่องหมายสินค้าสำหรับเด็ก สาธารณรัฐเช็กนำไปเป็นเครื่องหมายร้านนวดแผนไทย และถูกใช้เป็นเครื่องหมายประดับรองเท้าด้วย” อภิวัฒน์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง รักษาการผู้อำนวยการกองประมวลและวิเคราะห์ข่าว กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้
       
       
       ด้วยข้อจำกัดเรื่องกฎหมายข้ามชาติจึงทำให้ประเทศไทยไม่สามารถจัดการกับมารศาสนาในต่างแดนได้อย่างที่ใจคิด สุดท้ายผู้กระทำผิดก็ยังคงลอยนวลรับทรัพย์จากการเหยียบย่ำความเชื่อของชาวพุทธกันต่อไป เมื่ออดทนต่อสภาพที่เป็นอยู่ไม่ไหว จึงเกิดการรวมพลังตั้งองค์กร “Knowing Buddha” ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ให้ความรู้ ป้องกัน และยับยั้งการกระทำย่ำยีพระศาสนาโดยเฉพาะ ล่าสุดได้สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมครั้งใหญ่จากการเปิดเผยข้อมูลที่คนไทยอาจไม่เคยรู้
       
       
       “เราไปเจอการค้าขายของต่างชาติที่หมิ่นศาสนาอย่างมากเลย มีทั้งลูกอมรูปเศียรพระพุทธเจ้า, บริษัท “The Dog Buddha” ที่จงใจเอาชื่อพระพุทธเจ้าไปล้อเลียน แถมยังใช้เป็นสัญลักษณ์ธุรกิจของเขา เอาหัวหมามาใส่ไว้ในตัวพระพุทธรูป, หนังเรื่อง “Hollywood Buddha” ที่ใช้รูปโปรโมตน่าตกใจมาก ให้คนขึ้นไปขี่บนเศียรพระพุทธเจ้า คิดดูสิ! มันใช่ที่นั่งแล้วเหรอ ไม่รู้ว่าใช้อวัยวะส่วนไหนไปคิดออกมาได้ หรือแม้แต่หนังของ Disney เรื่อง “Snow Buddies” ที่ตั้งชื่อสุนัขว่า Buddha แถมยังฉายให้เด็กๆ ดูกันในวงกว้างด้วย”
       
       “อันนี้สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องใช้หมามาสอนเรื่องสมาธิด้วย หมาเป็นสัตว์เดียรัจฉานนะคะ ถ้าจะบอกว่ามันน่ารักดี น่าจะเข้ากับเด็กๆ ได้ ก็ต้องถามว่าเขาไม่มีตัวเลือกอย่างอื่นแล้วเหรอ มันเป็นความบันเทิง เน้นความสนุกสนานก็จริง คนทำน่ะสนุก แต่คุณรู้ไหมว่ากำลังย่ำยีหัวใจของคนนับถือพุทธศาสนาทั่วโลก หรืออย่างการเอาเศียรพระพุทธเจ้ามาทำเป็นลายเสื้อผ้า เราเองก็พยายามจะมองให้เป็นเรื่องของศิลปะ มองให้เห็นเป็นแค่ภาพวาด ภาพสกรีน ให้ตัดขาดจากการเอ่ยถึงพระพุทธเจ้า แต่มันไม่ได้จริงๆ แค่ตอนซักผ้าแล้วซักปนกันก็กลายเป็นของต่ำไปแล้ว” ดร.จุฬานี เกตุศร ผู้ดูแลสื่อต่างประเทศ องค์กร Knowing Buddha พูดอย่างตรงไปตรงมา
       
       
       ตัวเป็นพระ หัวเป็นหมา
       ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขอย่าง Alanna Cha Sin หยิบเอาพระพุทธเจ้าและสุนัขมารวมกันได้ ทั้งๆ ที่ดูไม่เข้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง Snow Buddies ของดิสนีย์ที่ตั้งชื่อสุนัขตัวหนึ่งในเรื่องว่า Buddha ไม่ว่าจะพยายามมองมุมไหน ความหมายที่สื่อออกมาก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ The Dog Buddha แปลตามตัวก็คือ “หมาพระพุทธเจ้า” หรือ “พระพุทธเจ้าเป็นหมา” นั่นเอง
       
       
       “เห็นชัดๆ เลยว่าเขามีเจตนาจะลบหลู่ อยู่ดีๆ เขาจะดึงเอาสัตว์มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทำไมถ้าไม่ได้มีเจตนาย่ำยีศาสนาของเรา ยกตัวอย่างในทำนองเดียวกัน สมมติว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับศาสนาอิสลาม นำพระอัลเลาะห์มาล้อเลียนชื่อหมา เรียกว่า The Dog อัลเลาะห์ ลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือตั้งชื่อหมาเป็นเยซู คิดว่าชาวคริสต์ทั้งหลายจะทำอย่างไรกับบริษัทนี้ แต่เผอิญเขาทำกับพระพุทธเจ้าได้เพราะว่าพวกเราชาวพุทธอ่อนแอไงคะ”
       
       
       “เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เราคงต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่าพระพุทธองค์ไม่ใช่ของเล่นที่ใครจะมาย่ำยีได้ ไม่ใช่ว่าจะเอาหัวหมามาใส่ไว้ในตัวพระพุทธเจ้ายังไงก็ได้ตามใจ ลองคิดดูว่าถ้าเกิดเป็นตัวคุณเองล่ะ ถ้ามีใครปั้นหุ่นเป็นรูปหน้าคุณแล้วเอาไปใส่ไว้ในตัวหมา คุณจะรู้สึกยังไง แล้วก็ตั้งชื่อคุณเป็นแบบเจ้าตัวนั้นเลย ยังจะรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่น่ารักน่าให้อภัยอยู่อีกไหม ไม่ว่าคุณจะมีเจตนาไปในทางไหน ดีหรือไม่ก็ตาม แต่ในเมื่อมีชาวพุทธออกมาป่าวประกาศ แสดงเจตนารมณ์ต่อต้านสิ่งที่คุณทำว่ามันไม่ดีนะ คุณก็ควรจะหันกลับมามองแล้วล่ะว่าตัวเองทำไม่ดีจริงหรือเปล่า” ดร.จุฬานี เลขาธิการมูลนิธิโรงเรียนแห่งชีวิต ยังคงบอกเล่าด้วยน้ำเสียงประชดประชันอย่างที่เป็นมาตลอดการสนทนา
       
       
       หากลองมองในแง่ดีแสนดีสักครั้ง ธุรกิจดังกล่าวอาจนำทางลูกค้าของพวกเขาให้มาสนใจในพระพุทธศาสนาก็เป็นได้ เริ่มจากความสงสัยในรูปลักษณ์แปลกๆ ของผลิตภัณฑ์ สืบค้นหาข้อมูลต่ออีกสักหน่อยก็จะรู้ว่ามีที่มาและอาจก่อเกิดเป็นความศรัทธาขึ้นมาได้ แต่โอกาสที่พูดถึงคงมีสิทธิเกิดขึ้นได้แค่ 1 ในล้านหรือไม่เกิดขึ้นเลยมากกว่า
       
       “ส่วนมากพอซื้อไปแล้วก็สนใจแค่เรื่องราคากับสถานที่ซื้อแหละ แต่ถ้ามีคนอยากรู้จักพระพุทธศาสนาจากสินค้าพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ โลกเราทุกวันนี้มันคงไม่เสื่อมเท่านี้หรอกค่ะ สิ่งที่พยายามทำอยู่ตอนนี้คือออกมาแสดงจุดยืนเพื่อปกป้องพระศาสดาของเรา ทำให้ชาวต่างชาติรู้ว่า เอ้อ! ไม่ได้แล้วนะ มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาปกป้องพระพุทธศาสนาแล้ว จะทำอะไรก็ต้องระวังดีๆ ส่วนคนที่ทำผิดอยู่ก็น่าจะช่วยให้เขาหยุดแล้วก็ถอยออกมามองว่าจะทำยังไงต่อไปดี เราตั้งใจจะประกาศให้เขารู้ไปเลยว่าเราจะไม่หยุดจนกว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงการกระทำของคุณซะ!”
       
       
       ดื้อด้านไม่แก้ไข
       ก่อนที่จะตัดสินว่ากลุ่มธุรกิจที่ถูกอ้างถึง จงใจเหยียบย่ำพระพุทธศาสนาของเรา ทางองค์กรเคยวางจุดยืนให้เป็นคนคิดบวกเอาไว้ก่อนเสมอ คือพยายามคิดว่าส่วนใหญ่ทำผิดไปด้วยความไม่เข้าใจ เนื่องจากวัฒนธรรมและศาสนาแตกต่างกัน แต่หลังจากส่งจดหมายไปชี้แจงต่อผู้ต้องสงสัยทั้งหมด จึงเป็นอันคอนเฟิร์มว่าน่าจะเกิดจากพฤติกรรมของคนที่รู้แต่ยังทำมากกว่า
       
       
       “อย่างบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขบนหน้าเฟซบุ๊ก พอเราส่งข้อความไปเตือน เขาบล็อกเราทันทีเลย ตอนหลังก็บล็อกทุก user ที่มาจากประเทศไทยด้วย มีคนต่างชาติที่ได้มาอ่านเว็บไซต์ knowingbuddha.org ของเราแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี เขาก็ช่วยกันส่งจดหมาย ส่งคอมเมนต์ไปถึงบริษัทนี้ ปรากฏว่าถูกบล็อกเหมือนกัน แสดงว่าเจ้าของบริษัทไม่สนใจคำชี้แจงของเราแล้วล่ะ"
       "ตอนหลัง อ.พิมพ์พิษา ติณพาฤทธิ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากรลองโทร.ไปคุยกับเขา ตอนแรกคุยกันเรื่องงานปั้นก็คุยดี พอเข้าเรื่องพระเศียรพระพุทธเจ้า เธอวางหูใส่ทันทีเลย แสดงว่าเธอรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองทำอะไรอยู่แต่ไม่คิดจะแก้ไข ส่วนบริษัทที่ทำอมยิ้มรูปพระเศียร ตอนนี้เขาเอาภาพออกจากเว็บขายของแล้ว แต่เชื่อว่าน่าจะยังผลิตอยู่ เพราะไม่มีการตอบรับอะไรกลับมาเลย”
       
       
       สาเหตุที่เจ้าของธุรกิจทุกรายใช้กลยุทธ์นิ่งไว้ก่อนและไม่แก้ไขอะไรเลย อาจเป็นเพราะกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ที่สร้างขึ้นจนติดตลาดอยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าลองตัดเรื่องผลประโยชน์ออกไปแล้วมองด้วยสายตาที่เป็นธรรมสักนิด จะรู้ว่าการค้าที่เหยียบย่ำอยู่บนความรู้สึกของผู้อื่น นอกจากจะไม่สร้างสรรค์แล้ว มีแต่จะสร้างศัตรูให้มีมากขึ้นด้วย และไม่ว่าจะถลำลึกไปไกลสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้ารู้จักยอมรับผิด ก็พร้อมมีคนให้อภัยเสมอ อย่างที่ทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Hollywood Buddha ได้รับมาแล้ว
       
       
       “เขาเขียนจดหมายกลับมาขอโทษพวกเราเลย แต่จะเปลี่ยนแปลงไปทางไหน ต้องคอยดูกันต่อไป ตอนนี้เราก็มีคนช่วยเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นเยอะมาก มีคนต่างชาติหลายคนบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเศียรพระพุทธรูปที่วางประดับอยู่ในร้านอาหาร ทางเท้า ห้องน้ำ หรือทำเป็นที่วางหมวก หลายสิ่งที่เขาเคยเห็นเป็นการย่ำยีหรือดูถูกพระพุทธเจ้า แต่หลังจากเข้าไปอ่านข้อมูลและรู้แล้ว เขาตกใจมากนะ หลังจากนั้นก็ช่วยกันออกมาปกป้อง บางคนเดินเข้าไปบอกร้านอาหารร้านนั้นเลย ช่วยเขียนจดหมายชี้แจง ช่วยเป็นหูเป็นตาให้เราทั้งๆ ที่ตัวเขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ก็หวังว่าจะมีคนแบบนี้อีกเยอะๆ ที่จะเข้ามาช่วยเรา”
       
       
       อย่างไรก็ตาม มีคนบางกลุ่มมองว่าการออกมาต่อต้านแบบนี้เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะสุดท้ายแล้วแก่นของศาสนาจริงๆ ก็อยู่ที่หลักธรรมคำสอน เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรเดือดเนื้อร้อนใจไปกับพระพุทธรูปซึ่งถือเป็นวัตถุ เป็นเพียงรูปธรรม มีความหมายแค่เปลือกเท่านั้น พูดง่ายๆ คือ “ปล่อยวาง” เสียก็สิ้นเรื่อง แต่ตัวแทนองค์กรต่อต้านการย่ำยีพระพุทธศาสนายังคงยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อย่างนั้นคงไม่ได้หรอกค่ะ อย่าลืมสิว่าเขามาย่ำยีพระพุทธศาสนาของเรา”
       
       
       “อันนี้เป็นเรื่องจริงตั้งแต่สมัยพุทธกาลเลย มีพราหมณ์องค์หนึ่งเดินไปเจอกับพระพุทธเจ้า ชี้หน้าด่าเลยว่า “คนถ่อย” ทั้งที่พระพุทธเจ้าก็สอนพวกเราว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น ให้ปล่อยวาง แต่ทำไมพระพุทธองค์จึงย้อนกลับไปหาพราหมณ์คนนี้แล้วทรงอธิบายให้ฟังว่า อาตมาไม่ใช่คนถ่อยนะ คนถ่อยคือคนผิดศีลนะ แต่อาตมาไม่ใช่อย่างนั้น พราหมณ์คนนั้นตะลึงเลยแล้วก็ขอโทษขอโพย"
       "คิดดูว่าพระพุทธเจ้าท่านยังปกป้องตัวท่านเองในขณะที่มีชีวิตอยู่ แต่ว่าท่านปกป้องด้วยการให้ความรู้กับเขา ให้เขาได้คิด ใช้สติไตร่ตรองเหตุผลให้เข้าใจ พราหมณ์คนนั้นถึงได้เลิกคิดผิดๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากพระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้แล้วมีคนมาเรียกท่านว่า The Dog Buddha หรือตั้งชื่อหมาว่า Buddha ท่านก็ต้องออกมาเทศนาตักเตือนเหมือนกัน”
       
       
       เรื่องนี้ถึงกรมศาสนาแน่!
       “ถ้าคุณเป็นชาวพุทธจริงๆ ลองไปเปิดหน้าเว็บแล้วเห็นการย่ำยีที่เกิดขึ้นเต็มไปหมดทุกวันนี้แล้วคุณจะรู้สึกเสียใจ” นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ดร.จุฬานีและผู้ร่วมอุดมการณ์ทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ ต้องคอยเติมเชื้อไฟในเรื่องนี้ในคุกรุ่นอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าแรงส่งในประเทศไทยเองจะใกล้มอด แทบหมดสิ้นความหวังเต็มทีแล้วก็ตาม
       
       
       “เห็นหนทางริบหรี่มากสำหรับคนไทยเอง ทั้งที่อยู่ในไทยและที่อยู่เมืองนอกเลย แต่เราก็ไม่ได้ถึงกับหมดหวังนะคะ ยังพยายามสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นและต้องเตรียมรับมือยังไงในฐานะชาวพุทธด้วยกัน ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ไม่ใช่ชาวพุทธเทียมหรือเป็นชาวพุทธแค่ในกระดาษ แค่ประกาศเอาไว้ในประวัติทางราชการว่าพ่อแม่ฉันเป็นพุทธ ฉันก็เป็นพุทธ โดยอาจจะไม่เคยใส่ใจอะไรเลยเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา คือถ้าอย่างน้อยๆ ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธตัวจริง ต้องให้เขารู้ว่าเขาก็มีหน้าที่ในการปกป้องศาสนาพุทธด้วยเหมือนกัน”
       
       
       อาจเป็นเพราะพุทธศาสนิกชนชาวไทยไม่เคยชินกับหน้าที่ปกป้องศาสนา ส่วนใหญ่โตมากับพิธีกรรม เข้าวัด ทำบุญ สะเดาะเคราะห์ โดยไม่เคยสนใจว่าหน้าที่ที่แท้จริงของชาวพุทธคืออะไร พอมีปัญหา ก็หันหน้าเข้าพึ่งศาสนา ขอให้ร่ำรวย ให้พ้นเคราะห์ ขอให้มีความสุข แต่พอศาสนาต้องการที่พึ่งบ้าง เรากลับเดินหนี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ใช่เรื่องของฉัน และอาจเป็นเพราะหลายคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินตัว แต่จริงๆ แล้วแค่เสียงเสียงเดียวจากทุกคนก็มีความหมาย ทุกคนช่วยกันได้เสมอถ้าคิดจะทำ โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขายในประเทศไทยเองที่ควรกระตุ้นจิตสำนึกในตัวให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา
       
       
       “เริ่มที่พ่อค้าแม่ค้าคนไทยในถนนข้าวสารก็ได้ เสื้อสกรีนลายพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปวางแบกะดินที่คุณเอามาขาย มันทำให้ชาวต่างชาติที่มาเดินดูเขาคิดว่าเราไม่ถือ สามารถเอาไปประดับตกแต่งได้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ความรู้แก่คนทำธุรกิจตรงนี้ ให้เขาคิดได้ว่ามันไม่เหมาะสมนะ ถ้าเกิดมีฝรั่งมาขอให้สกรีนเสื้อลายเศียรพระพุทธเจ้าให้หน่อย อยากให้เขาปฏิเสธและอธิบายว่าทำไม่ได้นะ เพราะอะไร ถ้าทำได้อย่างนี้ก็แสดงว่าการปลูกฝังเรื่องจิตสำนึกเป็นผลสำเร็จแล้วล่ะ คือเลือกความถูกต้องเหมาะสมเป็นที่ตั้งก่อนเรื่องเงินเรื่องทอง”
       
       
       “พออธิบายให้ชาวต่างชาติฟัง ก็ต้องไม่ลืมที่จะอธิบายให้คนไทยด้วยกันเองฟังด้วย จริงๆ แล้วเริ่มจากคนไทยก่อนนี่แหละดี ถ้าเราสามารถพูดให้คนบ้านเราตื่นตัวขึ้นมาได้ มันจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมบางอย่างในสังคมขึ้นมาแน่นอน อย่างวลีที่ว่า “เรื่องนี้ถึงครูอังคณาแน่” ทำไมคนพูดกันได้เป็นหมื่นเป็นแสนคน เดือดร้อนแทนเด็กแทนครูอังคณากันทั้งประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน มีคนมาย่ำยีศาสนาของเรา ไม่เห็นมีใครเดือดร้อนบอกต่อบ้างเลย บอกบ้างสิว่า “เรื่องนี้ถึงสำนักสงฆ์แน่” หรือ “เรื่องนี้ถึงกรมศาสนาแน่” แต่นี่ไม่มีเลย” ดร.จุฬานี ไม่ลืมยกตัวอย่างตามเทรนด์
       
       
       ตอนนี้ทางองค์กร Knowing Buddha ได้วางแผนให้เรื่องนี้ถึงสื่อต่างประเทศเอาไว้แล้ว มีทั้ง CNN หนังสือพิมพ์ Time และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอีกหลายหัว เพื่อประกาศจุดยืนในการปกป้องพระพุทธศาสนาอีกครั้งวันที่ 24 มิ.ย. ที่จะถึงนี้ โดยวิธีเดินขบวนธรรมยาตราจากราชประสงค์ถึงสยามสแควร์ แล้วนั่งบีทีเอสไปลงสวนจตุจักร สุดท้ายไปจบที่ถนนข้าวสาร แหล่งรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ
       ส่วนความเคลื่อนไหวในต่างแดนนั้น อาจเริ่มติดต่อทางลอสแองเจลิสซึ่งมีชาวอเมริกันที่นับถือศาสนาพุทธอยู่จำนวนมากก่อน ต่อด้วยแคนาดา ญี่ปุ่น แม็กซิโก สเปน ฯลฯ ถ้ายิ่งสามารถรวมเอากลุ่มคนที่นับถือศาสนาพุทธในประเทศต่างๆ ให้ออกมาต่อต้านการกระทำย่ำยีศาสนามากขึ้นเท่าไหร่ เชื่อว่าจุดยืนที่ต้องการจะสื่อสารออกไปจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
       
       “คงไม่ต้องถึงขั้นเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรอกค่ะ แค่รู้สึกรักและเคารพในศาสนาของตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธก็พอ แค่ออกมาแสดงตัวให้ชัดเจนเรื่องการปกป้อง เพราะถ้าเราไม่ช่วยกันก็คงไม่มีใครช่วยแล้ว จะมานั่งเฉยปล่อยให้คนอื่นย่ำยีศาสนาเรา ทนได้เหรอ ก็เหมือนเวลามีคนมาด่าพ่อแม่เรา ด่าในหลวงของเรา ถ้าเรานั่งทำตาปริบๆ ก็แสดงว่าเราไม่ได้รักท่านจริงแล้วล่ะ ก็ทำนองเดียวกันค่ะ ถ้าเรารักพระพุทธเจ้าจริงก็ต้องออกมา!”

.

-http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000064098-

.
.