ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 02, 2012, 12:06:58 pm »ประวัติตะกร้อ กีฬาระดับภูมิภาคเอเชีย
-http://hilight.kapook.com/view/71885-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก takraw.or.th/th/
ในการแข่งขันกีฬาระดับภูมิภาค หรือทวีปเอเชียอย่างซีเกมส์ และเอเชี่ยนเกมส์ นับได้ว่า เซปักตะกร้อ หรือ ตะกร้อ เป็นกีฬาความหวังเหรียญทองของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และวันนี้เราจะมารู้จักกับกฎกติกาการเล่นตะกร้อคร่าว ๆ กัน
ประวัติเซปักตะกร้อ
กีฬาเซปักตะกร้อ หรือ ตะกร้อ ยังไม่มีหลักฐานระบุที่แน่ชัดว่ามีจุดกำเนิดจากประเทศใด เพราะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง ไทย มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ ต่างคนต่างบอกว่าตนเองเป็นต้นกำเนิดขึ้นมาทั้งนั้น แต่สำหรับของไทย มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมเล่นกันบนลานกว้าง ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่น และลูกตะกร้อทำมาจากหวาย หรือบางทีก็มีเตะตะกร้อลอดห่วง
สำหรับตะกร้อแบบข้ามตาข่ายในปัจจุบัน ที่มีการเล่นฝั่งละ 3 คน นำมาจากประเทศมาเลเซีย คือ เซปัก รากา จาริง หรือ เซปักตะกร้อ ซึ่งดัดแปลงมาจากวอลเลย์บอล และย่อสนามให้เล็กลง โดยที่เริ่มเผยแพร่ในประเทศไทยประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน พ.ศ. 2508 ในงานกีฬาไทย
กติกาการเล่นตะกร้อ
สนามตะกร้อ
สนามเซปักตะกร้อ เป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาว 13.4 เมตร กว้าง 6.1 เมตร เป็นพื้นพลาสติก โดยจะแบ่งเขตแดนออกเป็น 2 ส่วน เท่า ๆ กัน และในแต่ละเขตแดนจะกำหนดจุดยืนสำหรับการเริ่มต้นเสิร์ฟ 3 จุดด้วยกัน คือ จุดที่อยู่ตรงมุมที่ติดกับตาข่าย 2 จุด ขีดเส้นโค้งวงกลมเอาไว้ และจุดที่อยู่กลางแดน เยื้องไปทางด้านหลัง 1 จุด ขีดเส้นวงกลม โดยทั้ง 3 จุดนี้จะจัดเป็นรูปสามเหลี่ยมสมมาตรพอดี
สำหรับมุมที่ติดกับตาข่าย 2 จุด เรียกว่า หน้าซ้าย หน้าขวา และวงกลมที่อยู่กลางเขตแดน คือ จุดเสิร์ฟ
ตาข่าย
ตาข่ายสำหรับเซปักตะกร้อ มีไว้กั้นเขตแดนระหว่างสองฝั่ง กว้าง 70 เซนติเมตร ยาวไม่น้อยกว่า 6.1 เมตร โดยสำหรับการแข่งขันของผู้ชายสูง 1.52 เมตร และหญิง สูง 1.42 เมตร
ลูกเซปักตะกร้อ
ลูกเซปักตะกร้อปัจจุบันทำมาจากพลาสติก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 42-45 เซนติเมตร มีรูอยู่ตรงลูกตะกร้อรวม 12 รูด้วยกัน มีจุดตัดไขว้ 20 จุด
ผู้เล่น
การเล่นตะกร้อ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ ตะกร้อปกติที่มี 3 คน และตะกร้อคู่ 2 คน กล่าวคือ เมื่อก่อนมีแต่การแข่งขันตะกร้อปกติ ทว่าเพิ่มตะกร้อแบบคู่ขึ้นมา เพราะต้องการกระจายเหรียญทองของกีฬาชนิดนี้ได้มากขึ้น
วิธีการเล่น
จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเสิร์ฟ เตะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง โดยที่ฝ่ายที่ได้ลูกตะกร้อต้องพยายามเตะตะกร้อให้ตกลงพื้นของอีกฝั่งให้ได้ ขณะที่ฝ่ายตั้งรับก็ต้องป้องกัน ไม่ให้ลูกตะกร้อตกลงบนแดนตัวเอง และเปลี่ยนสภาพเป็นฝ่ายบุกเพื่อทำให้ลูกตะกร้อตกลงบนแดนของอีกฝั่งให้ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ แต่ละฝ่ายจะมีโอกาสเตะลูกตะกร้อให้อยู่ในแดนตัวเองไม่เกิน 3 ครั้ง นับตั้งแต่ฝ่ายตรงข้ามเตะตะกร้อข้ามมา
ส่วนการเสิร์ฟ ผลัดกันเสิร์ฟ ทีมละ 3 ครั้ง สลับกันไปเรื่อย ๆ
การคิดคะแนน
1. สามารถเตะลูกตะกร้อลงบนแดนฝั่งตรงข้ามได้ ได้ 1 คะแนน (รวมการเสิร์ฟ)
2. ฝ่ายตรงข้ามเตะลูกตะกร้อไม่ข้ามเน็ต ได้ 1 คะแนน (รวมการเสิร์ฟ)
3. ฝ่ายตรงข้ามเตะข้ามแดนมาแล้ว แต่บอลไม่ตกในเขตแดนที่ระบุ ได้ 1 คะแนน
การแข่งขันแบ่งออกเป็น 3 ใน 5 เซต แต่ละเซต ใครทำได้ถึง 15 คะแนนก่อน ได้เซตนั้น ยกเว้น เสมอกัน 14-14 จะมีผู้ได้เซตก็ต่อเมื่อทำแต้มทิ้งขาด 2 คะแนน แต่แต้มสูงสุดทั้งหมดจะไม่เกิน 17 คะแนน
และนี่ก็คือประวัติตระกร้อพร้อมกติกาการแข่งขันที่ควรทราบในเบื้องต้น ซึ่งกว่ากฎกติกาต่าง ๆ จะมาเป็นแบบนี้ก็ผ่านการเปลี่ยนมาหลายรอบ โดยที่ทำให้การแข่งขันสนุกขึ้น และมีโอกาสถูกดันเข้าสู่โอลิมปิกเกมส์ในอนาคตต่อไป
-http://hilight.kapook.com/view/71885-
.
-http://hilight.kapook.com/view/71885-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก takraw.or.th/th/
ในการแข่งขันกีฬาระดับภูมิภาค หรือทวีปเอเชียอย่างซีเกมส์ และเอเชี่ยนเกมส์ นับได้ว่า เซปักตะกร้อ หรือ ตะกร้อ เป็นกีฬาความหวังเหรียญทองของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และวันนี้เราจะมารู้จักกับกฎกติกาการเล่นตะกร้อคร่าว ๆ กัน
ประวัติเซปักตะกร้อ
กีฬาเซปักตะกร้อ หรือ ตะกร้อ ยังไม่มีหลักฐานระบุที่แน่ชัดว่ามีจุดกำเนิดจากประเทศใด เพราะประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง ไทย มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ ต่างคนต่างบอกว่าตนเองเป็นต้นกำเนิดขึ้นมาทั้งนั้น แต่สำหรับของไทย มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมเล่นกันบนลานกว้าง ไม่จำกัดจำนวนผู้เล่น และลูกตะกร้อทำมาจากหวาย หรือบางทีก็มีเตะตะกร้อลอดห่วง
สำหรับตะกร้อแบบข้ามตาข่ายในปัจจุบัน ที่มีการเล่นฝั่งละ 3 คน นำมาจากประเทศมาเลเซีย คือ เซปัก รากา จาริง หรือ เซปักตะกร้อ ซึ่งดัดแปลงมาจากวอลเลย์บอล และย่อสนามให้เล็กลง โดยที่เริ่มเผยแพร่ในประเทศไทยประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน พ.ศ. 2508 ในงานกีฬาไทย
กติกาการเล่นตะกร้อ
สนามตะกร้อ
สนามเซปักตะกร้อ เป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาว 13.4 เมตร กว้าง 6.1 เมตร เป็นพื้นพลาสติก โดยจะแบ่งเขตแดนออกเป็น 2 ส่วน เท่า ๆ กัน และในแต่ละเขตแดนจะกำหนดจุดยืนสำหรับการเริ่มต้นเสิร์ฟ 3 จุดด้วยกัน คือ จุดที่อยู่ตรงมุมที่ติดกับตาข่าย 2 จุด ขีดเส้นโค้งวงกลมเอาไว้ และจุดที่อยู่กลางแดน เยื้องไปทางด้านหลัง 1 จุด ขีดเส้นวงกลม โดยทั้ง 3 จุดนี้จะจัดเป็นรูปสามเหลี่ยมสมมาตรพอดี
สำหรับมุมที่ติดกับตาข่าย 2 จุด เรียกว่า หน้าซ้าย หน้าขวา และวงกลมที่อยู่กลางเขตแดน คือ จุดเสิร์ฟ
ตาข่าย
ตาข่ายสำหรับเซปักตะกร้อ มีไว้กั้นเขตแดนระหว่างสองฝั่ง กว้าง 70 เซนติเมตร ยาวไม่น้อยกว่า 6.1 เมตร โดยสำหรับการแข่งขันของผู้ชายสูง 1.52 เมตร และหญิง สูง 1.42 เมตร
ลูกเซปักตะกร้อ
ลูกเซปักตะกร้อปัจจุบันทำมาจากพลาสติก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 42-45 เซนติเมตร มีรูอยู่ตรงลูกตะกร้อรวม 12 รูด้วยกัน มีจุดตัดไขว้ 20 จุด
ผู้เล่น
การเล่นตะกร้อ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ ตะกร้อปกติที่มี 3 คน และตะกร้อคู่ 2 คน กล่าวคือ เมื่อก่อนมีแต่การแข่งขันตะกร้อปกติ ทว่าเพิ่มตะกร้อแบบคู่ขึ้นมา เพราะต้องการกระจายเหรียญทองของกีฬาชนิดนี้ได้มากขึ้น
วิธีการเล่น
จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเสิร์ฟ เตะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง โดยที่ฝ่ายที่ได้ลูกตะกร้อต้องพยายามเตะตะกร้อให้ตกลงพื้นของอีกฝั่งให้ได้ ขณะที่ฝ่ายตั้งรับก็ต้องป้องกัน ไม่ให้ลูกตะกร้อตกลงบนแดนตัวเอง และเปลี่ยนสภาพเป็นฝ่ายบุกเพื่อทำให้ลูกตะกร้อตกลงบนแดนของอีกฝั่งให้ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ แต่ละฝ่ายจะมีโอกาสเตะลูกตะกร้อให้อยู่ในแดนตัวเองไม่เกิน 3 ครั้ง นับตั้งแต่ฝ่ายตรงข้ามเตะตะกร้อข้ามมา
ส่วนการเสิร์ฟ ผลัดกันเสิร์ฟ ทีมละ 3 ครั้ง สลับกันไปเรื่อย ๆ
การคิดคะแนน
1. สามารถเตะลูกตะกร้อลงบนแดนฝั่งตรงข้ามได้ ได้ 1 คะแนน (รวมการเสิร์ฟ)
2. ฝ่ายตรงข้ามเตะลูกตะกร้อไม่ข้ามเน็ต ได้ 1 คะแนน (รวมการเสิร์ฟ)
3. ฝ่ายตรงข้ามเตะข้ามแดนมาแล้ว แต่บอลไม่ตกในเขตแดนที่ระบุ ได้ 1 คะแนน
การแข่งขันแบ่งออกเป็น 3 ใน 5 เซต แต่ละเซต ใครทำได้ถึง 15 คะแนนก่อน ได้เซตนั้น ยกเว้น เสมอกัน 14-14 จะมีผู้ได้เซตก็ต่อเมื่อทำแต้มทิ้งขาด 2 คะแนน แต่แต้มสูงสุดทั้งหมดจะไม่เกิน 17 คะแนน
และนี่ก็คือประวัติตระกร้อพร้อมกติกาการแข่งขันที่ควรทราบในเบื้องต้น ซึ่งกว่ากฎกติกาต่าง ๆ จะมาเป็นแบบนี้ก็ผ่านการเปลี่ยนมาหลายรอบ โดยที่ทำให้การแข่งขันสนุกขึ้น และมีโอกาสถูกดันเข้าสู่โอลิมปิกเกมส์ในอนาคตต่อไป
-http://hilight.kapook.com/view/71885-
.