ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มิถุนายน 09, 2012, 06:14:40 pm »11. เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ปฐพฺยา เอกราเชน เป็นต้น
นายกาละ บุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จะปลีกตัวออกห่าง เมื่อพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จมาที่บ้าน ท่านเศรษฐี มีความหวั่นเกรงว่า หากบุตรชายยังประพฤติตัวอย่างนี้ ก็จะไม่แคล้วไปตกนรก จึงต้องการแก้ไขพฤติกรรมของบุตรชาย ด้วยการใช้กุศโลบายใช้เงินเป็นตัวล่อ โดยท่านเศรษฐีได้บอกกับบุตรว่า จะให้เงิน 100 กหาปณะ หากบุตรรักษาอุโบสถ และไปวัดฟังธรรม นายกาละผู้บุตรก็ได้รับอุโบสถ แล้วนอนค้างที่วัดและกลับมาในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นโดยที่ไม่ได้ฟังธรรม เมื่อบุตรกลับมาจากวัด ท่านเศรษฐีพูดขึ้นว่า “บุตรของเราได้เป็นผู้รักษาอุโบสถ ท่านทั้งหลายจงนำข้าวต้มเป็นต้นมาให้เขาเร็ว” แต่บุตรบอกเศรษฐีผู้บิดาว่าจะรับประทานอาหารก็ต่อเมื่อได้เงิน 100 กหาปณะก่อนเท่านั้น เศรษฐีก็ได้ให้เงินจำนวนนั้นแก่บุตร และบุตรก็จึงยอมรับประทานอาหาร
ในวันรุ่งขึ้น บิดาก็ได้กล่าวกับบุตรอีกว่า “พ่อคุณ เราจักให้กหาปณะพันหนึ่งแก่เจ้า เจ้าจงยืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา เรียนเอาบทแห่งธรรมให้ได้บทหนึ่งแล้วพึงมา” นายกาละผู้บุตรก็ได้ไปที่วัดอีกครั้งหนึ่ง และได้ตั้งใจว่าจะเรียนธรรมให้ได้สักบทหนึ่งก็จะรีบกลับบ้าน พระศาสดาได้ทรงบันดาลให้นายกาละจำบทธรรมอะไรไม่ได้สักบท แม้จะพยายามอย่างไรก็จำไม่ได้ แต่พอนายกาละยืนฟังนานๆเข้าด้วยจิตใจจดจ่อก็จึงได้บรรลุโสดาบัน
ในวันรุ่งขึ้น นายกาละนั้นเข้าไปสู่กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มีพระศาสดาเป็นประมุข ท่านเศรษฐีพอเห็นบุตรเดินมาก็นึกชอบใจ แต่ทว่าในวันนี้ พฤติกรรมของนายกาละ ไม่เหมือนวันวาน วันนี้เขากลับตั้งจิตอธิษฐานขออย่าให้บิดานำเงินมาให้ตนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา และขอให้ช่วยปกปิดเรื่องที่ตนไปรักษาอุโบสถเพื่อแลกกับเงินหนึ่งพันกหาปณะ
เศรษฐีได้ถวายภัตตาหารแด่พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ และสั่งให้คนยกอาหารมาให้บุตรด้วย นายกาละก็ได้นั่งรับประทานอาหารด้วยอาการนิ่งสงบ ในเวลาเสร็จภัตกิจของพระศาสดา เศรษฐีให้คนวางห่อปหาปณะพันหนึ่งไว้ตรงหน้าบุตรแล้ว พูดว่า “พ่อคุณ นี่ไงเงินจำนวนหนึ่งพันกหาปณะที่พ่อรับปากว่าจะให้ลูกหากลูกไปสมาทานอุโบสถและฟังธรรมในวัด” นายกาละเห็นบิดาให้คนนำถุงเงินมาให้ตนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา ก็นึกละอายแก่ใจ พูดว่า ผมไม่รับ แม้จะถูกคะยั้นคะยอให้รับอย่างไร ก็บอกว่า ไม่รับ ๆ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ ข้าพระองค์ ชอบใจอาการของบุตร” เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า “เรื่องอะไรหรือ มหาเศรษฐี” จึงกราบทูลว่า “ในวันก่อน บุตรของข้าพระองค์นี้ อันข้าพระองค์พูดว่า เราจักให้กหาปณะแก่เจ้า แล้วส่งไปวิหาร ในวันรุ่งขึ้น ยังไม่ได้รับกหาปณะแล้ว ไม่ปรารถนาจะบริโภคอาหาร แต่วันนี้ เขาไม่ปรารถนากหาปณะแม้ที่ข้าพระองค์ให้”
พระศาสดาตรัสว่า “ อย่างนั้น มหาเศรษฐี วันนี้ โสดาปัตติผลนั่นแล ของบุตรของท่าน ประเสริฐแม้กว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ แม้กว่าสมบัติในเทวโลก และพรหมโลก”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ปฐพฺยา เอกรชฺเชน
สคฺคสฺส คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปัจฺเจน
โสตาปตฺติผลํ วรํ ฯ
(อ่านว่า)
ปะถับพะยา เอกะรัดเชนะ
สักคัดสะ คะมะเนะ วา
สับพะโลกาทิปัดเจนะ
โสตาปัดติผะลัง วะรัง.
(แปลว่า)
โสดาปัตติผล
ประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน
กว่าการไปสู่สวรรค์
และกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น .
เรื่องย่อและพระคาถาพระธรรมบท
(๑๗ พ.ย.๕๑)
-http://www.oknation.net/blog/dhammapada/2008/11/17/entry-4