เป็นเราเป็น เคยเป็นแล้วเวลา กลัวมากๆ ใครจะว่าบ้าก็ตาม จะว่าบ้าก็ได้ จะว่านักเหตุผลก็ไม่ผิด คือเราทำทุกสิ่งทุกอย่างจะมีเหตุมีผลมีสติปัญญาพินิจพิจารณาการกระทำของตน ตลอด เช่นอย่างมันกลัวมากๆ เอา จะตามความกลัวให้เห็นกันวันนี้น่ะ มันจะกลัวขนาดไหน คือเวลาจะเดินจงกรมนี้เสือสองฟากทางจงกรมนี้มีแต่ตัวใหญ่ๆ มาหมอบอยู่สองฟากทางจะกินพระขี้ขลาดตัวนี้ แล้วมีองค์เดียวเสียด้วยเสือมันเป็นร้อยๆ นี่พูดตามความจริง
มันวาดภาพหลอกเจ้าของ มองไปทางนี้ก็เสือหมอบเต็ม มองทางนี้เสือหมอบเต็ม ทีนี้มันจะก้าวขาไม่ออก
เอาๆ ให้มันมากกว่านี้อีกเสือ คราวนี้กูจะสู้เสือ เอาละนะที่นี่ เอา ให้ตัวใหญ่ๆ อยู่นี้ จะเดินผ่านเข้าไปตรงนี้เลย เอาละนะที่นี่ ตัดสินใจปุ๊บ..จิตนี้มันก็แปลกอยู่นะ มันแข็งแกร่งมาก ว่าอะไรเหมือนหินหักนะ หักอย่างนี้ต่อกันไม่ได้ ว่าอะไรแล้วเป็นอันนั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ พอว่าอย่างนั้นเอาไป เสือตัวไหนตัวมันใหญ่เดินบุกเข้าไป ไปหายเงียบ มันไม่มี
มันหลอกเจ้าของ เอา ตัวไหนมันใหญ่ สมมุติตัวใหญ่สุดตัวนั้นใหญ่บุกเข้าไปหายเงียบๆ หนึ่งแล้วนะสองแล้วนะ
ดูเจ้าของโกหกเจ้าของ ทะลุเลย เอา ถ้าหากมันไม่หายกลัวจะพุ่งเลย มันจะเข้าไปบ้านใดเมืองใดป่าใดก็ตาม เขาจะว่าบ้าก็ตาม
เราดัดสันดานกิเลสของเราต่างหาก ใครจะว่าบ้าไม่บ้าเราไม่เป็นบ้าจะเป็นอะไรไป บุกเลย
ที นี้กล้าหาญชาญชัยว่าเสืออยู่ที่ไหนเข้าไปไม่มี หลอกเรื่อยๆ เราก็จับเอาเรื่อยๆ สุดท้ายกล้าหาญหมด ไม่มีอะไรกลัวเลย ทีนี้เมื่อไม่มีอะไรกลัวแล้วไปอะไร ไม่ไป กลับคืน มาอยู่สบาย ไม่มีอะไรกลัว พอจะแย็บออกว่าจะกลัว เหอ คำว่าเหอคือจะเอาอีกเดี๋ยวนั้น ความหมายว่าอย่างนั้น
นี่ ทำหมดแล้วใครจะว่าบ้าก็ตาม เราเดินบุกเข้าป่า ตอนเวลาทำไม่มีใครรู้เรา นี่จึงได้มาบรรยายให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟัง ว่าเราเคยทำอย่างนั้นมาแล้ว ถึงคราวเด็ดมันเด็ดจริงๆ เอาตายเข้าว่าเลย มันกลัวที่ไหนมาก เอา เข้าตรงนั้นเลย เข้าไปไม่มีอะไร
มีแต่สังขารมันหลอกเจ้าของ พุ่งๆ มันไม่มีอะไร เลยมา ทำทุกอย่างฝึกเจ้าของให้รู้กลมายาของกิเลสที่มันหลอกเรา เมื่อทันมันแล้วมันก็หลอกไม่ได้
มัน เป็นขั้นนะ
การพิจารณาจิต ขั้นธรรมดาเป็นอย่างนี้ เราต้องฝึกหนักๆ อย่างนี้ ก็ทันกัน ไม่กลัวจริงๆ เอา ให้เสือเดินมาเดินเข้าหาได้เลย เมื่อถึงขั้นมันกล้าหาญชาญชัยเต็มที่แล้วในจิตขั้นนี้นะ ครั้นต่อไปๆ พิจารณาเข้าไปจิตมันว่างเข้าไปวางเข้าไป สุดท้ายจะว่าสัตว์ว่าเสือมันไม่ทัน ภาพขึ้นมาเป็นรูปสัตว์หายเงียบๆ จะตื่นลมตื่นแล้งไปอะไร มันก็ไม่ทันได้กลัว ไม่ทันให้กล้าแหละ พอวาดภาพเสือขึ้นมาพับนี้เหมือนฟ้าแลบ พับดับหมดๆ มันก็ไม่กลัว มันเป็นขั้นๆ นะ ถึงขั้นมันว่างหมดแล้วกลัวอะไร วาดอะไรขึ้นมาก็มีแต่ลมๆ แล้งๆ มันไม่มีรูปมีภาพให้น่ากลัว มันเป็นขั้นๆ นะการพิจารณา ถึงขั้นมันว่างไปหมดแล้วมันไม่กลัว มันว่างหมดเลย
ท่านผู้ที่รู้เร็วก็ดี สำหรับเรานี่นิสัยวาสนาหยาบมาก จึงต้องได้ใช้ความหยาบดัดกันอย่างเต็มที่ ผู้ ที่ท่านรู้เร็วกว่าเราก็มี ท่านไม่ได้ฝึกทรมานยากอย่างเรานี้มีเยอะ แต่เรามันยากมันลำบาก จะว่าคนหยาบหรือวาสนาหยาบก็ได้ จึงต้องเอาอย่างหนัก ถ้าหนักอย่างไรได้ผลนะ มันแปลกอยู่ ถ้าว่าหนักทำไม่ได้ผลก็ไม่เห็นมี ถ้าลงได้ตัดสินกันเอานะว่าเท่านั้นเลย มันจะขนาดไหน คอขาดขาดไปเลย เสือเดินมานี้จะเดินบุกเสือเลย นั่นฟังซิ อันหนึ่งกลัวจะตาย แต่อันหนึ่งมันเด็ดขาด เสือเดินเข้ามาจะเดินโดนเสือเลย นู่นเห็นไหมจิต นี่ละธรรมอยู่กับจิต มันก็ไม่กลัวเสือละซิ
อุบาย วิธีฝึกทรมานตัวเองต้องใช้หลายแบบหลายฉบับ เอาแบบเดียวฉบับเดียวไม่ทัน ไม่ทันกับกิเลส
แต่ต้องมีสติปัญญาตามนะ อย่าสักแต่ว่าทำ อย่าสักแต่ว่าดัด ดัดมันเฉยๆ สติปัญญาไม่ทันมัน มันก็เป็นทำนองเณรผอง เข้าใจไหม เราเคยพูดให้ฟังแล้ว ชื่อมันเณรผอง อยู่ห้วยทรายด้วยกัน กุฏิมันก็ไม่อยู่ห่างนัก ห่างกว่าแผ่นนี้สักหน่อย แต่มันเป็นดงมันก็เหมือนห่างไกล เรานั่งภาวนา เณรนี้แกก็นั่งภาวนาอยู่ที่นั่น ต่างองค์ต่างนั่งภาวนา เพราะพระท่านไม่มีธุระอะไรกับใคร นอกจากวันประชุม อาจารย์ประชุมอบรมสั่งสอนเสร็จแล้วเลิกพร้อมกันไปเลย หายเงียบ นอกนั้นไม่มีที่จะมาคุยกันสุ่มสี่สุ่มห้า
วัน นั้นเรานั่งภาวนาอยู่ ประมาณ ๓ ทุ่มกว่า เรานั่งภาวนาเงียบๆ ฟังเสียงตุ๊บอยู่ทางนี้ละ มันเหมือนอะไรตก เสียงตุ๊บ เสียงดังด้วยนะ เสียงตุ๊บเลย เอ๊ มันเสียงอะไรน้า เราก็ยังไม่ว่าอะไร คอยฟังเสียงก่อน หากมีเหตุการณ์อะไรจะมีเสียงดังขึ้นอย่างไรจะมีผู้มาเกี่ยวข้อง ไม่นานก็ได้ยินเสียงพุมพิมๆๆ อ้าวมีเหตุแล้วที่นี่ เราก็ออกเดินไป มันเป็นอะไรกัน บอกว่าเณรผองตกกุฏิ แล้วทำไมถึงตก ถามมันนะ คือมันอยู่ในห้อง นั่งภาวนาในห้องมันง่วง หัวคะมำลงพื้น มันเป็นอย่างไรดัดสันดานมัน ว่าอย่างนั้น ออกมาเฉลียงข้างนอก มานั่งหมิ่นๆ อย่างนี้ เอา ถ้ามันง่วงมันตกเอง มันก็เอาจริงๆ นั่งไม่นานฟังเสียงตุ๊บ มันตกลงไปนั้น เป็นอย่างไรเณรผองตกกุฏิ ตกกุฏิอย่างไร ก็เลยเล่าให้ฟังว่า
ดัดสันดานเจ้าของ ความง่วงเหงาหาวนอนมันเลยดัดเอาเสียตกกุฏิไป
มัน เป็นอย่างไร ก็มานั่งหมิ่นๆ อยู่อย่างนี้ ถ้ามันง่วงให้มันตกไป มันง่วงละซิมันก็ตกลงตุ๊บลงไป อย่าให้ทรมานแบบนั้นนะ แบบเณรผองเข้าใจไหม
ให้ใช้สติปัญญานะ ถ้าใช้แบบนั้นมีเท่าไรตายหมด นี่ตัวอย่าง อยู่บ้านห้วยทราย พระมีพอดี เราไม่รับมากนะ ๗-๘ องค์ อยู่วัดห้วยทราย พอเหมาะพอดี ทั้งวันทั้งคืนมีแต่การประกอบความพากเพียรตลอด เดี๋ยวนี้มันเป็นวัดอะไรก็ไม่รู้แหละ มีผู้อยู่แทนนั้นแหละ มันคงจะเปลี่ยนแปลงไปมาก สภาพเดิมของเราที่บำเพ็ญภาวนามันสะดวกสบาย จัดไว้เรียบไปหมด แต่ต่อมานี้มันอาจจะระเกะระกะไปตามเจ้าของผู้ครองวัดนั้นแหละ ก็เลยไม่ได้เข้าไป พูดถึงเรื่องการตกกุฏิ อย่าไปทรมานแบบนั้นนะ ถ้าแบบนั้นแล้วตายนะจะว่าไม่บอก เณรผอง ง่วงนอน มันดัดสันดานมัน ถ้ามันง่วงให้มันตกมันก็ง่วงจริงๆ ซี ตกลงเลย
เจ้าของไม่มีสติเป็น อย่างไรล่ะฟังธรรมะพอได้คติบ้างหรือเปล่าลูกหลานน่ะ นั่งภาวนาฝึกหัดภาวนาดัดสันดานกิเลสความง่วงเหงาหาวนอน มันฟาดเอาเสียตูมเลยเสียง เสร็จ ไม่ทราบใครแพ้ใครชนะ ก็กิเลสเหยียบหัวมันละมันถึงตก ถ้าสติปัญญาเหยียบมันมันจะไม่ง่วง
พระ ท่านเคยสั่งเพื่อนกัน พระองค์นี้แต่ก่อนท่านเป็นนักเลง สมที่ว่าท่านใจเด็ด ท่านเป็นนักเลง นักเลงโตเหมือนกันนะ ทีนี้ท่านกลับตัวได้ รู้สึกเห็นโทษในความเป็นคนชั่ว เรื่องปล้นเรื่องจี้ใครนี้ไม่ถอยใคร ว่าฆ่าฆ่า ว่าฟันฟัน ไม่ถอยใครเลย เห็นโทษของตัวเองกลับมาบวชเป็นพระ มาบวชเป็นพระท่านก็มีนิสัยใจกล้าอย่างนั้นแหละ ไปอยู่ในถ้ำ ท่านหาวิธีดัดท่านเหมือนกันกับเณรที่ดัดนั่นละ แต่ท่านไม่ตกเหว องค์นี้ท่านดัดอย่างนั้น ท่านไม่ตกเหว คือมันมีสองทาง ทางนี้ขึ้นมานี้เป็นทางเสือ คือคนอยู่นี้ถ้ำนี้ มันเป็นเพดานถ้ำ แล้วเสือมันมานี้มันก็ขึ้นทางของมัน มันมานี้มันขึ้นทางของมัน ทางมันเข้าไปแล้วมันเป็นช่องอย่างนี้ มันไปนอนอยู่นั้น เวลามันจะออกหากินมันก็ออก เวลาตี ๓ ตี ๔ มันกลับเข้ามาขึ้นบนถ้ำ รู้เลยว่าเสืออยู่ประจำ พระท่านก็อยู่ที่นั่นไม่มีอะไรกัน