ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2012, 11:36:15 am »สัญญา ความหมาย ฟังแต่ว่า “ความหมาย” มันวนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้น
หมายนั่นหมายนี่ ดีไม่ดีก็หมายไป จำไป ลืมไปแล้วเอามาจำใหม่ ยุ่งกันไปหมด
วิญญาณ ก็ปรากฏขึ้นในขณะที่มีสิ่งมาสัมผัส
เป็นความกระเพื่อมแห่งความรู้รับกันกับสิ่งที่มาสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ซึ่งกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส
ก็เกิดความรับรู้ขึ้นเป็นขณะๆ ที่สิ่งนั้นสัมผัส แล้วก็ดับพร้อมกับสิ่งสัมผัสนั้นดับไป
นี่ท่านเรียกว่า “วิญญาณ” ความกระเพื่อมแห่งความรู้เท่านั้นเอง
ความรู้จริงๆ ไม่เป็นเช่นนั้น ถึงสิ่งเหล่านั้นจะมาสัมผัสหรือไม่สัมผัสก็ตาม
ความรู้ก็รู้อยู่โดยสม่ำเสมอนี่ท่านเรียกว่า “ใจ” หรือเรียกว่า “จิต”
แต่ความกระเพื่อมของจิตที่แสดงออกรับกับสิ่งที่มาสัมผัส
ชั่วขณะๆ ที่สิ่งนั้นมาสัมผัส ท่านเรียกว่าวิญญาณ
“วิญญาณในขันธ์ห้า” กับ “ปฏิสนธิวิญญาณ” จึงผิดกัน
วิญญาณในขันธ์ห้าปรากฏขึ้นในขณะที่มีสิ่งมาสัมผัส
“ปฏิสนธิวิญญาณ” นี้หมายถึง “ตัวจิตล้วนๆ”
ที่เข้ามาปฏิสนธิก่อกำเนิดเกิดขึ้นที่นั่นที่นี่ หมายถึงจิตที่กล่าวถึง “ในสถานที่นี้” ในขณะนี้
“วิญญาณ”หมายถึงวิญญาณในขันธ์ห้า ซึ่งมีสภาพเหมือนกับรูป เวทนา สัญญา สังขาร
มันเสมอกันด้วย “ไตรลักษณ์” เหมือนกันด้วย “ไตรลักษณ์”
เหมือนกันด้วยความเป็น “อนตฺตา” มันไม่เหมือนกับเรา เราไม่เหมือนกับสิ่งนั้น
เหตุนั้นสิ่งนั้นจึงไม่ใช่เรา เราจึงไม่ใช่สิ่งนั้น
แยกด้วยปัญญาให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ แล้วจิตจะปล่อยความกังวล
ปล่อยคำว่า “รูปเป็นเรา เวทนาเป็นเรา สัญญาเป็นเรา สังขารเป็นเรา วิญญาณเป็นเรา”
ปล่อยออกไป เราไม่ใช่อาการห้านี้ อาการห้านี้ไม่ใช่เรา
เห็นประจักษ์ ตัดตอนมันออกไปโดยลำดับๆ จนกระทั่งขาดไปจริงๆ จากอาการ
แม้จะแสดงขึ้นมาก็ทราบว่า “อาการนี้แสดง” แสดงขึ้นเพียงไรก็ทราบว่ามันแสดง
ด้วยความรู้ของเรา ด้วยปัญญาของเรา ที่ท่านเรียกว่า “คลี่คลายด้วยปัญญา”
ในบรรดาขันธ์ที่มีอยู่ ซึ่งเป็นเครื่องปกปิดกำบัง หรือรวมเข้ามาว่า “เป็นตน”
โดยความสำคัญของจิต แยกออกด้วยปัญญาให้เห็นชัดเจน
นี่แหละตัดกิ่งก้านสาขา ตัดรากใหญ่ๆ รากฝอยของกิเลสเข้ามา
เหลือแต่ “รากแก้ว” พอถึง “รากแก้ว” แล้วก็ถอนขึ้น
รากแก้วคืออะไร? คือ ตัวจิต มีกิเลสตัวสำคัญอยู่ในนั้นหมด
ผู้ปฏิบัติจึงมักจะหลงที่ตรงนี้ ถ้าหากไม่มีผู้แนะเลยจะต้องมาติดที่ตรงนี้แน่นอน
ถือสิ่งนี้เป็นตน คิดว่า “อะไร ๆ ก็หมดแล้ว รู้หมดแล้ว รู้แล้ว”
ยกเราว่ารู้หมด! แต่เราหาได้รู้ “เรา” ไม่
นั้นคือเราหลงเรา รู้สิ่งภายนอกแต่มาหลงตัวเอง
สิ่งภายนอกในสถานที่นี้ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งภายนอกที่นอกจากตัวเรา
หมายถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้นี่แหละ รู้สิ่งเหล่านี้แล้วยังไม่รู้ตัวจริงคือจิต
จิตเลยยกตัวขึ้นว่ารู้สิ่งทั้งหลายเสีย ทั้งๆ ที่ตัวกำลังหลงอยู่ในตัวเอง
จึงต้องใช้ปัญญาคลี่คลาย หรือขยี้ขยำเข้าไปที่ตรงนี้เพื่อความรู้รอบตัว ไม่ให้มีอะไรซุ่มซ่อนอยู่เลย
ขึ้นชื่อว่า “ยาพิษ” คือกิเลสประเภทต่างๆ แม้จะละเอียดเพียงไร มี “อวิชชา” เป็นต้น
ก็ให้กระจายไปด้วยอำนาจแห่งปัญญาคลี่คลาย
จนกระทั่งกระจายไปจริงๆ หรือสลายไปจริงๆ ด้วยอำนาจของปัญญาอันแหลมคม
แล้วคำว่า “เรา” คำว่า “ของเรา” ก็หมดปัญหา
คำว่า “รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
หรือว่าขันธ์ห้า อาการทั้งห้า นี้เป็นเรา เป็นของเรา” ก็หมดปัญหาไปตาม ๆ กัน
ว่าเป็น “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา”ก็หมดปัญหาไปตามกัน
เพราะสิ้นปัญหาภายในใจ คือ “อวิชชา” ซึ่งเป็นตัวปัญหาได้สิ้นไปแล้ว
ปัญหาทั้งหลายจึงไม่มีภายในใจ ใจจึงเป็นใจที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ !
นั่นแหละคือบ่อแห่งความสุข!
เมื่อกำจัดความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ออกจากใจหมดสิ้นไปแล้ว
ใจจึงกลายเป็นใจที่บริสุทธิ์ขึ้นมา
นิยยานิกธรรม พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตว์โลกมาตั้งแต่พื้น ๆ
ดังที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้น จนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายอย่างนี้
เป็น “นิยยานิกธรรม”โดยสมบูรณ์ นำสัตว์ผู้ข้อง พูดง่ายๆ นำจิตผู้ข้อง
ให้พ้นจากความข้องนั้นโดยประการทั้งปวง
กลายเป็น “โลกวิทู” รู้แจ้งเห็นจริงในธาตุในขันธ์ทั้งภายนอกภายใน
แล้วก็หมดปัญหากันเพียงเท่านี้
จากนั้นท่านก็ไม่ได้ทรงสอนอะไรต่อไปอีก เพราะพ้นจากทุกข์แล้วจะสอนเพื่ออะไร
ถึงที่อันเกษมแล้วสอนกันไปเพื่ออะไรอีก!
นี้แลที่เคยกล่าวเสมอว่า “มัชฌิมา” ในหลักธรรมชาติอันเป็นฝ่ายผล
ได้แก่ “จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ” นี้ ไม่มีอะไรที่จะ “กลาง” ยิ่งกว่าจิตที่บริสุทธิ์นี้
เสมอยิ่งกว่าจิตที่บริสุทธิ์นี้ ไม่มีในโลกทั้งสามนี้!
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ อันเป็น “มัชฌิมา” ในหลักธรรมชาตินี้
นี่แหละความเป็นเอก ก็คือนี้ จิตเป็นเอก ก็คือจิตที่บริสุทธิ์นี้
ธรรมอันเอก ก็คือธรรมอันบริสุทธิ์ภายในใจนี้ มีอันเดียว ไม่มีสองกับสิ่งใด
โลกทั้งหลายมีคู่ๆ ธรรมชาตินี้ไม่มีคู่ มีอันเดียวเท่านั้น
พระพุทธเจ้าสมกับพระนามว่า เป็น “โลกวิทู” เป็นศาสดาเอกของโลก
ทรงรู้วิธีแก้ไขกิเลสน้อยใหญ่มาโดยลำดับๆ แล้วนำมาสั่งสอนโลก
ให้พวกเราทั้งหลายแม้เกิดสุดท้ายภายหลังตามคตินิยมก็ตาม
แต่เราก็ได้รับพระโอวาทคำสั่งสอน คือศาสนธรรมจากพระองค์
มาปฏิบัติตนเอง ไม่เสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
“ธรรม” กับ “พระพุทธเจ้า” คือธรรมคำสั่งสอนของพระองค์
นำมาเป็นเครื่องประดับกายประดับใจของเรา
ขอให้มีความภาคภูมิใจในวาสนาของเราที่ได้เป็นอรรถเป็นธรรม
ปฏิบัติตามพระองค์ ให้สมชื่อว่า “เป็นพุทธบริษัทโดยสมบูรณ์”
จึงขอยุติ
คัดจาก “ธรรมชุดเตรียมพร้อม” รวมพระธรรมเทศนา
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ :http://www.sookjai.com/index.php?topic=36992.msg63123#new