ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2012, 06:21:08 am »"ยาระบาย"..อันตรายที่ทุกบ้านพึงระวัง!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
31 กรกฎาคม 2555 12:22 น.
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000093298-
เมื่อพูดถึงยาระบาย คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าไม่มีอะไร หลาย ๆ คนใช้ยาระบายเพื่อลดความอ้วนโดยรับประทานต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน แต่หารู้ไม่ว่า วิธีดังกล่าว นอกจากเป็นการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องแล้ว ยังไม่ได้ผลในการลดความอ้วน และอาจเกิดผลเสียกับร่างกายตามมาอีกด้วย
วันนี้ทีมงาน Life & Family มีชุดความรู้ดี ๆ จากศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยา โรงพยาบาลเวชธานีเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้ยาระบายเป็นประจำมาฝากทุกบ้านกัน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามอ่านกันได้เลยครับ
ยาระบายมีหลายประเภท
ยาในกลุ่มยาระบายนั้น มีหลายประเภทตามกลไกการออกฤทธิ์ของยา ได้แก่ ยาเพิ่มปริมาณอุจจาระ ยาทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ยาประเภทหล่อลื่น ยาประเภทเพิ่มปริมาตรน้ำ ไฮเปอร์ออสโมติกเอเจนต์ เช่น ยาเหน็บ Glycerin และยาประเภทกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เช่น มะขามแขก ซึ่งการพิจารณาเลือกใช้ยานั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย ภาวะโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ หรือความรุนแรงของอาการท้องผูก
ใช้ยาระบายเป็นประจำ ทำให้เกิดอันตรายอย่างไร
ยาระบายที่นิยมซื้อใช้กันส่วนใหญ่ในบ้านเรา เป็นยากลุ่มกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ (Stimulant laxatives) เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรมะขามแขก และยา Bisacodyl (ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นยาเม็ดเคลือบสีเหลืองเล็ก ๆ) ขนาดการใช้ยาระบายกลุ่มนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการท้องผูก และการตอบสนองของผู้ป่วย และควรใช้เท่าที่จำเป็นในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ไม่ควรใช้ในการลดความอ้วน หรือใช้บรรเทาอาการท้องผูกติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะเมื่อใช้ยาในกลุ่มนี้ต่อเนื่องไปนาน ๆ จะทำให้เกิดภาวะลำไส้เคยชินต่อยาระบาย ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายได้เอง และจะทนต่อยามากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ลำไส้ทำงานไม่ปกติ ยากต่อการแก้ไข นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะปวดท้อง ระดับเกลือแร่เสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเวียนศีรษะได้อีกด้วย
การรักษาอาการท้องผูกที่ถูกวิธีคือ การรักษาที่สาเหตุ เช่น บางคนดื่มน้ำน้อยเกินไป ทานอาหารประเภทกากใยน้อยเกินไป มีภาวะเครียด หรือรับประทานยาบางประเภทที่ทำให้ท้องผูก เช่น ยาแก้ท้องเสียบางชนิด รับประทานมากเกินไปอาจทำให้ท้องผูก เป็นต้น
ส่วนการลดความอ้วนที่ถูกวิธีนั้น ควรรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และออกกำลังกายเป็นประจำ ส่วนการรับประทานยาระบาย เป็นการการระบายมวลอุจจาระออกจากร่างกาย ไม่ได้มีผลต่อการลดการดูดซึมไขมัน หรือลดไขมันที่สะสมอยู่ออกจากร่างกายแต่อย่างใด
ดังนั้น คราวต่อไป ก่อนหยิบยาระบายขึ้นมาใช้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ลองฉุกคิดดูสักนิดว่า พอจะแก้ไขด้วยทางเลือกอื่นได้หรือไม่ และให้ยาระบายเป็นทางเลือกอันดับท้าย ๆ ดีกว่าไปทำลายระบบขับถ่ายของร่างกายด้วยการรับประทานยาระบายเป็นประจำจนทำให้การทำงานของลำไส้ผิดปกติไป
.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
31 กรกฎาคม 2555 12:22 น.
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000093298-
เมื่อพูดถึงยาระบาย คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าไม่มีอะไร หลาย ๆ คนใช้ยาระบายเพื่อลดความอ้วนโดยรับประทานต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน แต่หารู้ไม่ว่า วิธีดังกล่าว นอกจากเป็นการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องแล้ว ยังไม่ได้ผลในการลดความอ้วน และอาจเกิดผลเสียกับร่างกายตามมาอีกด้วย
วันนี้ทีมงาน Life & Family มีชุดความรู้ดี ๆ จากศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยา โรงพยาบาลเวชธานีเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้ยาระบายเป็นประจำมาฝากทุกบ้านกัน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามอ่านกันได้เลยครับ
ยาระบายมีหลายประเภท
ยาในกลุ่มยาระบายนั้น มีหลายประเภทตามกลไกการออกฤทธิ์ของยา ได้แก่ ยาเพิ่มปริมาณอุจจาระ ยาทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ยาประเภทหล่อลื่น ยาประเภทเพิ่มปริมาตรน้ำ ไฮเปอร์ออสโมติกเอเจนต์ เช่น ยาเหน็บ Glycerin และยาประเภทกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เช่น มะขามแขก ซึ่งการพิจารณาเลือกใช้ยานั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย ภาวะโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่ หรือความรุนแรงของอาการท้องผูก
ใช้ยาระบายเป็นประจำ ทำให้เกิดอันตรายอย่างไร
ยาระบายที่นิยมซื้อใช้กันส่วนใหญ่ในบ้านเรา เป็นยากลุ่มกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ (Stimulant laxatives) เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรมะขามแขก และยา Bisacodyl (ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นยาเม็ดเคลือบสีเหลืองเล็ก ๆ) ขนาดการใช้ยาระบายกลุ่มนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการท้องผูก และการตอบสนองของผู้ป่วย และควรใช้เท่าที่จำเป็นในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ไม่ควรใช้ในการลดความอ้วน หรือใช้บรรเทาอาการท้องผูกติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะเมื่อใช้ยาในกลุ่มนี้ต่อเนื่องไปนาน ๆ จะทำให้เกิดภาวะลำไส้เคยชินต่อยาระบาย ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายได้เอง และจะทนต่อยามากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ลำไส้ทำงานไม่ปกติ ยากต่อการแก้ไข นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะปวดท้อง ระดับเกลือแร่เสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเวียนศีรษะได้อีกด้วย
การรักษาอาการท้องผูกที่ถูกวิธีคือ การรักษาที่สาเหตุ เช่น บางคนดื่มน้ำน้อยเกินไป ทานอาหารประเภทกากใยน้อยเกินไป มีภาวะเครียด หรือรับประทานยาบางประเภทที่ทำให้ท้องผูก เช่น ยาแก้ท้องเสียบางชนิด รับประทานมากเกินไปอาจทำให้ท้องผูก เป็นต้น
ส่วนการลดความอ้วนที่ถูกวิธีนั้น ควรรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย และออกกำลังกายเป็นประจำ ส่วนการรับประทานยาระบาย เป็นการการระบายมวลอุจจาระออกจากร่างกาย ไม่ได้มีผลต่อการลดการดูดซึมไขมัน หรือลดไขมันที่สะสมอยู่ออกจากร่างกายแต่อย่างใด
ดังนั้น คราวต่อไป ก่อนหยิบยาระบายขึ้นมาใช้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ลองฉุกคิดดูสักนิดว่า พอจะแก้ไขด้วยทางเลือกอื่นได้หรือไม่ และให้ยาระบายเป็นทางเลือกอันดับท้าย ๆ ดีกว่าไปทำลายระบบขับถ่ายของร่างกายด้วยการรับประทานยาระบายเป็นประจำจนทำให้การทำงานของลำไส้ผิดปกติไป
.