ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 07, 2012, 07:25:03 am »

สารเติมเต็มตัวใด-ใครฉีด เสี่ยงตาบอด จมูกเน่า หน้าเละ สลบหมดสติ?
-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9550000120613-
ASTVผู้จัดการออนไลน์
2 ตุลาคม 2555 09:31 น.



   By Lady Manager
       
       ช็อกโคม่า! หามพริตตี้สาวน็อกหมดสติส่งโรงพยาบาล หลังฉีดเสริมสะโพกให้กลมกลึงกับหมอเถื่อน แพทย์ระบุ สมองขาดออกซิเจนนานกว่า 4 นาที เสี่ยงเป็นเจ้าหญิงนิทรา



  ข่าวคึกโครมนี้สร้างความสะพรึงกลัวให้กับสาวๆ ผู้พิศมัยความสวยแบบเสี่ยง ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ร่างกายหวังสวยทางลัด กะว่าเอาเข็มจิ้มปุ้บเสกสะโพกก้นกลมกลึงปั้บ หารู้ไม่ความงามอันพึงปรารถนากลับทำพิษเกือบถึงชีวิต!
       
       เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ออกโรงแถลงข่าวเตือนประชาชนให้รู้เท่าทันพิษสงของ "อันตรายจากการฉีดสารเติมเต็ม" ที่เรียกว่า "ฟิลเลอร์" ที่ฮอตฮิตในแวดวงคลินิกความงาม เพราะไม่ต้องพักฟื้น ไม่เสียเวลา ฉีดปั้บ กลับไปทำงานต่อ นัดแฟน ควงกิ๊กไปดินเนอร์ได้ทันที
       
       "ประเภทของสารเติม หรือ ฟิลเลอร์ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
       
       1. แบบชั่วคราว (Temporary Filler) จะมีอายุการใช้งาน 4-6 เดือน จากนั้นจะสลายตัวไปตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูง อาทิ สารไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid)
       
       2. แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) จะมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี มีระดับความปลอดภัยปานกลาง
       
       3. แบบถาวร (Permanent Filler) เช่น ซิลิโคน หรือ พาราฟิน ซึ่งเมื่อฉีดเข้าไปแล้วสารจะอยู่ในผิวหนังตลอดและมักมีผลข้างเคียง" นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง
       
       ทว่าการฉีดฟิลเลอร์ได้ถูกนำมาใช้รักษาทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย เพื่อใช้รักษาผิวพรรณให้ริ้วรอยร่่องลึกต่างๆ ตื้นขึ้น โดยจะนิยมฉีดบริเวณใบหน้า จมูก แก้ม โหนกแก้ม ริมฝีปาก สะโพก คาง หรือใบหน้าให้ดูอวบอิ่มขึ้น
       
       ส่วนผลข้างเคียงและอาการแทรกซ้อนจากการฉีดเพียบ เช่น เกิดผื่นแดงบริเวณทีฉีด เกิดรอยนูนมากเกิดผิว เกิดการเคลื่อนย้ายของสารที่ฉีดทำให้เกิดการผิดรูป เกิดการแพ้ซึ่งอาจเกิดได้ตั้งแต่ภายหลังฉีดเสร็จแล้วถึงขั้นเป็นเดือนหรือเป็นปี เกิดการอุดตัน โดยการฉีดผิดตำแหน่ง เช่น การฉีดเข้าไปในเส้นเลือดแดงทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือด หรือบางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด
       
       ระวัง! หมอฉีดฟิลเลอร์จุดนี้ แต่เจ็บจุดอื่น ร้องหยุดทันที!
       
       คุณหมอจินดาบอกด้วยว่า สารเติมเต็มที่ได้รับการยอมรับ คือ สารไฮยาลูโรนิค แอซิด ซึ่งระหว่างการฉีดต้องมีการสังเกตอาการ หากพบว่ามีอาการเจ็บบริเวณอื่นนอกจากจุดที่ฉีดควรบอกแพทย์ให้หยุดการฉีด ซึ่งแพทย์จะทำการแก้ไขด้วยการฉีดสารละลายแก้ไขที่เรียกว่า ไฮยาลูโรนิเดส เข้าไปเพื่อสลายสารไฮยารูโลนิค แอซิด แต่สารตัวดังกล่าวยังไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เนื่องจากสกัดมาจากหลายชนิด อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ จึงควรต้องมีการทดสอบก่อน



    สอดคล้องกับ ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
       
       “ประเทศไทยนิยมใช้สารฟิลเลอร์มากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยมักนำมาใช้กับการศัลยกรรมเสริมจมูก ประกอบกับดารานักแสดงส่วนใหญ่นิยมทำ เนื่องจากทำง่ายเหมือนฉีดยา ไม่บอบช้ำเหมือนการผ่าตัด ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็สามารถกลับทำงานได้ ทำให้การฉีดสารฟิลเลอร์ที่จมูกเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและรวดเร็ว
       
       แต่ปัญหาที่พบ คือ หากไม่ได้รับการฉีดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีความระมัดระวัง อาจเกิดความผิดพลาดเข้าไปในเส้นเลือด แม้เพียงปริมาณเล็กน้อย 0.4-0.5 ซีซี ก็สามารถทำให้ตาบอดได้ เนื่องจากบริเวณจมูกมีแขนงหลอดเลือดจำนวนมาก และเชื่อมกับเส้นประสาทตา หากไม่ระวังย่อมส่งผลให้ตาบอดตั้งแต่บอดชั่วคราวกระทั่งถาวร
       
       “ขอให้หลีกเลี่ยงการเสริมจมูกด้วยวิธีนี้ เนื่องจากไม่คุ้มค่าหากต้องเสี่ยงตาบอดถาวรแลกกับการทำให้จมูกโด่งเพียงชั่วคราว แม้แต่ฟิลเลอร์ที่ อย.รับรองก็อาจเกิดตาบอดได้เช่นกัน เพราะอาการตาบอดไม่ได้เกิดจากคุณภาพของสารที่ฉีด แต่เกิดจากกระบวนการฉีดที่มีการรั่วไหลของฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงประสาทตาทำให้ตาบอด ส่วนจำนวนผู้ที่ได้รับผลข้างเคียงยังไม่มีตัวเลขแน่ชัด ส่วนใหญ่เป็นการบอกเล่า ซึ่งคาดว่าในไทยคงมีประมาณ 5-10 ราย” ผศ.นพ.ถนอม กล่าว
       
       ฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด เสี่ยงตาบอด จมูกเน่า
       
       นอกจากนี้ ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ที่พบมาก คือ จมูกเน่า เพราะไปอุดตัน ทำให้เลือดไม่ไหลเวียน ซึ่งส่วนใหญ่จะพบราว 10 - 20 ราย ซึ่งกรณีการเกิดผิดพลาดจะต้องรีบแก้ไขภายใน 90 นาที ไม่เช่นนั้นจะตาบอดทันที ดังนั้น การฉีดสารเหล่านี้ควรอยู่ในสถานที่ได้รับการรับรอง และมีเครื่องมือช่วยเหลืออย่างพร้อมเพรียง และก่อนที่จะทำต้องพิจารณาและศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อน
       
       ปัจจุบันพบการฉีดฟิลเลอร์ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า สารโพลีอะคริลาไมด์ (Polyacrylamide) มีชื่อการค้าอื่นหลายชื่อ ซึ่งสารนี้จะไม่สลายตัว แต่มักถูกโฆษณาหลอกลวงว่าสลายตัวช้าอยู่ได้หลายปี ประชาชนส่วนใหญ่จึงหลงเชื่อนิยมไปฉีดสะโพก หรือฉีดเสริมหน้าอก โดยสามารถฉีดเป็นจำนวนมาก เป็นพันซีซี หรือเป็นกิโลกรัม ในราคาที่ไม่แพง ซึ่งหากเกิดภาวะแทรกซ้อนจะไม่สามารถแก้ไขได้เลย เช่น หากสารรั่วไหลเข้าเส้นเลือดไปอุดปอด หรือสมองก็อาจโคม่าหรือเสียชีวิต
       
       เช่น กรณีพริตตี้ที่ไปฉีดเสริมสะโพกจนหมดสติไปนั้น สันนิษฐานว่า สารน่าจะเข้าไปในหลอดเลือดดำ และย้อนกลับไปยังปอด ทำให้คนไข้ขาดออกซิเจน และหยุดหายใจ ซึ่งสารตัวนี้คงไปอุดกั้นระบบหายใจ ทำให้สมองขาดออกซิเจนนั่นเอง ซึ่งในกรณีพริตตี้ไปฉีดที่คอนโดมิเนียม ก็เป็นสถานที่ที่ไม่ได้รับการรับรอง ไม่มีเครื่องมือช่วยชีวิตกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตาม ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ย้ำเตือนสาวกฟิลเลอร์ทั้งหลายให้หูตากว้างไกลด้วยว่า
       
       "ในประเทศไทยได้จัดประเภทของสารเติมเต็มไว้เป็นยา การนำเข้าต้องผ่านการขึ้นทะเบียนกับสำนักยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งได้รับเพียงไม่กี่ชนิด ตัวอย่างของสารเติมเต็มที่ผ่าน อย.ได้แก่
       
       กลุ่มที่ 1 Esthelis Basic, Esthelis Soft, Fortelis Extra, Modelis
       
       กลุ่มที่ 2 Juvederm Forma , Juvederm Refine, Juvederm Ultra, Juvederm Ultra XC, Juvederm Ultra Plus, Juvederm Ultra Plus XC
       
       และกลุ่มที่3 Restylane, Restylane Lipp, Restylane Perlane,
       Restylane Sub Q, Restylane Touch, Restylane Vital Light ,Restylane Vital Light Injector, Revanesse Ultra”
       
       นอกเหนือจากสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ชนิดอื่นๆ ถือว่าเป็นสารเติมเต็มที่ผิดกฎหมาย และควรฉีดสารเติมเต็มโดยแพทย์เท่านั้น และควรฉีดในสถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์พร้อม มีความสะอาด และฉีดด้วยสารเติมเต็มที่ผ่าน อย. เท่านั้น และต้องถามแพทย์ที่ฉีดทุกครั้งว่า ฉีดสารเติมเต็มชนิดไหน ยี่ห้ออะไร
       
       “อย่าเขิน อย่าอาย ขอดูเลย อย่ากลัวคุณหมอว่า คุณหมอจะฉีดอะไรให้คะ ขอดูขวดยาหน่อย ผมเชื่อว่าคุณหมอที่ทำถูกต้องตามหลักวิชาการแพทย์ และคุณหมอที่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณ เขายินดีให้ดูอยู่แล้วครับ คือเราทำอะไรในที่แจ้ง เราไม่ต้องกลัว” หมออาร์ม-วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง แห่ง Hertitude Clinic (เฮอร์ทิจูท คลินิก) กล่าวย้ำในประโยคข้างต้น
       
       และยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้..เราขอล้วงเข้าไปอีกว่า ที่ฮอตฮิตกันนักกับการฉีดกลูต้าฯ ให้ขาว ฉีดเซลล์ให้เด้งดึ๋ง รวมทั้งฟิลเลอร์ตัวดีซิลิโคนเหลวราคาถูกนั้น ถูกต้องตามกฎหมายและผ่านอย.ล่ะยัง และผลร้ายคืออะไร คุ้มหรือไม่ที่ต้องเสี่ยงกับความสวยที่ไม่ชัวร์!?



.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 07, 2012, 07:21:25 am »

เตือน! ฉีดเสริม ฉีดขาว ฉีดเด้ง สารต้องห้ามไม่ผ่านอย. ไม่ถูกกม.
-http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9550000120708-

  By Lady Manager
       
       มิควรพลาด….กลับมาล้วงกันต่อในวันนี้ กับประเด็นต่อเนื่อง สารสวยสารพัดที่ฉีดเข้าร่างกาย แม้จะเด้งจริง ขาวจริง หน้าสวยเป๊ะ..จริง แต่คุ้มหรือไม่กับการเสี่ยงขนาดนั้น กับ หมออาร์ม-วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง แห่ง Hertitude Clinic (เฮอร์ทิจูท คลินิก) กูรูความงาม ที่จะมาบอกเล่าข้อมูลจากประสบการณ์ตรง!

“จากประสบการณ์ตรงนะเลยครับ อย่างที่คนไข้เคยไปฉีดมา ซิลิโคน หรือ Aquamid เป็นสารเติมเต็มที่ทางยุโรปใช้กันอย่างถูกกฎหมาย แต่เราจะพบว่า ผิวของคนไข้พอ Aquamid เข้าไปแรกๆ สวยดีครับ แต่ผ่านไป 5 ปี ผิวของคนไข้เริ่มหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น แต่อะความิดจะแข็งเป็นก้อน คนไข้รู้สึกเลยว่าหน้าเหี่ยว และจะมีก้อนๆ โผล่ออกมา ดูหน้าประหลาด
       
       และหากเติมเต็มเยอะเกินไป หน้าจะอูมหน้าตาน่าเกลียด กลมเป็นลูกบอล พอเติมไปแล้วเอาออกจากร่างกายไม่ได้ วิธีการเอาออกอย่างเดียวคือ ผ่าออก หรืออาจจะเอาเข็มอันใหญ่ๆ ทิ่มเข้าและดูดออกมา แต่ก็ไม่หมดอยู่ดี อย่างไรก็ตามต้องผ่าออก ไม่หมดอยู่ดี เป็นเรื่องยุ่งยาก” หมออาร์มเล่าให้ฟังถึงความน่ากลัวของพิษสารเติมเต็มกึ่งถาวร
       
       อยากรู้กันแล้วใช่มั้ยล่ะคะว่า แล้วการฉีดสารเสริมสวยให้ขาวเด้งเด็กนั้น มีสารชนิดใดบ้างที่ผิดกฎหมาย ยังไม่ผ่าน อย.
       
       สารต้องห้ามไม่ผ่านอย.
       
       1)สารเติมเต็มกึ่งถาวร และถาวร
       
       เช่น ซิลิโคนเหลว พวกนี้ถือว่าผิดกฎหมายทั้งหมด อย.ไทยไม่รับรอง เพราะถือว่าสารเติมเต็มที่ส่งผลต่อคนไข้เกิน 5 ปีขึ้นไป หรือ 5 ปีไม่สลายไป ถือว่าถาวร
       
       สารเติมเต็มที่เรียกว่าซิลิโคนเหลว ทางการแพทย์เองก็ไม่มีที่ใช้ เพราะก่อให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาวได้ เช่น ฉีดแล้วเกิดการไหล ห้อย ย้อย อักเสบ หน้าผิดรูป ทำให้หน้าตาประหลาดไปได้ เมื่อระยะเวลานาน บางคนอาจบอกว่า ก็สวยดีนี่ ไม่เห็นจะเป็นไร ตอนนี้สวยครับ แต่อีก 5 ปี ล่ะ ไม่รู้ว่าจะสวยอยู่หรือเปล่า
       
       เช่นเดียวกันกับสารเติมเต็มกึ่งถาวรอื่นๆ เช่น Aquamid ในประเทศไทยยังไม่ผ่านอย.เพราะเป็นสารเติมเต็มกึ่งถาวรมีฤทธิ์อยู่ในร่างกายเกิน 5 ปี และสารเติมเต็มกึ่งถาวรเหล่านี้ หลักการของมันจะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อพังผืดขึ้นมา จึงเป็นการเติมเต็มที่ค่อนข้างจะถาวร


นักร้องลูกทุ่งที่ออกทีวียอมรับว่า พลาด เพราะความไม่รู้ ฉีด(ซิลิโคนเหลว)จนปากเบี้ยว แก้มห้อย คางค้างเป็นก้อน


 ส่วนสารเติมเต็มอีกอย่างที่เอามาเติมเต็มหน้าอก สะโพก อันตรายมาก มันเป็นฟิลเลอร์ชนิดกึ่งถาวร ถุงหนึ่งจะมีฟิลเลอร์อยู่ 100 ซีซี ปกติไฮยาฯ เข็มละ 1 ซีซี แต่ราคา 20,000 บาท ส่วนใหญ่พวกที่ไปฉีดจะเป็นพวกพริตตี้ หรือสาวประเภทสอง ถามว่าทำไมราคาถูก ฉีดทีไม่กี่หมื่น เค้าก็เอาราคาถูกเข้าว่า แต่บอกได้เลยว่า มันไม่มีทางผ่านอย.ได้
       
       ประเด็นที่สอง ขนาดคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญ ฉีดยังต้องระวังผลข้างเคียงที่จะต้องเกิดขึ้นเลย เช่น ฉีดจมูกคนไข้ เราฉีดแค่ประมาณครึ่งถึง 1 ซีซี เรายังกลัวเลย ต้องคิดอยู่ตลอดว่ามันเยอะเกินไปหรือเปล่า ต้องระวัง ดูตลอดว่าจะเข้าเส้นเลือดคนไข้หรือเปล่า แน่นเกินไปทำให้ปลายจมูกเกิดอาการเนื้อตายตลอด
       
       เราจะมีการระมัดระวังตลอดเวลา แต่คนเหล่านี้ไม่มีความรู้ ไม่ใช่คุณหมอ เที่ยวหิ้วสารเหล่านี้ไปฉีดตามคอนโด ตามบ้าน เป็นเพียงผู้ช่วยแพทย์ ถามว่าทำไมต้องใช้แพทย์ฉีด เพราะใบหน้าคนเรามีเส้นเลือดเป็นร้อยๆ เส้น คุณหมอจะรู้ว่าฉีดเข้าไปจะต้องไปหลบเส้นเลือดเพื่ออะไร เส้นเลือดนี้มันวิ่งอย่างไร แค่เรามองหน้าคนไข้ เราก็เห็นเส้นเลือดเต็มหน้าคนไข้ไปหมดแล้ว
       
       การฉีดจมูก หรือฉีดร่องแก้ม เราใช้ฟิลเลอร์เพียง 1 ซีซี เรายังกลัวแทบตาย อย่างผมกลัวจะแย่ เวลาฉีดต้องฉีดทีละนิดๆ ดูว่าเข้าเส้นเลือดคนไข้หรือไม่ ถ้าเรากลัวจะตกท่อ เรามักจะไม่ตกท่อ แต่ถ้าเราไม่กลัวเราจะตกท่อ เพราะเราไม่ระวังไงล่ะครับ แต่ฉีดหน้าอก เขาแนะนำให้ฉีดข้างละ 250 ซีซี จึงจะเพิ่มขนาดหน้าอกได้ ลองคิดดู มันจะก้อนเบ้อเริ่มมาก แถมฉีดโดยคนไม่มีความรู้ และเข้าเส้นเลือดไปเลยทั้ง 250 ซีซี จะเกิดอะไรขึ้น
       
       ฟิลเลอร์เหล่านี้มันมีลักษณะเหมือนเจลคริสตัลใส ลักษณะเหมือนวุ้น พอเข้าสู่เส้นเลือดจะอุดเส้นเลือดทำให้เลือดไหวเวียนไม่ได้ อุดเส้นเลือดสมอง เกิดเป็นอัมพาต อุดเส้นเลือดหัวใจ หัวใจขาดเลือดตาย อุดเส้นเลือดที่ปอด เลือดไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ คนไข้ก็จะช็อก เพราะขาดอ็อกซิเจน ดังนั้นอันตรายมาก
       
       หากจะฉีดหน้าอก หรือสะโพก ผมแนะนำว่า ไปทำ ไปผ่าตัดเสริมเลยดีกว่า ปลอดภัยกว่าเยอะ หากวันใดเกิดปัญหาขึ้นมา ก็แค่ดึงเอาถุงซิลิโคนออกมา มันไม่กระจายวงกว้างแบบฟิลเลอร์ แถมถูกกว่าด้วย ลองคิดดูครับ ฟิลเลอร์แบบถูกกฎหมาย 1 ซีซี เท่ากับ 2 หมื่นบาท แล้ว 200 ซีซี เท่ากับ 40 ล้าน บ้า! ใครจะฉีดให้" หมออาร์มกล่าวอย่างอารมณ์ดี
       
       2) การฉีดสารกลูตาไธโอน


       
       ฉีดกลูต้าฯ เข้าเส้นทำให้ผิวขาว ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทย ส่วนประโยชน์ที่แท้จริงในทางการแพทย์นั้นคือ เขานำมาใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งกระเพาะอาหารในประเทศอิตาลี แต่ผลข้างเคียงคือ ทำให้ผิวขาวชั่วคราว

 เพราะในทางการแพทย์นั้น เขาอนุญาตให้ใช้สารกลูตาไธโอนในปริมาณไม่มาก ซึ่งในเครื่องสำอางทั่วไปพบว่า มีการผสมลงไปบ้าง แต่เพียง 0.000001-0.000005% เท่านั้น โดยปริมาณนี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับข่าวการฉีดสารนี้เข้ากล้ามเนื้อ หรือเส้นเลือด ที่ใช้ปริมาณมากถึงประมาณ 600 มิลลิกรัมต่อหลอด ซึ่งถือว่าอันตรายมาก เพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ยาถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ ที่สำคัญ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังได้
       
       เพราะการได้รับสารกลูตาไธโอนปริมาณมาก จะส่งผลให้หยุดการสร้างเอนไซม์เม็ดสีที่เป็นธรรมชาติของผิวคนเอเชียที่เป็นสีคล้ำ ทำให้ผิวคนเอเชียจากที่เคยกรองแสงอัลตร้าไวโอเลตได้มาก ก็ทำให้กรองได้ลดลง นอกจากนี้ หลังจากได้รับสารนี้ เม็ดสีในตาดำของคนเอเชียอาจจะกรองแสงได้ลดลง ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อจอประสาทตา
       
       หากคลินิกผิวหนังหลายแห่งนำสารกลูตาไธโอนมาใช้กับผู้รับบริการนั้น ถือว่าเป็นความผิดข้อหาใช้ยาที่มีได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาในการดำเนินกิจการสถานพยาบาลตาม พ.ร.บ. ยา มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการโฆษณา สารกลูตาไธโอนโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดปรับไม่เกิน 100,000 บาท
       
       3) การฉีดเซลล์



       "เช่น เซลล์จากแกะ ห้ามฉีดในประเทศไทย ยังไม่ผ่านการรับรองทางการแพทย์ ฉีดได้กรณีเดียวคือทำเพื่อการศึกษาวิจัย และทำให้โรงเรียนแพทย์ ทำแล้วไม่มีการเก็บค่าบริการคนไข้ ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาวิจัย เช่น การรักษามะเร็งเม็ดเลือดต่างๆ
       
       ตามทฤษฎีแล้ว การฉีดเซลล์ได้ประโยชน์ 2 อย่าง คือ ฉีดเข้าผิวหน้าเราเชื่อว่าเซลล์ต่างๆ เหล่านี้ สามารถไปเหนี่ยวนำหรือไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวเรามีการเติบโตขึ้นมาใหม่ได้ ริ้วรอยลดลง หน้าดูเด็กลงได้
       
       อย่างที่สอง คือ ฉีดเข้าเส้นเลือด เพื่อหวังให้เซลล์ คือ เซลล์พวกนี้เก่งมีความสามารถ เช่น บริเวณไหนของร่างกายที่มีความเสื่อมโทรม เสื่อมถอย อักเสบ มีผล บาดเจ็บ เซลล์เหล่านี้จะวิ่งไปหาบริเวณเหล่านี้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้เซลล์เทอราปีในประเทศไทย ในแง่ใช้ฉีด อย.ยังไม่รับรอง สังเกตได้ว่า พวกไฮโซหลายๆ ท่านอยากฉีดเซลล์ต้องบินไปถึงเยอรมัน หรือสวิสเซอร์แลนด์
       
       และมีสเต็มเซลล์ชนิดหนึ่งที่ใช้ได้อย่างถูกกฎหมายคือ สเต็มเซลล์เพื่อการรักษามะเร็งเม็ดเลือด ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเองที่ผิดกฎหมาย ในอเมริกายังไม่เป็นที่ยอมรับ ถามว่าทำไม เพราะตอนนี้เซลล์เทอราปีเป็นความหวังใหม่ของการรักษาโรคที่ยังรักษาไม่หาย แต่ว่าการศึกษายังไม่พัฒนาไปถึงขั้นที่รับรองความปลอดภัยที่จะนำมาฉีดมนุษย์ได้ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนศึกษาวิจัย แต่ยังไม่มีการนำมาใช้จริงในคนไข้จริงๆ”
       
       คุณหมออาร์ม ทิ้งประโยคให้ข้อคิดสาวอยากสวยไม่กลัวตายว่า
       
       “บางทีเขาล่อด้วยราคา และการตลาดหมู่ เพื่อนฉีดแล้วสวย เสื้อผ้าซื้อมา 199 ใส่ไม่สวยโยนทิ้ง แต่หน้าเรามันอยู่บนหน้า โชว์ความผิดพลาดของเราไปตลอดชีวิต"

.