ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 14, 2012, 09:04:43 am »

การชำระหนี้สงฆ์
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
-http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22617-

เรื่องแผลจากการกินของสงฆ์

ในอดีตหลวงท่านเคยอนุญาตไว้กับพี่นนทาความว่า อนุญาตให้คนที่มาอาศัยวัดอยู่ แล้วช่วยทำงานวัด มาเบิกนมข้น กาแฟตึกริมน้ำ(ที่พักของหลวงพ่อ) ผมรู้และรับทราบจากหลวงพ่อโดยตรงว่า หลวงพ่อผู้ไม่ประมาณ ท่านจึงชำระหนี้สงฆ์ไว้ล่วงหน้าก่อนทุกๆปี ด้วยเงินจำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันคนที่มาวัดตกนรก เพราะเที่ยวไปเก็บของวัดไป จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ล้วนแต่มีโทษทั้งสิ้น เช่น เก็บดอกไม้, ผลไม้ ที่มีอยู่ในวัด เป็นต้น ท่านทำตามอาจารย์ของท่าน คือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ( ในประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคก็มี กรุณาหามาอ่านได้) แต่ในปัจจุบันหลวงพ่อท่านไม่อยู่แล้ว เป็นอดีตธรรมไปแล้ว แต่ในปัจจุบันไม่มีใครทราบว่า เจ้าอาวาสองค์ใหม่พระครูปลัดอนันต์ ท่านปฏิบัติตามหลวงพ่อหรือเปล่า จึงไม่ควรจะเสี่ยงกับนรก ครั้งหนึ่งหน้ามะม่วง มะม่วงของวัดออกลูกเต็มต้น หลวงพี่องค์หนี่งท่านขยันนำลูกน้องของท่านมาสอย เอามาเป็นประโยชน์ด้วยความปรารถนาดี แล้วท่านก็นำมาแจกคนในวัดรวมทั้งผมด้วย ผมก็ต้องรับความปรารถนาดีของท่านแต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องการกินของสงฆ์ ซึ่งกินแล้วเป็นแผลที่ที่ใจ หากปล่อยไว้นานจะรักษายาก จึงนำเงินไปชำระหนี้สงฆ์เสีย แผลที่ใจก็หายได้สนิท คนโง่มองไม่เห็นเพระความโลภบังตา (ตาปัญญา) ยิ่งมานะสูง คิดว่าตนเองแน่ แผลที่ใจก็เป็นเรื้อรังรักษาได้ยาก

วิธีชำระหนี้สงฆ์
ผมจำมาจากเพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมมากับผมว่า 20 ปีแล้ว ท่านทำดังนี้คือ ว่างๆ ท่านก็นำเงินไปใส่ตู้ชำระหนี้สงฆ์ของวัดแล้วอธิฐานว่าข้าพเจ้าชำระหนี้สงฆ์ไว้ล่วงหน้าจนกว่าจะถึงพระนิพพาน เพราะความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ซึ่งนับว่าเป็นอุบายที่ดี ใครเห็นด้วยก็นำไปใช้ท่านไม่หวง การชำระหนึ้สงฆ์จึงเป็นการรักษาแผลที่ใจได้อย่างดี

http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=3089.0
พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง)
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความทุกข์ (เล่ม4)หน้าที่99-100
-----------------------------

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 14, 2012, 09:03:29 am »

การชำระหนี้สงฆ์
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
-http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22617-

                        หลวงพ่อสอนให้ลูกศิษย์และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์  พร้อมทั้งนำเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเล่าให้ฟัง  เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย  จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง  อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่าง ๆ  ที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก  ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
 
                        “ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว  จะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม  จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม  ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการ  หรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย  จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้นมาทดแทนให้เหมือนเดิม  ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย”
 
                        อย่างวัดร้างที่ปรากฎว่าเป็นดินเปล่า  ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัด  หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัด  แต่อยู่ในป่าในดง  หรือวัดที่มีพระอยู่ก็ตาม  เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น  จะเป็นต้นหญ้าสักต้น  ไม้หักสักอัน  เขาก็ถือว่าของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็  ถือว่าซวยขนาดหนัก  แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว  ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร  เพราะบุกรุกที่ดินของวัด  ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง  วัดก็เป็นวัดร้าง  แต่ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้าง  แค่นี้ก็ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ ไม่เจตนาไม่ได้  มีความผิดหมด  หรือว่ามีไม้ลอยมาหน้าบ้าน  เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของ  เอาเข้ามาทำฟืน  แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์  ไปเอาเข้ามันก็บาป  ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง  สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้  เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์  แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป  ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด  แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์  เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป  แล้วโทษของสงฆ์หนักมาก  เรียกว่าขั้นอเวจีขั้นเดียว  มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี
 
                        หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์  ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง  ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม  เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์  ขอชำระหนี้สงฆ์  คือว่าวัดร้างที่ปรากฎมีเป็นวัดก็ตาม  หรือไม่ปรากฎเป็นวัดก็ตาม  วัดที่มีพระก็ตาม  วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม  แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ  ถือว่าเป็นของเล็กน้อย  ข้าพเจ้าทั้งหลายขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้  ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน  ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่  ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี  ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป  เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก
 
                        ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ  ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์  เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้  จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในการก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์  ท่านทั้งหลายอาจสงสัยว่า  ของต่าง ๆ  ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี  วัสดุเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ดี  หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี  ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด  ถ้าหากเรารื้อแทนของเดิม  ทั้งนี้ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด  เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง    เขาสร้างเพื่อถวายบูชาพระพุทธเจ้า  คำว่าของสงฆ์นี่น่ะ  ต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน  เป็นของส่วนกลาง  ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉัน  จะมาชี้ว่าสมบัตินี้เป็นของฉัน  เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น  จะต้องลงนรกหมด  เรื่องนรกนี้เขาไม่เว้นใครหรอก
 
                        ของในวัดก็เหมือนกัน  ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้  ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม  เขาตายแล้วก็ตาม  ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์  ถ้าว่าเขาตายหรือสึกไปแล้ว  พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี  ใช้เองก็ดี  ทำอย่างนั้นไม่ได้  เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว  เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ต้องลงมติอนุมัติ  จึงจะถือว่าไม่เป็นโทษ

ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้  มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ อาจารย์ทิม  สำหรับอาจารย์ทิมนี่รุ่นเดียวกัน  อยู่ที่สุพรรณบุรี  เป็นนักก่อสร้าง  พระองค์นี้เป็นพระดีมาก  ระเบียบวินัยก็ดี  เจริญสมถภาวนาก็ดี  แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่ง แกป่วยครั้งหลังสุด กำลังก่อสร้างโบสถ์  สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี  ได้มาก็จ่ายไป  ทีนี้แกป่วย  สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี  หมอเขาบอกว่าต้องต้มยาหม้อในราคาหกสิบบาท  ท่านก็เลยขอยืมเงินที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน  ฉันหายแล้ว  เวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้คืน
 
                        พอปี 2508  ดันตายเสียได้  “ไอ้เงินหกสิบบาทดันเป็นพิษ  พระทิมไปนั่งจ๋องที่สำนักพระยายม”  เวลาทุ่มเศษ ๆ กำลังนอนสบาย ๆ  เห็นเทวดาองค์หนึ่งเป็นพวกวชิระ  มายืนปลายเท้า กราบ กราบ  ถามว่า “มาทำไม”  เขาบอกว่า “ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ”  เลยบอกว่า “แกไปข้างหน้า  ฉันตามไป”  ตามไปหน่อยเดียวแกบอกว่า  "เดี๋ยวผมไปตามอีกสององค์”  แกไปตามอีกสององค์  เราก็ตรงไป  พอถึงก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนักพระยายม  จึงถามว่า  “ไง.....มานั่งอยู่ที่นี่เล่า”  แกก็บอกว่า  "เป็นหนี้สงฆ์อยู่หกสิบบาท”  ถามว่า "คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ”  แกบอก “เป็นหนี้ตอนใกล้ตาย  เพราะหมอที่สั่งยามาให้ แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด  ไอ้เงินส่วนตัวจริง ๆ  ที่เรียกว่าตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ  ก็เอาเงินส่วนนี้เอาไปซื้อยา”
 
                        จึงเข้าไปตามลุง (พระยายม)   ถามลุงว่า “ยังไงนี่.....”  ลุงบอกว่า  “ยังไม่ว่าไง  เดี๋ยวค่อยว่า  คอยอีกสององค์ก่อน  ยังไม่สอบสวน”  ถ้าสอบสวนไม่ได้  ของสงฆ์นี่หนักมาก  ปิดปากเลย  ถ้ากรรมดีละก็หนัก  ปิดปาก  กระเบื้องอันเดียวปิดปากเลย  เรื่องบุญนี่พูดไม่ได้เลย
                       
                        พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว  ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า  “ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้หกสิบบาทใช่ไหม”  ท่านตอบว่า “ใช่”  “ไปใช้เพื่ออะไร” บอกว่า “มันป่วย หมอเขาสั่งยามา”  “จิตคิดอย่างไร”  “จิตคิดว่า  ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์”  แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม”  แกตอบว่า “ใช่”  แล้วท่านถามว่า “จะว่าอย่างไร”  ท่านบอกว่า “ไม่มีเรื่องจะว่า”
 
                        ลุงพุฒท่านก็หันมาถามพวกเราว่า  “ท่านสามองค์จะว่าอย่างไร"  บอกว่า “ยังมีเรื่องว่าอยู่”  “ว่ายังไงล่ะ”  “ทำอย่างไรพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม  เขาได้ฌานสมาบัติ  ควรจะไปเป็นพรหม”  ท่านก็เลยบอกว่า  “เวลาตายก่อนจะดับจิต  อารมณ์อยู่ในฌาน  ฌานยังตั้งไม่ได้”  เลยถามว่า “ไอ้เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม”  ท่านก็เลยบอกว่า  “ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้  มันต้องชำระหนี้สงฆ์”  ก็บอกว่า “ตกลง  ฉันช่วยชำระหกสิบบาท  เรื่องเล็ก”  ท่านบอกว่า  “ไม่ได้  ชำระด้วยเงินไม่ได้”  ถามว่า  “แล้วจะเอาอะไร”  ท่านบอกว่า “ต้องสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์  หน้าตักสิบสองนิ้ว”  เราเลยบอกว่า “เรื่องเล็ก  เอาสักสิบองค์ก็ยังได้”  ท่านบอกว่า  “องค์เดียวพอ”
 
                        แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์  รวมเป็นสามองค์  เราบอกว่า  “อย่างนี้  ฮ้อ...ตกลง”  ท่านก็เลยบอกว่า  “ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี”
 
                        ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า  “อย่าเพิ่งไป   อยู่ที่นี่ก่อน”  ถามลุงว่า “การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม”  ท่านบอกว่า  “ได้”  เราก็เลยบอกท่านทิมว่า  “จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม”  เขาถามว่า “อะไรล่ะ”  ก็เลยบอกว่า  “เอกัคคตารมณ์กับอุเบกขาน่ะ” บอกว่า  “จำได้”  “จำได้ก็ขอไปตามนั้น”  นั่นมันฌานสี่  ท่านทิมเลยไปเป็นพรหมชั้นที่สิบเอ็ด  ถ้าไปตอนนั้นก็ไปด๊อกแด๊กอยู่แค่กามาวจร  ต้องช่วยกระตุกตรงนี้  มันพ้นตอนที่เรารับปากจะให้  อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด  ลุงพุฒแกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม  ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร  ขนาดมาตามเลยนะ  ที่ตามก็มีพระอยู่สององค์  อีกองค์หนึ่งเป็นพระอยุธยา  หนุ่มเลยละองค์นั้น  ตอนนั้นฉันก็อายุสักสี่สิบกว่า ๆ  องค์ที่อยู่อยุธยาก็อยู่ในเกณฑ์สามสิบเศษ ๆ แต่ไม่รู้ว่าวัดไหน  รูปร่างสูง ๆ ดำ ๆ  อีกองค์หนึ่งรูปร่างหน้าตาดี  ไม่รู้อยู่วัดไหน  เวลาไปตามก็มีสามองค์เลยเล่นกำไรเสียเลย  พระพุทธรูปสิบสองนิ้ว  กับคนที่จะไปพรหม  ราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม  เราสร้างพระสิบสองนิ้วเดี๋ยวเดียว  ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหมมันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ

คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า  ทำไมท่านจึงมาเจาะจงเอาฉันไปช่วย  ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ละก้อจะต้องเป็นเครือเดียวกัน  เป็นพวกเดียวกัน  เดินทางแนวเดียวกัน  อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานาน  ตั้งแต่ตอนบวชอยู่ใหม่ ๆ ส่วนอีกสององค์ไม่รู้ว่าเขารู้จักกันมาเมื่อไหร่  แต่ทั้งสององค์นั่นบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน  เงินส่วนตัวไม่มี  ฉันถามอีกองค์หนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดี ๆ  บอกว่าอยู่สิงห์บุรี  จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทาเขาก็บอกว่า  ผมกับท่านบ้า ๆ บวม ๆ เหมือนกัน  สตางค์ไม่เหลือ  อาจารย์ทิมก็บ้าเหมือนกัน  แต่ดันบ้าตายก่อน  มันจะลงนรกเราให้ลงไม่ได้  ทีนี้วิธีกระตุ้นนิดเดียว  ถ้าบอกว่าอาจารย์ทิมเริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย  ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง  เขาต้องถามถึงอารมณ์เดิมนิดเดียว  ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหน  เอกัคคตากับอุเบกขา
 
                        บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว  จำได้เป็นฌานสี่  จิตก็ตั้งอยู่พอดี  พอพูดปั๊บจิตก็ตั้งอยู่ฌานสี่  พอตั้งอยู่ฌานสี่  สภาพก็เป็นพรหม  ตัวแกก็เป็นพรหม  แจ๋ว   เลยบอกไปตามอัธยาศัย  ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย
 
                        ที่เล่าให้ฟังนี่  มันเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์  ไอ้พวกที่มีเจตนาโกงไม่มีทางช่วย  เรี่ยไรมาสิบบาท  เอาของเขาใช้ไปเก้าบาทเก้าสิบสตางค์  อีกสิบสตางค์ก็เอาเข้ากระเป๋า  อย่างนี้ลงอเวจีมหานรก
 
                        ของสงฆ์นี่แม้แต่กระเบื้องแตก ๆ ก็เก็บไม่ได้  ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้แล้ว เห็นว่ามันดีนี่ เอาไปบ้านหน่อย  อย่างนี้ เอวัง  ตกดังตูม.......อเวจี  และก็มีอีกเรื่องหนึ่ง
 
                        ในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  พระวิปัสสีทศพล  สมัยพระวิปัสสีนั้น  มีพระอยู่สี่องค์  เวลานั้นข้าวยากหมากแพง  ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล  ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก  แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย  พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา  ข้าวที่จะกินเข้าไปมันไม่พอ  ข้าวส่วนตัวไม่มีก็มีข้าวสารของสงฆ์  ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา  เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้ว  ก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน  คิดในใจว่า  ถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่  เราก็จะชำระหนี้สงฆ์  คือว่าเราจะใช้หนี้ให้  แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระสี่องค์นั่นก็ตาย  ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้  แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ  ตายแล้วไปไหน  ปรากฎว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นพันปีนรก  เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็ตกนรกบริวาร  ผ่านมาสี่ขุม  แล้วก็ยมโลกียนรกอีกสิบขุม  มาเป็นเปรต  เปรตนี้จัดเป็นสิบสองระดับ  ระดับที่หนึ่ง ถึงระดับที่ สิบเอ็ด  ไม่มีโอกาสจะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ทำให้  ระดับที่สิบสองที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวิเปรต  ตอนนั้นมีโอกาส  ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่หนึ่งถึงที่สิบเอ็ด  ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์  ถามท่านว่า  เมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินข้าวกินน้ำเสียที  เห็นน้ำเข้าวิ่งไป  น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง  เห็นข้าวอยากจะกิน  วิ่งเข้าไปก็ปรากฎว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก  กินไม่ได้  พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า  เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก  ในตอนนี้แหละ  ญาติของเจ้าชื่อว่าพระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศล  แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนาก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที  เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน  จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ  พระเจ้าพิมพิสารถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร  แล้วก็ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด  เมื่อถวายทานแล้ว  ก็ไม่ได้กรวดน้ำ  ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้  ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญ  ครั้งแรกยังไม่รู้ว่าทำบุญแล้วกรวดน้ำกันได้ผล  เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา  เห็นพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ  แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบ  มาร้องกึกก้อง  ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ  ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า  ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร  มันร้องกรี๊ดกร๊าด  ๆ  ในพระราชฐาน  ไม่เคยได้ยิน  พระพุทธเจ้าก็เล่าความนั้นให้ทราบ  พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า  เปรตเป็นญาติของพระองค์ ต้องการโมทนาบุญ  เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้  คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ  พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้า  พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด  ไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์  ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จ  ก่อนจะโมทนา  พระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ  ใช้คำว่า อิทังโนญาตีนังโหตุ  แปลเป็นใจความว่า  ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า  เท่านี้ละนะ  การกรวดน้ำครั้งแรก  เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว  ได้รับโมทนา  เมื่อโมทนาแล้ว  ร่างกายเป็นทิพย์หมดมีความอิ่มเอิบ  มีความสวยสดงดงาม  ร่างกายเทวดา  แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ  ไม่มีผ้านุ่ง  เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตาย  ไม่ได้เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพุทธศาสนา  เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ  ไม่มีเสื้อผ้า  ไม่มีกางเกงนี่มันก็แย่เหมือนกัน  ก็เดือดร้อน  ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร  แสดงตัวให้ปรากฎ  แต่ว่าตอนยืนน่ะสงสัยนะ  ว่าจะยืนหันหลังให้  คงไม่ยืนหันหน้าหรอก  คงจะอายเหมือนกัน  พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า  คนอะไรสวยก็สวย  แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า  ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า  พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา  แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพุทธศาสนา  เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน  เขาก็มีแต่ร่างกายสวยงาม  ผ้าจึงไม่มี  พระเจ้าพิมพิสารถามว่าทำไมเขาจึงจะได้ผ้า  ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา  แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา  จะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์  พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น  แต่พอได้เครื่องประดับแล้ว  เทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฎ  แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ก็เลยไม่รบกวนอีก  นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะว่า มีเจตนาขอยืมยังมีโทษขนาดนี้  แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืม  มันจะมีโทษขนาดไหน

และอีกเรื่องหนึ่ง  กากะเปรต  สมัยที่เกิดเป็นกา  แย่งข้าวในขันที่เขาจะนำไปถวายพระ  ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ  ยังไม่ใช่ของสงฆ์  จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้  เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้ว  กรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้  ตายแล้วไปลงอเวจี  แล้วแถมเกิดมาเป็นเปรต
 
                        ผู้ถาม  “หลวงพ่อครับ  คนที่กินข้าวที่พระอนุญาตแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ”
 
                        หลวงพ่อ  “ถ้าอาหารที่พระให้  ต้องเป็นของที่ญาติโยมถวายเฉพาะองค์นั้น  ไม่มีโทษแน่  แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง  คือเป็นของสงฆ์  ของสงฆ์นั้น  พระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้  นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์  ตัวอย่างของสงฆ์  เช่น  อาหารวันพระที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมาก ๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปบ้าน  โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น  อย่างนี้แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง
 
                        บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ  ถ้าพระอนุญาตแล้วไม่มีโทษ (สำหรับญาติโยมที่ไปในงาน  ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร  แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉย ๆ  บางท่านก็ขอเอาดื้อ ๆ  ให้หรือไม่ให้ก็ตาม  ออกปากขอแล้วยกไปเลย  พระยังไม่ทันอนุญาต  ท่านทายกประเภทนี้  ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก  เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม  ถ้ามากจนเหลือเฟือ  ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน  เพราะท่านอาจจะมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง  ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระ มีโทษ 100 เปอร์เซนต์
 
                        และอาหารถวายพระพุทธรูปก็เหมือนกัน  อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก  อาหารที่เขานำมาวัด  เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์  การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี  เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย  เป็นพุทธบูชาด้วย  แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก  เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน  ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม  อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน  หลายวัดหรือส่วนใหญ่ทายกมักจะเอาอาหารดี ๆ และมาก ๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป
 
                        เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว  ต่างก็ยกเอามากิน  ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง  ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก  ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นเดนจากพระฉันเท่านั้น  ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น “ลูกศิษย์พระพุทธรูป”  แต่ประการใด
 
                        รวมความว่า  ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น  คือของในวัดทุกประเภทที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว  แม้แต่ดอกไม้ผลไม้ในวัด  เศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว  เอามาทำฟืนบ้าง  ทำอย่างอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง  จงอย่าคิดว่าไม่บาป  แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์  มีผลเสมอกัน  เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด  ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาต  อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป  ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้รับมาได้ไม่มีโทษ  ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว  ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง  ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์

ผู้ถาม  “แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ”
 
                        หลวงพ่อ  “เรื่องมันเป็นอย่างนี้  ฉันไปที่ศรีราชา  ญาติโยมเขาถามเรื่องชำระหนี้สงฆ์  ถ้าหลาย ๆ ชาติมาเราไม่รู้อะไรมาบ้าง  ถามว่าจะทำอย่างไร  ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน  พอตอบไม่รู้  ก็เห็นพระท่านลอยมา  ท่านบอก “ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ  ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก  4  ศอก”
 
                        พระหน้าตัก  4  ศอก  ถือ่วาเป็นพระประธานมาตรฐาน  ท่านบอกว่า  “พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้  ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์  หนี้สงฆ์ที่แล้ว ๆ  มาถือเป็นการหมดไป”
 
                        ฉันพูดแล้วก็กลับมาวัด  ต่อมาพวกนั้นก็ถามใหม่ว่า  “สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน”  ฉันก็ไม่รู้อีกซิ  ก็นึกถึงท่าน  ท่านก็มาใหม่  ท่านก็บอกว่า
 
                        “ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว  ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ”  คำว่า “คณะ” หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้  ตัดบาปเก่า  ถ้าสร้างใหม่เอาอีกนะ  สร้างนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ
 
                        ผู้ถาม  “ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อย  แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ”
 
                        หลวงพ่อ  “ถ้าเรามีสตางค์น้อย ๆ  ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า  “ชำระหนี้สงฆ์”  คือว่า  ไม่ได้จำกัด  ทำไปเรื่อย ๆ ให้สบายใจ  บาทสองบาทตามกำลังที่จะพึงทำได้  เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ  หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน  เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก  ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ  คือไม่ใช่จะเกณฑ์ให้สร้างพระ  เพราะทุนไม่พอใช่ไหม  เราก็ทำไปเรื่อย  ใจสบาย
 
                        มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ  5  บาท  ใส่ซองถวายพระ  บอกขอชำระหนี้สงฆ์  ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด  ท่านลงนรกเองไม่ต้องห่วง  ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย  เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน  ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้
เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างท่านเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม”
 
                        ผู้ถาม  “ถ้ามีญาติโยมเอาเงินไปถวายพระ  แต่พระก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง  ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง  อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว  จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ”
 
                        หลวงพ่อ  “เขาถวายเป็นของสงฆ์ใช่ไหม  เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม  แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร  แต่คนในวัดเอาไปปลูกบ้าน  เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม  เขาถวายอานิสงส์  มันได้ตั้งแต่ถวาย  มีอานิสงส์ครบถ้วน  นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซนต์เลยนะ  คนอื่นเอาไปใช่ไหม  อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ  อานิสงส์ได้ตั้งแต่เริ่มให้  ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้น  เวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม  ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปีติอิ่มใจ  อานิสงส์มันเพิ่ม  แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่”
 
 
(คัดมาจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ และหนังสือสมบัติพ่อให้ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง  อุทัยธานี)
 
(รวมคำสอบพระสุปฏิปันโน  เล่ม 2)
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 14, 2012, 09:00:45 am »



หลวงพ่อปานใช้หนี้สงฆ์
-http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=87-

                ต่อไปจะมาเล่าเรื่องใช้หนี้สงฆ์ให้ฟัง เรื่องใช้หนี้สงฆ์น่ะสมัยนี้หาฟังกันยากเหลือเกิน พระขนาดไหนก็ตามไม่ค่อยจะมีใครพูดกัน เทศน์ก็ไม่เคยฟัง ใครพูดให้ฟังก็ไม่เคยฟัง ได้ฟังอยู่สำนักเดียวคือหลวงพ่อปานเท่านั้น หลวงพ่อปานนี่พูดทุกปีทำทุกปี พอถึง ๑ ปี คือขึ้นต้นปีใหม่ เข้าพรรษาใหม่ ๆ ท่านประกาศขอซื้อของสงฆ์ คำว่าซื้อของสงฆ์นี่ท่านซื้อไม่ไผ่ ซื้อผลไม้ ซื้อดอกไม้ที่มีในวัด ในสมัยนั้นค่าของเงินสูง ท่านขอซื้อปีละ ๑๐๐ บาท ก็ซื้อไม้ทั้งหมด ซื้อผลไม้ทั้งหมด ซื้อดอกไม้ทั้งหมดปีละ ๑๐๐ บาท ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่จะพึงใช้ จะใช้ได้ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในงานก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์ แล้วต่อแต่นั้นไปท่านชวนพระชำระหนี้สงฆ์ ตัวท่านเองก็ชำระหนี้เหมือนกัน มาว่ากันถึงการซื้อของสงฆ์ก่อน บรรดาลูกหลานทั้งหลาย หาที่ฟังยาก คือว่ามีโอกาสได้ฟังยาก ไอ้เรื่องการซื้อของสงฆ์หรือว่าการชำระหนี้สงฆ์ เวลานี้ฉันกำลังสร้างกุฏิชำระหนี้สงฆ์อยู่ เพราะรื้อกุฏิของสงฆ์ไป ๒ หลัง ฉันสร้างให้หลังเดียว แต่ว่าคุณค่า มีความคงทนดีกว่า การอยู่อาศัยได้สบายกว่า ๒ หลังที่รื้อไปพระอยู่ได้ ๕ องค์ยังลำบากเพราะห้องแคบ ฉันสร้างให้หลังเดียวเป็นกุฏิตึก อยู่ได้ ๖ องค์แบบสบาย ห้องกว้างกว่า แล้วก็มีศาลาดินเป็นเฉลียงข้างหน้า นั่งพักเล่นสบาย แถมส้วมให้อีก ๔ ห้อง บริเวณทั้งหมดเทพื้นคอนกรีตให้พระเดินสบาย ตั้งน้ำประปาเข้าไว้ให้พระใช้สบาย แสดงว่าฉันทำมามากกว่าของเก่า ดีกว่าของเก่าเป็นการชำระหนี้ ลูกหลานอาจจะสงสัยว่ากุฏิพระ พระรื้อ ทำไมต้องชำระหนี้ ก็ขอบอกว่า ทรัพย์สินที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่ได้สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่น่ะต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะมาถือสิทธิว่าเป็นของฉัน จะเป็นสมภารองค์ไหน สมเด็จองค์ไหน เจ้าคณะองค์ไหน พระสังฆราชองค์ไหนก็ตาม จะมาชี้ว่าสมบัติของสงฆ์ที่เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว นี่ลงนรกหมด ลุงพุฒิไม่ยอมแน่ ใช่ไหมลุงพุฒิ ลุงพุฒิหันมายิ้ม บอกว่า ว่าเสียหลายรายการแล้ว รายการที่มีตำแหน่งใหญ่ ๆ ที่ไม่เคารพสิทธิในสงฆ์นั่นแหละ ว่าเสียหลายรายการแล้ว เอาเสียเยอะ เยอะเพราะเผลอคิดว่าโตแล้วทางนรกจะเว้น เรื่องนรกนี่เขาไม่เว้นใครหรอก ลุงพุฒิน่ะแกชอบกับฉันมาก สมัยเป็นมนุษย์เรียกว่าเป็นเพื่อนกันเลยก็ได้ แล้วเป็นเกี่ยววันพันดองกัน เคยล้อเคยเล่นกัน แกยังบอกว่าการเว้นในเรื่องกฎของกรรมนี้ไม่มี ถ้าว่าฉันไม่ดี แกก็เข็นเอาลงนรกเหมือนกัน ยังงั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่า ใช่ นั่นถูกแล้ว เรื่องกฎของกรรมไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวก็ส่วนตัว กฎของกรรมก็กฎของกรรม

                หลวงพ่อปานซื้อของสงฆ์ เพราะของเหล่านี้มันอยู่ในวัด ท่านเป็นประมุขของวัด ความจริงเราจะคิดกันอย่างเรา ๆ ก็คิดว่าท่านควรมีสิทธิ์ ท่านจะให้ใครก็ได้ ท่านจะกินจะใช้ยังไงก็ได้ แต่ทว่าตามพระวินัยแล้วไม่มีสิทธิ์ ของในวัด ถ้าพระองค์ไหนปลูกไว้ ถึงเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าหากว่าเจ้าของยังบวชอยู่ มีอำนาจให้ใครได้ กินเองได้ ถ้าว่าเขาตาย เขาสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาท กินใช้เองน่ะไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เหมือนของหลวง เวลาจะกินจะใช้ต้องประชุมสงฆ์กัน สงฆ์ทั้งหมดต้องประชุมอนุมัติ ว่าเราจะกินจะใช้ของประเภทนี้ด้วยวิธีการอย่างไร ถ้าหากว่าพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เด็กก็ตาม ฆราวาสก็ตาม กรรมการวัดก็เถอะ ไปถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ในวัดจะกินลูกไม้ลูกไหนก็ได้ จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนก็ได้ จะโค่นต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ไม้ลำไหนก็ได้ หน่อไม้หน่อไหนก็ได้ เอามาใช้เอามากินเป็นส่วนตัวโดยสงฆ์ไม่ลงมติอนุมัติ อย่างนี้มีโทษขั้นไหนลุงพุฒิ อเวจีมหานรก แกร้องบอกมาว่า อเวจีมหานรก ฟังไว้ให้ดีนะลูกหลานที่รักนะ หลวงพ่อปานซื้อ ซื้อแบบไหน ท่านบอกว่า ต้นไม้ก็ดี ต้นเล็ก ๆ ไม่ใช่โค่นต้นใหญ่ เช่น ไม้ลำหรือว่าหน่อไม้บางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นส่วนเล็กส่วนน้อย หรือว่าลูกไม้ก็ตาม ดอกไม้ก็ตาม ถ้ามีใครจะเด็ดเอาไปดม เอาไปบูชาพระ จะเอาไปกินเอาหน่อไม้ไปกิน เป็นบางส่วนหรือลำไม้บ้าง  มีคนมาลักไม้บ่อย ๆ ที่หลังวัด เขาเคยมาตัดลำไม้บ่อย ๆ สมัยนั้นมีกอไผ่มาก ท่านบอกว่าส่วนเล็กน้อยประเภทนี้ฉันของซื้อ ขอซื้อสงฆ์ด้วยจำนวน ๑๐๐ บาท เพื่อเป็นการป้องกันโทษของบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระสงฆ์ก็สาธุ เป็นอันว่า เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ที่ได้กินมะม่วงบ้าง ฝรั่งบ้าง ผลไม้ที่มีอยู่เยอะ ใครอยากกินอะไรก็เอามากินได้ตามชอบใจ เพราะหลวงพ่อปานท่านซื้อแล้ว พอท่านซื้อท่านก็ให้สิทธิ์ ท่านอนุญาต ว่าพวกเธอน่ะ อยากจะฉันมะม่วง อยากจะฉันฝรั่ง อยากจะฉันอะไรก็ตาม นิมนต์ตามสบาย ฉันซื้อแล้ว ฉันซื้อสงฆ์แล้ว นี่ท่านซื้อเพื่อกันพวกฉันนะ กันพวกเด็ก ๆ หรือว่ากันคนอื่นเลว

                เรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถึงวันเข้าพรรษาคนทำบุญมาก ท่านก็ประกาศแก่คนทุกคนว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ของสงฆ์ตกอยู่ที่ไหน เรียกว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่าเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัดก็มี หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงก็ตาม หรือวัดที่มีพระก็ตาม เราจะไปนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอันก็ตาม เขาถือว่าของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ซวยขนาดหนัก แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ ๗ มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะบุกรุกที่ดินของวัด แต่ว่าวัดก็เป็นวัดร้าง ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้างแค่นี้นา แค่นี้ตกนรกขุมที่ ๗ ไม่มีเจตนาโกง ซื้อต่อจากคนอื่นเขา แต่เขาก็ไม่ให้อภัย เรื่องนี้เป็นของยากนะ จะถือว่ามันไม่ผิดกฎหมายผิดอะไรฉันไม่รู้หรอก สำนักพญายมเขาไม่เกี่ยวนะ กฎหมายกฎระเบียบอะไรที่ชาวโลกมีกิเลสสร้างขึ้นน่ะ เขาไม่เกี่ยว ท่านก็บอกว่าคนเราทั้งหมดนี่นะจะรู้ได้ยังไง ไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของเอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมันมาจากวัดก็เป็นไม้ของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมดแม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป แล้วโทษเอาของสงฆ์หนักมาก เรียกว่าขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี แล้วท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไร เท่าไรก็ตามเอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือ วัดร้างที่ปรากฏมีเป็นวัดก็ตามหรือไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตามวัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ คือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลายชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก เพราะว่าเรื่องสงฆ์นี่นะลำบากมาก

                มีเรื่องเล่ามาในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระพุทธกัสสป น่ากลัวจะไม่ใช่ซี เป็นสมัยพระวิปัสสีทศพลโน่น สมัยพระวิปัสสีนั่นมีพระอยู่ ๔ องค์ เวลานั้นข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา ข้าวที่จะกินเข้าไม่พอ ข้าวส่วนตัวไม่มี ก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้วก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน คิดในใจว่าถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระ ๔ องค์นั่นตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ ตายแล้วไปไหน ปรากฏว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรก สิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วตกนรกบริวาร ผ่านมา ๔ ขุม แล้วยมโลกีย์นรกอีก ๑๐ ขุม มาเป็นเปรต เปรตนี้จัดเป็น ๑๒ ระดับ ระดับที่ ๑ ถึงระดับที่ ๑๑ ไม่มีโอกาสที่จะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ให้ ระดับที่ ๑๒ ที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต ตอนนั้นมีโอกาส ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่ ๑ ถึง ๑๑ ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์ ถามท่านว่าเมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไป น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกินวิ่งเข้าไปก็ปรากฏว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละญาติของเจ้าชื่อว่าพระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศล แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนา ก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้วก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้ ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าทำบุญกรวดน้ำกันได้ผล เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารไม่กรวดน้ำให้ก็เดือดร้อน กลางคืนเข้ามาในพระราชนิเวศน์ พระเจ้าพิมพิสารก็ไม่เห็นตัว เป็นพระโสดาบัน แต่ท่านไม่เห็นตัว ก็เลยร้อง เมื่อร้องขึ้นมาพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบมาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี้ดกร้าด ๆ ตามในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยินพระพุทธเจ้าข้า ก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมดไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์ ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จก่อน จะโมทนาพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ ใช้คำว่า อิทัง โน ญาตินัง โหตุ แปลเป็นความว่า ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้ละนะ กรวดน้ำครั้งแรก เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อโมทนาแล้วร่างกายทิพย์หมด มีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตายไม่ได้เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกงนี่มันก็แย่เหมือนกัน ก็เดือดร้อน ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฏ แต่ว่าตอนยืนน่ะสงสัยว่าจะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าให้หรอก คงจะอายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวย ผ้าไม่มี พระเจ้าพิมพิสารถามว่า ทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น แต่พอได้เครื่องประดับแล้วเทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏ แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็เลยไม่รบกวนอีก นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะ ว่ามีเจตนาขอยืมยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืมจะมีโทษขนาดไหน

                เอาละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย สำหรับวันนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ลูกหลานทุกคน สวัสดี

                บรรดาลูกหลานทั้งหลาย วันนี้วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๔ ต่อแต่นี้ไปก็นำเรื่องของหลวงพ่อมาเล่าแบบสรุป เพราะพูดมาก็มากแล้วรู้สึกว่าเวลาจะยืดเยื้อมาก ถ้าจะพิมพ์เป็นหนังสือคงจะพิมพ์กันยากเต็มที เพราะว่าหนังสือจะหนามาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อแต่นี้ไปฉันจะพูดแบบย่อ ๆ ให้บรรดาลูกหลานฟัง

                เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องของการนำเอาอำนาจเจโตปริยญาณ หรือว่าไม่ใช่เจโตปริยญาณ ต้องเรียกกันว่าทิพยจักษุญาณที่หลวงพ่อปานมีอยู่ มาเล่าให้บรรดาลูกหลานฟัง ทั้งนี้เพราะว่าจะเล่าเรื่องราวที่ท่านรู้ขึ้นเองโดยไม่มีใครบอก เพราะว่าเป็นการรู้อำนาจของจิต และเป็นความรู้ตามพลังของจิต
.
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 14, 2012, 08:59:25 am »

การชำระหนี้สงฆ์
-http://www.dhammakid.com/board/ado1oa-io/oaaeiaoade1oeei-aaeaceiaoeoaoo/-

ผู้ถาม   
ทำกรรมอะไรถึงลง อเวจี คะ........?

หลวงพ่อ   

อเวจีนี่ทำกรรมหนักมากมันจึงจะลง ก็มีอนันตริยกรรม อาจิณกรรม ขโมยของสงฆ์ ของสงฆ์ นี่แตะนิดเดียว ลงอเวจีเลยนะ แม้แต่เศษเล็ก ๆ


(เรื่อง อนันตริยกรรม เช่น ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ยุให้สงฆ์แตกกัน เป็นต้น พระยายมมาบอกหลวงพ่อว่า "ทุกคนอย่าได้ทำเด็ดขาด ท่านช่วยไม่ได้เลย" ส่วน อาจิณกรรม เช่น แม่ครัวทุบหัวปลา แกงเป็นประจำ เป็นต้น สำหรับ ขโมยของสงฆ์ หลวงพ่อได้ยกตัวอย่างให้ฟังดังนี้)

หลวงพ่อ   
มีญาติพระเจ้า พิมพิสาร เป็นทายกในตอนต้นก็ดี ซื่อตรงต่อการบุญการกุศล แต่มาตอนกลาง ๆ มือถึงท้ายมือไม่ค่อยดี เริ่มหยิบแล้วทีแรกก็เป็น ทายก ต่อมาก็เลย


เป็น ทายัก ของอะไรดี ๆ ก็ยังเอาไปเสียบ้าง เอาไว้ให้ลูกให้เมียเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียบ้าง ของที่เขาจะถวายสงฆ์ เขาตั้งใจจะทำอาหารถวายสงฆ์ เนื้อ ดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง แกงดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง บางทีไม่ยกของสด ไอ้ของที่สำเร็จรุปที่เขาไม่ทันจะถวายพระ ก็ยักเอาไว้เสียบ้าง ญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทายักแบบนี้ ตายแล้วลงนรกสิ้นระยะเวลา ๑ กัป พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาตก ยมโลกียนรก คือผ่าน นรกบริวาร ๔ ขุม แล้วก็มาตกยมโลกีนรกตามลำดับมาเป็น เปรต ๑๑ จำพวก สุดท้ายก็เป็น เปรตพวกที่ ๑๒ สมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้ จำไว้ด้วยนะ ของสมบัตินิดหนึ่งน่ะ แม้จะเป็นก้อนดินก้อนหนึ่ง กระเบื้องหัก ๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม ถ้าเราถือเอาเข้าบ้านด้วย อาการของขโมย เสร็จ สะเด็ดไม่เหลือ ลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัด เราจะไปขอเด็กขอพระไม่มีประโยชน์ ของสงฆ์สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้วตกลงกันว่ายังไง ต้องปฏิบัติตามนั้นขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้นนะแม้แต่ ดอกไม้บูชาพระ ก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัย ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอเก็บเด็กวัดอันนี้ไม่ถูกต้อง ลงอเวจี
และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น กา แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้วกรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ตายไปแล้วไปลง อเวจี แล้วแถมมาเกิดเป็น เปรต


ผู้ถาม   
หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาติแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ....?

หลวงพ่อ    ถ้าอาหารที่พระให้ต้องเป็นของญาติโยมที่ถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์ ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระ ที่ มีข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปกินบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ต่มลำพัง
บางทีกินอาหารที่ พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาติแล้วไม่มีโทษ(สำหรับโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร) แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉยๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาติ ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์

และอาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นพุทธบูชาด้วย แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆ และมากๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป

เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นแดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น ลูกศิษย์พระพุทธรูป แต่ประการใด

รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประการที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ดอกไม้ ผลไม้ในวัดเศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็กๆน้อยๆบ้าง จงอย่าคิดว่าไม่มีบาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาติ อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้ รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์

และอีกประการ หนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด กับที่ของสงฆ์ที่เป็นไร่นาไปแล้ว ไม่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียวแม้แต่หญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็นหนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำให้คน ชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาทสลึงสองสลึง บางคนไม่มีเงืนเอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอาค่าแรง


ผู้ถาม   
หลวงพ่อครับ พระเครื่อง ที่เขาไปขโมยมาแล้วเราเอามาห้อยคอ อย่างนี้จะบาปไหมครับ.....?

หลวงพ่อ   
เดี๋ยวก่อน พูดเรื่อง พระเครื่อง ก่อนพระที่คุณห้อยน่ะ ไม่มีเครื่อง หรอก พระเครื่องต้องอย่าง ฉันนี่เดินได้ วิ่งได้ ใช่ไหม.......อย่างนั้นเขาไม่เรียกพระเครื่อง เขาเรียก พระห้อย

เขาขโมยมาจากใครล่ะ.......?

ผู้ถาม   
ก็ไม่ทราบแน่ครับ อาจจะขโมยเจาะกรุมาก็ได้ครับ

หลวงพ่อ   
เสร็จ ไอ้นี่พังแน่

ผู้ถาม   
อย่างนี้จะบาปไหมครับ......?

หลวงพ่อ   
รับของโจรมันก็บาปซิ

ผู้ถาม   
แต่ถ้าเราไม่ทราบนี่คงไม่เป็นไรนะครับ

หลวงพ่อ   
เราไม่ทราบก็บาป เราทราบก็บาป ไอ้บาปนี้เขา แปลว่าชั่ว คนไปขโมยมาจากกรุ กรุมันเป็นของสงฆ์ ลักษณะของอาการมันเป็นของชั่ว ถ้าเราเอาของชั่วมาอยู่กับเราก็ชั่วด้วย อย่างใน มงคลสูตร ข้อหนึ่ง ท่านบอกว่า "อเสวนา จ พาลานัง" อย่าคบคนพาล ถึงแม้นตัวราจะไม่พาล ถ้าเราเดินกับคนพาลเขาก็คิดว่าพาลไปด้วย" และท่านก็มีข้อเปรียบเทียบ ท่านบอกว่า

"ใบตองนี่ ไอ้ความเน่าของเนื้อสัตว์มันจะไม่ซึมลง แต่ว่าถ้าเราเอาใบตองห่อของเน่า แล้วเอา ของเน่าทิ้งไปแต่กลิ่นเน่าเหม็น มันยังติดใบตองอยู่" "ทีนี้การรับของโจร ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ ก็ต้องถือว่าเราร่วมมือด้วยโดยไม่เจตนา ก็ต้องเอาเหมือนกัน"

ผู้ถาม   
ของหนูก็มีพระที่ขโมยมาเหมือนกันค่ะ เป็นพระบูชาแต่ว่าอยากเอาไว้ที่บ้านเอาไว้บูชา ถ้าเราชำระหนี้สงฆ์จะได้ไหมคะ.......?

หลวงพ่อ   
ทีนี้วิธีชำระหนี้ สงฆ์ เขาให้มีค่าเสมอของเดิมนะ เสมอของเดิมหมายความว่า ไม่ใช่พระรุ่น แบบนี้ เหมือนกับอย่างเขาเล่นกันนะ เขาไม่ใช้นะ ไปดุว่าที่ร้านเจ๊กหน้าตักขนาดนี้เขาขายเท่าไร แล้วเอาเงินไป ชำระหนี้สงฆ์ตามราคานั้น ถ้ามากกว่านั้นไม่เป็นไรนะ เท่านั้นก็ใช้ได้ เอาไปวัดใดวัดหนึ่งขอชำระหนี้สงฆ์ ขอมอบ เงินจำนวนนี้และขอเอาพระไปบูชา ก็เท่านี้แหละ เป็นอันว่าไม่มีอะไรผิด (ใคร ก็ตามได้รู้อย่างนี้ก็ใจเสียแล้ว เวลาไปเอามาไม่รู้เท่าไหร่ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ก็มีคนหัวดี กล้าถามหลวงพ่อว่า ถ้าจะชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เคยทำมาตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันนี้ จะทำอย่างไร เราจึงได้รู้เรื่องการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ขึ้นมา)





การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์
ผู้ถาม   
แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ...?

หลวงพ่อ   
เรื่องมันเป็น อย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชา ญาติโยมเขาถาม เรื่องพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลายๆ ชาตินี้เราไม่รู้เอาอะไรมาบ้าง ถามว่าจะทำอย่างไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ก็เห็นพระท่านลอยมา ท่านบอก "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก" พระหน้าตัก 4 ศอก ถือว่าเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้วๆ มาถือเป็นการหมดกันไป"


ฉันพูดแล้วก็กลับ มาวัด ต่อมาพวกนั้นก็มาถามใหม่ว่า "สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน" ฉันก็ไม่รู้อีกซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านบอกว่า ฺ"ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ" หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่อีกนะ สร้างหนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ


ผู้ถาม   
ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อยๆ แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ....?

หลวงพ่อ   
ถ้าเรามีสตางค์น้อยๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า "ชำระหนี้สงฆ์"คือ ว่าไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อยๆ ให้ใจสบาย บาทสองบาทตามกำลังที่พึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ คือไม่ใช่จะเกณฑ์ให้ไปสร้างพระเพราะทุไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อยใจสบาย มีสตางค์รับเงินเดือนมาที่ ทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระบอก "ขอชำระหนี้สงฆ์" ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด ท่านลงนรกเอง ไม่ต้องห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม...."



ผู้ถาม   
ถ้ามีญาติโยมเอา เงินไปถวายพระ แต่ก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ...?

หลวงพ่อ   
เขาถวายเป็นของ สงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนในวัดเแาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยนะ คนอื่นเอาไปใช่ไหม อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ อานิสงส์ มันได้ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้นเวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปิติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่



ผู้ถาม   
โอ้โฮ...หนักถึงขนาดนั้นเลยหรือครับหลวงพ่อ.....?

หลวงพ่อ   
ยังเบานะ ถ้า 2-3 คราว ลงโลกันต์

ผู้ถาม   
นี่ดีนะที่สึกออกมาก่อน ไม่งั่นไปอยู่ใต้พระเทวทัตแน่ๆ

หลวงพ่อ   
ใต้พระเทวทัตน่ะไม่มีความทุกข์นะ ความทุกข์มันอยู่แค่อเวจี ต่ำกว่าอเวจีก็ไม่ถึงโลกันต์




จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญญาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 1
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 14, 2012, 08:55:14 am »

ประโยชน์ในการรู้เรื่องกรรม
-http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=5450-

    การมีความรู้เรื่องกรรม เป็นการได้เข้าใจ" ความจริงอันประเสริฐยิ่ง "

ความจริงที่แม้ยากจะรู้ตาม  เห็นตามได้    แต่ก็สามารถจะพิจารณาและไตร่-

ตรองให้เข้าใจตามหลักของเหตุและผลได้    การรู้เรื่องกรรมทำให้เรารู้ความ

จริงว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา   ไม่ว่าดีหรือร้ายก็ตาม   ไม่ได้เกิดขึ้น

โดยบังเอิญ หรือเกิดขึ้นเพราะผู้อื่นกระทำ    แต่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเองเป็นผู้

กระทำเหตุไว้แล้วในชาตินี้หรือในอดีตชาติ   

          เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้    และผู้ที่ค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่   และน่า

อัศจรรย์นี้  คือ  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า     จึงเป็นการสมควรหรือไม่ที่เราผู้ซึ่ง

ประกาศตนเป็นพุทธบริษัทจะเชื่อฟัง     สมควรหรือไม่ที่เราจะนอบน้อมบูชา

พระคุณที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงธรรมสั่งสอนสัตว์โลกผู้มืดบอด   และโง่

เขลา   แต่ไม่เคยรู้และยอมรับความจริงว่าตนเองโง่ เพราะถูกอวิชชา (ความ

ไม่รู้) ปิดบังมาโดยตลอด        ต่อเมื่อเห็นประโยชน์ของพระธรรมและสนใจ

ศึกษาตามลำดับด้วยดีจึงจะมีความเข้าใจชีวิตของตนเองและผู้อื่น   และเข้า

ใจเหตุที่แท้จริงที่ทำให้แต่ละคนต้องประสบกับสุขบ้าง ทุกข์บ้าง   ในชีวิตแต่

ละวัน



           ข้อความใน   จูฬกัมมวิภังคสูตร  พระพุทธองค์ทรงแสดงถึงผลดีผล

ร้าย ๗ คู่ อันเนื่องมาจากกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วดังนี้

 ๑. มีอายุน้อย เพราะฆ่าสัตว์     มีอายุยืน เพราะไม่ฆ่าสัตว์

 ๒. มีโรคมาก เพราะเบียดเบียนสัตว์   มีโรคน้อย เพราะไม่เบียดเบียนสัตว์

 ๓. มีผิวพรรณทราม เพราะมักโกรธ   มีผิวพรรณดี เพราะไม่มักโกรธ

 ๔. มีศักดาน้อย เพราะริษยา   มีศักดามาก เพราะไม่ริษยา

 ๕. มีโภคทรัพย์น้อย เพราะไม่ให้ทาน   มีโภคทรัพย์มาก เพราะให้ทาน

 ๖. เกิดในตระกูลต่ำ เพราะกระด้าง ถือตัว ไม่อ่อนน้อม

     เกิดในตระกูลสูง เพราะไม่กระด้าง ไม่ถือตัว แต่รู้จักอ่อนน้อม

 ๗. มีปัญญาทราม   เพราะไม่เข้าใจไปหาสมณพราหมณ์   ไต่ถามเรื่องกุศล

     อกุศล เป็นต้น มีปัญญาดี   เพราะเข้าไปหาสมณพราหมณ์   ไต่ถามเรื่อง

     กุศล อกุศล เป็นต้น

 

          การที่เรามีความรู้และมีความเข้าใจเรื่องของกรรมตามที่ได้ทรงแสดง

ไว้ในพระไตรปิฎก   มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน  สรุปโดยสังเขป

ดังนี้

 ๑. มีความมั่นคงในการทำความดีต่อผู้อื่น ทั้งกาย วาจา ใจ

 ๒. มีความเพียรที่จะละเว้นการทำชั่ว   

     ไม่เบียดเบียนผู้อื่นทั้งทางกาย วาจา ใจ

 ๓. ให้อภัยผู้กระทำให้เราเดือดร้อน

 ๔. คลายความคับแค้นใจเมื่อได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม

 ๕. มีความอดทนที่จะไม่โกรธผู้ที่ทำให้เราเดือดร้อน

 ๖. มีเมตตาแม้กับผู้ประพฤติมิชอบ

 ๗. ไม่ประมาทในชีวิต โดยหมั่นเจริญกุศลและเพียรพยายามละอกุศล

 ๘. ไม่มีศัตรู

 ๙. มีมิตรมาก

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 14, 2012, 08:52:13 am »

 บทที่ ๔ - หนี้
-http://dungtrin.com/meecheewit/04.htm-

 
หนี้ที่ยังไม่ใช้ จะถูกตามทวงเรื่อยไป

หนี้บุญกับหนี้บาป

 

ในชีวิตประจำวัน คุณคงเห็นว่าการยังไม่ใช้หนี้ แล้วจะคาดหวังความเบากายสบายใจนั้น ไม่ใช่วิสัย นั่นเป็นทำนองเดียวกับหนี้กรรม ตราบใดคุณยังไม่ชดใช้ ตราบนั้นคุณไม่มีทางเป็นสุขราบรื่น

สำหรับหนี้ในหัวข้อนี้หมายถึงภาระต้องชดใช้ในทางใดทางหนึ่ง เป็นสิ่งที่อาจหลบเลี่ยงไม่ยอมใช้กับเจ้าหนี้โดยตรงก็ได้ แต่เกมกรรมจะใช้ให้คนอื่นไปทวงแทน และการทวงอาจมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึง หากเป็นหนี้ขนาดใหญ่ คุณจะรู้สึกแต่ว่าชีวิตมีแต่เรื่องน่าหนักอก แต่หากเป็นหนี้ขนาดเล็ก คุณอาจรู้สึกเพียงรำคาญ แต่ไม่ว่าจะหนักอกนานๆหรือรำคาญสั้นๆ คุณก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังชดใช้หนี้ก้อนไหนอยู่บ้าง

นี่คือกติกาอีกข้อหนึ่งของเกมกรรมที่อาจฟังดูแล้วไม่ยุติธรรมเอาเลย คุณไม่เคยเห็นใบเสร็จชัดๆ แต่จะโดนทวงอย่างทารุณเมื่อครบกำหนดชำระแล้วไม่ชำระ

หนี้แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ

๑) หนี้บุญคุณ หมายถึงการที่ใครบางคนช่วยให้คุณดำรงชีวิตอยู่ได้ หรือนำคุณออกมาจากสถานการณ์ลำบาก หรือทำให้คุณสุขกายสบายใจเป็นพิเศษ การติดหนี้บุญคุณแตกต่างจากคะแนนติดลบ เพราะส่วนใหญ่การไม่มีโอกาสชดใช้หนี้ยังไม่ทำให้คุณต้องประสบทุกข์ หนี้ประเภทนี้จะให้ผลหนักเมื่อคุณจงใจลืมบุญคุณ หรือกระทั่งทำร้ายผู้มีพระคุณ ผลของการทำร้ายผู้มีพระคุณอาจคูณสิบ คูณร้อย หรือคูณพันของการทำร้ายคนทั่วไป พระคุณยิ่งสูงมากตัวคูณยิ่งสูงตาม

๒) หนี้บาปเวร หมายถึงการที่คุณทำให้ใครบางคนต้องบาดเจ็บล้มตาย หรือทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก หรือทำให้เขาทุกข์กายไม่สบายใจผิดปกติ การติดหนี้บาปเวรเป็นอันเดียวกับคะแนนติดลบ จะต่างกันก็ตรงที่คะแนนติดลบธรรมดาอาจไม่เกี่ยวข้องกับใคร เช่นคุณดื่มเหล้าเมาจนสุขภาพเสื่อมโทรมโดยไม่รบกวนใครจัดเป็นคะแนนติดลบธรรมดา ทว่าถ้าเมาสุราอาละวาด ทำร้ายคนอื่นด้วย อย่างนี้ถือเป็นหนี้บาปเวรที่ต้องชดใช้

 
วิธีใช้หนี้บุญคุณ

 

๑) สำนึกบุญคุณ

หมายถึงการจดจำไว้ไม่ลืม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่แกล้งลืม ว่าใครเคยให้ความช่วยเหลืออะไรคุณไว้บ้าง วิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ลืมบุญคุณคนก็คือหมั่นระลึกถึงเสมอๆ อาจจะด้วยการนำรูปบุคคลที่มีพระคุณสูงสุดมาแขวนไว้ในจุดเห็นง่าย และกราบไหว้อยู่เนืองๆ

การกราบไหว้เปล่าๆกับการกราบไหว้ด้วยความระลึกถึงบุญคุณนั้นแตกต่างกันมาก ด้วยการระลึกถึงพระคุณท่าน คุณจะรู้สึกถึงความอ่อนน้อม ความเป็นมงคลอันอบอุ่น อาการทางใจเช่นนี้คือการลดทิฐิมานะและความทะนงลงเสียได้

การสำนึกบุญคุณนั้น ไม่ว่าจะด้วยการระลึกขึ้นมาเฉยๆหรือการหมั่นกราบไหว้รูปเคารพ จะทำให้ตัวตนของคุณเล็กลง เพราะตระหนักว่าที่โตขึ้นมาได้ หรือดีขึ้นมาได้ ย่อมไม่ใช่จากตัวเองโดดๆ อย่างน้อยต้องมีการให้ความช่วยเหลือค้ำจุนจากผู้อื่นเสมอ คนสำนึกบุญคุณเก่งๆจะไม่ลืมตัวง่ายๆ และนั่นก็หมายความว่าจะตกต่ำลงยากด้วย

การระลึกถึงบุญคุณคนทำให้คุณพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้มีพระคุณเต็มกำลัง หรือเท่าที่มีโอกาสเป็นไปได้ คุณจะไม่มานั่งคำนวณว่าใครให้คุณมาเท่าใด คุณใช้ไปเท่านั้นหรือยัง คุณจะรู้สึกอยากตอบแทนตามโอกาสเท่าที่ใครคนนั้นยังมีชีวิตอยู่

การหมั่นระลึกถึงและตอบแทนบุญคุณ จะเป็นภูมิคุ้มกันโรคเนรคุณ ผู้ลืมระลึกถึงบุญคุณคนนั้น ในที่สุดจิตมักลืมอย่างสนิทว่าติดหนี้ใครอยู่บ้าง นั่นเป็นธรรมชาติของจิต ที่เมื่อไม่เข้าข้างสว่างก็ย่อมยืนอยู่ข้างมืด ความมืดคือโมหะที่เข้าครอบงำ เมื่อถูกครอบงำหนักเข้าก็มีสิทธิ์ยกชั้นขึ้นเป็นการเนรคุณ

แค่กรรมที่ลืมบุญคุณคนก็จะทำให้เป็นผู้ไม่ได้รับความเห็นใจช่วยเหลือในยามลำบาก แต่หากถึงขั้นเนรคุณได้นี่จะต้องโดนโทษหนัก ทำอะไรต่อให้เจริญแค่ไหนก็จะกลับตกต่ำอย่างไม่คาดฝัน

 

๒) หาทางตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ

คำว่าตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อนั้น อาจเข้าใจง่ายถ้าเป็นกรณีทั่วไป เช่นเมื่อคุณเป็นหนี้ใครหนึ่งพันบาท การตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อคือให้คืนเขาพันบาท หรือควรติดเศษนิดหน่อยเป็นดอกเบี้ยตามอัตรามาตรฐาน

แต่หลายครั้งบุญคุณวัดกันเป็นตัวเงินไม่ได้ อย่างเช่นพ่อแม่นั้น ช่วยให้คุณเอาชนะเงื่อนไขข้อจำกัดทางธรรมชาติ ที่มนุษย์จะอุบัติและมีความเต็มรูปด้วยตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยท้องคนอื่นเกิด ต้องอาศัยคนอื่นเลี้ยงดูจนเติบโต ต้องอาศัยคนอื่นส่งเสียให้เล่าเรียน ซึ่งตามเกณฑ์ปกติจะมีใครเต็มใจ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ของคุณ

ดังกล่าวแล้วในบทที่ ๒ ว่ากายใจมนุษย์เป็นอุปกรณ์เล่นเกมราคาแพง คุณได้มาจากใคร คนนั้นจึงมีบุญคุณเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ฉะนั้นการตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อจึงมิอาจตีค่าด้วยการให้เงินทองเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ถ้าพวกท่านไม่มีคุณท่านยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าไม่มีพวกท่านคุณจะไม่มีเลือดเนื้อและชีวิตขึ้นมาได้เอง ฉะนั้นต่อให้เอาสมบัติทั้งหมดที่คุณใช้เลือดเนื้อนี้หามายกให้ท่านน้ำหนักก็ยังไม่เรียกว่าใช้หนี้ครบ เพราะเลือดเนื้อทั้งหมดของคุณยังเป็นหนี้อยู่ทั้งก้อน คุณจะหาสมบัตินอกกายชิ้นใดมาเทียบได้

การคิดเลี้ยงดูให้พ่อแม่สุขทั้งกายสบายทั้งใจนับเป็นการตอบแทนครึ่งเดียว หากจะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อนั้น คุณต้องมีโอกาสด้วย โอกาสที่ว่านั้นคือพ่อ และ/หรือ แม่ของคุณยังไม่มีที่พึ่งให้ตนเอง ได้แก่ความรู้ความศรัทธาในเรื่องกรรมและการให้ผลกรรม ยังไม่มีความตั้งมั่นในทาน ยังไม่มีความตั้งมั่นในศีล แล้วคุณสามารถโน้มน้าว ชักชวนให้พวกท่านมาศรัทธากรรม ฝึกให้ทานจนไม่ให้แล้วเหมือนขาดอะไรไป ฝึกถือศีลจนประพฤติผิดแล้วรู้สึกผิดรุนแรง นั่นแหละจึงได้ชื่อว่าตอบแทนคุณท่านอย่างสมน้ำสมเนื้อ

ที่กล่าวได้เช่นนั้นก็เพราะในเกมกรรมนี้ กรรมดีนั่นเองคือที่พึ่งที่แท้จริง เมื่อคุณทำให้ท่านศรัทธากฎแห่งกรรมวิบาก ตั้งมั่นในทาน ตั้งมั่นในศีล ก็เท่ากับคุณตอบแทนเลือดเนื้อก้อนนี้เป็นอัตภาพดีๆในเกมกรรมครั้งต่อๆไปของท่านนั่นเอง

ธรรมชาติพิเศษของการใช้หนี้บุญคุณมีอยู่ประการหนึ่ง คือยิ่งหนี้สูงแล้วคุณใช้คืนอย่างสมน้ำสมเนื้อ คุณจะได้คะแนนบวกมหาศาล น้ำหนักของกรรมดีที่คุณทำกับพ่อแม่จะให้ผลชัดเป็นความไม่ตกต่ำ แม้ชาติปัจจุบันถูกกรรมเก่าร้ายๆเล่นงานก็จะได้รับความช่วยเหลือ ผ่อนหนักให้เป็นเบาตามสมควร

เรื่องน่าเศร้าคือเกมกรรมจะปิดบังไม่ให้คุณเห็นช่วงเวลาที่แม่ลำบากตั้งท้องคุณ ไม่เปิดเผยให้เห็นช่วงนาทีวิกฤตที่ต้องทุกข์สาหัสกับการเบ่งคุณออกมา กับทั้งไม่ให้คุณรับรู้ว่าพ่อแม่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงคุณอย่างไร คุณจึงเห็นแค่บุญคุณของครู บุญคุณของเพื่อน บุญคุณของใครต่อใครอื่นๆในโลกที่ทุ่มเทเวลาช่วยเหลือคุณ และอาจตัดสินว่าน้ำหนักคงพอๆกันกับที่พ่อแม่ช่วยเหลือคุณมา

หากคุณไม่ตอบแทนพ่อแม่เลย ลูกของคุณจะทำหน้าที่ทวงแทน คือกรรมของคุณจะไปดึงดูดเอาพวกที่จะมาเป็นลูกล้างลูกผลาญ และไม่สำนึกบุญคุณ หากคุณไม่มีลูกก็ทบหนี้ไปถึงชีวิตหน้าในเกมต่อไป

ในทางกลับกัน หากคุณมีลูกแล้วไม่รับผิดชอบดูแลลูกเมียให้ดี มันอาจหมายถึงการเลื่อนเวลาชดใช้หนี้เก่าก็ได้ ต้องแยกให้ออกว่าลูกอาจติดหนี้น้ำกามของคุณ แต่คุณเองก็อาจเคยติดหนี้เขาไว้ก่อน (และโดยมากจะเป็นเช่นนั้น) หากเขามาทวงหนี้คืนแล้วไม่ใช้ ชาติต่อไปคุณก็มีสิทธิ์สูงที่จะไปเกิดกับพ่อแม่ที่ขาดความรับผิดชอบ เลี้ยงดูแบบทิ้งๆขว้างๆ หรือฝากคนอื่นเลี้ยงจนคุณว้าเหว่และมีปัญหาตั้งแต่เล็ก

ในกรณีทั่วไป สำหรับใครก็ตามที่มีพระคุณ โดยเฉพาะในระดับที่คุณรู้สึกซาบซึ้งและเป็นหนี้บุญคุณ การใช้หนี้ที่ดีที่สุดคือการให้ความสุขกับเขา อะไรก็ตามที่ทำแล้วรู้ว่าเขาจะเป็นสุข จงทำให้มาก และทำเท่าที่โอกาสจะอำนวย อย่ากะเกณฑ์ว่าแค่นี้ใช้หนี้ให้แล้ว ถือว่าหายกันแล้ว เพราะโดยทั่วไปถ้าจิตคุณถึงขั้นรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณใคร ส่วนใหญ่บุญคุณนั้นจะหนักยิ่ง อย่าประมาณเลยว่าชดใช้แค่นั้นแค่นี้แล้วจะพอ

หมายเหตุไว้ด้วยว่าการใช้หนี้บุญคุณควรเป็นไปตามกำลัง และไม่ใช่ต้องทุ่มเงินทุ่มทองเท่านั้น ยังมีวิธีในโลกมากมายที่คุณรินสุขสู่ใจใครๆโดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเงินทอง เช่นความคิดปรารถนาดี ก็เป็นคลื่นความสุขที่ส่งและสื่อจากใจถึงใจได้แล้ว คำพูดและกิริยาอ่อนน้อมให้เกียรติก็นับว่าเป็นการลงมือตอบแทนได้อย่างหนึ่งด้วย ดังกล่าวแล้วในหัวข้อก่อน

กำหนดระยะการใช้หนี้ในเกมกรรมนั้น โดยทั่วไปจะ ‘ควรใช้ทันทีเมื่อสบโอกาส’ หรือให้ดีกว่านั้นคือไม่ประมาท คิดว่า ‘รีบใช้เสียก่อนเจ้าหนี้ตาย’ ขอเพียงเริ่มจากความตั้งใจจริง แม้ยังไม่ลงมือก็ถือว่าใช้ไปบางส่วนแล้ว ชีวิตนี้คุณอาจไม่มีโอกาสใช้หนี้ครบถ้วน แต่ขอเพียงมีใจคิดอยู่บ้าง คุณก็จะรู้สึกเบาตัวลง เหมือนคนสบายใจได้ใช้หนี้ ไม่ใช่ทำไม่รู้ไม่ชี้ดองหนี้ไว้จนกลายเป็นคนขาดความนับถือตัวเองไป

 
วิธีใช้หนี้บาปเวร

 

๑) สำนึกผิด

เป็นขั้นแรกสุดที่ง่ายที่สุด เหมือนไม่ต้องลงทุนอะไร แต่ดูจากความจริงแล้ว อาจกล่าวได้ว่าขั้นของการสำนึกผิดอาจยากกว่าขั้นอื่นใด เพราะขณะที่คนเราทำผิดด้วยความโลภ ความโกรธ หรือความหลงเขลา จิตมักไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่านั่นเป็นความผิด และเมื่อไม่รู้สึกจริงๆว่าผิด ก็คงยากที่จะมีใครไปบอกให้มองเห็นว่ามันผิด กิเลสของคนผิดจะทำให้ไม่ยอมรับและคิดปฏิเสธเรื่อยไป

เหตุของความสำนึกผิดหลักๆมีอยู่สองประการ ประการแรก หลังจากที่คุณทำอะไรเลวๆลงไป ต่อมาคุณทำดี แล้วมีเส้นทางพัฒนาความดียิ่งๆขึ้น พอถึงวันหนึ่งมีสิ่งสะกิดใจให้ระลึกถึงความเลวในอดีต จิตอันเป็นกุศลแล้วของคุณย่อมเป็นตัวบอกเองว่านั่นมันเลว นั่นมันกรรมดำ นั่นเป็นเรื่องน่าละอาย คุณจะเกิดความเสียใจและอยากไถ่โทษ ซึ่งระดับความแรงจะมีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกำลังบุญของจิตขณะนั้นๆ บุญยิ่งมากยิ่งสำนึกผิดแรงมาก

ประการที่สอง คุณมีบุญเก่าในอดีตชาติประเภทเคยสำนึกผิดอย่างรุนแรง และเคยได้ชดใช้ความผิดชนิดทุ่มกายถวายชีวิตไถ่บาปมาก่อน เมื่อชาตินี้ทำผิดอีก อดีตกรรมก็ส่งผลให้สำนึกได้เร็ว และสำนึกได้แรง

โดยทั่วไปการสำนึกผิดที่ประกอบด้วยความตั้งใจว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ถือว่าเป็นการใช้หนี้บาปเวรไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่จะมากหรือน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับโอกาสพิสูจน์ตัวเองด้วย คือภายหลังเมื่อมีโอกาสทำผิดทำเลวดังเคย หากคุณปฏิเสธโอกาสนั้นแม้ต้องยอมแลกด้วยชีวิต ก็ถือว่าความสำนึกผิดของคุณแรงในระดับใช้ลบชื่อคุณออกจากบัญชีบาปเวรชนิดนั้นๆได้ และบาปเวรเก่าก็จะเบาบางลงกว่าครึ่ง

 

๒) ขอโทษ

คนที่ขอโทษบ่อยๆนั้นพูดคำว่าขอโทษง่าย แต่คนที่นานๆพูดทีจะรู้สึกว่ายาก เพราะจิตต้องยอมรับให้คนอื่นรู้ว่าตนผิด ซึ่งทิฐิมานะและความอหังการของมนุษย์เราไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นง่ายนัก

อย่างไรก็ตาม คำขอโทษยังแบ่งออกเป็นอีกหลายชั้น หลายวรรณะ บางคนขอโทษบ่อยเสียจนรู้สึกว่าทำอะไรผิดบ่อยๆก็ได้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยขอโทษเอาทีหลัง คำขอโทษที่ตามหลังการประมาทหรือขาดความระมัดระวังจนติดเป็นนิสัยนั้น ไม่ใช่คำขอโทษที่มีค่านัก

ส่วนบางคนนานๆขอโทษที แต่กล่าวออกมาจากใจเต็มๆจริงๆ ประกอบด้วยความสำนึกผิดจริงๆ และมีความตั้งใจที่ดี ที่จะไม่ทำอีกจริงๆ อันนั้นเป็นคำขอโทษที่มีค่า และเกิดจากจิตอันเป็นมหากุศล

การขอโทษอาจไม่ได้เป็นคำพูดขอโทษเสมอไป แต่อาจเป็นการทำดีลับหลัง เช่นในกรณีที่บุคคลที่คุณทำเรื่องเลวๆกับเขานั้นเสียชีวิตไปแล้ว คุณอาจพูดสรรเสริญหรือทำอะไรเป็นการเชิดชูท่านเพื่อให้ผู้คนนึกนิยมชมชื่น อย่างน้อยที่สุดความสุขที่ได้ทำดีจะกลบกลืนความรู้สึกผิดได้บ้าง

หรือถ้าหากคุณจำไม่ได้กระทั่งชื่อแซ่หรือหน้าตา ไม่ทราบว่าปัจจุบันเขามีชีวิตอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด คุณก็อาจขอโทษเขาผ่านการทำดีกับคนอื่นแทน เช่นคุณเคยทำร้ายจิตใจใครด้วยคำพูดเสียดแทง ปัจจุบันคุณไม่มีทางพบใครคนนั้นอีกแล้ว คุณก็เพียงตั้งใจว่าต่อไปนี้จะพูดแต่คำที่ช่วยให้ทุกคนรู้สึกดี ปริมาณของบุญคุณที่สร้างขึ้นใหม่จะเหมือนน้ำดีกลุ่มใหญ่ไล่น้ำเสียกลุ่มน้อยได้

 

๓) ให้อภัย

ก่อนอื่นต้องมองว่าตอนใครทำให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจมากๆนั้น คือรูปแบบหนึ่งของการโดนทวงหนี้ เมื่อมองอย่างนี้คุณจะเต็มใจให้อภัย และทราบชัดจากความเบาหัวอก ว่าหนี้เก่าถูกชำระแล้ว อาจต้องผ่อนส่งหลายครั้ง หรืออาจเหมารวบเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว

เมื่อจิตสะอาดได้ด้วยการคิดอภัย ปราศจากกลิ่นไหม้ของไฟพยาบาทแล้ว คุณจะค่อยๆนึกออกว่าสิ่งที่คุณถูกกระทำนั้น คุณเองก็เคยกระทำไว้ก่อนกับคนอื่น ถึงตรงนั้นคุณจะค่อยๆมีสัมผัสเกี่ยวกับกรรมวิบาก มองเห็นความสอดคล้อง มองเห็นการสะท้อนไปสะท้อนมาของเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน มองเห็นความยุติธรรม ตลอดจนมองเห็นน้ำหนักความทุกข์ของผู้ที่ถูกคุณกระทำ เปรียบเทียบได้กับความทุกข์ที่คุณโดนกระทำเข้าให้บ้าง และนั่นเองจะเป็นการยอมรับกฎการสะท้อนกลับของกรรมอย่างหมดหัวใจ คุณจะเลิกรู้สึกไปเองว่าทำอะไรก็ได้ไม่ต้องรับผล

นอกจากนั้น คุณจะค่อยๆสังเกตและมีความรู้เพิ่มขึ้น คือไม่ว่าคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อนหรือเป็นฝ่ายถูกกระทำ ขอเพียงคิดประทุษร้ายกัน มีความผูกใจเจ็บกัน เล็งแลกันและกันด้วยแววพยาบาทอาฆาต เท่านั้นก็เรียกว่าเป็นบาปเวรระหว่างกันแล้ว ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้อภัยได้ไม่จำกัด ไม่มีความพยาบาทตกค้างแม้แต่ในความคิด นั่นเองจิตจะทำตัวเป็นน้ำทิพย์ล้างรอยแค้น ทั้งฝ่ายตนและฝ่ายเขา ในที่สุดความอาฆาตในฝ่ายเขาย่อมทนตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องเลือนหายไปในที่สุด

สรุปคือเมื่อถูกทำให้แค้นแล้วไม่คิดแก้แค้น เรียกว่าเป็นการใช้หนี้ ขอให้จำไว้ว่าคุณอาจโกรธโดยไม่ตั้งใจ แต่ไม่มีทางอภัยโดยบังเอิญ

มีกรณีที่ยากจะอภัยอยู่มากมาย และยิ่งเกิดบ่อยขึ้นทั่วทุกหัวระแหงในปัจจุบัน เช่นบางคนรับกรรมที่เคยทำไว้กับลูกในเกมกรรมครั้งก่อนๆ ต้องมาเกิดกับพ่อแม่ที่ทำเรื่องเลวร้ายกับตน เช่นเมาเหล้าทุบตี เป็นผีพนันที่หันมาปล้นเงินคนที่บ้าน เป็นพ่อที่ทำบัดสีบัดเถลิงกับลูกที่ไม่มีทางขัดขืน เป็นแม่ที่ขายลูกสาวกิน กรณีเช่นนี้อย่าว่าแต่จะมีกำลังใจตอบแทน แค่ห้ามใจไม่ให้คิดอยากฆ่าพ่อแม่ตัวเองก็นับว่ายากแล้ว

แน่นอน เมื่อถูกเกมกรรมปิดบังอดีตชาติไว้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘ความหลงลืม’ ก็ย่อมไม่มีทางทราบได้ว่าการถูกข่มเหงในบ้านโดยพ่อแม่ของตนเอง คือการแสดงตัวอย่างโจ่งแจ้งของกรรมเก่า คุณอาจทำไว้กับลูกตัวเองหรือทำไว้กับคนอื่น และเมื่อไม่อาจทำใจให้เชื่อว่านั่นคือกรรมเก่าของตน ก็ย่อมผูกใจพยาบาทอาฆาต แล้วกลายเป็นปมพยาบาทระหว่างคนในครอบครัวซึ่งยากมากๆที่จะถ่ายถอน

ตามกฎข้อแรกๆของเกมกรรมนั้น คือถ้าคุณอาฆาตแค้นพ่อแม่รุนแรง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ชีวิตคุณจะเหมือนมีบาดแผลใหญ่ ทำอะไรเจริญยาก ถึงแม้บุญเก่าหนุนให้รุ่งเรืองก็ต้องมีอันเป็นทุกข์ ไม่สุขใจจากความรุ่งเรืองนอกกายดังกล่าว

การอภัยในเรื่องน่าเจ็บปวดที่สุด ทำได้ยากที่สุด จึงแทบจะเป็นการทำแต้มสูงสุดในเกมกรรม และกล่าวได้ว่าเป็นการใช้หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าทำไม่ได้ก็น่าเห็นใจ แต่หากทำได้ ก็ไม่มีบุญกุศลชนิดไหนๆอีกแล้วที่คุณจะทำไม่ได้

สำหรับพ่อที่เลว ไม่ดูแลรับผิดชอบลูกเมีย หรือทำเรื่องเลวร้ายกับลูกๆได้ลงคอนั้น อาจได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหนี้น้ำกามไม่มากนัก ทว่าสำหรับผู้เป็นแม่ จะดีเลวอย่างไรก็ตาม ทุกคนเป็นหนี้การอาศัยท้องท่าน ๙ เดือนเสมอ จึงกล่าวได้ว่าระหว่างพ่อเลวกับแม่เลว การโกรธเกลียดแม่ที่เลวเป็นบาปกว่า และในทางตรงข้าม การให้อภัยแม่ที่เลวย่อมได้ผลเป็นบุญเกินประมาณ

 

๔) ตั้งความปรารถนาดี

สิ่งที่ยากกว่าการอภัยคือการดีตอบกับคนที่ร้ายกับคุณก่อน สำหรับคนทั่วไปอาจฟังเป็นเรื่องบ้าและไม่น่าเป็นไปได้ หรือแม้เป็นไปได้ก็ไม่ควรทำ แต่สำหรับคนที่มองชีวิตเป็นเกมกรรม การดีตอบไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย ตรงข้ามกลับจะเป็นโอกาสโกยคะแนนพิเศษสองเท่าสามเท่าของคะแนนทำดีปกติด้วยซ้ำ

เมื่อมีแก่ใจตั้งความปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเคลือบแฝง คุณก็ย่อมมีทุนพอที่จะพูดดีและทำดีกับเขาในเวลาต่อมา ฉะนั้นปัญหาอยู่แค่ที่ใจ ทำอย่างไรคุณจึงสามารถตั้งความปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ใจกับคนที่มาทำเรื่องแย่ๆกับคุณได้

ก่อนอื่นใดคุณต้องสร้างกำลังใจให้ตนเอง กำหนดใจลงไปให้แน่วแน่ ว่าถ้าคุณกำลังอยู่ในเกมกรรมจริง และการทำดีตอบคนที่ร้ายกับคุณเป็นการทำคะแนนอย่างสูงจริง ก็แปลว่าหากทำได้สำเร็จ จะต้องมีเรื่องดีๆที่คาดไม่ถึงปรากฏให้เห็นอย่างแน่นอน

และหากคุณไม่รอดูเหตุการณ์ภายนอก แต่เฝ้าสังเกตเหตุการณ์ภายในจิตใจอันสับสนอลหม่านของตนเอง ก็จะพบภาวะมหัศจรรย์ที่เรียกว่า ‘มหาโสมนัส’ คุณเป็นคนดี คุณทำในสิ่งยากที่ใครจะทำได้ และธรรมชาติของจิตก็สนองคืนให้ด้วยความรู้สึกที่ลึกล้ำเกินพรรณนา

การตั้งความปรารถนาดีไว้ล่วงหน้า ชนิดง่ายที่จะตามมาด้วยการอยากพูดให้เขาเป็นสุข อยากทำบางอย่างให้เขาสบาย ก็คือรูปแบบหนึ่งของการแผ่เมตตา หนี้บาปเวรจะหมดไปอย่างรวดเร็วด้วยการชะล้างของเมตตาจิต ยิ่งคุณแผ่เมตตาได้เข้มแข็งหนักแน่นและต่อเนื่องขึ้นเพียงใด บาปเวรก็จะยิ่งถอยห่างหนีหายไปมากขึ้นเท่านั้น ขอให้จำกฎแห่งเกมกรรมข้อนี้ไว้เป็นหลัก แล้วเฝ้าติดตามสังเกตดูว่าเป็นความจริงไหม หากเป็นจริง คุณจะได้เริ่มตื่นเต้นกับการเล่นเกมกรรมด้วยความรู้ความเข้าใจใหม่ๆเสียที!

 

๕) ช่วยชีวิตสัตว์

การทวงหนี้หลายๆครั้งมาในรูปของเมฆหมอกดำทะมึนที่ห่อหุ้มชีวิตทั้งหมดไว้ เช่นโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอย่างหนักถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ

ถ้าคุณจิตใจสงบเยือกเย็นในเวลาหนึ่ง แล้วกลับลุกเป็นไฟ มีความคิดเหี้ยมเกรียมได้เป็นตรงข้าม ขอให้สันนิษฐานว่าอดีตชาติคุณเคยดุร้ายมามาก หรืออาจถึงขั้นเหี้ยมโหดเป็นโจรที่ฆ่าฟันคนไม่มีทางสู้ แต่ภายหลังกลับตัวสำนึกผิดได้ และเป็นความรู้สึกที่รุนแรงขนาดเหวี่ยงกลับมาเป็นขั้วตรงข้าม

ประเภทนี้เกิดใหม่มักเป็นคนดี หรืออาจจะแสนดี แต่ก็มีปมร้าย มีภาคอันตรายซุกซ่อนที่ยากจะอธิบายและไม่เป็นที่เข้าใจแม้กระทั่งต่อตนเอง รู้แต่ว่าวันดีคืนดีก็ปรากฏเป็นที่ประจักษ์กันได้

หากคุณเข้าข่ายทำนองนี้ ขอให้ทราบว่าคุณหนีนรกมาได้ทีหนึ่งแล้ว นับเป็นโชคดีแล้ว แต่สิ่งที่คุณจะต้องเผชิญในชีวิตมนุษย์ครั้งนี้ ก็คือสุขภาพที่อ่อนแอ หรือความเจ็บป่วยทรมานเรื้อรังที่ยากจะหาหมอรักษาให้หายขาด แม้วิทยาการแพทย์เจริญก้าวหน้าเพียงใด กรรมเก่าจะส่งอาการลึกลับมาเอาชนะจนได้ หรือแม้เจอหมอเทวดาช่วยได้โรคหนึ่ง ก็หนีไปสร้างโรคใหม่ขึ้นอีกทาง วนเวียนทำความทุกข์ให้กับคุณจนอยากตายไปให้พ้นๆ ซึ่งถ้าฆ่าตัวตายสำเร็จก็นั่นแหละ เข้าทางกรรมเก่าเขาแล้ว ผู้ตายด้วยจิตที่เศร้าหมองย่อมมีทุคติเป็นที่หวังเสมอ

ถ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว ขอให้ลองใช้ชีวิตที่เหลือน้อยนั้นปลดปล่อยสัตว์อื่นให้รอดตายดู จะคิดว่าเป็นการทดลองครั้งสุดท้ายหรือเพื่อความสบายใจก่อนตายอย่างไรก็แล้วแต่ สำคัญคือไม่ใช่แค่ปล่อยนกปล่อยปลาสองสามตัว คุณต้องปล่อยถี่ๆ ปล่อยมากๆ และปล่อยอย่างต่อเนื่องนานๆ กระทั่งเกิดจิตเป็นมหาทานที่ตั้งมั่น เคยชินกับการไถ่ชีวิตสัตว์ ไม่ไถ่ชีวิตสัตว์แล้วรู้สึกว่าความสุขมันพร่องไป

ทุกวันมีสัตว์มากมายต้องตายเพื่อเป็นอาหาร จุดที่คุณสามารถช่วยพวกมันได้ง่ายหน่อยคือตลาดสด แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน สัตว์ยิ่งตัวใหญ่มากขึ้นก็ยิ่งมีพลังชีวิตมากขึ้น การยืดชีวิตของสัตว์ทั้งใหญ่และเล็กไม่เลือกหน้าจะช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยที่ลึกลับทั้งน้อยและใหญ่ได้แบบครบวงจร

 

๖) รักษาศีล
การตั้งใจรักษาศีลคือการสร้างมหาทาน เพราะการตั้งใจงดเว้นฆ่าสัตว์ งดเว้นลักทรัพย์ งดเว้นกามที่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น งดเว้นถ้อยคำอันเป็นทุจริต และงดเว้นการเสพสุรายาเมานั้น เป็นการกระทำชีวิตให้ปลอดภัยแก่ตนและผู้อื่นอย่างยิ่ง แม้เขาเคยค้างชำระหนี้คุณมา และเกมกรรมจัดสรรให้คุณมีสิทธิ์ทวงหนี้เขาคืน คุณก็ไม่ทวง อันนั้นแหละ จึงกล่าวได้ว่าศีลจัดเป็นมหาทานอันเยี่ยม ขอให้พิจารณาเป็นข้อๆไป

ถ้าเจตนางดเว้นฆ่าสัตว์ที่คุณมีสิทธิ์ฆ่าง่ายๆ เช่นมดและยุง คุณได้ชื่อว่าใช้หนี้เก่าที่อาจเคยก่อกวนให้ผู้อื่นรำคาญ ส่วนหนี้ที่มดและยุงทำให้คุณรำคาญ คุณก็ยกให้พวกมันไป

ถ้าเจตนางดเว้นลักทรัพย์ที่คุณมีโอกาสทำได้ คุณได้ชื่อว่างดการทำความเสียหายให้แก่ผู้ที่จะต้องเสียหาย เหมือนเขาได้รับการยกโทษจากคุณ และคุณก็จะไม่ต้องเป็นผู้ติดหนี้ให้เกิดวงจรอุบาทว์ วันหนึ่งเป็นขโมย อีกวันหนึ่งถูกขโมย

ถ้าเจตนางดเว้นกามที่ละเมิดสิทธิ์ผัวเขาเมียใคร หรือละเมิดสิทธิ์พ่อแม่ผู้ปกครองเลี้ยงดู คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ทำเรื่องบาดใจแก่ผู้สมควรโดนกรรมเก่าเล่นงานให้บาดใจ และคุณเองก็จะไม่ต้องสร้างหนี้ใหม่จนตกไปอยู่ในฐานะถูกกระทำให้บาดใจด้วย

ถ้าเจตนางดเว้นการโกหก คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ยกประโยชน์ให้คนที่สมควรถูกหลอก ถ้าเจตนางดเว้นคำเสียดแทงใจ คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ยกประโยชน์ให้คนที่สมควรได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจ ถ้าเจตนางดเว้นคำหยาบ คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ยกประโยชน์ให้คนที่สมควรโกรธเกลียดด้วยการฟังคำด่าทอ ถ้าเจตนางดเว้นการพูดเพ้อเจ้อไร้สติ คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ยกประโยชน์ให้คนที่สมควรมึนงงฟุ้งซ่านจากการฟังคำพูดอันเลื่อนลอย

ถ้าเจตนางดเว้นการเสพสุรา ยาอี ยามอมเมาให้สติขาดหายทั้งหลาย คุณได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่กระทำตนให้เข้าข่ายบุคคลอันตราย คุณทำความปลอดภัยให้สังคมจากการดำรงตนเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน คุณจะไม่เป็นเครื่องมือของเกมกรรม ลงโทษผู้สมควรได้รับอันตรายจากการถูกคนเมาสุราอาละวาด

 
บทต่อๆไปจะแสดงให้เห็นว่ามีชีวิตจนเติบโตมา คุณต้องใช้หนี้ไปไม่มากก็น้อย แต่ขณะเดียวกันก็มีสิทธิ์ก่อหนี้เพิ่มได้ตลอดเวลา

http://dungtrin.com/meecheewit/04.htm