๒๖.
ทางแ่ห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถาม ถ้าเป็นดังนั้น คนเราควรทำความเข้าใจใน จิต ของตนเองให้สำเร็จได้อย่างไร ?
ตอบ ก็อ้ายสิ่งที่ถามปัญหาที่ออกมานั่นแหละ คือ จิต ของเธอเองแล้วละ
แต่ถ้าเธอทำความสงบอยู่จริง ๆ และเว้นขาดจากการคิดนึกซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิตแม้ที่น้อยที่สุดเสียให้ ได้จริง ๆ แล้วตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นของว่าง แล้วเธอจะได้พบว่ามันเป็นสิ่ง
ปราศจากรูป มันมิได้กินเื้นื้อที่อะไร ๆ ในที่ไหนแม้จุดเดียว
และมิได้ตกลงสู่การบัญญัติว่า เป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย
เพราะ เหตุที่สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่เรารู้สึกต่อมันไม่ได้โดยทาง
อายตนะ ท่านโพธิธรรมจึงกล่าวว่า
จิต ซึ่งเป็นธรรมชาติแท้ ของคนเรานั้นเป็น
ครรภ์ ซึ่งมิได้มีใครทำให้เกิดขึ้น และเป็นสิ่งทำลายไม่ได้ ในการทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปตัวมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ
เพื่อความสะดวกในการพูด เราพูดถึง จิต ในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันมิได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม (คือมิได้เป็นตัวสติปัญญาที่คิดนึก หรือสร้างสิ่งต่าง ๆ) นั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึง ในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่หรือมิใช่ความมีอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกต่อมันไม่ได้โดยทางอายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร) อยู่นั่นเอง ถ้าเธอทราบความจริงข้อนี้ และทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไร ในขณะนั้น พวกเธอกำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย โดยแท้จริง เพราะเหตุฉะนี้เองในสูตรจึงกล่าวไว้อย่างจริงจังว่า “
จงเจริญจิตซึ่งหยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น” ดังนี้
บรรดาสัตว์ทั้งหลาย
ที่ผูกพันอยู่กับวงล้อมแห่งการเวียนเกิดเวียนตายนั้น เป็นสิ่งที่ถูกสร้างย้อนกลับมาจากกรรมแห่งตัณหาของเขาเอง ! หัวใจของเขายังผูกพันอยู่กับภูมิแห่งกำเนิดทั้งหกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นจึงยังผูกพันตนอยู่กับความทุกข์กายทุกข์ใจ ทุก ๆ ชนิด ฉิ่งหมิง พูดว่า “มี คนจำพวกหนึ่งที่มีจิตเหมือนจิตของวานร ซึ่งเป็นพวกที่สอนได้ยากนัก
เป็นพวกที่ต้องการข้อบัญญัติและคำสอนทุกชนิด ที่จะเอาไปใช้บีบบังคับจิตของตนให้ยอมจำนนเท่านั้นเอง” ดัง นั้นเมื่อ
ความคิดเกิดขึ้น ธรรมะต่าง ๆ ที่เขาศึกษาอัดเข้าไว้ทุกชนิดก็ตามมา แต่แล้วมันก็สุญสิ้นไปเพราะการหยุดลงของ
ความคิดนั่นเอง
เราเห็นได้จากข้อนี้เองว่า
ธรรมแต่ละชนิด ทุกชนิดเป็นเพียงการสร้างสรรค์ของ จิต สัตว์ทุกจำพวก คือจะเป็น มนุษย์ เทวดา สัตว์ทนทุกข์ในนรก อสูร และสัตว์อื่น ๆ ทุกชนิด บรรดาที่เกิดอยู่ในภูมิกำเนิดทั้งหกก็ตาม
ทุก ๆ จำพวกล้วนแต่เป็นสิ่งที่ จิต เสกสรรค์ขึ้น ถ้าพวกเธอจะเพียงแต่ศึกษาให้ทราบว่า ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในการที่จะไม่ให้สติปัญญาทำหน้าที่ของมันเท่า นั้น โซ่แห่งสังสารวัฏก็จะหักเผาะออกไปทันที
จงเลิกละความคิดผิด ๆ ที่นำไปสู่การจำแนกต่าง ๆ อย่างผิด ๆ เหล่านั้นเสียให้หมดสิ้นเถิด ! ไม่มีตัวเอง ไม่มีผู้อื่น ไม่มีอยากอย่างผิด อยากอย่างถูก ไม่มีเกลียด ไม่มีรัก ไม่มีชนะ ไม่มีล้มเหลว
เพียงแต่สลัดขบวนการแห่งความคิด ทั้งทางสติปัญญาและความคิดปรุงแต่งเสียเท่านั้น ธรรมชาติเดิมแท้ของพวกเธอก็จะแสดงความบริสุทธิ์ดั้งเดิมของมันออกมา วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ลุถึงความตรัสรู้ ที่จะทำให้เห็นธรรม ที่จะทำให้เป็นพุทธะขึ้นมา และอื่น ๆ ที่เหลืออีกทั้งหมด ถ้าเว้นความเข้าใจในข้อนี้เสียแล้ว ความรู้อันมากมายทั้งหมดทั้งสิ้นของพวกเธอก็ดี ความพยายามอย่างเจ็บปวดเพื่อให้ก้าวหน้าของเธอก็ดี การบำเพ็ญตบะต่าง ๆ เกี่ยวกับอาหารและการนุ่งห่มของเธอก็ดี จะไม่ช่วยเธอให้มีความรู้สึกเรื่อง จิต ของเธอเองได้เลย
สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดทั้งสามอย่าง ต้องจัดไว้ว่าเป็นของมายา เพราะอย่างไหนก็ตามในสามอย่างนั้น ย่อมนำพวกเธอไปสู่การเกิดใหม่ในหมู่พวกมารร้าย ซึ่งเป็นศัตรูของธรรม หรือมิฉะนั้นก็เกิดในบรรดาปีศาจซึ่งสันดานหยาบ ผลสุดท้ายชนิดไหนกันเล่าที่จะถูกสนองด้วยการแสวงหาทำนองนั้น ? ฉิกุง กล่าวว่า “
ร่างกายของเราทั้งหลาย เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยจิตของเราเอง” แล้วใครหวังที่จะได้รับความรู้เช่นนี้จากตำราได้อย่างไร ?
ถ้าพวกเธอเพียงแต่เข้าใจธรรมชาติแห่ง จิต ของเธอเองให้ได้และทำที่สุดจบให้แก่การคิดจำแนกแจกแจงต่าง ๆ เสียให้ได้เท่านั้น มันก็ไม่มีเนื้อที่เหลือไว้ให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ แม้แต่เมล็ดเดียว
ฉิ่ง หมิง ได้บรรยายความข้อนี้ไว้ เป็นโศลกบทหนึ่งว่า ...
เพียงแต่ปูเสื่อออกเท่านั้น
เพื่อจะได้นอนลงให้ราบจริง ๆ
เมื่อความคิดผูกติดอยู่กับเตียง
เหมือนคนไข้หนักนอนแบะอยู่กับเตียง
กรรมทั้งหลายจะสิ้นสุดลง
และความคิดต่าง ๆ ย่อมสลายไป
นั่นแหละคือสิ่งที่หมายถึงด้วยคำ โพธิ ! ตามที่มันเป็นอยู่จริงนั้น คือ ตลอดเวลาที่จิตของพวกเธอยังอยู่ในวิสัยที่จะต้องเคลื่อนไหวในการคิดแม้แต่ นิดเดียว เธอก็จะยังคงถูกปิดล้อมอยู่ในวงของความหลงผิด ในการที่จะถือว่า “ยังหลงใหล” และ “ตรัสรู้แล้ว” ว่าเป็นภาวะที่แตกแยกต่างกัน
ความหลงผิดอันนี้ จะยืนกรานอยู่เช่นนั้นโดยไม่คำนึงถึงความรู้มหายานอันกว้างของเธอ หรือความมีอุปนิสัยที่สมารถจะผ่านอรหัตตภูมิทั้งสี่ และโพธิสัตว์ภูมิทั้งสิบอยู่แล้ว ของพวกเธอเลย ทั้งนี้เพราะว่า การแสวงหาทำนองนั้น เป็นของชั่วแล่น
แม้ความเพียรอันแข็งขันของเธอ ก็จะต้องประสบโชคเป็นความล้มเหลวเหมือนกันแท้กับลูกศรที่เพลี่ยงพลาดในวิธี ยิง มันขึ้นไปไม่ได้สูงต้องลงนอนหมดแรงอยู่กลางดินใกล้ ๆ ผู้ยิงนั่นเอง
แม้ว่าความรู้และอุปนิสัยเหล่านั้นจะมีอยู่เธอก็ยังเป็นที่แน่นอนว่า
จะต้องพบตนเองวกกลับมาสู่วงล้อของความเกิด และความตายอยู่ร่ำไป การปล่อยตนให้เดินปตามทางปฏิบัติเช่นนี้ ย่อมเป็นการแสดงอยู่แล้วโดยปริยาย ถึงความล้มเหลวของเธอ ในการที่จะเข้าใจถึงความหมายอันแท้จริงของพระพุทธะ แน่นอนทีเดียว การยอมทนทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงโดยไม่จำเป็นเช่นนี้มิใช่อะไรอื่นนอกจาก
ความผิดพลาดอันมหาศาล จริงไหมเล่า ?
ฉิกุง ได้กล่าวไว้ในที่อื่นอีกว่า “ถ้าท่านไม่ได้พบกับศาสดาผู้สามารถข้ามขึ้นเหนือโลกทั้งหลายแล้ว ท่านก็จะต้องกลืนยาของมหายานธรรมเรื่อยไป โดยไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย
บัดนี้ หากพวกเธอได้ปฏิบัติ ในการรักษาจิตของพวกเธอให้
ปราศจากพฤติการณ์เคลื่อนไหวใด ๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งเดิน ยืน นั่ง นอน ก็ดี ในการเพ่งจิตทั้งหมด เฉพาะต่อการที่จะไม่สร้างความคิดใด ๆ ขึ้น ต่อความไม่ยึดถือว่ามีของคู่ ต่อความไม่อิงอาศัยสิ่งอื่นใดในภายนอก หรือต่อความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็ดี ในการปล่อยให้สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเรื่องตามราวของมันทั้งวัน ๆ ราวกะว่าเธอเจ็บหนักเกินไปกว่าที่จะไปเป็นห่วงด้วยได้ก็ดี และในการมีจิตของเธอเหมือนหินแท่งทึบ ที่มีมีรอยต้องอุดต้องซ่อมแล้ว เมื่อนั้นแหละ ธรรมทั้งหลายจะซึมเข้าไปในความเข้าใจของเธอทะลุปรุโปร่งแล้วปรุโปร่งอีก และชั่วเวลาอีกเล็กน้อย เธอก็จะได้พบว่า
ตัวเองเป็นอิสระแล้วอย่างมั่นคง เมื่อเป็นดังนั้น เธอจะได้พบเป็นครั้งแรกในชีวิตอันมากมายหลายชนิดของเธอว่า
ปฏิกิริยาของเธอต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้ลดลงและในที่สุดเธอจะได้ข้ามขึ้นเหนือโลกทั้งสาม และมหาชนจะได้กล่าวกันว่าพุทธะองค์หนึ่ง ได้ปรากฏขึ้นในโลกแล้ว
ความรู้อันบริสุทธิ์และปราศจากกิเลสย่อมแสดงโดยปริยายอยู่แล้วว่า เป็นการทำความสิ้นสุดให้แก่ความคิดและความฝันอันไหลเรื่อย ทั้งนี้เพราะว่า โดยทางนั้นเอง เธอได้หยุดสร้างกรรมอันนำไปสู่การเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ที่ทนทุกข์อยู่ในนรก
คราใดที่กรรมวิธีของจิตทุกชนิดหยุดลงแล้ว กรรมก็จะไม่ถูกสร้างขึ้นแม้แต่สักอนุภาคเดียว เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว แม้ในชาตินี้ ใจและกายของเธอก็เป็นสิ่งที่เป็นอิสระแล้ว โดยสมบูรณ์
แม้สมมติว่าข้อนี้ยังไม่ให้ผลแก่เธอ ถึงกับปลดเปลื้องเธอเธอจากการเกิดใหม่ได้ทันที อย่างน้อยที่สุดเธอก็ยังแน่ใจได้ว่า การเกิดใหม่นั้นจะเป็นไปในลักษณะที่เธอปรารถนาทุกประการ สูตรมีข้อความปรากฏอยู่ว่า “โพธิสัตว์ทั้งหลาย มีการเกิดใหม่ในรูปตามที่ตนปรารถนาทุกประการ”
แต่ถ้าเผอิญโพธิสัตว์เหล่านั้นเกิดถอยกำลัง
ในการรักษาจิตของท่านให้เป็นอิสระจากความคิดปรุงแต่ง ความคิดยึดมั่นถือมั่นในรูปก็จะลากตัวท่านกลับมาสู่โลกแห่งปรากฏการณ์อีก แล้วรูปเหล่านั้นแต่ละอย่างก็จะสร้างกรรมของมารขึ้นสำหรับท่าน ! ลักษณะเช่นนั้น ย่อมมีอยู่ในการปฏิบัติของพวกนิกายดินแดนบริสุทธิ์ (
Pure Land Sect) ด้วยเหมือนกัน เพราะปฏิบัติเหล่านี้ทั้งหมด
เป็นไปเพื่อการสร้างกรรม ดังนั้นเราอาจเรียกข้อปฏิบัติเหล่านั้นได้ว่า เป็นเครื่องปิดบังพุทธะ ครั้นเครื่องปิดบังเหล่านี้ได้ปิดกั้นจิตของเธอเสียแล้ว
โซ่แห่งความคิดปรุงแต่งโดยความเป็นเหตุและผลแก่กันและกัน ก็จะรึงรัดเธอเข้าอย่างแน่นแฟ้นขึ้นอีก มันจะลากตัวเธอกลับไปยัง
ภาวะแห่งบุคคลที่ยังไม่มีการหลุดพ้นแต่ประการใดเลย
ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น ธรรมะทั้งหมดดังที่คนเหล่านั้นอวดอ้างไปในทำนองว่าสามารถนำคนไปสู่การตรัสรู้ ได้นั้น ไม่มีความจริงอยู่ในนั้นเลย พระพุทธวจนะทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ประสงค์ให้เห็นเครื่องล่อที่เหมาะสมสามารถเกิดผลได้จริง ในการจูงคนออกมาเสียจากความมืดบอดของอวิชชาอันเลวร้ายเท่านั้น มันเหมือนกันแท้กับที่คนเลี้ยงเด็ก เอาใบไม้เหลือง ๆ ชูขึ้นบอกว่าเป็นทองคำ เพื่อล่อให้เด็กหยุดร้องไห้ สัมมาสัมโพธิเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็น โมฆะ เมื่อเธอเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกเล่นเหล่านั้น จะมีประโยชน์อะไรแก่เธอ ?
เธอควรดำเนินตนต่อไป
ในลักษณะที่อนุโลมกันได้อย่างกลมกลืนกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตปัจจุบันของเธอ ตามที่โอกาสอันเหมาะสมจะเกิดขึ้น จงไถ่ถอนกรรมเก่าที่เคยสะสมไว้แต่ปางก่อนให้น้อยลงไป
และที่ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดนั้นเธอต้องหลีกเลี่ยงการสร้างกรรมใหม่ ๆ ที่จะตอบสนองแก่เธอขึ้นมาอีกอย่างเด็ดขาด จิตย่อมเต็มไปด้วยความใสกระจ่างอย่างมีประภัสสร ดังนั้นมันย่อมขจัดเสียซึ่งความมืดแห่งความคิดดั้งเดิมทั้งหลายของพวกเธอ ฉิ หมิ่ง กล่าวไว้ว่า “
จงปลดเปลื้องตัวท่านทั้งหลาย ออกเสียจากทุก ๆ สิ่ง” ข้อความใน
สัทธรรมปุณฑริกสูตร ซึ่งกล่าวถึงการเสียเวลาไปตั้งยี่สิบปีเต็ม ในการโกยปุ๋ยทิ้งเสีย ย่อมแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการที่จะขับไล่สิ่งทุกสิ่งซึ่งเอียงไปในทาง
การคิดปรุงแต่งออกไปเสียจากใจของพวกเธอ
ข้อความอีกแห่งหนึ่งในสูตรเดียวกันนั่นเอง ได้ระบุให้เห็นว่ากองปุ๋ยคอกเหล่านั้น ต้องขนใส่เกวียนไปทิ้งเสียด้วยอภิปรัชญาและเล่ห์อุบายอันแยบควาย
ดังนั้น “ครรภ์แห่งพระตถาคตทั้งหลาย” จึงเป็นสิ่งว่างและสงบเงียบอย่างแท้จริง ไม่ประกอบอยู่กับสิ่ง (ธรรม) ใด ๆ ที่เป็นตัวตน แต่อย่างใดหรือชนิดใดเลย และเพราะเหตุนั้นเองสูตรซึ่งมีคำกล่าวว่า “ทั่วทุก ๆ อาณาจักรแห่งพุทธะทั้งหลายย่อมเป็นของว่างโดยเสมอกัน”
แม้คนพวกอื่นอาจจะพูดกัน ถึงเรื่องทางของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ว่าเป็นสิ่งที่อาจลุถึงได้ด้วยการบำเพ็ญบุญ มีประการต่าง ๆ หรือด้วยศึกษาสูตรทั้งหลายก็ตาม เธอต้องไม่มีอะไรที่จะต้องทำเกี่ยวกับความคิดชนิดนั้น การเกิดความรู้สึกซึมซาบได้ในเวลาชั่วกระพริบตาเดียว ว่าผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ (จิตและวัตถุ) เป็นของสิ่งเดียวกัน นั่นแหละ จะนำไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งและลึกลับเหนือคำพูด และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเธอจะลืมตาต่อ
สัจจะของเซ็น เมื่อเธอบังเอิญพบกับคนบางคน ซึ่งไม่มีความเข้าใจอะไรเลยเธอต้องยืนยันที่จะขอเป็นผู้ไม่รู้อะไร แม้เขาผู้นั้นอาจดีอกดีใจอยู่ด้วยการค้นพบ “ทางเพื่อการตรัสรู้” อะไรบางอย่างของเขา แม้กระนั้นเธอก็จะต้องไม่ยอมให้เขาจูงไป เธอจะไม่ได้รับความยินดีปรีดาอะไร แต่จะต้องทนรับความโทมนัสและความผิดหวัง ความคิดชนิดนั้นของเขาจะมีอะไรที่เกี่ยวกับการศึกษาเซ็นด้วยเล่า ?
แม้หากว่าเธอได้รับ “วิธีการ” อะไรบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ มาจากเขาจริง
มันก็จะเป็นแต่เพียงสิ่ง (ธรรม) ที่สร้างขึ้นจากความคิด หามีอะไรเกี่ยวกับเซ็นไม่เลย เพราะเหตุนั้นเอง ท่านโพธิธรรมจึงได้เข้าฌานนิ่ง ๆ หันหน้าเข้าผนังถ้ำเสีย ท่านไม่หาทางที่จะนำคนให้มีความคิดเห็นต่าง ๆ นานา ดังนั้น จึงมีคำจารึกไว้ว่า
การนำออกมาจากใจเสียให้หมดสิ้น แม้กระทั่งหลักซึ่งเป็นที่เกิดแห่งการประกอบกรรมต่าง ๆ นั่นแหละคือคำสอนที่แท้จริง ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ส่วนคติทวินิยมนั้น เป็นเรื่องในวงของหมู่มารในขณะเดียวกันนั่นเอง” ธรรมชาติเดิมแท้ของเธอนั้น เป็นสิ่งซึ่งมิได้หายไปจากเธอแม้ในขณะที่เธอกำลังหลงผิดด้วยอวิชชา และมิได้รับกลับมาในขณะที่เธอมีการตรัสรู้ มันเป็น ธรรมชาติ แห่ง
ภูตตถตา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฏฐิ มันเต็มอยู่ในความว่างทั่วทุกหนทุกแห่งและเป็นเนื้อหาอันแท้จริงของ
จิตหนึ่ง นั่นเอง เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว อารมณ์ต่าง ๆ ที่จิตของพวกเธอได้สร้างขึ้น (ทั้งฝ่ายรูปธรรมและนามธรรม) จะเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกของ ความว่าง นั้นได้อย่างไรกันเล่า ?
โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่าง นั้น เป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่าง ๆ แห่งการกินเนื้อที่ ปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชาและปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเธอต้องเข้าใจอย่างกระจ่างชัดว่าในสิ่งนี้ไม่มีอะไรเลย ไม่มีคนธรรมดา ไม่มีพระพุทธเจ้า เพราะว่าใน ความว่าง นี้ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นผมที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งที่จะมองเห็นได้โดยทางมิติ (หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่) เลย แม้มันต้องอาศัยอะไรและไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด
ความว่าง นั้น เป็นสิ่งที่สิงซึมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ได้โดยตัวมันเอง และ
เป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว มันจะเกิดเป็นปัญหาที่จะต้องถกเถียงกันขึ้นได้อย่างไรในข้อที่ว่า พระพุทธะ ที่แท้ ไม่มีปากและมิได้ประกาศธรรมใด ๆ เลย และว่า การได้ยิน ที่แท้ นั้น ไม่ต้องการหู เพราะว่าใครหนอ อาจได้ยินมันได้ ? โอ มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริง !