ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 29, 2012, 02:48:35 pm »


http://www.youtube.com/watch?v=I1zQZT2f8xE#

คลิปเสียงเล่าเรื่อง มหากาพย์ มหาภารตะ
โดย อาจารย์ วีระ ธีรภัทร

มหากาพย์มหาภารตะ ตอนที่ 1 กำเนิดพี่น้องตระกูลปาณฑพ-เการพ โดย อาจารย์ วีระ ธีรภัทร
เทปเสียงของอาจารย์วีระชุดนี้ผมเอาลงมาโพสต์ในยูทูปเพื่อต้องการเผยแผ่มหากาพย์ที่ยิ­ิ่งใหญ่อย่างมหาภารตะให้คนไทยได้รับรู้เรื่องราวที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น เพราะอาจารย์วีระได้อธิบายและเล่าเรื่องเอาไว้ค่อนข้างละเอียด

      ปล. หากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ใด ๆ ก็แจ้งมานะครับ ผมจะลบไฟล์นี้ให้
      ขอบคุณที่ติดตามรับฟังครับ
      ปล. 2 เนื่องจากเนื้อหามีขนาดยาว เอาไว้ว่าง ๆ จะอัพให้ฟังวันละตอนก็แล้วกันครับ

------------------------------

นำมาแบ่งปันโดย คุณ มดเอ็กซ์
-http://www.prachathon.org/forum/index.php?topic=2166.0



ตอนที่ 2 http://youtu.be/SHhbbiI7xv8

ตอนที่ 3 -http://youtu.be/j7-QYFnBafE

ตอนที่ 4 -http://youtu.be/z3scyc-QRLM

ตอนที่ 5 -http://youtu.be/JdIoaz_oc6s


ตอนที่ 6 -http://youtu.be/Vst4KVW35pA

ตอนที่ 7 -http://youtu.be/NvHyTaBM674

ตอนที่ 8 -http://youtu.be/eANQS1bMw7c

ตอนที่ 9 -http://youtu.be/5pgLeanSNik

ตอนที่ 10 -http://youtu.be/5GBHvfzG_FM


ตอนที่ 11 -http://youtu.be/egvcXRAa4wU

ตอนที่ 12 -http://youtu.be/qwcsdycFF68

ตอนที่ 13 -http://youtu.be/YsupISzCEuU

ตอนที่ 14 -http://youtu.be/ear41l0_xOk

ตอนที่ 15 -http://youtu.be/NzFcKqXNgEA


ตอนที่ 16 -http://youtu.be/faNjltT9VMY

ตอนที่ 17 -http://youtu.be/2cCWM3NNhgY

ตอนที่ 18 -http://youtu.be/dCB4Zw1jyy0

ตอนที่ 19 -http://youtu.be/69l0KEGzMsU

ตอนที่ 20 -http://youtu.be/Wf4pC1YOcI0


ตอนที่ 21 -http://youtu.be/hT8uFkeDjSQ

ตอนที่ 22 -http://youtu.be/cXolCX75UyI

ตอนที่ 23 -http://youtu.be/GpynFhuKaUQ

ตอนที่ 24 -http://youtu.be/wnvME9wP52c

ตอนที่ 25 -http://youtu.be/wqGINYw6TZE


ตอนที่ 26 -http://youtu.be/6Df0WNl9PDI

ตอนที่ 27 -http://youtu.be/DIculxNp_JE

ตอนที่ 28 -http://youtu.be/_Er9DtQmUZ8

ตอนที่ 29 -http://youtu.be/pee8pN8NTBI

ตอนที่ 30 -http://youtu.be/ccITdvPjOls


ตอนที่ 31 -http://youtu.be/YX8aHElr8MM

ตอนที่ 32 -http://youtu.be/00a9-p4hhM0

ตอนที่ 33 -http://youtu.be/3fAJOG7QRgE

ตอนที่ 34 -http://youtu.be/vFdGT_601vM

ตอนที่ 35 -http://youtu.be/eDPBnhSIXSA


ตอนที่ 36 -http://youtu.be/s9DN_Ri7H3Y

ตอนที่ 37 -http://youtu.be/vLvuVnu1H3s

ตอนที่ 38 -http://youtu.be/2hmk6kIl_qo

ตอนที่ 39 -http://youtu.be/dgw3sYnk4E0

ตอนที่ 40 -http://youtu.be/VkL51BZY8vo


ตอนที่ 41 -http://youtu.be/qGPvbj13f_w

ตอนที่ 42 -http://youtu.be/Q1LE2cg7N0A

ตอนที่ 43 -http://youtu.be/BzghiN5pzUI

ตอนที่ 44 -http://youtu.be/gIcMYk_CbbY

ตอนที่ 45 -http://youtu.be/e7fP9qBjW5g


ตอนที่ 46 -http://youtu.be/pQahzwsto_8

ตอนที่ 47 -http://youtu.be/n8Dmdy6oG8c

ตอนที่ 48 -http://youtu.be/9VaouJE_Yfw

ตอนที่ 49 -http://youtu.be/hoizZTr1MqI

ตอนที่ 50 -http://youtu.be/bCpShfwCNL0
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2011, 12:54:01 pm »




- - เหตุการณ์หลังสงคราม

หนังสือเล่มที่ 11-18 บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามและคำสอนของภีษมะ

หลังสงคราม เมื่อกฤษณะลงจากรถม้าศึก รถนั้นระเบิดไฟลุกท่วมสิ้น ร่างแฝงของกฤษณะเท่านั้นที่รักษาอาวุธสวรรค์ไว้จากการทำลายตั้งแต่ต้น กฤษณะเปิดเผยว่าทวยเทพเห็นด้วยกับสงครามครั้งนี้ เพื่อผ่อนคลายภาระอันยิ่งใหญ่ของโลก (เหมือนกับ ทรอย) ทุรโยธน์ คือร่างทรงของกาลี จ้าวแห่งยุคที่สี่

ยูธิษฐิระรายงานยอดความสูญเสียได้หกล้านศพ ท้าวเธอตื่นตระหนกกับความสูญเสียมโหฬารเช่นนั้น จึงมีช่วงวิกฤติส่วนตนคล้ายกับอรชุนก่อนยุทธนาการ ท้าวเธอไม่ประสงค์ขึ้นครองราชย์ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้อำนาจและความรุนแรงมากขึ้น ทรงเห็นว่าชีวิตเป็นความเจ็บปวดทรมานเสียเองเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์มักแสวงหาอำนาจและความมั่งคั่งทางวัตถุแต่ไม่เคยพึงพอใจเลย บุคคลผู้ซึ่งได้รับรางวัลทองคำและรางวัลดินโคลนต่างก็มีความสุขที่สุดเท่าเทียมกัน ส่วนคนอื่นกลับโน้มน้าวท้าวเธอว่าต้องครองราชย์และทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์

ยูธิษฐิระ เห็นยุคต่อไปที่กำลังมาถึง “ข้าฯ เห็นยุคหนึ่งที่กำลังมาถึง ในยุคนั้นกษัตริย์ป่าเถื่อนปกครองโลกที่แตกสลายเสื่อมทราม ในโลกนั้นมนุษย์มีแต่ความยากลำบาก เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอ่อนแอ อายุขัยสั้นผมหงอกตั้งแต่อายุสิบหก สมสู่กับสัตว์ หญิงกลายเป็นโสเภณีไปหมด ทำรักด้วยปากอันตะกละหิวกระหาย แม่วัวผอมแห้ง ต้นไม้แคระแกร็นไม่มีดอกอีกต่อไป ไม่มีความบริสุทธิ์ใดหลงเหลืออยู่อีกต่อไป ผู้คนเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานมักใหญ่ไฝ่สูง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ยุคกาลี ยุคแห่งความมืดมนอนธกาล”


ภีมะถามว่าทำไมยุธิษฐิระถึงได้คิดและมาละได้เอาป่านฉะนี้เล่า เฉกเช่นบุรุษผู้ป่ายปีนต้นไม้ขึ้นไปตีรังผึ้งแต่ปฏิเสธการลิ้มรสน้ำผึ้งรวงนั้น หรือบุรุษผู้อยู่บนเตียงกับสตรีแต่ปฏิเสธการร่วมรัก เทราปทีสงสัยความเป็นลูกผู้ชายของยุธิษฐิระว่าเป็นแต่เพียงบัณเฑาะก์ผู้มุ่งแสวงหาความสงบและหลีกเลี่ยงความรุนแรงเท่านั้น อรชุนตรัสว่า การปฏิเสธขึ้นครองราชย์จะเป็นแต่เพียงสาเหตุให้เกิดความโกลาหลอลหม่าน และก่อกรรมมากมายมหาศาลอันเลวยิ่ง ให้ยุธิษฐิระไปชดใช้ในชาติหน้าที่เกิดมาในวรรณะต่ำต้อยเท่านั้นเอง เราควรยอมรับบทบาทของเรา ขึ้นอยู่กับว่าในชีวิตนี้เราอยู่ที่ไหน กล่าวคือ บิดามีภาระหน้าที่ผูกพันอยู่กับครอบครัวของตนเมื่อบุตรยังเยาว์ เฉกเช่นเดียวกับกษัตริย์ต้องครองราชย์เสียก่อนแล้วบั้นปลายของชีวิตจึงอาจสละโลกไป แต่การกระทำเยี่ยงนั้นเสียแต่เนิ่นเป็นพฤฒิการณ์ของความเห็นแก่ตัว

ขณะกำลังถึงแก่มรณกรรมภีมะบอก ยุธิษฐิระว่า ในยุคที่สี่ (ยุคปัจจุบันของเรา) “ธรรมะกลายเป็นอธรรมะและอธรรมะเป็นธรรมะ” ภีมะกล่าวต่ออย่างค่อนข้างขัดแย้งกันว่า “หากใครสู้รบกับการใช้กลโกง บุคคลก็ควรสู้รบกับเขาด้วยกลโกงแต่หากใครสู้รบตามกฎกติกา บุคคลก็ควรตรวจสอบเขาด้วยธรรมะ…บุคคลควรเอาชนะความชั่วร้ายด้วยความดี ความตายพร้อมด้วยธรรมะดีกว่าชัยชำนะด้วยการกระทำเลว

เนื่องจากโอรสทั้งหมดพึ่งถึงแก่กรรมไป แววเนตรของกัณธารีจึงมีแต่ความเศร้าโศกเสียใจอาลัยฉายอยู่ เห็นได้จากใต้ผ้าคาดตา ความรู้สึกของพระนางไหม้เกรียมไปด้วยเนื้อเท้าของทุรโยชน์ พระนางสาปแช่งกฤษณะผู้ซึ่งพระนางโยนความรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมทั้งหมดที่บังเกิดขึ้นไปให้ ว่าราชอาณาจักรแห่งปาณฑพจักล่มสลายภายในสามสิบหกปี แม้กระทั่งกฤษณะเองก็จะตายจะมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ผ่านทางมาสังหารกฤษณะเสีย กฤษณะยอมรับคำสาปแช่งโดยดุษณี แล้วจึงตรัสแก่พระนางว่า "แสงสว่างได้รับการพิทักษ์แล้ว แม้กระทั่งพระนางก็ไม่สามารถเห็นแสงสว่างนั้น"

ยุธิษฐิระยอมรับขึ้นครองราชย์  สามสิบสองปีผ่านไปและยุธิษฐิระเดินทางไปถึงประตูสวรรค์ จูงสุนัขของพระองค์ไปด้วยตัวหนึ่ง พี่น้องและเทราปที ผู้สละโลกเดินทางไปด้วยกัน ต่างหล่นจากภูเขาลงสู่ขุมนรกตามรายทางที่ผ่านไป ทวารบาลประตูสวรรค์ขอให้ยุธิษฐิระทิ้งสุนัข หากว่าประสงค์จะเข้าสู่สวรรค์ ท้าวเธอปฏิเสธไม่ประสงค์ทิ้งสัตว์ซื่อสัตย์ที่นำไปด้วยและขอให้อนุญาตเข้าสู่สวรรค์ เพราะนี่เป็นการทดสอบ สุนัขนั้นคือธรรมเทพจำแลงมา ในสวรรค์ ยุธิษฐิระยังพบความประหลาดใจรออยู่อีกต่อไป อริราชศัตรูของพระองค์ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น ยิ้มสรวลเบิกบานสำราญใจ และพึงพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ อีกฟากหนึ่ง ดูเหมือนว่าพี่น้องปาณฑพและเทราปทีตกทุกข์ได้ยากทรมานอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ยุธิษฐิระตัดสินใจอยู่กับบุคคลผู้เป็นที่รักในขุมนรกดีกว่าไปเสวยสุขสำราญ ยินดีในสวรรค์กับศัตรู นี่ก็เป็นการทดสอบอีกเช่นกันและเป็น “มายาภาพสุดท้าย” แล้วทั้งหมดได้รับอนุญาตให้เข้าสู่สวรรค์

ในความคิดของชาวฮินดูทั้งสวรรค์หรือนรกไม่เป็นอมตะแต่เป็นเพียงช่วงคั่นระหว่างการเกิดใหม่ในชาติภพต่างๆ เท่านั้น แรกสุดทุกคนต้องเสวยสวรรค์ก่อนช่วงระยะเวลาหนึ่ง (หรือตกนรกขุมใดขุมหนึ่งก่อน เนื่องจากมีหลายขุม) เพื่อชดใช้บาปกรรมของชาติภพก่อนหน้าที่ติดกับปัจจุบันชาติ ยุธิษฐิระ ต้องผ่านนรกระยะเวลาหนึ่งก่อน เนื่องจากคำโกหกของท้าวเธอต่อโทรณะ สวรรค์ต้อนรับผู้กระทำกรรมดีแต่เพียงระยะเวลาจำกัดเท่านั้นจนกว่าคุณงามความดีที่สะสมไว้นั้นหมดสิ้นไป

ในธรรมเนียมคติของชาวอินเดียมีโลก(การดำรงอยู่ของชีวิต)ที่อยู่เหนือโลกมนุษย์ ขึ้นไปอีกหกชั้นและโลก(นรก)ที่อยู่ต่ำกว่าลงไปอีกเจ็ดชั้น อย่างไรก็ตามไม่มีการกระทำใดเกิดขึ้นได้เลยในโลกอื่นที่กล่าวถึงนี้ เนื่องจากกรรมของบุคคลหนึ่งไม่เปลี่ยนแปลงไป จนกว่าเขาจะกลับคืนมาสู่โลกมนุษย์ “การกระทำที่ประกอบขึ้นโดยสอดคล้องกับข้อห้ามในพระคัมภีร์…นำผู้ประกอบการกระทำนั้นไปสู่โลกที่เลอเลิศเพื่อเพลิดเพลินในโลกีย์วิสัยที่ยาวนานขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อระยะเวลาแห่งความศรัทธาอันแรงกล้าสิ้นสุดลง เขาต้องกลับคืนสู่โลกมนุษย์เช่นเดียวกันกับบุคคลเดินทางกลับจากการพักผ่อนในวันหยุด และดำเนินงานของตนต่อไป”



~ อวสาน ~





ขอบพระคุณที่มาจาก :
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ludwig&month=10-2007&date=06&group=20&gblog=5
http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=536.0
miracle of love
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม * สุขใจดอทคอม
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2011, 11:34:09 am »




   ทุรโยธน์ และ โทรณาจารย์

   - - มรณกรรมแห่งทุรโยธน์
   
   ตลอดสงครามสิบแปดวัน ทุรโยธน์เห็นนายพลและกองทัพฝ่ายเการพล้มลงต่อฝ่ายปาณฑพ แต่ถึงที่สุดแล้วทุรโยธน์ปฏิเสธการยอมจำนน หลบซ่อนตัวอยู่ในน่านน้ำของทะเลสาบแห่งหนึ่ง ซึ่งผนึกแข็งตัวจากอำนาจมนตราของทุรโยธน์
   
   ยุธิษฐิระ นักการพนันตลอดกาลตรัสแก่ทุรโยธน์ว่า ให้เลือกต่อสู้กับปาณฑพองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้และหากชนะ ทุรโยธน์จะได้ราชอาณาจักรกลับไปครองอีกครั้ง
   
   ในเรื่องบอกเป็นนัยแก่ทุรโยธน์ให้ต่อสู้กับภีมะแทนต่อสู้กับปาณฑพองค์ใดองค์หนึ่งซึ่งอ่อนแอกว่าภีมะ ในการต่อสู้กันครั้งสุดท้ายตัวต่อตัวเสมอภาคกัน ภีมะชนะอย่างน่าเคลือบแคลงเพียงเพราะตีที่ขาของทุรโยธน์ ซึ่งเป็นกฎต้องห้ามในสงคราม
   
   กัณธารีร่ายมนตร์คุ้มครองทุรโยธน์ทั่วร่างกายแต่เนื่องจากทุรโยธน์มีผ้าพัน เนื้อตะโพกแต่น้อยอยู่ก่อนโคนขาทั้งสองข้างของทุรโยธน์จึงไม่ได้รับการคุ้มครองจากอำนาจมนตรา
   
   ทุรโยธน์กล่าวหากฤษณะที่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ยุติธรรมและยุให้ภีมะทรยศ (ไม่เคารพกฎสงคราม)กฤษณะตอบโต้ว่า “การใช้กลลวงในสงครามเพื่อต่อสู้กับอริที่มีกลลวงนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แม้กระทั่งอินทราก็ยังใช้กลลวงเพื่อพิชิตวิโรจน์และวริตราอสูรที่ทรงฤทธิ์”
   
   ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า “ภีมะได้สังเวยอธรรมะเพื่อจุดมุ่งหมายให้ได้มาซึ่งวัตถุ นี่ไม่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขได้เลย” กฤษณะตอบว่า "ภีมะเพียงแต่รักษาคำที่สาบานไว้เท่านั้นเอง เพราะนั่นเป็นหน้าที่ซึ่งอุทิศให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีความไม่ยุติธรรมใดเลยในองค์ภีมะ ภีมะทำตามสัญญาของเขาให้ลุล่วง และทดแทนหนี้แค้นศัตรูของเขา ขอให้ทราบไว้ด้วยว่ายุคกาลีที่น่าสะพรึงกลัวใกล้เข้าถึงมาแล้ว สัญญาณการกระทำที่อำมหิตและการสูญเสียแห่งธรรมะ
   
   ทุรโยธน์โต้ตอบอย่างกล้าหาญว่า “บัดนี้ ข้าฯ กำลังตายด้วยความตายที่รุ่งโรจน์ จุดจบซึ่งนักรบที่เที่ยงธรรมแสวงหาอยู่เสมอเป็นของข้าฯ ใครจักโชคดีเยี่ยงข้าฯ ข้าฯจักขึ้นสู่สรวงสวรรค์พร้อมน้องของข้าทั้งหมด ในขณะที่พวกเจ้า ปาณฑพจักดำรงอยู่ที่นี่ จมอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจและทนทุกข์ทรมานต่อไป”
   
   ในขณะที่ทุรโยธน์กำลังถึงแก่มรณกรรมอยู่นั้น อัศวัตฐามะ บุตรโทรณะบอกทุรโยธน์ว่าในตอนกลางคืนได้ลอบเข้าไปในค่ายของปาณฑพซึ่งได้ชัยชนะเพื่อก่อบาปฆาตกรรมหมู่อย่างน่าขยะแขยง โดยสังหารนักรบที่รอดชีวิตอยู่และเด็กทั้งหมดขณะหลับ เหลือไว้แต่ภราดาปาณฑพที่ไร้ผู้สืบสกุล ในทางตรงข้ามกับความยินดีที่ได้ยินข่าวนั้นทุรโยธน์ถึงแก่มรณกรรมด้วยหัวใจร้าวรานแหลกสลาย เพราะเหตุว่าเผ่าพันธุ์แห่งกุรุไม่มีอนาคตต่อไปอีกแล้ว ดังนั้นทั้งสองฝ่ายตายทั้งหมดในสงคราม ยกเว้นภราดาปาณฑพทั้งห้า
   
   เมื่อยุธิษฐิระทราบถึงการฆาตกรรมหมู่ก็ทรงโศกเศร้าเสียใจว่า “เราผู้พิชิต กลับถูกพิชิตเสียแล้ว
   
   เมื่อฝ่ายปาณฑพหาทางแก้แค้น อัศวัตฐามะปล่อยอาวุธสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในคลังแสงสรรพวุธของตน อรชุนตอบโต้ด้วยอาวุธของตนซึ่งโทรณะได้ฝึกอบรมสั่งสอนทั้งคู่ไว้ อาวุธนี้ของอรชุนมีไว้เพื่อใช้ต่อต้านบุคคลที่มาจากสวรรค์เท่านั้น หรือมิฉะนั้นมันจะทำลายล้างโลกให้สิ้นสลายไป
   
   อัศวัตฐามะหันอาวุธของตนเข้าใส่ครรภ์ของเหล่าสตรีปาณฑพที่รอดชีวิตมาจากสงคราม ทำให้ตั้งครรภ์โดยไม่ต้องอาศัยเชื้อ แต่กฤษณะสัญญาว่าไม่ว่าอย่างไรอรชุนจะมีผู้สืบสกุล เพื่อเป็นการลงโทษอัศวัตฐามะถูกสาปให้เนรเทศ โดยเร่ร่อนไปทั่วโลกเป็นเวลาสามพันปี


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2011, 10:51:45 am »




   กรรณะลงไปเข็นล้อรถศึกที่ติดหล่มโคลน..
พร้อมกับขอพักการรบชั่วคราวโดยอ้างถึงคุณธรรมนักรบ...


   - - มรณกรรมแห่งกรรณะ
   
   ทุรโยธน์ขอร้องให้กรรณะแก้แค้นแทนทูศาสนะน้องชายในที่สุดกรรณะพบกับอรชุนในการเผชิญหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
   
   อรชุนและกรรณะทั้งคู่ต่างก็มีอาวุธสวรรค์ (เช่น คนหนึ่งแผลงศรเป็นไฟ อีกคนแผลงศรเป็นน้ำไปดับไฟ) กรรณะมีศรดอกหนึ่งที่มีวิญญาณของนาคา(นาค)ซึ่งไม่พอใจอรชุนสิงอยู่ (ครอบครัวของนาคาตายสิ้นในป่าซึ่งอัคนีเผาผลาญทำลาย) เมื่อกรรณะยิงศรไปยังอรชุนสารถีรถม้าศึกของกรรณะเตือนว่ากรรณะเล็งเป้าสูงเกินไป แต่กรรณะไม่ฟังเสียงศรดอกนั้นจึงยิงไปถูกมงกุฏเล็กๆ ที่อรชุนสรวมอยู่เท่านั้น เมื่อศรวิญญาณสิงย้อนกลับมาหากรรณะและบอกกรรณะให้พยายามใหม่ครั้งนี้จะไม่ผิดเป้าหมาย กรรณะไม่ยอมรับความล้มเหลวจึงยิงศรดอกเดิมซ้ำสองครั้ง ถ้าแม้นว่ามีอรชุนถึงหนึ่งร้อยองค์ก็สังหารได้สิ้น
   
   ในขณะที่การสู้รบดำเนินอยู่นั้นเกิดแผ่นดินแยก และรถม้าศึกของกรรณะหล่นลงไปในรอยแยกและติดอยู่ในหล่มนั้น เพื่อให้เป็นไปตามคำสาบแช่ง ด้วยความท้อแท้สิ้นหวังกรรณะพยายามวิงวอนให้สุดยอดอาวุธของตนให้มีฤทธิ์ขึ้นมาอีก แต่มนตราที่มีอยู่นั้นเสื่อมเสียแล้ว กรรณะจำคำของปรศุรามได้ดีว่า “เมื่อชีวิตท่านขึ้นอยู่กับอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดของท่านแล้วท่านไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้อีก”
   
   ในวาระสุดท้ายของชีวิตกรรณะสงสัยความเชื่อของตนว่า “ผู้รู้ธรรมะมักกล่าวกันเสมอว่า‘ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม’ แต่เนื่องจากล้อรถของเราติดหล่มวันนี้เราคิดว่าธรรมะไม่ช่วยคุ้มครองเสมอไปดอก”
   
   ขณะดิ้นรนพยายามเข็นรถม้าศึกขึ้นจากหล่ม กรรณะร้องเสียงดังแก่อรชุนว่า “อย่าโจมตีผู้ไร้อาวุธ ขอให้รอจนกระทั่งข้าฯ เข็นรถม้าศึกขึ้นจากหล่มได้เธอเป็นนักรบที่ไร้ผู้ต่อกร อย่าลืมจรรยาบรรณสงครามเสีย” แต่กฤษณะตรัสเสียดสีกรรณะว่า “มนุษย์ที่มีปัญหาเศร้าโศกกังวลใจมักเรียกหาความมีศีลธรรม โดยลืมการกระทำชั่วร้ายของตนเองเสียสิ้น โอ กรรณะเอ๋ย ความมีศีลธรรมของท่านอยู่ที่ใดเมื่อพวกเขาจิกหัวเทราปทีลากดึงร้องไห้อยู่ในที่ประชุมมุขมนตรี ศีลของท่านอยู่ไหนเล่าเมื่อพวกเขาปล้นราชอาณาจักรของยุธิษฐิระไป” กรรณะคอตกพูดอะไรไม่ออกพร้อมกับพยายามเข็นรถม้าศึกขึ้นจากหล่มอยู่ กฤษณะบัญชาให้อรชุนยิงและกรรณะก็ถึงแก่มรณกรรม รัศมีแสงสดใสวาวโรจน์พุ่งวาบออกจากกายของกรรณะเข้าสู่ตะวัน
   
   ดื้อดึงแต่ซื่อสัตย์และในฐานะเชษฐาองค์ใหญ่ของปาณฑพ กรรณะมีสิทธิ์ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้แต่ก็ยังคงอยู่กับฝ่ายเการพ กรรณะสู้รบอย่างยุติธรรมและรักษาสัจจะสัญญาที่ให้ไว้กับกุณตีว่าจะไม่สังหารอนุชาองค์อื่นใดเลยนอกจากอรชุน การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของทั้งคู่
สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในเทพนิยายโบราณนี้ ระหว่างอินทราและสูรยาเทพบิดร

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 12:04:21 pm »



- - โทรณะรับบัญชาการ

โทรณะจัดกองทัพในรูป “กลจักรพยุหะ” ซึ่งเป็นความลับเฉพาะตนเท่านั้น กลพยุหะนี้ไม่มีใครรู้วิธีตีให้แตกหรือทำลายได้นอกจากอรชุน ถ้าเพียงแต่ขับอรชุนออกไปจากใจกลางสนามรบได้ โทรณะให้คำมั่นว่าจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้ อรชุนมีโอรสอายุสิบห้าพรรษาองค์หนึ่งนามอภิมันยุ ผู้ซึ่งได้ยินเสียงของบิดาตั้งแต่อยู่ในคัพภะของมารดา จึงได้เรียนรู้วิธีโจมตีทะลวงกลพยุหะของโทรณะ ในขณะที่อรชุนรบห่างออกไปจากการประจัญบานเพราะต้องกลยุทธวิธีของฝ่ายเการพ ยุธิษฐิระจึงมอบภารกิจความรับผิดชอบให้แก่อภิมันยุตีกลพยุหะจานเหล็กของโทรณะให้แตกจงได้ อภิมันยุทำได้สำเร็จแต่เมื่อภีมะและยุธิษฐิระตามเข้าไปในช่องกลพยุหะที่แตกนั้น ชยทรัถ น้องเขยของเหล่าเการพ เข้ามาขวางไว้ช่องกลพยุหะที่แตกนั้นจึงปิดตามหลังอภิมันยุผู้เยาว์วัยประสานกันเข้าเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่กล้าหาญอภิมันยุก็ถึงแก่มรณกรรมในสนามรบ

ก่อนหน้านั้นระหว่างการเนรเทศ ชยทรัถพยายามลักพาเทราปทีไป นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ภราดาปาณฑพเกลียดชังชยทรัถ

เมื่ออรชุนกลับมาถึงค่ายท้าวเธอเดือดดาลคลั่งแค้นด้วยความเสียใจ ยิ่งเมื่อเห็นร่างของอภิมันยุโอรสน้อยจึงสาบานว่าต้องสังหารชยทรัถให้ได้ก่อนตะวันตกดินในวันรุ่งขึ้น ท้าวเธอสาบานอย่างเคร่งเครียดว่าจะกระโดดสังเวยกองไฟตายเสียหากทำไม่สำเร็จ แม้แต่กฤษณะก็ยังตื่นตระหนกต่อคำสาบานที่น่ากลัวของอรชุนนี้ วันต่อมาชยทรัถออกรบพร้อมทหารแวดล้อมอารักขาอย่างหนาแน่น อรชุนจึงไม่อาจเข้าถึงองค์ชยทรัถได้ จนเกือบสิ้นแสงตะวันรอมร่อ กฤษณะจึงเนรมิตสุริยคราสชั่วขณะขึ้น ฝ่ายข้าศึกนั้นเข้าใจว่าสิ้นทิวาแล้วจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าอรชุนต้องประกอบอัตวินิบาตกรรมอย่างแน่นอนตามคำสาบานของตนต่างก็วางอาวุธเสียสิ้น ปล่อยให้ชยทรัถตกเป็นเป้าลูกธนูของอรชุนพร้อมกับลำแสงสุดท้ายแห่งตะวันที่สาดมาหลังสุริยคราสชั่วขณะจากการเนรมิตของกฤษณะ


บิดาของชยทรัถสาปแช่งบุคคลที่สังหารบุตรของตนว่าใครก็ตามที่เป็นเหตุให้ศีรษะบุตรชายของตนหล่นลงพื้นดินแล้วจะต้องตายด้วยอำนาจมนตรา อรชุนเนรมิตให้ลูกธนูที่แผลงไปนั้นตัดศีรษะของชยทรัถและลอยเลยไปไกล พาศีรษะของชยทรัถไปตกลงบนตักของบิดาขณะสวดมนต์อยู่ บิดาของชยทรัถไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นจึงลุกโผงผางขึ้นมา ทำให้ศีรษะของชยทรัถหล่นลงพื้น ดังนั้นจึงตายตามคำสาปของตน



อรชุนยิงศรตัดหัวท้าวชยัทรถจนขาดกระเด็น...ตามสัตย์ปฏิญาณ
หลังชยัทรถ เป็นตัวการสำคัญขวางไม่ให้พวกปาณฑพ
ฝ่าเข้าไปช่วย อภิมัณยุ ในกระบวนจักรพยุหะได้...จนเป็นเหตุให้อภิมัณยุ
ถูกรุมสังหารอย่างทารุณ...โดยพระกฤษณะใช้จักรสุทัศน์
บังดวงตะวันไว้ชั่วขณะ จนชยัทรถคิดว่าตะวันตกดินไปแล้ว...จึงลำพอง
เผยตัวออกมา จากมวลทหารที่รายล้อมอยู่....

วันต่อมากรรณะพุ่งเข้าสู่สนามรบ กุณตีพยายามชักจูงกรรณะให้มาอยู่กับฝ่ายปาณฑพแต่กรรณะก็ไม่ยอมผ่อนปรนเอาเสียเลย อย่างไรก็ตามกรรณะสัญญากับกุณตีว่าจะสังหารอรชุนองค์เดียวเท่านั้น เพราะว่าปาณฑพองค์ใดองค์หนึ่งต้องตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหลังสงครามกุณตีจะยังมีโอรสอยู่ห้าองค์เหมือนเดิม

กรรณะมีหลาวอาคมเป็นของขวัญจากอินทราใช้สังหารได้ทุกชีวิตแต่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และกรรณะเก็บหลาวเล่มนั้นไว้ใช้กับอรชุนเป็นการเฉพาะแต่เพื่อจัดการสยบฤทธิ์หลาวเล่มนั้น กฤษณะจึงเรียก ฆโตคัตฉะ บุตรภีมะและนางรากษสเข้าสู่สนามรบแห่งมหากาพย์ท่ามกลางราตรี ฆโตคัตฉะสู้รบกับกรรณะผู้ซึ่งสามารถสังหารปิศาจอสูรได้โดยอาศัยหลาวอาคมเท่านั้น ฆโตคัตฉะตายในสนามรบแต่กฤษณะกระโดดโลดเต้นดีใจ เพราะหลาวอาคมได้ใช้ไปแล้ว กรรณะสิ้นฤทธิ์ อรชุนจึงสังหารกรรณะได้

โทรณะท้าทายกองทัพปาณฑพต่อไปโดยการสังหารโหดทหารฝ่ายปาณฑพเป็นพันๆ แต่ปาณฑพทราบจุดอ่อนของโทรณะดี นั่นคือโทรณะรักอัศวัตฐามะบุตรชายคนเดียวสุดสวาทขาดใจ ภีมะสังหารช้างเชือกหนึ่งชื่อว่าอัศวัตฐามะเช่นกัน แล้วหลอกโทรณะให้เข้าใจว่าเป็นมรณะกรรมแห่งบุตรชายของโทรณะ โทรณะสงสัยว่าเป็นการโกหกจึงถามเอาความจริงกับยุธิษฐิระว่า บุตรของตนถึงแก่มรณกรรมแล้วจริงหรือไม่ โทรณะจักวางอาวุธเสียในวันที่บุรุษผู้ซื่อสัตย์กล่าวคำโกหก กฤษณะบอกยุธิษฐิระว่า “ในเหตุการณ์แวดล้อมเยี่ยงนี้ ความเท็จเป็นที่น่าปรารถนากว่าความจริง การโกหกเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ผิดบาปแต่อย่างใด” ยุธิษฐิระจึงอ้อมแอ้มบอกกึ่งโกหกว่า “อัศวัตฐามะ-(แล้วทำเสียงอู้อี้งึมงำอยู่ในลำคอ)ช้าง-ตายแล้ว” ก่อนโกหกรถม้าศึกของยุธิษฐิระกระดอนขึ้นจากพื้นสี่นิ้ว แต่พอตรัสเสร็จจมกลับลงไปในดิน โทรณะจึงวางอาวุธของตน ธฤษตทยุมนะ โอรสแห่งทรุปาทะจึงตัดศีรษะของโทรณะได้ ตามคำสาบานแก้แค้นที่ทำให้บิดาของตนอับอายขายหน้า

ขณะนั้นภีมะเห็นทูศาสนะใกล้เข้ามาเกือบถึงตน ภีมะเคยสาบานดื่มเลือดของอริองค์นี้เพื่อแก้แค้นสิ่งที่ทำไว้กับเทราปที ภีมะฟาดทูศาสนะลงบนพื้นด้วยคทา แหวะอกทูศาสนะออกมาแล้วดื่มเลือดของทูศาสนะพร้อมกับบอกว่ารสชาติดีกว่าน้ำนมมารดา ภีมะผู้ซึ่งสังหารรากษสเสียหลายตน (แถมมีบุตรชายตนหนึ่งกับนางรากษสด้วย) มักสำแดงพฤฒิกรรมเหมือนยักษ์กินคนเสียเอง ดูจากมรณกรรมเลือดของกิจาคะและทูศาสนะซึ่งภีมะแก้แค้นให้เทราปทีทั้งสองกรณี ภีมะคือผู้อารักขาที่ใช้ความรุนแรงที่สุดของเทราปที ภีมะสังหารเจ้าชายฝ่ายเการพเกือบหนึ่งร้อยองค์ ซึ่งที่จริงคือปิศาจอสูรในร่างมนุษย์


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 11:28:39 am »




กฤษณะ...อรชุน...กลางสนามรบ

- - ยุทธนาการเริ่มขึ้น

ภีษมะเปรียบเทียบอรชุนผู้ไม่มีใครเอาชนะได้กับ “ผู้ทำลายตัวเอง ณ จุดสิ้นยุค” ในการเผชิญหน้ากันครั้งหนึ่ง อรชุนผ่าคันศรของภีษมะออกด้วยศรสี่ดอก ภีษมะสรรเสริญอรชุนว่า “โอ โอรสแห่งปาณฑุ ประเสริฐยิ่งนัก! หม่อมฉันยินดีกับพระองค์ในความสำเร็จที่น่าจดจำเยี่ยงนี้ จงรบกับหม่อมฉันให้สุดความสามารถของพระองค์เถิด” อย่างไรก็ตาม อรชุนไม่อาจเอาชัยภีษมะได้ หลังการสู้รบเก้าวันเหล่าปาณฑุเสด็จเยี่ยมภีษมะกลางราตรี และตรัสแก่ภีษมะว่า นอกจากภีษมะถึงมรณกรรมในสนามรบ การเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณจักดำเนินต่อไปจนกว่าจะสิ้นโลก

เมื่อเหล่าปาณฑพตรัสถามว่าจะเอาชัยต่อภีษมะได้อย่างไร ภีษมะแนะนำให้จัดสิขันติไว้ในแนวหน้า ตรงจุดที่สิขันติจะสามารถยิงภีษมะได้โดยไม่มีอะไรขวางกั้น สิขันตินี้ที่จริงเป็นสตรี คืออำภาผู้ซึ่งภีษมะปฏิเสธการแต่งงานด้วยและสาบานว่าจะฆ่าภีษมะ อำภาบำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัดโดยยืนบนปลายหัวแม่เท้าข้างเดียวในหิมะเป็นเวลาสิบสองปี เพื่อเรียนรู้ความลับแห่งมรณกรรมของภีษมะ อำภากระโดดตายในกองไฟแล้วเกิดใหม่จากเปลวไฟเป็นราชบุตรีองค์ที่สองของทรุปาทะ ต่อมาแลกเปลี่ยนเพศกับปิศาจอสูรตนหนึ่งจึงกลายเพศเป็นบุรุษ

วันต่อมาเมื่อเผชิญหน้ากับสิขันติ ภีษมะปฏิเสธการสู้รบกับสตรีจึงทิ้งอาวุธเสีย คลื่นห่าลูกศรเป็นพันๆ ดอกโจมตีภีษมะเป็นระรอก ปักเข้าไปในร่างของภีษมะ จนไม่มีที่ว่างตรงไหนหนาเกินกว่านิ้วมือสองนิ้วให้แทรกผ่านไปได้ ภีษมะหล่นลงจากรถม้าศึก และนอนอยุ่บนลูกศรที่เสียบตรึงร่างไว้นั้นโดยไม่มีร่างกายส่วนใดสัมผัสพื้นดินเลย ภีษมะยังไม่ถึงแก่กรรมทันทียังมีชีวิตต่อไปอีกตามความประสงค์ของตน และยังนอนอยู่บนเตียงลูกศรอย่างนั้นจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง...


ภีษมะ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 10:48:06 am »





--ภควัทคีตาบทเพลงแห่งพระผู้เป็นเจ้า

ไม่นานนักก่อนการประจัญบานเริ่มขึ้น อรชุนเกิดความลังเลไม่แน่ใจเมื่อเห็นคณาญาติและครูซึ่งตอนนี้กลายเป็นศัตรู ตามคำสาปแช่ง อรชุนสลดใจเกินกว่าจักข่มใจเข้าสู้รบได้ “การเข่นฆ่าญาติตนเองจะดีไปได้อย่างไร ชัยชำนะจักมีค่าอะไร ถ้าเพื่อนและบุคคลที่รักของเราทั้งหมดถูกฆ่า…เราจักพ่ายแพ้ต่อบาปหากว่าเราสังหารโหดฝ่ายรุกราน ภาระที่สมบูรณ์ของเราแน่นอนว่าต้องอภัยให้พวกเขาแม้กระทั่งว่า ถ้าพวกเขามืดบอดต่อธรรมะอันเนื่องมาจากความละโมบในทำนองเดียวกันเราเองไม่ควรลืมธรรมะเสีย”

กฤษณะ สารถีรถม้าศึกของอรชุน จึงยกโอวาทแก่อรชุนขณะหยุดอยู่ในแดนกันชนระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่าย เนื้อความตอนนี้คือภควัทคีตาที่ทุกคนรู้จักกันดี เป็นเครื่องนำทางสู่การกระทำที่เด็ดเดี่ยวและเฉียบขาด


ตรงจุดนี้ไม่เหมือนวีรบุรุษในมหากาพย์ทั้งหลาย อรชุนคิดก่อนลงมือกระทำ อรชุนลังเลก่อนลงมือเข่นฆ่า เพราะต้องการถอนตัวออกจากการมีชีวิตอยู่และหน้าที่ความรับผิดชอบ (เป็นความตรึงเครียดระหว่างธรรมะและโมกษะ ความหลุดพ้น) แต่กฤษณะตรัสแก่อรชุนว่า ในฐานะนักรบ การสู้รบคือธรรมะของอรชุน ความขัดแย้งที่แท้จริงทุกวันนี้เกิดจากอัตตาที่มีอยู่ใน “สมรภูมิแห่งจิตวิญญาณ

อย่ากังวลกับความตาย ซึ่งเป็นเพียงก้าวเดียวเล็กๆ สู่วัฏจักรที่ไร้จุดจบและยิ่งใหญ่แห่งชีวิต มนุษย์ทั้งไม่ฆ่าและไม่ถูกฆ่า เพียงแต่จิตวิญญาณละร่างเดิมและเข้าร่างใหม่เท่านั้นเอง เฉกเช่นบุคคลหนึ่งเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ความตายเป็นเพียงภาพมายา

นักรบจักปฏิบัติหน้าที่ของตนเยี่ยงไรโดยไม่กระทำผิด ร่างกายแปดเปื้อนด้วยโลหิตศัตรู ความลับคือต้องแยกให้ออก กล่าวคือ กระทำหน้าที่ของพระองค์โดยไม่ต้องกังวลกับผลลัพท์ส่วนบุคคล "ชัยชำนะและความพ่ายแพ้ ความปีติยินดีและความปวดร้าว ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ลงมือเถิด แต่อย่าสะท้อนให้เห็นถึงผลของการลงมือกระทำนั้น จงละความปรารถณาเสีย จงแสวงหาทางแยกแยะ"


เราต้องกระทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่ปรารถนาความสำเร็จ หรือกลัวความพ่ายแพ้ “จงลงมือกระทำโดยไม่ปรารถนาผลลัพธ์และโดยไม่เอาตัวเองไปพัวพันกับบ่วงกรรม” กฤษณะตรัสแก่อรชุนว่า การกระทำความดีจักไม่ทำให้ใครขึ้นสวรรค์ไปได้ ถ้าหากว่าความปรารถนาสวรรค์นั้นเป็นแรงจูงใจเพียงประการเดียวให้กระทำความดี ความปรารถนาทำให้มีการเกิดใหม่ หากยังมีความปรารถนาใดคงอยู่เมื่อเราตายไปแล้ว เราก็จักกลับไปสู่ชีวิตในอีกชาติภพหนึ่ง

ยิ่งกว่านั้น ยุธิษฐิระตรัสแก่เทราปทีระหว่างการเนรเทศว่า พระองค์ปฏิบัติธรรมะโดยไม่หวังรางวัล หากแต่เพราะว่าเป็นสิ่งที่คนดีต้องกระทำ หลังยุทธนาการยุธิษฐิระมีช่วงวิกฤตที่คล้ายคลึงกันนี้ เมื่อท้าวเธอปฏิเสธการปกครองบ้านเมืองเสียชั่วคราว ด้วยความรู้สึกสิ้นหวังถึงการเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายที่ทรงเป็นต้นเหตุ

“การกระทำเกิดขึ้นจากการบัญชาโดยตรงของเทพสูงสุดหรือตัวแทน เราเรียกว่า อกรรมะ การกระทำเยี่ยงนี้ไม่ก่อให้เกิดการสนองตอบทั้งดีและไม่ดีตามมา เช่นเดียวกับทหารอาจลงมือสังหารเพราะคำสั่งบังคับบัญชาจากเบื้องบนและไม่ต้องรับผิดชอบต่อการอาชญากรรม แต่ถ้าทหารนายนั้นสังหารเพื่อนร่วมรบ เขาจักต้องรับโทษตามกฎหมาย ทำนองเดียวกัน บุคคลที่รู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับกฤษณะ ล้วนกระทำไปตามบัญชาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อจุดมุ่งหมายของตนเอง”

“บุคคลเยี่ยงนั้นจักมีความปีติยินดีในปรารถนาราคะก็หามิได้ หากแต่พึงพอใจอยู่ในตัวเอง ความทุกข์ใดก็รบกวนเขาไม่ได้ ไม่แม้กระทั่งความสุขทางวัตถุใดๆ ก็ตาม เขาปราศจากซึ่งการแยกแยะความกลัวและความโกรธ และมักดำรงตนอยู่ห่างไกลจากการครองคู่ทั่วไปในโลกีย์วิสัย … จิตใจของเขาแนบแน่นอยู่กับเทพเจ้าสูงสุด ปกติธรรมดาเขาจึงสงบ


หนทางไปสู่เสรีภาพมีอยู่สองสายนั่นคือการหลุดพ้น (โมกษะ) และกระทำหน้าที่ของตนโดยไม่ปรารถนาสิ่งใด เพราะว่าไม่มีใครสามารถสละการกระทำทุกอย่างในชีวิตเสียได้ ดังนั้นการทำงานโดยไม่ยึดติดเป็นอารมณ์จึงดีกว่า  นักปราชญ์บางท่านคิดว่าการประพันธ์ภควัทคีตานี้ เป็นไปเพื่อประชันกับความท้าทายทางศานาจากเชนและพุทธ ซึ่งอุบัติขึ้นในศตวรรษที่หกก่อนคริสศตวรรษ ศาสนาทั้งสองนี้สอนให้หลุดพ้นบาปด้วยการสละโลกีย์ โดยการบำเพ็ญตนอย่างเคร่งครัดในศาสนาเชนและการอุทิศชีวิตเป็นพระในศาสนาพุทธ

กฤษณะยกอรรถกถาว่า ความรู้ที่ท้าวเธอยกมาสอนนั้นมีมาแต่โบราณกาล เคยตรัสไว้หลายล้านปีล่วงมาแล้ว อรชุนตรัสถามว่า “หม่อมฉันจักยอมรับได้อย่างไร เท่าที่เห็นพระองค์ประสูติมาในโลกนี้เมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น” กฤษณะ อธิบายว่า การกำเนิดก็เป็นภาพมายาเช่นกัน เนื่องจากมนุษย์เกิดนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในกรณีของกฤษณะ ท้าวเธอเสด็จมาทุกยุค “โอ อรชุนเอ๋ยเมื่อใดก็ตามความชอบธรรม (ธรรมะ) หย่อนยาน และความอยุติธรรม (อธรรมะ) บังเกิดขึ้นแล้ว เราจักส่งตัวเองมาเพื่อพิทักษ์คนดีและนำคนทำชั่วไปทำลายเสีย เพื่อสถาปนาธรรมะให้มั่นคง เราจุติลงมาเกิดยุคแล้วยุคเล่า … เกิดมาเพื่อทำลายผู้ทำลายล้าง”

กฤษณะเปิดเผยธรรมชาติอันเป็นสากลเกี่ยวกับสวรรค์ของท้าวเธอให้อรชุนเห็นเป็นนิมิต ภาพอันงดงามแห่งทวยเทพมากมายมหาศาล แผ่ขยายออกไปเอนกอนันต์ บัดนี้เมื่อตัดสินใจกระทำหน้าที่ของตนได้แล้ว อรชุนจึงนำกองทหารเข้าสู่ยุทธนาการ บนเนินเขามองลงมายังสมรภูมิ


ธฤษตราษฎร์สดับคำรัสแห่งกฤษณะ ผ่านการช่วยเหลือของสัญชัยซึ่งได้รับพรประทานความสามารถในการเห็นทุกสรรพสิ่ง และได้ยินทุกสรรพสำเนียงที่บังเกิดขึ้นในสมรภูมิ ถ่ายทอดต่อให้กษัตริย์บอดได้รับทราบ ธฤษตราษฎร์ วรกายสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น เมื่อได้สดับถึงการปรากฏองค์ในร่างมนุษย์ของกฤษณะตื่นตระหนกว่า คงไม่มีอะไรหยุดยั้งฝ่ายปาณฑพได้ ด้วยมีบุคคลผู้มีฤทธิ์เยี่ยงกฤษณะร่วมอยู่ด้วย แต่ธฤษตราษฎร์ยังค่อยคลายใจลงอยู่เมื่อทราบว่า กฤษณะเองก็ไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้ดังมโนรถปราถนา เช่น ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ด้วยสันติวิธี

ก่อนยุทธนาการยุธิษฐิระเสด็จเยี่ยมครูทั้งสองของพระองค์ ภีษมะ และ โทรณะ “โอ บุรุษผู้ไม่มีใครพิชิตได้หม่อมฉันขอคารวะ เราจักสู้รบกัน กรุณาประทานราชานุญาตและอวยชัยให้พวกหม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าข้า” จากอาการแห่งความเคารพเยี่ยงนี้บุรุษทั้งสองอธิษฐานให้ฝ่ายปาณฑพได้ชัยชำนะ ถึงแม้ว่าต้องสู้รบอยู่ในฝ่ายเการพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 09:23:43 am »




มหาภารตะ

ภาคสาม
"มหาสงคราม"


หนังสือเล่มที่ 5-10 เล่าถึงสงคราม18วัน ระหว่างฝ่ายปาณฑพกับฝ่ายเการพ
ฝ่ายเการพมีทหารสิบเอ็ดเหล่าทัพ ประจันหน้ากับฝ่ายปาณฑพเจ็ดเหล่าทัพ

มหากาพย์บรรยายถึงกองทัพของทั้งสองฝ่าย โถมประทะเข้าบดขยี้กันว่า
เสมือนหนึ่ง มหาสมุทรสองมหาสมุทรประทะกัน
แต่เพียงชั่วระยะสั้นๆ กลับบรรยายว่าเป็น “ทัศนียภาพอันงดงามยิ่ง

กุณตีบอกวยาสะผู้เล่าเรื่องมหากาพย์ว่า “พระองค์ทรงเห็นความงดงาม
ในความตายของมวลมนุษย์ บทกวีของพระองค์
แต้มแต่งด้วยโลหิต และเสียงร่ำให้ของคนกำลังตายคือ คีตสังคีต ของพระองค์”

ฝูงแร้งรุมทึ้งเนื้อเน่า “ส่งเสียงร้องปรีเปรม” เป็นลางร้ายปรากฏขึ้น
ก่อนยุทธนาการจะเริ่มขึ้น

กรรณะพยากรณ์ว่า ฝ่ายตนจะปราชัย สงครามไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น
แต่ “เป็นการสังเวยคมอาวุธที่ยิ่งใหญ่”
โดยมีกฤษณะเป็นเสมือนหนึ่ง นักบวชชั้นสูง รับการบูชายัญ


ทั้งสองฝ่ายตกลงอดทนรอกฏเกณฑ์ที่ชัดเจนของสงคราม กล่าวคือ
ไม่ใช้อาวุธสวรรค์รบกับมนุษย์ ไม่รบเมื่อตะวันตกดิน ไม่โจมตีใครก็ตามที่ถอยหนี
ไร้อาวุธ หงายหลัง หรือล้มลง แต่ในที่สุดกลับละเมิดกฎทุกข้อที่ได้ตั้งไว้

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 08:51:50 am »



   - - ปีที่สิบสาม
   
   ตามเงื่อนไงการพนันสกา ปีที่สิบสามซึ่งเป็นปีที่ภราดาปาณฑพต้องปลอมตัวมาถึงแล้ว ยุธิษฐิระ (ซึ่งปลอมตัวเป็นพราห์มเข็ญใจ) อนุชาที่เหลือและเทราปที (ผู้ซึ่งผ่านการคัดเลือกเป็นคนรับใช้พเนจร) ทั้งหมดหลบอยู่ในราชสำนักแห่งกษัตริย์วิรัตน์ กิจาคะนายพลคนหนึ่งในราชสำนักแห่งวิรัตน์หลงรักเทราปที โดยสร้างปัญหาต่างๆ นานาเพื่อหาทางครอบครองเทราปทีให้ได้ แม้กระทั่งคุกคามว่าจะเอาชีวิตของพระนางเสีย เทราปีทีจึงอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากภีมะผู้ทรงพลัง ภีมะใส่เสื้อสตรีปลอมตัวเป็นเทราปทีแอบไปพบกับนายพลตามนัดลับและจับนายพลผู้มืดบอดในรักคนนั้นบดขยี้เสียจนกลายเป็นก้อนเนื้อปนเลือดแหลกเหลวสิ้น
   
   ขณะนั้นทุรโยธน์กรีฑาทัพเข้าโจมตีราชอาณาจักรแห่งวิรัตน์ กษัตริย์วิรัตน์มอบการบัญชากองทัพให้แก่โอรส แต่ยังขาดสารถีรถม้าศึก เทราปทีผู้ประสงค์การสงครามกับเหล่าเการพไม่ว่าจะสูญเสียเพียงใดก็ตาม ชี้บอกว่าอรชุนเป็นสารถีที่เก่งที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าจะปลอมองค์เป็นบัณเฑาะก์อยู่ก็ตาม อรชุนก็ไม่สามารถปฏิเสธการสู้รบเสียได้ และอรชุนเท่านั้นคือผู้นำชัยชำนะอย่างเด็ดขาด คนเดียวรบกับกองทัพเหลือคณนานับ
   
   สงครามใกล้เข้ามาแล้วทุรโยธน์ปฏิเสธการคืนราชอาณาจักรให้ภราดาปาณฑพลูกพี่ลูกน้องของตน เนื่องจากอ้างว่าฝ่ายปาณฑพออกมาจากที่ซ่อนก่อนเวลากำหนด ทุรโยธน์พยายามขอการสนับสนุนจากกฤษณะเช่นเดียวกับอรชุน กฤษณะให้อรชุนเลือกก่อนว่าจะเอากองทัพทั้งหมดของกฤษณะหรือจะเอากฤษณะไว้เพียงองค์เดียว อรชุนเลือกกฤษณะ ยอมให้ทุรโยธน์ได้กองทัพของกฤษณะไปทั้งหมด เมื่ออรชุนขอให้กฤษณะเป็นสารถีรถม้าศึกให้ กฤษณะตกลง
   
   ในราชสำนักเการพกษัตริย์บอดก็ได้กลิ่นสงครามคุกรุ่นอยู่เช่นกัน จึงตรัสขอให้ภีษมะผู้อาวุโสนักรบผู้ไม่มีใครเทียบ เป็นผู้บัญชาการสูงสุด ความรับผิดชอบของภีษมะที่มีต่อวงศ์ตระกูลเข้าครอบงำความรู้สึกที่มีต่อภราดาปาณฑพ ภีษมะจึงรับภาระหน้าที่อย่างไม่เต็มใจ แต่มีเงื่อนไขประการหนึ่ง กล่าวคือ กรรณะต้องไม่ออกรบถึงแม้ว่าจะไม่พอใจอย่างไรก็ตาม กรรณะยอมรับด้วยความขมขื่นว่าจะออกรบก็ต่อเมื่อภีษมะล้มลงแล้วเท่านั้น
   
   ธฤษตราษฎร์ส่งราชฑูตไปยังยุธิษฐิระ เพื่อขอไม่ให้ยุธิษฐิระออกรบเพราะยุธิษฐิระรักความชอบธรรม เพราะการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากซึ่งราชอาณาจักรย่อมดีกว่าเอาชีวิตของคนจำนวนมากมายไปเสี่ยง ยุธิษฐิระตอบกลับไปว่าชนแต่ละชั้นวรรณะต่างก็มีหน้าที่แห่งตนและหน้าที่ของพระองค์คือเป็นนักรบหรือกษัตริย์ ไม่ใช่พราห์มหรือขอทาน อย่างไรก็ตามแม้กระทั่งพระองค์เองก็มีข้อจำกัดอยู่ “สงครามคือปิศาจร้ายในทุกรูปแบบ สำหรับคนตายชัยชำนะหรือความพ่ายแพ้ก็เฉกเช่นกัน"
   
   กฤษณะเสด็จไปฝ่ายเการพในฐานะราชฑูต ในความพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อปกป้องสันติภาพและตรัสกับทุรโยธน์ แต่ทุรโยธน์หาฟังไม่กลับบัญชาให้ราชองค์รักษ์เข้าควบคุมองค์กฤษณะไว้ กฤษณะจึงคืนร่างเป็นเทพจากสวรรค์“กฤษณะสรวล และขณะสรวลอยู่นั้นวรกายของกฤษณะพลันมีรัศมีแสงแลบแปลบปลาบคล้ายสายอัศนีบาตพุ่งออกมา วรกายโตขึ้นเรื่อยๆทวยเทพต่างๆ ปรากฏองค์ออกมาจากกฤษณะ พรหมเทพกระเด็นออกมาจากนลาฏ ศิวเทพจากอุระ” กฤษณะ บันดาลให้แม้แต่ธฤษตราษฎร์กษัตริย์บอด ก็ยังเห็นแสงรัศมีวาวโรจน์จากวรกายของพระองค์ ในที่สุดจึงเปิดเผยต่อกรรณะล้ำเลยลึกลงไปว่ากรรณะที่แท้เป็นภราดาของเหล่าบุคคลผู้ซึ่งตนมีเจตนาจะสู้รบด้วย แต่กรรณะรู้สึกว่าแม่ทอดทิ้งในชีวิตห้วงแรกที่เกิดมา ยิ่งไปกว่านั้นกรรณะรู้สึกเหมือนหนึ่งปานโลกถึงจุดสิ้นสุด และจะออกรบเคียงข้างฝ่ายเการพถึงแม้ว่าจะเห็นความพ่ายแพ้และมรณกรรมของตนล่วงหน้าแล้วก็ตาม
   
   ทุรโยธน์จะไม่ฟังคำเตือนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมั่นใจแน่นอนว่าทวยเทพไม่ได้ให้พรแก่ฝ่ายปาณฑพมากมายอย่างนั้น พระเจ้าจะไม่คุ้มครองฝ่ายปาณฑพในสงคราม “ข้าฯ ขอสังเวยชีวิตของข้าฯ ความมั่งคั่งของข้าฯ ราชอาณาจักรของข้าฯ ทุกสิ่งทุกอย่างของข้าฯ แต่ข้าฯ ไม่มีวันอยู่ร่วมอย่างสันติกับพวกปาณฑพได้ ข้าฯ จะไม่ยอมจำนนต่อพวกปาณฑพ ถึงที่สุดแม้กระทั่งว่าตราบใดที่แผ่นดินมีที่ให้ปักเข็มหมุดสักเล่มทุรโยธน์ หาข้ออ้างเข้าข้างตนตามนิสัยดั้งเดิมว่า “ทวยเทพสร้างข้าฯ ขึ้นมาเป็นอะไรก็ตาม ข้าฯ ก็เป็นสิ่งนั้น” ......
   
   
จบภาคสอง "การเนรเทศ"

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2011, 08:16:58 am »



   - - การเตรียมสงคราม
   
   จากนั้นอรชุนก็จากไป มุ่งหน้าสู่ภูเขาต่างๆที่สูงที่สุดเพื่อแสวงหาอาวุธสวรรค์ ที่เหล่าปาณฑพต้องใช้ในสงคราม อรชุนพบศิวเทพและได้รับประทานอาวุธที่ทรงอาณุภาพไว้ อรชุนจึงใช้เวลาห้าปีกับอินทราเทพบิดาแห่งอรชุน เพื่อฝึกฝนเรียนรู้การใช้อาวุธต่างๆต่อสู้กับเหล่าปิศาจอสูร
   
   ในขณะนั้น กรรณะ ตัดสินใจว่าตนเองก็ต้องได้รับอาวุธสวรรค์ด้วยเช่นเดียวกัน จึงคอยปรนนิบัติรับใช้พราห์มที่ทรงวิทยายุทธคนหนึ่งชื่อ ปรศุราม เป็นเวลาหลายเดือน ปรศุรามเป็นพราห์มที่เกลียดนักรบ ปรศุรามมอบมนตร์สูตรกำกับอาวุธสุดยอดให้แก่กรรณะที่คอยปรนนิบัติรับใช้ตน  แต่ด้วยพฤฒิกรรมกล้าอย่างเกินเหตุ (ของกรรณะ) เนื่องจากไม่มีเสียงร้องออกมาเลย เมื่อหนอนตัวหนึ่งเจาะไชเข้าไปในโคนขา ปรศุรามจึงทราบว่ากรรณะเป็นนักรบและสาปแช่งกรรณะให้ลืมมนตร์สูตรลับเมื่อถึงคราวที่ต้องใช้อาวุธที่ปรศุรามมอบให้และตอนนั้นจะเป็นคราวฆาตของกรรณะ
   
   ในบูรณะสมัยโบราณ ปรศุรามเป็นอวตารภาคหนึ่งแห่งวิษณุเทพ แต่ไม่มีอะไรบ่งชี้ถึงประเด็นดังกล่าวเลยในมหากาพย์
   
   จากนั้นกรรณะได้พบอินทรา (เทพบิดาแห่งอรชุน) ที่จำแลงองค์ลงมาเป็นพราห์มคนหนึ่ง เนื่องจากได้สาบานว่าจะไม่ปฏิเสธคำร้องขอของพราห์มเอาไว้ก่อนแล้ว กรรณะจึงยินยอมสละเกราะทองคำคุ้มกายที่ได้รับประทานมาจากสวรรค์ตั้งแต่เกิด กรรณะลอกเกราะทองคำนั้นออกจากผิวกายของตน เลือดไหลโซมกายและแลกกับอาวุธอื่นที่ทรงอาณุภาพ ซึ่งจะใช้สังหารสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ได้แต่จะใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
   
   ระหว่างการเนรเทศ ภราดาปาณฑพช่วยชีวิตทุรโยธน์ที่เสียทีตกเป็นเชลยในสงครามเอาไว้ ทำให้ทุรโยธน์อับอายขายหน้ามาก ด้วยความทะนงในเกียรติยศและศักดิ์ศรี ทุรโยธน์จึงสาบานว่าสักวันหนึ่งจะชดใช้หนี้นั้นคืนให้แก่อรชุน(ระหว่างสงคราม อรชุน ตรัสแก่ทุรโยธน์ว่าจะยอมต่อลูกศรของภีษมะห้าดอก อันหมายสังหารภราดาปาณฑพและก็ปฏิบัติเช่นนั้นอย่างเคร่งครัดเพื่อรักษาคำสาบาน) ทุรโยธน์หดหู่สิ้นหวังหลังจากภราดาปาณฑพช่วยให้รอดจากการการเป็นเชลยมาได้และแสดงเจตนาว่าใคร่จะประกอบอัตวินิบาตกรรม
   
   พวกทนพ (ครอบครัวอสูร) ต้องการให้ทุรโยธน์เป็นนักรบเพื่อปกป้องฝ่ายตน (ทุรโยธน์มาเกิดตามคำเรียกร้องของปิศาจอสูรเหล่านี้) จึงมาปรากฏตนต่อหน้าทุรโยธน์ พวกปิศาจอสูรให้สัญญาว่าจะช่วยคุมทัพให้ในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้ทุรโยธน์มีความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่ต่อไป
   
   วันหนึ่งภราดาปาณฑพสี่องค์
ถึงแก่มรณกรรม เนื่องจากดื่มน้ำจากทะเลสาบพิษ อย่างไรก็ตามยุธิษฐิระทรงกู้ชีพอนุชาทั้งสี่องค์กลับคืนมาได้ โดยตอบคำถามนกกระเรียนจำแลงได้ถูกต้องว่า ธรรมะใดที่ยุธิษฐิระยึดถืออยู่