ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2012, 02:06:30 pm »เมื่อชายหญิงรักกัน
เขาพร้อมแล้วหรือที่จะรับความเปลี่ยนแปลงจากสถานะ
ที่เคยเป็นชีวิตเดี่ยวมาเป็นชีวิตคู่
ซึ่งจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน เขาพร้อมแล้วหรือไม่
ข้อนี้ทำให้เราต้องใคร่ครวญถึง
ความหมายของความรักให้ลึกซึ้ง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจ, เกิดสติปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
เราน่าจะตั้งต้นถามคล้อยตามบทกวีของ เชคสเปียร์ ที่ว่า
ความเอ๋ยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มจำเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง
อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที
อย่าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี
ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย ฯ
เป็นเพียงข้อเสนอแนะของกวี ให้ท่านทั้งหลายรับฟังว่า
ความรักเกิดขึ้นอย่างไรมันเริ่มที่ใจหรือสมอง
ความรู้สึกหรือความคิด
มันถูกถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูความรักไว้ได้อย่างไร
สิ่งที่เรียกว่าความรักโดยทั่วไปนั้น
ดูๆ มันไม่คอยจะมีเหตุผล
ถ้ามีเหตุผลแล้วลองตอบคำถามนี้ดูว่าทำไมคนรูปสวย
ชายก็ได้หญิงก็ได้ ไปรักคู่ที่ขี้เหร่
แต่มันต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง คือความบันดาลใจ
ความที่ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง
บังเกิดความเชื่อมั่นและหายว้าเหว่ลงไปได้
สำหรับความรักที่มาเสริมอหังการของตัวนั้น
ไม่อาจจัดเป็นความรักแท้
เราอาจจะเรียกหญิงหรือชายที่เข้ามาผูกพันกับเรานั้นว่า ศรีภรรยาหรือสามี
แต่ที่จริงแล้วอาจจะเพียงเป็นผู้บำเรอ
เพื่อจะได้แผ่ขยายอำนาจของอหังการก็เป็นได้
ความที่ปราศจากธรรมะ ไม่อาจจะเป็นความรักที่แท้จริงได้
เราพบความจริงว่า ชีวิตคนปัจจุบันนี้
ถึงแม้ว่าจะมีสภาพที่เรียกกันว่าความเจริญก้าวหน้า
และมีความคิดทางปรัชญาของชีวิตอันสูงส่ง
แต่มนุษย์กลับพบความสำเร็จในชีวิตคู่น้อยลง
ครั้นเหลียวไปดูปู่ย่าตายายของเรา
กลับประสบความสำเร็จในชีวิตคู่อย่างลึกซึ้ง
ความสำเร็จนี้วัดกันที่ตรงไหน
ถ้าวัดกันที่หญิงชายคู่นั้น
ไปคู่กันในงานบอลล์ ในงานค็อกเทล งานปาร์ตี้
ว่านั่นคือความสำเร็จของชีวิตคู่ นั่นอาจเป็นมารยาสาไถยก็ได้
ดัง เฮมิงเวย์ ล้อเลียนชีวิตของชาวอเมริกันไว้ในเรื่องสั้นของเขาเรื่องหนึ่งว่า
หญิงชาย ๒ คู่ที่แต่งงานกันแล้ว
นั่งรถไฟไปขบวนเดียวกันอยู่คนละตู้
สามีภรรยาทั้งคู่ต่างทะเลาะกันไปตลอดทาง
ด่ากันไปด่ากันมา โทษกันไปโทษกันมา
เมื่อถึงเวลาอาหาร ต้องลุกไปที่ตู้เสบียง
พอไปถึง เจอกันเข้า หญิงชาย
หญิงชายทั้ง ๒ คู่ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน
ต่างคู่ต่างมีมารยาสาไถย
สามีต่างก็ยกมือโอบไหล่ภรรยาของตน
ภรรยาก็แสร้งยิ้มแย้ม ทำเป็นร่าเริงบีบเค้นเสียงหัวเราะ
เพื่อลวงเพื่อนว่าเราสำเร็จในคู่ชีวิต
เมื่อกินอาหารเสร็จ ยิ้มแย้มหัวเราะกัน
เสร็จแล้วกลับไปนั่งที่ตู้ของตัวๆ ต่างคู่ต่างก็ทะเลาะกันต่อ
นี่คือเรื่องราวของชีวิตที่เราพยายามที่จะลวงกันและกัน
ว่านี่คือการประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ของเรา
ที่จริงมันมีเพียงรูปแบบและพยายามที่จะมีมารยาสาไถย
ดูเหมือนว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีนั่น
ดูเหมือนว่าชีวิตทางบ้านหาดีไปกว่าผู้มีสุขภาพจิตไม่ดีเลย
แต่ดูเหมือนเที่ยวสอนเพื่อนอยู่ทั้งเมืองว่าชีวิตควรจะเป็นอย่างนี้
ควรจะมีสุขภาพจิตอย่างนั้น
แต่พอกลับมาถึงบ้านของตัวเอง
ก็ทะเลาะกับสามีหรือทะเลาะกับคนใช้
หรือถึงขนาดเกลียดชัง อาฆาตพยาบาทอิจฉากันก็มี
นี่สุขภาพจิตเสื่อมเอามากทีเดียว
เพราะฉะนั้นขอให้เลี้ยวดูความสำคัญของชีวิตคู่ของบรรพบุรุษของเราให้ดี
ที่เราบ่นว่าเป็นคนครึคระนั่นแหละ
แก่เฒ่าเข้า ท่านจูงมือกันไป สามีเดินหน้า ภรรยาเดินหลัง
ไปวัดและหลังจากชีวิตกามารมณ์มันจืดลง
มันเหลือแต่เมตตาปรานีกันและกัน เหมือนพี่ชายกับน้องสาว
คราวนี้ขอให้ดูว่า ปรัชญาระบบไหนประสบความสำเร็จในชีวิตคู่
เราก็พบว่าความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น
เป็นความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น
เป็นความสำเร็จจอมปลอม
แต่จะพบว่าย่าทวดของเราประสบความสำเร็จจริง
โดยที่ว่าท่านอาจจะไม่มีปรัชญาของความรัก
ท่านก็ถูกจับให้แต่งงานกันชนิดคลุมถุงชน
ไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ถูกจับให้แต่งงานกัน
แล้วค่อยๆ รักเห็นใจกันไปเอง
เพราะต่างฝ่ายต่างมีธรรมะ มีคุณธรรมประจำใจ
ฉะนั้น ความรักมันเกิดที่ไหน เกิดที่ตาเห็น
เมื่อแรกพบหรือว่ามันเกิดเพราะคุณธรรมกันแน่
ข้อนี้ถ้าท่านระลึกถึงพระพุทธองค์แล้ว
บางทีอาจจะคิดอะไรขึ้นมาได้
พระพุทธองค์ท่านตรัสเรื่องบุพเพสันนิวาส
ท่านตรัสว่า
ความรักที่แท้จริงนั้น
ต้องเหมือนกับดอกอุบลกับน้ำ
ดอกบัวกับน้ำมีส่วนสัมพันธ์กัน
น้ำลึกเท่าใด สายบัวก็มีส่วนสูงขึ้นเท่านั้น ควบคู่กันไป
จึงมีภาษิตว่า
สามีเป็นที่ปรากฎแห่งภรรยา ควันเป็นที่ปรากฎแห่งไฟ
พระราชาเป็นที่ปรากฎแห่งแว่นแคว้น
สามีเป็นที่ปรากฎแห่งภรรยาหมายความว่า ต้องได้สัดได้ส่วน
ต้องมี ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา
ต้องมีอะไรๆ ที่จะต้องมีความรู้สึกเข้าอกเข้าใจกัน
ตอนนี้ขอสรุปทีหนึ่งก่อนว่า
ความรักที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่ได้หมายถึงความถูกใจ
เพราะความถูกใจของคนทั่วไปนั้นมันเป็นการเสริมอหังการของตัว
และถ้าไม่ถูกใจ มือที่เคยเช็ดน้ำตาให้
กลับเป็นมือที่ทำให้น้ำตาร่วง
เสียงที่เคยปลอบประโลมให้หายเศร้า
กลับยิ่งทำให้โศกหรือเจ็บใจช้ำใจซ้ำเข้าไปอีก
เพราะว่าความรักชนิดนั้นด้วยการลดอหังการลง
ด้วยการรับใช้ไม่ใช่ด้วยการเสนอเรียกร้องให้ผู้อื่นรับใช้
ตัวความรู้สึกรักนั้นไม่ใช่แต่เพียงแต่ตาได้เห็น
ก็ชอบหูได้ยินเสียงเพราะๆ ก็รัก
หรือมีทิฏฐิเหมือนเราในเรื่อง
การมีความรุนแรงทางการเมืองชนิดล้างผลาญเหมือนกัน
เราก็ชอบ แต่เป็นช่วงยาวนานแห่งความประทับใจ
และการแต่งงาน หรือชีวิตคู่
จะไม่ห่างจากโบสถ์ห่างธรรมะออกไปทุกทีๆ
แต่เดิมนั้น หญิงชายจะรักกัน
เขาต้องไปหาพระ เพื่อเป็นสักขีพยาน
ต้องมีการอธิษฐานใจ ต้องมีการหมั้น
มีการลองน้ำใจกันดู ทดสอบกันดูและมีอะไรมากมาย
เพื่อเป็นหลักประกันบางทีอาจจะหมั้นกันตั้งแต่เด็ก
ให้ฝ่ายพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายฝึกฝนนักกีฬารักของตัว
ที่จะลงวิ่งในลู่กรีฑาแห่งชีวิต
หาไม่เช่นนั้นแล้ว ชีวิตที่ปราศจากการถูกฝึกฝนมาอย่างถูกต้อง
จะกลับกลายเป็นลงสนามเพื่อประหัตประหารซึ่งกันและกัน
เพราะว่าความรักที่ถูกเข้าใจผิด
ว่าเป็นเพียงเรื่องเพศกลับกลายเป็นเรื่องกามารมณ์ไปโดยถ่ายเดียว
ว่าไปแล้วกามารมณ์นั้นหาใช่อะไรอื่นไม่
มันอาจกลายเป็นการประทุษร้ายซึ่งกันและกันด้วยอวัยวะเพศของตัว
กามนี้เป็นเรื่องประทุษร้ายซึ่งกันและกันโดยสมัครใจ
แล้วก็มีรสแห่งกาม หรือสินบน หรือค่าจ้างของธรรมชาติ
เป็นเครื่องล่อเท่านั้นเอง
กามารมณ์นี้ถ้าไม่มีรสของมันแล้ว
ไม่มีใครทำ มันเจ็บปวดมืดมัว เร่าร้อน
เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมชาติต้องการให้มนุษย์ยังเผ่าพันธุ์ไว้
จึงจ้างหรือให้สินบนด้วยอัสสาทะ คือรสอร่อยของมัน
ถ้าไม่มีสินบน มนุษย์จะไม่ทำหน้าที่นั้น
และมนุษย์เริ่มคดโกง หักหลังต่อนายจ้างของตัว
ความต้องการตักตวงรสอร่อยจากเนื้อหนังซึ่งกันและกันอย่างเดียวนั้น
ไม่เป็นการกระทำที่เป็นอริยะ
ทั้งอาจนำไปสู่หายนะได้ในที่สุดแม้ว่าความรักยังเกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง
จะต้องเกี่ยวข้องด้วยความรู้ที่ถูกต้อง
คือต้องมี วิปัสสนา ต้องรู้จักธรรมะ
และรู้ว่าเนื้อหนังหรือเรื่องเพศนั้นมันเป็นของชั่วคราว
และแม้เป็นของชั่วคราวนี้แหละ
ขอบพระคุณที่มาhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=20512#wrapheader
เขาพร้อมแล้วหรือที่จะรับความเปลี่ยนแปลงจากสถานะ
ที่เคยเป็นชีวิตเดี่ยวมาเป็นชีวิตคู่
ซึ่งจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน เขาพร้อมแล้วหรือไม่
ข้อนี้ทำให้เราต้องใคร่ครวญถึง
ความหมายของความรักให้ลึกซึ้ง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจ, เกิดสติปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
เราน่าจะตั้งต้นถามคล้อยตามบทกวีของ เชคสเปียร์ ที่ว่า
ความเอ๋ยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มจำเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง
อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที
อย่าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี
ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย ฯ
เป็นเพียงข้อเสนอแนะของกวี ให้ท่านทั้งหลายรับฟังว่า
ความรักเกิดขึ้นอย่างไรมันเริ่มที่ใจหรือสมอง
ความรู้สึกหรือความคิด
มันถูกถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูความรักไว้ได้อย่างไร
สิ่งที่เรียกว่าความรักโดยทั่วไปนั้น
ดูๆ มันไม่คอยจะมีเหตุผล
ถ้ามีเหตุผลแล้วลองตอบคำถามนี้ดูว่าทำไมคนรูปสวย
ชายก็ได้หญิงก็ได้ ไปรักคู่ที่ขี้เหร่
แต่มันต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง คือความบันดาลใจ
ความที่ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง
บังเกิดความเชื่อมั่นและหายว้าเหว่ลงไปได้
สำหรับความรักที่มาเสริมอหังการของตัวนั้น
ไม่อาจจัดเป็นความรักแท้
เราอาจจะเรียกหญิงหรือชายที่เข้ามาผูกพันกับเรานั้นว่า ศรีภรรยาหรือสามี
แต่ที่จริงแล้วอาจจะเพียงเป็นผู้บำเรอ
เพื่อจะได้แผ่ขยายอำนาจของอหังการก็เป็นได้
ความที่ปราศจากธรรมะ ไม่อาจจะเป็นความรักที่แท้จริงได้
เราพบความจริงว่า ชีวิตคนปัจจุบันนี้
ถึงแม้ว่าจะมีสภาพที่เรียกกันว่าความเจริญก้าวหน้า
และมีความคิดทางปรัชญาของชีวิตอันสูงส่ง
แต่มนุษย์กลับพบความสำเร็จในชีวิตคู่น้อยลง
ครั้นเหลียวไปดูปู่ย่าตายายของเรา
กลับประสบความสำเร็จในชีวิตคู่อย่างลึกซึ้ง
ความสำเร็จนี้วัดกันที่ตรงไหน
ถ้าวัดกันที่หญิงชายคู่นั้น
ไปคู่กันในงานบอลล์ ในงานค็อกเทล งานปาร์ตี้
ว่านั่นคือความสำเร็จของชีวิตคู่ นั่นอาจเป็นมารยาสาไถยก็ได้
ดัง เฮมิงเวย์ ล้อเลียนชีวิตของชาวอเมริกันไว้ในเรื่องสั้นของเขาเรื่องหนึ่งว่า
หญิงชาย ๒ คู่ที่แต่งงานกันแล้ว
นั่งรถไฟไปขบวนเดียวกันอยู่คนละตู้
สามีภรรยาทั้งคู่ต่างทะเลาะกันไปตลอดทาง
ด่ากันไปด่ากันมา โทษกันไปโทษกันมา
เมื่อถึงเวลาอาหาร ต้องลุกไปที่ตู้เสบียง
พอไปถึง เจอกันเข้า หญิงชาย
หญิงชายทั้ง ๒ คู่ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน
ต่างคู่ต่างมีมารยาสาไถย
สามีต่างก็ยกมือโอบไหล่ภรรยาของตน
ภรรยาก็แสร้งยิ้มแย้ม ทำเป็นร่าเริงบีบเค้นเสียงหัวเราะ
เพื่อลวงเพื่อนว่าเราสำเร็จในคู่ชีวิต
เมื่อกินอาหารเสร็จ ยิ้มแย้มหัวเราะกัน
เสร็จแล้วกลับไปนั่งที่ตู้ของตัวๆ ต่างคู่ต่างก็ทะเลาะกันต่อ
นี่คือเรื่องราวของชีวิตที่เราพยายามที่จะลวงกันและกัน
ว่านี่คือการประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ของเรา
ที่จริงมันมีเพียงรูปแบบและพยายามที่จะมีมารยาสาไถย
ดูเหมือนว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีนั่น
ดูเหมือนว่าชีวิตทางบ้านหาดีไปกว่าผู้มีสุขภาพจิตไม่ดีเลย
แต่ดูเหมือนเที่ยวสอนเพื่อนอยู่ทั้งเมืองว่าชีวิตควรจะเป็นอย่างนี้
ควรจะมีสุขภาพจิตอย่างนั้น
แต่พอกลับมาถึงบ้านของตัวเอง
ก็ทะเลาะกับสามีหรือทะเลาะกับคนใช้
หรือถึงขนาดเกลียดชัง อาฆาตพยาบาทอิจฉากันก็มี
นี่สุขภาพจิตเสื่อมเอามากทีเดียว
เพราะฉะนั้นขอให้เลี้ยวดูความสำคัญของชีวิตคู่ของบรรพบุรุษของเราให้ดี
ที่เราบ่นว่าเป็นคนครึคระนั่นแหละ
แก่เฒ่าเข้า ท่านจูงมือกันไป สามีเดินหน้า ภรรยาเดินหลัง
ไปวัดและหลังจากชีวิตกามารมณ์มันจืดลง
มันเหลือแต่เมตตาปรานีกันและกัน เหมือนพี่ชายกับน้องสาว
คราวนี้ขอให้ดูว่า ปรัชญาระบบไหนประสบความสำเร็จในชีวิตคู่
เราก็พบว่าความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น
เป็นความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น
เป็นความสำเร็จจอมปลอม
แต่จะพบว่าย่าทวดของเราประสบความสำเร็จจริง
โดยที่ว่าท่านอาจจะไม่มีปรัชญาของความรัก
ท่านก็ถูกจับให้แต่งงานกันชนิดคลุมถุงชน
ไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ถูกจับให้แต่งงานกัน
แล้วค่อยๆ รักเห็นใจกันไปเอง
เพราะต่างฝ่ายต่างมีธรรมะ มีคุณธรรมประจำใจ
ฉะนั้น ความรักมันเกิดที่ไหน เกิดที่ตาเห็น
เมื่อแรกพบหรือว่ามันเกิดเพราะคุณธรรมกันแน่
ข้อนี้ถ้าท่านระลึกถึงพระพุทธองค์แล้ว
บางทีอาจจะคิดอะไรขึ้นมาได้
พระพุทธองค์ท่านตรัสเรื่องบุพเพสันนิวาส
ท่านตรัสว่า
ความรักที่แท้จริงนั้น
ต้องเหมือนกับดอกอุบลกับน้ำ
ดอกบัวกับน้ำมีส่วนสัมพันธ์กัน
น้ำลึกเท่าใด สายบัวก็มีส่วนสูงขึ้นเท่านั้น ควบคู่กันไป
จึงมีภาษิตว่า
สามีเป็นที่ปรากฎแห่งภรรยา ควันเป็นที่ปรากฎแห่งไฟ
พระราชาเป็นที่ปรากฎแห่งแว่นแคว้น
สามีเป็นที่ปรากฎแห่งภรรยาหมายความว่า ต้องได้สัดได้ส่วน
ต้องมี ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา
ต้องมีอะไรๆ ที่จะต้องมีความรู้สึกเข้าอกเข้าใจกัน
ตอนนี้ขอสรุปทีหนึ่งก่อนว่า
ความรักที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่ได้หมายถึงความถูกใจ
เพราะความถูกใจของคนทั่วไปนั้นมันเป็นการเสริมอหังการของตัว
และถ้าไม่ถูกใจ มือที่เคยเช็ดน้ำตาให้
กลับเป็นมือที่ทำให้น้ำตาร่วง
เสียงที่เคยปลอบประโลมให้หายเศร้า
กลับยิ่งทำให้โศกหรือเจ็บใจช้ำใจซ้ำเข้าไปอีก
เพราะว่าความรักชนิดนั้นด้วยการลดอหังการลง
ด้วยการรับใช้ไม่ใช่ด้วยการเสนอเรียกร้องให้ผู้อื่นรับใช้
ตัวความรู้สึกรักนั้นไม่ใช่แต่เพียงแต่ตาได้เห็น
ก็ชอบหูได้ยินเสียงเพราะๆ ก็รัก
หรือมีทิฏฐิเหมือนเราในเรื่อง
การมีความรุนแรงทางการเมืองชนิดล้างผลาญเหมือนกัน
เราก็ชอบ แต่เป็นช่วงยาวนานแห่งความประทับใจ
และการแต่งงาน หรือชีวิตคู่
จะไม่ห่างจากโบสถ์ห่างธรรมะออกไปทุกทีๆ
แต่เดิมนั้น หญิงชายจะรักกัน
เขาต้องไปหาพระ เพื่อเป็นสักขีพยาน
ต้องมีการอธิษฐานใจ ต้องมีการหมั้น
มีการลองน้ำใจกันดู ทดสอบกันดูและมีอะไรมากมาย
เพื่อเป็นหลักประกันบางทีอาจจะหมั้นกันตั้งแต่เด็ก
ให้ฝ่ายพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายฝึกฝนนักกีฬารักของตัว
ที่จะลงวิ่งในลู่กรีฑาแห่งชีวิต
หาไม่เช่นนั้นแล้ว ชีวิตที่ปราศจากการถูกฝึกฝนมาอย่างถูกต้อง
จะกลับกลายเป็นลงสนามเพื่อประหัตประหารซึ่งกันและกัน
เพราะว่าความรักที่ถูกเข้าใจผิด
ว่าเป็นเพียงเรื่องเพศกลับกลายเป็นเรื่องกามารมณ์ไปโดยถ่ายเดียว
ว่าไปแล้วกามารมณ์นั้นหาใช่อะไรอื่นไม่
มันอาจกลายเป็นการประทุษร้ายซึ่งกันและกันด้วยอวัยวะเพศของตัว
กามนี้เป็นเรื่องประทุษร้ายซึ่งกันและกันโดยสมัครใจ
แล้วก็มีรสแห่งกาม หรือสินบน หรือค่าจ้างของธรรมชาติ
เป็นเครื่องล่อเท่านั้นเอง
กามารมณ์นี้ถ้าไม่มีรสของมันแล้ว
ไม่มีใครทำ มันเจ็บปวดมืดมัว เร่าร้อน
เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมชาติต้องการให้มนุษย์ยังเผ่าพันธุ์ไว้
จึงจ้างหรือให้สินบนด้วยอัสสาทะ คือรสอร่อยของมัน
ถ้าไม่มีสินบน มนุษย์จะไม่ทำหน้าที่นั้น
และมนุษย์เริ่มคดโกง หักหลังต่อนายจ้างของตัว
ความต้องการตักตวงรสอร่อยจากเนื้อหนังซึ่งกันและกันอย่างเดียวนั้น
ไม่เป็นการกระทำที่เป็นอริยะ
ทั้งอาจนำไปสู่หายนะได้ในที่สุดแม้ว่าความรักยังเกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง
จะต้องเกี่ยวข้องด้วยความรู้ที่ถูกต้อง
คือต้องมี วิปัสสนา ต้องรู้จักธรรมะ
และรู้ว่าเนื้อหนังหรือเรื่องเพศนั้นมันเป็นของชั่วคราว
และแม้เป็นของชั่วคราวนี้แหละ
ขอบพระคุณที่มาhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=20512#wrapheader