ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2012, 04:47:25 pm »กลุ่มเป้าหมายที่ควรเรียนรู้เรื่องนี้เป็นใครครับ?
คนทั่วไปที่สุขภาพยังดีอยู่ก็มีประโยชน์ แต่คนที่สนใจส่วนใหญ่เผชิญอยู่กับปัญหานี้โดยตรง หมอ พยาบาล ญาติผู้ป่วย ซึ่งแทบทุกข์คนล้วนมีญาติป่วยอยู่ทั้งนั้น เราทำความเข้าใจเรื่องความตาย ว่าคนมองเรื่องความตายอย่างไร และเราควรมองความตายอย่างไร มีการพูดถึงเรื่องมรณานุสติ พูดถึงเรื่องการเตรียมตัวตาย การจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ความเข้าใจเรื่องภาวะใกล้ตาย เราจะช่วยเขาอย่างไร และถ้าเกิดกับตัวเราจะทำอย่างไร มีหลายระดับ ตั้งแต่การทำความเข้าใจ การเผชิญกับความตาย และใช้ความตายเป็นเครื่องมือเตือนใจในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ด้วยการทำมรณานุสติ
ขอให้พระอาจารย์ช่วยอธิบายเรื่องวัวหลุดจากคอก ในเรื่องจิตสุดท้าย อีกครั้งครับ
ในพุทธศาสนาอธิบายว่ากรรมจวนเจียนใกล้ตายจะส่งผลก่อนว่าจะไปอยู่ภพภูมิไหน พระพุทธเจ้าเปรียบว่าเหมือนวัวที่อยู่ใกล้ประตูคอก เมื่อเปิดประตูคอกออกมา ตัวที่อยู่ใกล้ประตูคอกจะออกมาก่อน จิตสุดท้ายคือจิตที่ใกล้ ความรู้สึกนึกคิดสุดท้ายก่อนจะตายนี้จะส่งผลก่อนว่าจะไปสู่ทุคติ หรือสุคติ ในทางพุทธศาสนาถือว่าพอใกล้ตาย การเอาเครื่องมือมาปั๊ม มาสอด เอาสายมาต่อระโยงระยาง ต้องเลิก นั่นไม่ใช่โอกาส เรื่องกายต้องวางไว้ ต้องให้ใจอยู่ในความสงบ ไม่ต้องยุ่งกับร่างกาย
ยกตัวอย่างคนหนึ่งเป็นคนดีมาตลอด ส่วนอีกคนเป็นคนชั่ว แต่มากำหนดจิตสุดท้ายในด้านตรงข้าม ผลจะเป็นอย่างไรครับ?
คนที่ทำดีมาตลอด จิตสุดท้ายเกิดความห่วงกังวลเป็นอกุศล ก็ไปสู่ทุคติได้ แต่ว่าอยู่นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกรรมดีที่เขาทำไว้ พอจิตอกุศลก่อนตายมันหมดพลัง ความดีที่ได้ทำไว้ตอนมีชีวิตอยู่ก็จะฉุดเขาขึ้นมา สมัยพุทธกาลก็มีพระที่ได้จีวรมาก็ยินดีในจีวร ปลื้มปิติแต่ไม่ทันได้ใช้ก็ตาย แต่ตอนใกล้ตายก็ห่วงถึงจีวร ในคัมภีร์กล่าวว่าตายแล้วเป็นเล็นอยู่ในจีวรนั้น อยู่ 7 วัน พอตายก็ไปสวรรค์ เพราะทำความดีมาก่อน คนทำชั่วก็เช่นกัน ให้จิตนึกไปในทางที่ดี ในความเป็นจริงทำได้ยาก แต่อาจเป็นไปได้เพราะมีสิ่งแวดล้อมช่วย ก็ได้ไปสู่สุคติ แต่ถ้าเกิดว่า กรรมดีนั้นหมดพลัง กรรมชั่วที่ทำไว้ก็ฉุดลงสู่ทุคติได้ สรุปคือสิ่งที่ทำมาตลอดชีวิตมีผลที่สุด ส่วนอีกด้านหนึ่งที่ผมสงสัยคือ
สิ่งที่เขาทำเป็นความชั่วแต่เข้าใจว่าเป็นสิ่งดี อย่างการสร้างเขื่อนตายไปเขารับกรรมดีหรือชั่ว?
อันนี้ขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นหลัก เขาอาจเจตนาดี เพื่อความเจริญของบ้านเมือง แต่ไม่ได้รับรู้ว่าก่อผลกระทบอะไรบ้าง ก็อาจจะไม่ส่งผลเท่าไหร่ แต่ถ้าเขารับรู้แล้วเขายังยืนกรานทำต่อไป อันนั้นจะเป็นอกุศลกรรมขึ้นมา แต่ที่จริงมันซับซ้อนกว่านั้น อย่างเมื่อคนมีทุกข์จากการสร้างเขื่อน เขาอาจมีการประท้วง ต่อต้าน ก็อาจเกิดเป็นกฎแห่งกรรมที่อาจส่งผลกับเขาได้ ถ้าเขารู้ตัว เขาเปลี่ยนแปลงก็อาจสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ แต่ถ้าเขาไม่ตระหนักไม่สนใจ ก็ทำให้จิตใจเขาแย่ลงไปได้
กรรมจากเจตนาและไม่เจตนาต่างกันด้วย?
อยู่ที่เจตนาเป็นหลัก ถ้าไปเหยียบมดโดยไม่เจตนาก็ไม่ใช่กรรมชั่ว
จากที่พระอาจารย์พูดมาเป็นเรื่องเชื่อได้ยากเพราะมองไม่เห็น เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งนี้มีจริง?
พระพุทธเจ้าให้ข้อคิดว่า เรื่องที่เป็นชาติหน้าอาจพิสูจน์ยาก ก็ให้ดูว่ามันมีประโยชน์ในชาติปัจจุบันหรือเปล่า เราก็พบว่าคนที่จิตเขาสงบ เขาก็ตายอย่างไม่ทุรนทุราย ไม่กระสับกระส่าย เขาขึ้นสวรรค์หรือไม่ เราไม่รู้ แต่เราพบว่าเขาไปอย่างสงบ ซึ่งดีกับตัวเขาเอง และดีต่อญาติมิตร สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตา ประจักษ์ได้นี่มันพิสูจน์ได้ เมื่อน้อมจิตเข้าไปในทางที่เป็นกุศล ก็ตายสงบ ที่เราเรียกว่าตายดี
ที่ว่าการบรรลุธรรมในภาวะสุดท้าย เป็นอย่างไรครับ?
การบรรลุธรรม คือการที่ได้เห็นความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน การได้เห็นว่าสังขารนี้มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แต่ก่อนเคยยึดถือว่าต้องเที่ยง พอไปยึดถือเช่นนี้เราเลยทุกข์ทรมาน เมื่อเจ็บเมื่อป่วย และเมื่อใกล้ตาย ยิ่งยึดเท่าไร ก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งปวด ยิ่งทุกข์ ตรงนี้ธรรมชาติจะสอน สภาวะยามใกล้ตายจะแสดงตัวชัด ธรรมชาติกำลังตะโกนใส่หน้าเราว่า สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงโว้ย สังขารเป็นทุกข์โว้ย ถ้าเป็นคนที่มีสติ ก็จะได้คิด แล้วก็ปล่อยวาง เมื่อปล่อยวางจิตก็หลุดพ้น บรรลุธรรมคือจิตหลุดพ้น เพราะเกิดปัญญา เห็นความไม่เที่ยง
ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของสังขาร ในภาวะที่เจ็บป่วย มันสอนใจได้ดี ตอนมีสุขเกิดความหลงได้ง่าย คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งมีความมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในอำนาจ อยู่ในกำมือของเรา สามารถบันดาลให้ไปตามใจฉันได้ อยากรวยก็ได้รวย อยากชนะก็ชนะ แต่เมื่อใกล้ตายนี่เห็นชัดเลยว่า สังขารนอกจากไม่เที่ยงเป็นทุกข์แล้ว ยังไม่อยู่ในกำมือและการควบคุมของเรา เราอยากให้หายก็ไม่หาย ไม่อยากให้ปวดก็ปวด ตรงนี้แหละธรรมชาติกำลังแสดงธรรมใส่หน้าเราว่า มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันไม่เที่ยง ทำให้เกิดปัญญาถ้ามีสติ แต่ถ้ายังดื้อรั้นก็ยิ่งปวดยิ่งทุกข์
ความตายเหมือนก้อนหิน ถ้าแบกก็หนัก แต่ก้อนหินใหญ่แค่ไหนก็ตามถ้าไม่ไปแบกมันก็ไม่หนัก ความตายก็เหมือนกัน มันยิ่งใหญ่แค่ไหน ถ้าไม่แบกมันก็ไม่หนัก แต่ที่เป็นทุกข์ก็เพราะไปแบก สังขารมันทุกข์เพราะเราแบก ปล่อยวางเสียมันก็เบา บรรลุธรรมก็ตรงนี้
อาจารย์พุทธทาสท่านก็บอก ความเจ็บป่วยนี่เหมือนอาจารย์สอนธรรมเรา ทำให้เกิดปัญญา ให้เข้าใจธรรมชาติความเป็นจริงในชีวิตได้
บางคนอยากให้หลับไปเลย อย่างนั้นเป็นการตายดีหรือเปล่า?
ไม่มีความแน่ใจว่า การหลับตายไปเลยนั้นจะเป็นการตายดีหรือเปล่า ก่อนตายอาจฝันร้าย น่ากลัว จนขาดใจตายไปเลย หรืออาจไม่ได้นึกคิดอะไรแต่เกิดอาการหัวใจวาย ซึ่งตอนนั้นอาจทำให้จิตทุรนทุราย และไปทุคติได้
คนที่ตายด้วยเจตนาดี อย่างพวกพลีชีพจะไปดีไหม?
ถ้าเป็นการทำร้ายคนอื่น จิตจะเจือไปด้วยความพยาบาท ความโกรธ ความเกลียด ความต้องการที่จะทำให้ชีวิตอื่นพินาศไป จิตแบบนี้เป็นจิตอกุศล ซึ่งถ้าตายไปด้วยจิตแบบนี้ ในทางพุทธศาสนาไม่ถือเป็นการตายดี แต่ในกรณีเช่น ผู้หญิงไปช่วยเด็กแล้วถูกรถชน ถ้าจิตสุดท้ายไม่ได้กลัว ไม่ได้ตื่นตระหนก ก็เป็นตายดีได้ หรือคนที่เขาไปช่วยอยู่กลางการปะทะ ไม่ให้มีการทำร้ายกัน เคยมีคนไปขวางรถถัง เป็นกำแพงมนุษย์ เขาทำด้วยจิตที่ไม่มีโกรธ ไม่ตื่นตระหนก ไม่ความกลัว การตายนั้นน่าจะเป็นการตายดีได้ ตายด้วยจิตที่ปรารถนาจะช่วยเพื่อนมนุษย์ ส่วนการฆ่าตัวตาย เจือไปด้วยจิตที่น้อยเนื้อต่ำใจ จิตที่เกลียดตัวเอง กระทำบางสิ่งเพื่อความสะใจ เช่นน้อยใจพ่อแม่ก็ฆ่าตัวตายเพื่อสะใจที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ แบบนี้ไม่เป็นการตายดี
ในสมัยพุทธกาลมีภิกษุภิกษุณีฆ่าตัวตายเหมือนกัน ด้วยความผิดหวัง แต่ในช่วงขณะจิตสุดท้ายเขามีสติรับรู้ ความเจ็บปวดรบกวน ก็เห็นว่าสังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ ไม่น่ายึดถือ ก็เกิดปัญญาขึ้น ปล่อยวางความยึดถือในสังขาร จิตก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่บรรลุธรรมเพราะฆ่าตัวตาย แต่เพราะเกิดปัญญาจากการได้เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นมเหสีสมัยพุทธกาล ถูกหลอกให้ไปติดอยู่ในปราสาท แล้วครอกไฟเผา ขณะที่กำลังเจ็บปวด นางบอกให้ทุกคนเอาเวทนาเป็นอารมณ์ เอาสติตั้งมั่น ก็บรรลุธรรมตอนนั้นเอง นี่ก็เป็นการตายดี แม้จะเจ็บปวด ศพไม่สวย ตายดีหรือไม่จึงอยู่ที่สภาวะจิต โดยเฉพาะจิตสุดท้าย ว่าจะตั้งมั่นอยู่ในกุศลหรือไม่
สิ่งที่คนเห็นก่อนตาย เกิดจริงหรือจิตปรุงแต่ง?
ถ้าตอบอย่างอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ ก็ว่าไอ้ที่เห็นน่ะจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง หมายความว่าจิตมันปรุงแต่ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือการปรุงแต่งของจิต หรือไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่ง แต่มีรากเหง้าที่มาอยู่ในจิต ไม่ใช่เพราะมีสิ่งข้างนอกเข้ามา กรรมนิมิตที่เกิดมาจากการกระทำในอดีตนี่ มันก็คือสิ่งที่เราสับสนในใจอยู่แล้ว เหตุการณ์ที่ประสบอยู่ทุกวินาทีตั้งแต่เกิดจนตาย มันไม่ได้สูญสลายไปไหน มันถูกเก็บอยู่ในจิตส่วนลึกของเรา สิ่งเหล่านี้บางทีเราก็ดึงออกมาใช้ได้ บางทีก็เอาออกมาไม่ได้ แต่ตอนใกล้ตาย สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ติดอยู่ในส่วนลึก พรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็ว ที่คนใกล้ตายเห็นนั้นเห็นจริง เราเห็นเหตุการณ์ในอดีต แต่ไม่ใช่เรากลับไปสู่อดีต เป็นเพียงภาพอดีตที่ปรากฏขึ้น
เรื่องยมทูตเป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะคนที่จวนตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้ เขาก็บอกว่าเขาได้เห็นคนที่ตายไปแล้วมารับเขา เราก็อาจจะบอกได้ว่าส่วนหนึ่งเกิดจากจิตที่เข้าไปรับรู้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หรืออาจจะมีวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมารับเขาจริง ๆ นี่ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน หรือจิตเขาอาจกำลังเคลื่อนเข้าสู่อีกภพหนึ่งที่ซ้อนอยู่กับภพมนุษย์ คือมันซ้อนกันอยู่ คนที่ใกล้ตาย จิตเขาสามารถที่จะเห็นทะลุไปถึงภพของคนตายได้ ซึ่งอาจซ้อนอยู่ทุกขณะอยู่แล้วแต่เราไม่เห็น เช่นเดียวกับที่มองไม่เห็นแสงอุลตร้าไวโอเล็ต ทั้งที่มันมีอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเสียงที่เราไม่ได้ยิน เพราะหูและตาเรารับได้จำกัด ไม่ใช่มันไม่มี แต่เรามองไม่เห็นเอง อาจเป็นไปได้ แต่ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน เป็นที่ยอมรับ
อยากให้พระอาจารย์แจงแจงคำว่าการทำดี?
ก็เช่นว่า แม่ที่เลี้ยงลูกมาจนโต เสียสละเพื่อลูก ทำให้ลูกพึ่งพาตัวเองได้ มีความเจริญก้าวหน้า นี่เป็นความดีที่น่าระลึกถึง หรือความดีของลูกที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ได้ช่วยดูแล หรือความดีในการเอื้อเฟื้อต่อเพื่อน ให้อภัยเพื่อน เสียสละเงินทองความสุขส่วนตัวเพื่อเพื่อน หรือความดีที่ทำกับศาสนา ทำบุญ สร้างศาลา กุฏิ หรือการประพฤติปฏิบัติธรรม การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ พาคนตาบอดข้ามถนน ช่วยเหลือสัตว์ มด ที่เดือดร้อน ทั้งหมดนี้คือความดีที่เราสามารถระลึกถึง หรือช่วยให้คนไข้ที่ใกล้ตายระลึกถึงความดีเหล่านี้ ทำให้เกิดความภูมิใจ แม้แต่โจรก็ต้องมีความดี ความดีที่เสียสละเพื่อเพื่อน การเป็นลูกที่ดี หรือพ่อแม่ที่ดี
ที่หวังว่าโครงการจะทำให้สังคม เปลี่ยนการดำเนินชีวิต เปลี่ยนไปเป็นอย่างไรครับ?
ประเด็นนี้พูดยาวนะ คือถ้าคนในสังคมเปลี่ยนทัศนะคติเกี่ยวกับความตาย จากการปฏิเสธหรือการไม่ยอมพูดถึงความตาย... ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยเอาแต่เสพสุข เอาเงิน เอาความสำเร็จเป็นเป้าหมาย โดยหลงลืมความตาย อยู่แบบลืมความตาย เอาแต่เสพสุข หรือบางคนนึก แต่คิดว่าไหน ๆ ก็จะตายขอเสพสุขให้เต็มที่ โดยไม่ได้คิดว่าความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต ความจริงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ถ้าคนเรานึกถึงความตาย เขาจะไม่มุ่งหาเงินทองอย่างเดียว แต่จะมุ่งสร้างความดี ทำชีวิตให้มีคุณค่า มีความอ่อนโยนต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าญาติมิตร ครอบครัว ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มีหลายคนที่บอกว่า ชีวิตนี้ตั้งใจทำงานหาเงินให้เต็มที่ เมื่อมีเงินจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว พิธีกรรายการหนึ่งก็เคยพูดอย่างนี้ เสร็จแล้วเมื่อเขาทำงานมา 10 กว่าปี ก็พบว่าเขาเป็นมะเร็ง จากที่ตั้งใจว่าจะทำงาน 20 ปี แล้วกลับมาอยู่กับครอบครัว แล้วก็ทำไม่ได้ เพราะเขาทำงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหว ตอนนั้นเขาก็มานึกเสียดายว่าชีวิตที่ผ่าน เขาไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวเลย เพราะคิดแต่ว่าครอบครัวไว้ทีหลัง ทำงานก่อน
ความตายจะมาเมื่อไรก็ไม่รู้ เราไม่สามารถกำหนดล่วงหน้าได้ มันจะมาเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราระลึกได้ว่า มันจะต้องเกิดขึ้นกับเราเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าระลึกถึงตรงนี้เขาจะใช้เวลาที่มีอย่างมีความหมายมากที่สุด อีกทั้งการใช้เวลาเพื่อการหาเงินเป็นความผิดพลาดเพราะฉะนั้นถ้าเราระลึกว่าเราต้องการตายดีก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมและตัวเอง และเมื่อเราไม่แน่ใจว่าจะตายเมื่อไหร่ เวลาแต่ละนาทีเราจะใช้ไปอย่างมีประโยชน์มากที่สุด การเที่ยว การสนุกสนานอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ครอบครัว การทำความดี การฝึกจิตฝึกใจจะกลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมา
ส่วนใหญ่บอกว่าครอบครัวเอาไว้ก่อน ปฏิบัติธรรมเอาไว้ก่อน ไว้ให้แก่จึงมีเวลา แต่ถึงเวลาหลายคนไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะลืมไปว่าความตายมาเมื่อไรก็ได้ ความตายไม่แน่นอนสำหรับเรา และไม่แน่นอนสำหรับคนอื่นอื่น เขาจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ฉะนั้นเมื่อเรารู้ว่าชีวิตของคนที่เรารัก ของคนที่เราเคารพก็ไม่แน่ไม่นอนเหมือนกัน การพบกันครั้งนี้อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก็ได้ อาจไม่ได้พบกันอีก ถ้าเราระลึกได้เช่นนี้ เราก็จะปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน การที่ด่ากัน ทะเลาะกัน แล้วคิดว่าไว้วันหลังค่อยคืนดีกัน มันอาจสายไปแล้วก็ได้ เขาอาจไปก่อนจะได้คืนดีกัน แต่ถ้าเราตระหนักว่าเขาจะไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เราก็จะเร่งที่จะคืนดี หรือไม่อยากทะเลาะกันเลยก็เป็นได้ เพราะรู้ว่าไม่นานเราก็จะตายจากกัน เราจะอ่อนโยนในการสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น
ในอีกแง่หนึ่ง ชีวิตเราจะปล่อยวางได้มากขึ้น เวลาของหาย งานการไม่ประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่กลุ้มใจ แต่พอเราระลึกถึงความตายจะรู้ว่า ไอ้เรื่องปัญหาเหล่านี้จิ๊บจ๊อยมากก็จะปล่อยวางมันได้ ถ้าเรามีความเข้าใจดีว่าความตายจะเกิดขึ้นกับเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้ เราจะระมัดระวังในการดำเนินชีวิตมากขึ้น และขณะเดียวกัน เมื่อเราตระหนักว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเสมอไป ความตายอาจเป็นโอกาสแห่งการยกระดับจิตใจเราจะไม่กลัวความตาย กล้าเผชิญความตายมากขึ้น ผ่านพ้นความตายไปได้ด้วยใจสงบ
ทุกวันนี้เราคิดว่าเราเป็นอมตะ เราก็เลยพยายามสร้างและสะสมอะไรมากมาย เหมือนกับว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้า สะสมเงินทองราวกับว่าจะได้ใช้ชั่วฟ้าดินสลาย เราจึงไม่เคยพอ แต่ถ้าเราคิดได้ว่าอายุคนเราอาจราวเพียง 100 ปี ก็จะตระหนักว่าการหาเงินมาเป็นร้อยล้านพันล้านก็เป็นความโง่อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะหากคิดว่าจะหาเงินเหล่านั้นมาเพื่อเสพสุข เพราะไม่มีทางจะได้ใช้หมด สุดท้ายก็เป็นของคนอื่นไป
สังคมและอารยธรรมจะเปลี่ยนไปถ้าเราตระหนักถึงความตาย อารยธรรมของทุกสังคมถูกกำหนดด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับความตาย เช่น อียิปต์ เขาคิดว่าจะฟื้นขึ้นใหม่ เขาเลยสร้างปิรามิด เอาศพไปฝังไว้ เพราะคิดว่าสักวันหนึ่งจะได้ฟื้นขึ้นมา เบียดเบียนซึ่งกันและกัน สร้างศาสนสถานใหญ่โต ด้วยความหวังว่าเราจะฟื้นคืนมาได้ สังคมบริโภคนิยมก็เหมือนกัน เป็นสังคมซึ่งคิดว่าตัวเองจะไม่ตายหรือว่าอยู่แบบลืมตาย ก็เลยสะสมสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้
พระอาจารย์พูดเมื่อครู่นี้ว่าความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต เป็นอย่างนั้นจริงหรือครับ?
ในแง่ของชาวพุทธ ไม่มีอะไรเลยที่จบ น้ำ เมื่อระเหย ไม่ไปไหน เป็นไอ ไอน้ำก็ไม่ไปไหน กลายเป็นเมฆแล้วกลายเป็นฝน เมื่อสัตว์หรือพืชตายก็ไม่จบ ซากเป็นขยะ จากขยะเป็นปุ๋ย จากนั้นก็เป็นต้นไม้ เป็นผัก จากนั้นก็เป็นสัตว์อีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการจบสิ้น ความตายไม่เคยเป็นการสิ้นสุดของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยในธรรมชาติ และความตายก็เป็นจุดเริ่มต้นของหลายสิ่ง เพราะฉะนั้นในธรรมชาติไม่มีอะไรสูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง มีแต่แปรสภาพหรือเปลี่ยนไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง หรือนำไปสู่การเริ่มต้นอีกสิ่งหนึ่ง กายและใจของเราก็ตามก็จะยังไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยให้เกิดความสืบเนื่องต่อไป
ในพุทธศาสนากายและใจของคนก็เหมือนกับเทียน ถ้ายังมีเชื้ออยู่ มีไส้อยู่ ไฟก็ต้องมี ถึงไฟจะดับไป ตะเกียงนั้นก็สามารถจะเกิดเปลวไฟเปลวใหม่ขึ้นมา มันจะไม่มีเปลวไฟก็ต่อเมื่อน้ำมันหมด หรือไส้ตะเกียงหมด คนเราถ้ายังมีกิเลสอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ก็ยังมีการเกิดอยู่ ต่อเมื่อกิเลสหมด ความยึดถือในตัวตนหมดมันถึงจะเป็นไฟที่ดับอย่างสิ้นเชิง เพราะไส้และน้ำมันหมดไปแล้ว
ได้แล้วกระมังครับ?
โอเค
ได้เนื้อหาครบ พอดีเวลาด้วย
อืม โอเค
สัมภาษณ์ พระไพศาล วิสาโล ประเด็นความตาย
วันที่ ๑๗-๑๙ มีนาคม ๒๕๕๐ ณ สวนสายน้ำ หาดใหญ่ สงขลา
โดย : วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง
คัดลอกจาก -http://www.visalo.org/columnInterview
-http://languagemiracle.blogspot.com/2010/12/blog-post_3442.html