ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 09, 2013, 11:53:42 pm »



                 

                 เพราะการเกิดทุกชาติในภพทั้งปวง ประกอบ
                            ด้วยความตายและพยาธิ นิพพานนี้ไม่แก่ ไม่ตาย เป็นทางดำเนินถึง
                            ความไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแคบเพราะข้าศึก ไม่มี
                            ความพลั้งพลาด ไม่มีภัย ไม่มีความเดือดร้อน อมตนิพพานนี้ อันพระ
                            อริยเจ้าเป็นอันมากได้บรรลุมาแล้ว และอมตนิพพานนี้ อันบุคคลผู้

                            พยายามโดยอุบายอันแยบคายจะพึงได้แม้ในวันนี้ แต่บุคคลผู้ไม่พยายาม
                            ไม่อาจจะได้แม้ในกาลไหนๆ นางสุเมธาราชกัญญาตรัสอย่างนี้ เมื่อ
                            ไม่ได้ความยินดีในสังขาร เมื่อจะทรงยังพระเจ้าอนิกรัตต์ให้ทรงยินยอม
                            จึงทรงโยนผมที่ทรงตัดแล้วด้วยพระขรรค์ไปที่พื้นดิน พระเจ้าอนิกรัตต์
                            เสด็จลุกขึ้นประคองอัญชลี ทูลขอกะพระบิดาของนางสุเมธาราชกัญญา

                           

                            นั้นว่า ของจงทรงโปรดปล่อยให้นางสุเมธาบวชเถิด นางจะเป็นผู้เห็น
                            วิโมกข์และสัจจะ ก็นางสุเมธาราชกัญญา อันพระชนกชนนีทรงปล่อย
                            แล้ว เป็นผู้กลัวต่อภัย คือความโศกออกบวชแล้ว เมื่อศึกษาอยู่ ได้
                            กระทำให้แจ้ง ซึ่งอภิญญา ๖ กระทำให้แจ้งซึ่งผลอันเลิศ คืออรหัตผล
                            นิพพานของนางสุเมธาราชกัญญา เป็นธรรมน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี

                            เมื่อจะแสดงวิธีตามที่ตนได้ประพฤติแล้วในปุพเพนิวาสญาณ พระสุเมธา
                            เถรีจึงพยากรณ์ในเวลาปรินิพพานว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่า
                            โกนาคมน์ เสด็จอุบัติแล้วในโลก เมื่อสังฆารามตั้งลงใหม่ๆ ข้าพเจ้า
                            เป็นหญิง ๓ คน เป็นสหายกัน (คือนางธนัญชานี นางเขมา และ
                            ข้าพเจ้า) ได้ถวายอารามให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ ข้าพเจ้าทั้ง ๓ ได้อุบัติ

                           

                            ในเทวโลก ๑๐ ครั้ง ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง และ ๑๐,๐๐๐ ครั้ง ไม่
                            ต้องพูดถึงการเกิดในหมู่มนุษย์ ข้าพเจ้าทั้ง ๓ เป็นผู้มีมหิทธิฤทธิ์ในเทวโลก
                            ทั้งหลาย ไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นผู้มีมหิทธิฤทธิ์ในหมู่มนุษย์ ข้าพเจ้า
                            ได้เป็นพระมเหสีนารีรัตน์ของพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีรัตนะ ๗ ประการ การ
                            ที่เราสร้างอารามถวายให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ ในการแห่งพระพุทธเจ้า

                            พระนามว่าโกนาคมน์นั้นเป็นเหตุ เป็นแดนเกิดแห่งทิพยสมบัติตามที่
                            กล่าวมาแล้ว ทั้งเป็นรากเหง้า เป็นเหตุให้อดทนในคำสั่งสอน เป็นเหตุ
                            ให้ตั้งลงมั่นครั้งแรกในพระศาสนา และเป็นที่สุดสิ้นแห่งความเพียรของ
                            ข้าพเจ้าผู้ยินดีแล้วในธรรม บุคคลเหล่าใดย่อมเชื่อพระดำรัสของพระ
                            สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีปัญญาไม่ต่ำทราม บุคคลเหล่านั้นย่อมกล่าวอย่างนี้
                            ย่อมเบื่อหน่ายในภพ ครั้นเบื่อหน่ายแล้ว ย่อมคลายกำหนัด.




ในเถรีคาถานี้ รวมเป็นคาถา ๕๘๐ คาถา
พระเถรี ๑๗ รูปนั้น  ล้วนแต่เป็น  ผู้สิ้นอาสวะ.





: http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=512.75
Pics by : Google
อกาลิโกโฮม.. บ้าน ที่แท้จริง...
กุศลผลบุญใดที่พึงบังเกิดจากธรรมทานเหล่านี้ ขอจงเป็นบุญเป็นปัจจัย
แด่ท่านผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธรรมทานเหล่านี้ ทุกๆท่าน
รวมทั้งท่านเจ้าของภาพ ทุกๆภาพ เรียนขออนุญาตใช้ภาพ

ไว้ ณ ที่นี้... นะคะ
อนุโมทนาสาธุ.. ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 09, 2013, 11:12:15 pm »



                 

                 ขอจงทรงนึกถึงมหาสมุทรทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงน้อม
                           เข้าไปเปรียบในน้ำตา น้ำนม และเลือด จงทรงนึกถึงกองกระดูกของ
                           คนหนึ่งในกัปคนหนึ่งเท่าภูเขาวิบุลบรรพต
จงทรงนึกถึงแผ่นดินใหญ่
                           คือ ชมพูทวีป ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบด้วยมารดาบิดาของบุคคลผู้
                           ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร แผ่นดินใหญ่เมื่อแบ่งออกเป็นก้อนกลมๆ

                           เท่าเมล็ดพุทรา ยังไม่เพียงพอในมารดาบิดาเลย จงทรงนึกถึงหญ้า ไม้
                           กิ่งไม้และใบไม้ ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงเปรียบด้วยมารดาบิดาของ
                           บุคคล ผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร เพราะสงสารมีที่สุดอันรู้ไม่ได้ หญ้า
                           ไม้ กิ่งไม้และใบไม้ชิ้นหนึ่งประมาณเท่า ๔ นิ้ว ยังไม่เพียงพอในบิดา
                           ทั้งหลายเลย และชิ้นหนึ่งมีประมาณเท่านั้น ยังไม่เพียงพอใน ปู่ ย่า ตา

                           

                           ยาย ทรงนึกถึงเต่าตาบอด และช่องแอกอันหมุนวนไปในทิศบูรพา
                           และทางอื่นๆ อีก ในมหาสมุทร มาสวมศีรษะเต่าตาบอดตัวนั้น ข้อนี้
                           อุปมาดังการได้อัตภาพเป็นมนุษย์
จงทรงนึกถึงรูปแห่งโทษ คือการอันหา
                           สาระมิได้ เปรียบเหมือนก้อนฟองน้ำ จงทรงพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลาย
                           อันไม่เที่ยง
จงทรงคำนึงถึงนรกอันมีความคับแค้นมาก จงทรงนึกถึง

                           สัตว์ทั้งหลายผู้พอกพูนป่าช้าอยู่บ่อยๆ ในชาตินั้นๆ จงทรงนึกถึงภัย
                           อันเกิดแต่ท้อง จงทรงนึกถึงอริยสัจ ๔ เมื่ออมตมหานิพพานมีอยู่
                           จะมีประโยชน์อะไรด้วยของเผ็ดร้อน ๕ ประการ
ที่พระองค์ทรงดื่มแล้ว
                           เพราะว่าความยินดีในกามทั้งปวง มีความเผ็ดร้อน ๕ ประการอีก เมื่อ
                           อมตมหานิพพานมีอยู่ พระองค์จะต้องการอะไร ด้วยกามทั้งหลายอัน

                           

                           เป็นเหตุให้เร่าร้อนเล่า เพราะว่าความยินดีในกามทั้งปวง อันไฟ ๑๑
                           กองให้รุ่งเรืองแล้ว ให้เดือดพล่านแล้ว ให้กำเริบแล้ว ให้ร้อนพร้อม
                           แล้ว เมื่อการออกจากกามอันไม่มีข้าศึกมีอยู่ ไฉนพระองค์จึงทรงต้องการ
                           ด้วยกามทั้งหลายอันมีข้าศึกมากเล่า กามทั้งหลายมีข้าศึกมาก ทั่วไปด้วย
                           พระราชา ไฟ โจร น้ำและบุคคลอันไม่เป็นที่รัก
เมื่อความพ้นมีอยู่

                           ไฉนพระองค์จึงต้องการด้วยกามทั้งหลายอันเป็นเหตุให้ถูกฆ่าถูกจำจองเล่า
                           เพราะว่าการถูกฆ่าและถูกจำจองก็เพราะกามทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายได้
                           เสวยทุกข์ต่างๆ เพราะความใคร่ในกาม คบเพลิงหญ้าอันไฟติดโชน
                           ย่อมไหม้คนผู้ถืออยู่และไม่ทิ้ง เพราะว่ากามทั้งหลายเปรียบดังคบเพลิง
                           ย่อมไหม้คนผู้ที่ไม่ละ
พระองค์อย่าทรงละสุขอันไพบูลย์ เพราะเหตุ
                           แห่งกามสุขอันเล็กน้อยเลย
พระองค์อย่าทรงเป็นเหมือนปลากลืนกิน
                           เบ็ด แล้วเดือดร้อนในภายหลัง พระองค์อย่าหมุนไปผิด เพราะกาม

                           ทั้งหลาย ดังสุนัขอันถูกเขาล่ามโซ่ไว้เลย สัตว์ทั้งหลายผู้มีความอยาก
                           เพราะกามจัด บริโภคกามนั้น เหมือนเสือปลาถูกความหิวครอบงำ
                           ได้สุนัขแล้ว ถึงความพินาศฉิบหาย ฉะนั้น พระองค์ทรงประกอบด้วย
                           กาม จักต้องทรงเสวยทุกข์ หาประมาณมิได้ และโทมนัสแห่งจิตเป็น
                           เป็นอันมาก จงทรงสละกามทั้งหลายอันไม่ยั่งยืนเสียเถิด
เมื่อ
                           นิพพานอันเป็นธรรมไม่แก่มีอยู่ ไฉนพระองค์จึงต้องการด้วย
                           กามทั้งหลายที่มีความแก่เล่า


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 09, 2013, 09:25:14 pm »


               

                 เมื่อกาลจวนเข้ามาแล้ว ลำดับนั้น นางสุเมธาราชกัญญา ได้ทรงสดับว่า
                             พระเจ้าอนิกรัตต์เสด็จมา จึงเอาพระขรรค์ตัดพระเกศาอันดำสนิท อ่อน
                             สลวย งดงาม ปิดปราสาทแล้วเข้าปฐมฌาน นางสุเมธาราชกัญญาเข้า
                             สมาบัติเจริญอนิจจสัญญาอยู่ในปราสาทนั้นนั่นเอง
และพระเจ้าอนิกรัตต์
                             ได้เสด็จมาถึงพระนคร และนางสุเมธาราชกัญญากำลังมนสิการถึงอนิจจ-
                             สัญญาอยู่
พระเจ้าอนิกรัตต์มีพระองค์อันประดับด้วยแก้วมณีและทองคำ

                             ได้รีบเสด็จขึ้นสู่ปราสาท ทรงทำอัญชลีอ้อนวอนนางสุเมธาราชกัญญา
                             ว่า อำนาจ ทรัพย์ อิสริยยศ โภคะ ความสุข ในราชสมบัติ
                             หม่อมฉันขอมอบให้พระน้องนาง พระน้องนางยังเป็นสาว ขอจงบริโภค
                             กามสุขเถิด กามสุขเป็นของหาได้ยากในโลก ราชสมบัติหม่อมฉัน
                             ยอมสละให้น้องนาง ขอพระน้องนาง จงบริโภคโภคะทั้งหลาย จงให้

                             ทานเถิด อย่าทรงโทมนัสเลย พระชนกชนนีของพระน้องนางทรงเป็น
                             ทุกข์ นางสุเมธาราชกัญญาผู้ไม่มีความต้องการด้วยกามทั้งหลาย ปราศ-
                             จากโมหะ กราบทูลพระเจ้าอนิกรัตต์ว่า พระองค์อย่าทรงเพลิดเพลิน
                             ในกาม จงทรงเห็นโทษในกามทั้งหลาย
พระเจ้ามันธาตุผู้เป็นใหญ่ใน
                             ทวีปทั้ง ๔ เป็นผู้เลิศกว่าบุคคลผู้บริโภคกามทั้งหลาย ยังไม่ทรงอิ่มด้วยกาม

                             ทั้งหลาย ก็สวรรคตไป ความปรารถนาของท้าวเธอก็ยังไม่ทันบริบูรณ์
                             เลย
เทวดาผู้เป็นเจ้าแห่งฝน พึงบันดาลรัตนะ ๗ ประการให้ตกโดยรอบ
                             ทั่วทิศ ๑๐ ทิศ ความอิ่มด้วยกามทั้งหลายมิได้มี นรชนทั้งหลายผู้ไม่อิ่ม
                             ด้วยกามพากันตายไปหมด กามทั้งหลาย เปรียบด้วยดาบและหลาว
                             เหมือนหัวงูเห่า เปรียบดังคบเพลิงเผาอยู่เนืองๆ เหมือนร่างกระดูก

                             กามทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีทุกข์มาก เหมือนงูที่มีพิษ
                             มาก เหมือนก้อนเหล็กอันไฟติดทั่ว เป็นรากเหง้าแห่งทุกข์ มีทุกข์
                             เป็นผล กามทั้งหลายเปรียบเหมือนผลไม้อันเป็นพิษ เหมือนชิ้นเนื้อ
                             นำมาซึ่งทุกข์ กามทั้งหลายเปรียบเหมือนความฝันเป็นของหลอกลวง
                             เหมือนของที่ยืมเขามา เปรียบด้วยหอกและหลาว เป็นโรค เป็น

                             

                             ดังหัวฝี เป็นความทุกข์ยาก เป็นความลำบาก เช่นดังหลุมถ่านเพลิง
                             เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์เป็นภัย เป็นนายเพชฌฆาต กามทั้งหลาย
                             บัณฑิตกล่าวว่ามีทุกข์มาก มีอันตรายมากอย่างนี้
เชิญพระองค์เสด็จ
                             กลับเสียเถิด หม่อมฉันไม่มีความคุ้นเคยในสมบัติของตนเลย เมื่อไฟ
                             ไหม้อยู่ที่ศีรษะของตน ผู้อื่นจักช่วยทำประโยชน์อะไรให้หม่อมฉัน
เมื่อ

                             ชราและมรณะติดตามแล้ว ควรจะพยายามเพื่อทำลายชราและมรณะนั้น
                             นางสุเมธาราชกัญญา ทอดพระเนตรเห็นพระชนกชนนีและพระเจ้า
                             อนิกรัตต์เสด็จมายังไม่ทันถึง ประตูปิด ประทับนั่งร้องไห้อยู่ที่แผ่นดิน
                             จึงได้กราบทูลว่า สงสารของคนพาลทั้งหลายผู้ร้องไห้ถึงมารดา บิดา
                             พี่ชาย น้องชาย และตนเองซึ่งตายแล้วในสงสาร เป็นสภาพยาว
                             ขอพระองค์ทรงระลึกถึงน้ำตา น้ำนม เลือด และกองกระดูก
ของสัตว์ทั้งหลาย
                             ผู้ท่องเที่ยวอยู่ไปมา เพราะความที่สงสารมีที่สุดอันบุคคลรู้ไม่ได้

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 09, 2013, 08:51:36 pm »



                 

                  หม่อมฉันรู้อยู่ว่า ร่างกายนี้
                             เป็นของเปื่อยเน่าไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป เป็นของน่ากลัว ตัว
                             เป็นดุจกระสอบหนังอันเต็มด้วยซากศพ เต็มด้วยของไม่สะอาด ไหล
                             ออกมาอยู่เนืองๆ เหมือนอะไร หม่อมฉันรู้ว่า ร่างกายนี้เป็นดุจ
                             ซากศพอันปฏิกูลอย่างยิ่ง ฉาบทาไว้ด้วยเนื้อและเลือด เป็นที่อยู่แห่ง
                             หมู่หนอน เป็นเหยื่อเลือด พระชนกชนนีจะยกให้ใครทำไม กายนี้

                             ไม่นานนัก มีวิญญาณไปปราศจากแล้ว อันหมู่ญาติเกลียดอยู่ ย่อมทิ้ง
                             ถมป่าช้า เหมือนท่อนไม้ฉะนั้น มารดาบิดาของตนยังเกลียด พากันนำ
                             เอาซากศพนั้นไปทิ้งให้เป็นเหยื่อของสัตว์อื่นในป่าช้า แล้วกลับไปอาบน้ำ
                             จะกล่าวไปใยถึงประชุมชนทั่วไป ชนทั้งหลายยินดีแล้วในกายอัน
                             เปื่อยเน่า เป็นซากศพ ไม่มีแก่นสาร อันมีกระดูกมีเอ็นเป็นเครื่อง

                             ผูกรัด เต็มด้วยน้ำลาย น้ำตาและเหงื่อไคล
ผู้ใดมาแยกกายนั้นทำให้
                             เห็นทั้งภายในและภายนอก ผู้นั้นไม่อาจทนต่อกลิ่นกายได้ แม้มารดา
                             ของตนก็พึงเกลียด
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้โดยอุบายอันแยบคายว่า
                             ขันธ์ ธาตุและอายตนะ อันปัจจัยปรุงแต่ง มีชาติเป็นมูลเหตุ


                             

                             เป็นทุกข์ไม่น่าชอบใจ เพราะเหตุไรหม่อมฉันจะพึงปรารถนาพระดำรัส
                             ที่ขอร้องเล่า หอก ๓๐๐ เล่มอันลับแล้วใหม่ๆ พึงตกลงในกายทุกวันๆ
                             ความกระทบกระทั่ง แม้เป็นไปสิ้นร้อยปียังประเสริฐกว่า ฉันใด
                             ความสิ้นไปแห่งทุกข์พึงมี ฉันนั้น
ผู้ใดเป็นผู้รู้แจ้งพระดำรัสของพระ
                             ศาสดา โดยนัยตามที่กล่าวแล้ว พึงประสบความกระทบกระทั่ง แม้

                             ความสิ้นทุกข์ของผู้นั้นพึงประเสริฐยิ่ง และสงสารของคนพาลเหล่านั้น
                             ผู้ถูกชรา พยาธิและมรณะเบียดเบียนบ่อยๆ เป็นของยาว ความ
                             คับแค้นอันหาประมาณมิได้ บัณฑิตแสดงไว้ในเทวดา หมู่มนุษย์
                             กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน อสุรกาย เปรต นรก ในนรกมีทุกข์เป็นอันมาก
                             ความต้านทานในหมู่เทวดาทั้งหลายไม่มีแก่สัตว์ผู้ไปแล้วในวินิบาต ผู้

                             เศร้าหมอง
สุขอื่นจากสุข คือ นิพพานไม่มี ผู้ใดขวนขวายในคำสั่งสอน
                             ของพระทศพล เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย พยายามเพื่อละความเกิด
                             และตาย
ผู้นั้นชื่อว่าบรรลุนิพพาน ข้าแต่เสด็จพ่อ วันนี้ หม่อมฉัน
                             จักออกบวชแน่นอน จะมีประโยชน์อะไรด้วยโภคสมบัติอันหาสาระมิได้
                             กามทั้งหลายอันเสมอด้วยอาเจียน หม่อมฉันเบื่อหน่ายแล้ว กระทำให้
                             เป็นดังตาลยอดด้วน
นางสุเมธาราชธิดากราบทูลแด่พระชนกอย่างนี้ และ
                             นางสุเมธาราชธิดานั้น อันพระชนกชนนีประทานให้แก่พระเจ้าอนิกรัตต์
                             ใด พระเจ้าอนิกรัตต์นั้นแวดล้อมด้วยคนหนุ่มๆ ตระเตรียมมาแล้ว


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 09, 2013, 08:27:27 pm »



                 

สุเมธาเถรีคาถา
คาถาสุภาษิตของนางสุเมธาเถรี
                [๔๗๔]      เราเป็นธิดาของพระอัครมเหสีแห่งพระเจ้าโกญจะ ในนครมันตาวดี
                             ชื่อว่าสุเมธา เป็นผู้อันพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้กระทำตามคำสั่งสอนให้
                             เลื่อมใสแล้ว เป็นผู้มีศีล มีถ้อยคำไพเราะ เป็นพหูสูต ได้รับแนะนำ
                             ดีแล้วในพระพุทธศาสนา เข้าไปเฝ้าพระชนกและพระชนนี แล้วกราบ
                             ทูลว่า ขอพระชนกพระชนนีทั้งสองโปรดฟังคำของหม่อมฉัน หม่อมฉัน

                             ยินดีในนิพพาน เพราะว่าภพ ถึงแม้เป็นทิพย์ก็เป็นของไม่ยั่งยืน จะป่วย
                             กล่าวไปไยถึงกามทั้งหลายอันเป็นของเปล่า มีความยินดีน้อยมีความ
                             คับแค้นมาก กามทั้งหลายเผ็ดร้อนเปรียบด้วยอสรพิษ เป็นที่ทำให้
                             คนพาลหลงหมกมุ่นอยู่ คนพาลเหล่านั้นต้องถึงทุกข์ เดือดร้อน
                             ยัดเยียดอยู่ในนรกตลอดกาลนาน และเป็นเหตุทำให้คนพาลผู้มีความรู้

                             ชั่ว ไม่สำรวมด้วยกาย วาจาและใจ ทำความชั่วต่างๆ ย่อมเศร้าโศก
                             ในอบาย ในกาลทุกเมื่อ เป็นเหตุทำให้คนพาล ผู้มีปัญญาทราม ไม่มี
                             ความคิด ยินดีแล้วในทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้จักธรรมอันพระอริยเจ้า
                             แสดงอยู่ ทั้งไม่รู้จักอริยสัจ ข้าแต่เสด็จแม่ คนเหล่าใดไม่รู้จักสัจจะ
                             อันพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทรงแสดงแล้ว พากันชื่นชมภพ ปรารถนา

                             

                             การเกิดในเทวดา ชนเหล่านั้นมีอยู่เป็นอันมากในโลกนี้ การเกิดแม้
                             ในพวกทิพย์ในภพอันไม่เที่ยง ก็เป็นของไม่ยั่งยืนและพวกคนโง่เขลา
                             ย่อมไม่สะดุ้งกลัวต่อการเกิดร่ำไป พวกเขาจึงประสบวินิบาต ๔ คติ ๒
                             ในกาลทุกเมื่อ และการบวชของคนที่ตกอยู่ในวินิบาตทั้งหลาย ย่อม
                             ไม่มีในนรก ขอพระชนกชนนีทั้งสองทรงโปรดอนุญาตให้หม่อมฉันบวช
                             ในพระศาสนาของพระทศพลเถิด หม่อมฉันจักเป็นผู้มีความขวนขวาย

                             น้อย พยายามเพื่อละการเกิดการตาย จะเป็นประโยชน์อะไรด้วยภพ
                             อันพวกคนพาลพากันเพลิดเพลิน เป็นโทษทางกาย ไม่เป็นแก่นสาร
                             ขอพระชนกชนนี ทรงโปรดอนุญาตเถิด หม่อมฉันจะบวชเพื่อดับตัณหา
                             ในภพ การเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หม่อมฉันไม่ได้พบแล้ว
                             ขณะอันเป็นขณะไม่ควร หม่อมฉันก็ได้แล้ว หม่อมฉันไม่พึงประทุษร้าย
                             ศีลและพรหมจรรย์ตลอดชีวิต เมื่อนางสุเมธาราชกัญญากราบทูลอย่างนี้

               ลำดับนั้น พระชนกชนนีได้ตรัสกะนางสุเมธาราชกัญญาว่า
                             มารดาบิดาเป็นคฤหัสถ์ถึงจะตกอยู่ในอำนาจของความตาย ก็จักไม่ยอมละทิ้ง
                             มารดาเป็นทุกข์ร้องไห้และบิดาก็เป็นทุกข์ ถูกความโศกครอบงำแล้วเหมือนกัน
                             พยายามปลอบโยนนางสุเมธาซึ่งฟุบอยู่ที่แผ่นดินที่พื้นปราสาทว่า ลุกขึ้น
                             เถิดลูกรัก จะเศร้าโศกไปทำไม มารดาบิดาได้ยกเจ้าให้พระนครวารณวดี
                             แล้ว คือ ได้ยกเจ้าให้พระเจ้าอนิกรัตต์ผู้มีรูปงาม เจ้าจักเป็นพระ
                             อัครมเหสีของพระเจ้าอนิกรัตต์ ลูกรักเอ๋ย ศีลพรหมจรรย์และการบวช

                             กระทำได้ยาก อำนาจในแว่นแคว้นของพระเจ้าอนิกรัตต์ ทรัพย์ ความ
                             เป็นอิสสระ โภคะ ความสุขถึงสกุลนี้และสกุลของพระสวามีทั้งหมด
                             ลูกปรารถนาแล้ว ก็จักอยู่ในเงื้อมมือของลูก แม้ลูกก็ยังเป็นสาว จงบริโภค
                             กามทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นมารดาบิดาจึงขอร้องไว้ ขอลูกจงอยู่เถิด
                             ลำดับนั้น นางสุเมธาราชกัญญาจึงกราบทูลพระชนกชนนีว่า อำนาจ
                             เป็นต้นเช่นนี้ขอจงอย่ามีเลย เพราะภพไม่เป็นแก่นสาร หม่อมฉันจัก
                             บวช
หรือถ้าทรงขอร้องไว้ก็จักตายเท่านั้น


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 09, 2013, 07:56:33 pm »





                มารดาบิดาของเขาจึงห้ามว่า
                             ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าพูดอย่างนั้นเลย นางอิสิทาสีเป็นบัณฑิตฉลาดรอบคอบ
                             ขยันไม่เกียจคร้าน ไฉนจึงไม่ชอบใจเจ้าล่ะลูก.
                             นางอิสิทาสีไม่ได้เบียดเบียนอะไรฉันเลย แต่ว่าฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับ
                             นางอิสิทาสีเท่านั้น ฉันไม่อยากเห็น ไม่ต้องการ ฉันจักลาบิดามารดา
                             ไปละ.

                             และบิดาของสามีของดิฉันฟังคำของเขาแล้ว ได้ถามดิฉันว่า เจ้าทำผิด
                             อย่างไร สามีของเจ้าจักละทิ้งเจ้าเช่นนี้ เจ้าจงบอกสิ่งที่เจ้าได้ทำตามจริงเถิด.
                ดิฉันตอบว่า
                             ดิฉันไม่ได้ทำผิดอะไร ทั้งไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนอะไร และไม่ได้
                             ดูหมิ่นอะไร ดิฉันจักอาจกล่าวคำชั่วหยาบอะไร อันเป็นเหตุให้สามี
                             โกรธดิฉันได้เล่า มารดาและบิดาแห่งสามีเสียใจ ถูกทุกข์ครอบงำแล้ว
                             เหมือนกัน แต่หวังจักรักษาบุตรไว้ จึงได้นำดิฉันกลับไปส่งคืนให้โยม
                             บิดาของฉันที่เรือน
ดิฉันเป็นหญิงหม้ายมีรูปสวยเที่ยวไป ภายหลัง
                             โยมบิดาของดิฉัน ได้ยกดิฉันให้แก่กุลบุตรผู้มีทรัพย์สมบัติน้อยกว่าสามี
                             เก่าครึ่งหนึ่ง โดยสินสอดครึ่งหนึ่ง ต่อกับสินสอดที่เศรษฐีคนเก่าได้มั่น

                             ดิฉัน ดิฉันอยู่ที่เรือนของสามีคนที่สองนั้นเดือนหนึ่ง ต่อมาเขาได้ขับ
                             ดิฉันผู้บำรุงบำเรออยู่ดังนางทาสี ประพฤติตัวดีมีศีลจากเรือนเขาอีก
                             โยมบิดาของดิฉันบอกกะบุรุษคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกจิตแห่งชนเหล่าอื่น มีกาย
                             และวาจาอันฝึกแล้ว เที่ยวขอทานอยู่ว่า เจ้าจงทิ้งผ้าขี้ริ้วและหม้อเสีย
                             จงมาเป็นลูกเขยเราเถิด เขาอยู่กับดิฉันได้ครึ่งเดือน ก็บอกโยมบิดาของ
                             ดิฉันว่า ท่านจงให้ผ้าขี้ริ้ว หม้อ และกระเบื้องขอทานแก่ข้าพเจ้า

                             ข้าพเจ้าจะไปเที่ยวขอทานอีก ลำดับนั้น โยมบิดามารดากับพวกหมู่ญาติ
                             ของดิฉันทั้งหมดพากันถามคนขอทานนั้นว่า สิ่งใดที่เจ้าทำไม่สำเร็จใน
                             ที่นี้ ขอเจ้าจงรีบบอกเร็วๆ เขาจักทำสิ่งนั้นๆ ให้เจ้า เมื่อโยมบิดา
                             มารดาและพวกญาติของดิฉันพูดอย่างนี้แล้ว คนขอทานนั้นจึงตอบว่า
                             เราอาจทำตัวของเราให้เป็นไทยโดยแท้ แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการอยู่ร่วม
                             เรือนหลังเดียวกับนางอิสิทาสีได้ โยมบิดาของดิฉันปล่อยให้เขาไป

                             ดิฉันผู้เดียวคิดว่า จักลาโยมมารดา โยมบิดาไปตาย หรือไปบวชดีกว่า
                             ลำดับนั้น พระแม่เจ้า ชินทัตตาผู้ทรงไว้ซึ่งวินัย เป็นพหูสูต มีศีล
                             สมบูรณ์ มาเที่ยวบิณฑบาตที่สกุลโยมบิดาของดิฉัน ดิฉันเห็นท่าน
                             จึงลุกไปจัดอาสนะของดิฉันถวายท่าน และเมื่อท่านนั่งเสร็จแล้ว ดิฉัน
                             กราบเท้าและถวายโภชนาหารแก่ท่าน ดิฉันเลี้ยงดูท่านด้วย ข้าว น้ำ
                             ของเคี้ยว และสิ่งที่จัดไว้ในเรือนให้อิ่มหนำแล้ว จึงกราบเรียนว่า

                             พระแม่เจ้า ดิฉันปรารถนาจะบวช ลำดับนั้น โยมบิดาบอกกะดิฉันว่า
                             ลูกเอ๋ย ขอเจ้าจงอยู่ประพฤติธรรมในเรือนนี้เถิด และเจ้าจงเลี้ยงดู
                             สมณะพราหมณ์ทั้งหลายด้วยข้าวน้ำเถิด ครั้งนั้น ดิฉันประนมอัญชลี
                             ร้องไห้ พูดกะโยมบิดาว่า ขอคุณพ่อจงอนุญาตลูกเถิด ลูกจักยังกรรมที่
                             ทำมาแล้วให้พินาศ โยมบิดาพูดกะดิฉันว่า ของเจ้าจงบรรลุโพธิญาณ
                             แลธรรมอันประเสริฐ และจงได้นิพพานที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่า

                             สัตว์ทรงทำให้แจ้งแล้ว ดิฉันไหว้โยมบิดามารดาและพวกญาติทั้งปวง
                             แล้วออกบวชได้ ๗ วัน ก็ได้บรรลุวิชชา ๓ ดิฉันระลึกชาติหนหลัง
                             ของตนได้ ๗ ชาติ วิบากแห่งกรรมอันชั่วช้าใด ซึ่งเป็นผลให้เกิดความ
                             ไม่พอใจแก่สามี ดิฉันจะบอกวิบากแห่งกรรมนั้นแก่ท่าน
ขอท่านจง
                             มีใจเป็นหนึ่งแน่นอนฟังวิบากแห่งกรรมนั้นเถิด
เมื่อก่อนดิฉันเป็นนาย
                             ช่างทอง มีทรัพย์มาก อยู่ในนครเอรกกัจฉะ เป็นคนมัวเมาเพราะความ

                             มัวเมาด้วยความเป็นหนุ่ม
ได้คบชู้ภรรยาของบุคคลอื่น
ดิฉันจุติจากชาติ
                             นั้นแล้ว ต้องหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดกาลนาน ครั้นพ้นจากนรกนั้นแล้ว
                             เกิดในท้องแห่งนางวานร พอคลอดได้ ๗ วัน วานรใหญ่ที่เป็นนายฝูง
                             ก็กัดอวัยวะสืบพันธุ์ของดิฉันเสีย นี่เป็นผลกรรมของดิฉันที่ได้คบชู้
                             ภรรยาของชายอื่น ดิฉันทำกาละจุติจากกำเนิดวานรนั้นแล้ว เกิดในท้อง
                             นางแพะตาบอดทั้งขาก็ฉิ่งในแคว้นสินธู อยู่มาได้ ๑๒ ปี ก็ถูกเด็กตัด

                             อวัยวะสืบพันธุ์เสีย ต่อมาเป็นโรคถูกหมู่หนอนฟอนที่อวัยวะสืบพันธุ์ นี่
                             เพราะโทษที่ดิฉันคบชู้ภรรยาของชายอื่น ดิฉันจุติจากกำเนิดแพะนั้นแล้ว
                             เกิดในท้องแม่โคของพ่อค้าคนหนึ่ง เป็นลูกโคมีขนแดงเหมือนสีครั่ง
                             เมื่อล่วงได้ ๑๒ เดือน ก็ถูกตอน ดิฉันถูกเขาใช้เทียมไถและเข็นเกวียน
                             ต่อมาเป็นโคตาบอด เป็นโคกระจอก เป็นโคขี้โรค นี่เพราะโทษที่ดิฉัน
                             คบชู้ภรรยาของชายอื่น ดิฉันจุติจากกำเนิดโคนั้นแล้ว เกิดในเรือนของ

                             

                             นางทาสีในถนน จะเป็นหญิงก็ไม่ใช่ เป็นชายก็ไม่เชิง นี่เพราะโทษที่
                             ดิฉันคบชู้กับภรรยาของชายอื่น
ดิฉันมีอายุได้ ๓๐ ปี ก็ถึงแก่กรรม
                             แล้วมาเกิดเป็นลูกหญิงในสกุลช่างสานเสื่อ เป็นสกุลขัดสน มีทรัพย์
                             น้อย ถูกแต่เจ้าหนี้รุมทวงอยู่เป็นนิตย์ ต่อมาเมื่อหนี้เจริญมากขึ้น
                             พ่อค้าเกวียนคนหนึ่งมาริบทรัพย์สมบัติแล้ว ฉุดเอาดิฉันลงจากเรือนแห่ง
                             สกุล ภายหลังที่ดิฉันมีอายุครบ ๑๖ ปี บุตรของพ่อค้าเกวียนนั้นมีชื่อว่า

                             คิริทาส ได้เห็นดิฉันเป็นสาวกำลังรุ่น มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ขอไปเป็นภรรยา
                             แต่นายคิริทาสนั้นมีภรรยาอื่นอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนมีศีลทรงคุณสมบัติ
                             ทั้งมียศ รักใคร่สามีเป็นอย่างดียิ่ง
ดิฉันบังคับนายคิริทาสให้ขับไล่
                             ภรรยาของตน สามีทุกคนได้หย่าร้างดิฉันผู้บำรุงอยู่เหมือนนางทาสีไป
                             นี่ผลกรรมที่ขับไล่ภรรยาของชายอื่น
และการบังคับสามีให้ขับไล่ภรรยา
                             ตน ที่สุดแห่งบาปกรรมนั้นดิฉันทำเสร็จแล้ว.


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 09, 2013, 06:25:39 pm »



               

   อิสิทาสีเถรีคาถา
   คาถาสุภาษิตของนางอิสิทาสี-โพธีเถรี
                [๔๗๓]      ภิกษุณี ๒ รูปผู้ทรงคุณธรรม เป็นกุลธิดาในศากยสกุล ในนคร
                             อันมีชื่อว่าโกสุม คือ เมืองปาตลีบุตร เดี๋ยวนี้ จักเป็นมณฑลแห่ง
                             แผ่นดิน ในภิกษุณี ๒ รูปนั้น รูปหนึ่งชื่ออิสิทาสี รูปหนึ่งชื่อโพธี
                             เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ยินดีในการเพ่งฌาน เป็นพหูสูต เป็นผู้
                             กำจัดกิเลสได้แล้ว ภิกษุณีทั้ง ๒ รูปนั้น ไปเที่ยวบิณฑบาตกลับมา
                             แล้ว ทำภัตกิจเสร็จล้างบาตรแล้ว นั่งพักสบายอยู่ในที่อันสงัด ได้
                             ไต่ถามและแก้ไขต่อกันอย่างนี้.

                พระโพธีถามว่า
                             ข้าแต่พระแม่เจ้าอิสิทาสี พระแม่เจ้าเป็นที่น่าเลื่อมใสอยู่ แม้วัยของท่าน
                             ก็ยังไม่เสื่อม ก็พระแม่เจ้าเห็นโทษอะไรจึงประกอบเนกขัมมะ?
                             พระอิสิทาสีนั้นเป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรมในฐานะแห่งบุญ เมื่อถูก
                             ถามอย่างนี้ จึงได้กล่าวตอบอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระแม่เจ้าโพธี ขอพระ-
                             แม่เจ้าจงฟังตาม
เรื่องที่ฉันบวชแล้ว.


                ต่อไปนี้เป็นคำวิสัชนา
                             โยมบิดาของดิฉันอยู่ในบุรีอันประเสริฐชื่อว่าอุชเชนี เป็นเศรษฐีผู้สำรวม
                             แล้วด้วยศีล ดิฉันเป็นธิดาผู้เดียวของท่าน ซึ่งเป็นที่รักที่ชอบใจและเป็น
                             ผู้อันท่านเอ็นดู ในเวลาที่ดิฉันเจริญวัยแล้ว เศรษฐีผู้มีรัตนะมาก เป็นสกุล
                             อันอุดมคนหนึ่งในเมืองสาเกต มาขอดิฉันเป็นสะใภ้ โยมบิดาได้ให้
                             ดิฉันเป็นสะใภ้ของเศรษฐีนั้น ดิฉันได้ไปสู่สำนักมารดาและบิดาของสามี

                             ทำการนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า ไหว้เท้าท่านทั้ง ๒ ทุกเช้าเย็น ท่านทั้ง ๒
                             สอนดิฉันอย่างไร ดิฉันก็ทำอย่างนั้น พี่หญิงน้องหญิง พี่ชายน้องชายหรือ
                             บ่าวไพร่ของสามีดิฉัน ไม่ว่าคนใด ดิฉันเห็นแล้วแม้ครั้งเดียว ก็มีความ
                             ยำเกรงให้อาสนะ ดิฉันต้อนรับด้วยข้าวน้ำและของเคี้ยว ซึ่งเป็นของที่
                             เขาจัดหาไว้ที่เรือน และสิ่งใดควรแก่ผู้ใด ก็ให้สิ่งนั้นแก่ผู้นั้น ดิฉัน
                             ลุกขึ้นแต่เช้าเข้าไปยังเรือนสามี ล้างมือล้างเท้าที่ธรณีประตูแล้ว ประนม
                             มือเข้าไปกราบสามี จัดหาหวี เครื่องผัดหน้า ยาหยอดตา แว่นส่องหน้า
                             มาตบแต่งสามีเสียเองเหมือนสาวใช้ ดิฉันหุงข้าวต้มแกงเอง ล้างภาชนะ

                             เอง มารดาบำรุงบำเรอบุตรน้อยคนเดียว ฉันใด ดิฉันก็บำเรอสามี
                             ฉันนั้น
ดิฉันมีความจงรักภักดี มีวัตรอันยอดยิ่ง ทำการงานอันหญิงพึง
                             ทำทุกอย่าง ไม่มีความถือเนื้อถือตัว ขยันไม่เกียจคร้าน สมบูรณ์ด้วย
                             ศีลอย่างนี้ สามีก็ยังโกรธ สามีของดิฉันพูดกะมารดาของเขาว่า ฉันจัก
                             ลาไป จักไม่อยู่ร่วมกับนางอิสิทาสี ฉันไม่ควรอยู่ร่วมในเรือนหลัง
                             เดียวกับนางอิสิทาสี
.


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 11:30:19 pm »




                เมื่อนักเลงนั้นประกาศความประสงค์ของตนอย่างนี้แล้ว พระเถรีเมื่อจะประกาศความที่
                สรีระเป็นสภาพเต็มด้วยซากศพต่างๆ
จึงได้กล่าวตอบว่า
                             ในร่างกาย ที่เต็มไปด้วยซากศพ อันจักทอดทิ้งไว้ในป่าช้า มีอันแตก
                             ทำลายไปเป็นธรรมดานี้ อะไรเล่าที่ท่านเข้าใจว่าเป็นแก่นสาร ท่านเห็น
                             สิ่งใดแล้ว มีความพอใจในสิ่งนั้น ขอจงบอกแก่เรา
.
                นักเลงนั้นกล่าวว่า
                             นัยน์ตาทั้งสองของท่านเหมือนนัยน์ตาลูกเนื้อ และเหมือนนัยน์ตานาง
                             กินนรีที่เที่ยวไปภายในภูเขา ความรักของเราเกิดขึ้นอย่างแรงกล้า เพราะ
                             เห็นดวงตาทั้งคู่ของท่าน กามคุณย่อมเจริญแก่เราโดยยิ่ง เพราะเห็นหน้า
                             และนัยน์ตาของท่านซึ่งเปรียบปานดังดอกบัว ปราศจากมลทิน งามดัง
                             แผ่นทองคำ แน่ะน้องหญิงผู้มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ทั้งยาวทั้งกว้าง แม้เราจัก
                             ไปไกลสักเท่าไร ก็จักไม่นึกถึงอะไรๆ อย่างอื่น จักนึกถึงดวงตาทั้งคู่
                             ของท่านเท่านั้น น้องรักผู้มีดวงตาดังกินนรี สิ่งอื่นอันเป็นที่รักยิ่งไปกว่า
                             ดวงตาของน้องมิได้มีแก่เราเลย
.

                             
                พระสุภาเถรีตอบว่า
                             ท่านปรารถนาเราผู้เป็นธิดาของพระพุทธเจ้า ชื่อว่าปรารถนาจะดำเนินไป
                             โดยทางผิด ชื่อว่าแสวงหาดวงจันทร์มาเป็นของเล่น ปรารถนาจะโดดขึ้น
                             ภูเขาสิเนรุ บัดนี้ ความกำหนัดในอารมณ์ใด อารมณ์นั้นไม่มีแก่เราใน
                             โลกพร้อมทั้งเทวโลก เราทราบว่าสภาพอันน่ารื่นรมย์แม้ทุกชนิดไม่มีแก่
                             เรา และเรากำจัดเสียได้แล้วพร้อมทั้งรากด้วยมรรคญาณ สภาพอันน่า
                             รื่นรมย์เป็นเหมือนถูกทิ้งไปในหลุมถ่านเพลิง เหมือนถูกดื่มยาพิษ เรา
                             ทำให้พินาศแล้วแต่ยอด เราเห็นว่าสภาพอันน่ารื่นรมย์แม้ทุกชนิดมิได้

                             มีแก่เรา และเรากำจัดเสียแล้วพร้อมทั้งรากด้วยมรรคญาณ เบญจขันธ์นี้
                             อันหญิงใดไม่พิจารณาแล้ว หรือไม่ได้รับคำสั่งสอนของพระศาสดา ท่าน
                             จงเล้าโลมหญิงเช่นนั้น ท่านมาเล้าโลมเราผู้รู้ตามเป็นจริงนี้ ย่อมจะ
                             ลำบากเปล่า เพราะว่าสติของเรามั่นคงดีแล้ว ในการด่า การไหว้ และ
                             ในสุขทุกข์ ท่านจงรู้ว่า ธรรมอันปัจจัยปรุงแต่งเป็นของไม่งาม ใจของ
                             เราไม่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้งปวงเลย
เราเป็นสาวิกาของพระสุคตเจ้า เป็นผู้
                             ดำเนินไปสู่นิพพานด้วยญาณกล่าว คือ อัฏฐังคิกมรรค มีลูกศรอันถอน

                             

                             ขึ้นได้แล้ว ไม่มีอาสวะ ยินดีอยู่ในเรือนว่างเปล่า ก็รูปภาพทำด้วยใบ
                             ลานหรือท่อนไม้ที่บุคคลทำให้งดงาม ผูกด้วยเชือกหรือเอาไม้ตอกตะปู
                             ติดไว้โดยอาการต่างๆ ทำให้เหมือนกับจะฟ้อนรำได้ เราเคยได้เห็นมา
                             แล้ว เมื่อแก้เชือกและถอนตะปูออกจากรูปนั้น และแยกออกจากกัน
                             แล้ว โดยทำให้เป็นแผนกๆ เรียงรายไว้ เมื่อทำรูปนั้นโดยเป็นชิ้นๆ
                             อย่างนี้ไม่พึงได้ชื่อว่ารูป
เมื่อเป็นอย่างนั้น บุคคลพึงตั้งความสำคัญใจ
                             ไว้ในรูปนั้น จะเป็นประโยชน์อะไร ร่างกายนี้ก็เหมือนรูปไม้ฉะนั้น



                             เว้นจากธรรมมีธาตุ ๔ เป็นต้นเหล่านั้นแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ บุคคลพึงตั้ง
                             ความสำคัญใจไว้ในร่างกายนั้น จะเป็นประโยชน์อะไร เหมือนบุคคลได้เห็น
                             รูปภาพอันนายช่างผู้ฉลาดวาดเขียนไว้ที่ฝาด้วยหรดาลฉะนั้น ปัญญาสำหรับ
                             มนุษย์ของท่านหาประโยชน์มิได้ เพราะท่านมีความเห็นวิปริตในร่างกาย
                             นั้น แน่ะท่านผู้บอด ท่านเข้าไปยึดถืออัตภาพอันว่างเปล่า
เป็นเหมือน
                             พยับแดดที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า และเหมือนดังต้นไม้ทองที่ปรากฏใน

                             ความฝัน
เป็นดังเช่นรูปยนต์ที่คนเล่นกล แสดงแล้วในท่ามกลางแห่ง
                             ชน
ดวงตาเป็นดังฟองน้ำ ปรากฏเหมือนโพรงไม้มีฟองน้ำตั้งอยู่กลางตา
                             เป็นของมีขี้ตาและน้ำตา เกิดเป็นต่อมดำๆ มีสีต่างๆ กัน.
                             พระสุภาเถรีผู้มีดวงตางาม มีใจไม่ข้องอยู่ในอารมณ์ไหนๆ ได้ควักดวงตา
                             ออกจากเบ้าตา แล้วส่งให้นักเลงนั้นพร้อมกับกล่าวว่าเชิญท่านเอาดวงตา
                             นั้นไปเถิดเราให้ดวงตานั้นแก่ท่าน
.

                             ในทันใดนั้น ความกำหนัดในนัยน์ตาของนักเลงนั้นได้หายไปแล้ว นัก
                             เลงนั้นได้ขอให้พระเถรีนั้นอดโทษด้วยคำว่า ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติ
                             พรหมจรรย์ ขอความสวัสดีพึงมีแก่ท่าน การประพฤติอนาจารเช่นนี้
                             จักไม่มีอีกต่อไป
.

                พระสุภาเถรีกล่าวว่า
                             ท่านกระทบกระทั่งชนเช่นนี้ เหมือนกอดไฟอันลุกโพลง ฉะนั้น.
                นักเลงกล่าวว่า
                             เราดุจจับอสรพิษ ขอความสวัสดีพึงมีแก่เราทั้งหลายบ้าง ขอท่านจงอด
                             โทษให้เราทั้งหลายเถิด.
                             ก็พระภิกษุณีนั้น พ้นจากนักเลงนั้นแล้ว ได้ไปสู่สำนักของพระพุทธเจ้า
                             ผู้ประเสริฐ ได้ชมเชยบุญลักษณะอันประเสริฐ จักษุได้เกิดมีขึ้นเหมือน
                             เดิม.

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 10:29:42 pm »



                   

สุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา
   คาถาสุภาษิตของนางสุภาชีวกัมพวนิกาเถรี
                [๔๗๒]      นักเลงเจ้าชู้คนหนึ่ง ได้ยืนกั้นทางพระสุภาภิกษุณีผู้กำลังเดินไปสู่สวน
                             อัมพวันอันเป็นสถานที่รื่นรมย์ ของหมอชีวกโกมารภัจ พระสุภาภิกษุณี
                             ได้กล่าวกะนักเลงนั้นว่า ฉันทำผิดอะไรต่อท่านหรือ ท่านจึงมายืนขวาง
                             ทางเราไว้
ดูกรอาวุโส บุรุษย่อมไม่ควรถูกต้องหญิงที่บวชแล้วเลย สิกขา
                             อันใด อันพระสุคตทรงบัญญัติไว้แล้ว ในศาสนาที่น่าเคารพแห่งพระ-
                             ศาสดาของเรา เพราะเหตุไร ท่านจึงมายืนขวางเราผู้มีส่วนบริสุทธิ์ด้วย
                             สิกขาเหล่านั้น ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ท่านเป็นผู้มีจิตขุ่นมัว มีธุลีคือ
                             ราคะ เพราะเหตุไรจึงมายืนขวางเราผู้มีจิตไม่ขุ่นมัว ปราศจากธุลีคือราคะ
                             ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน มีจิตหลุดพ้นแล้วจากเบญจขันธ์ทั้งปวง.


                             

                เมื่อพระเถรีกล่าวเช่นนี้แล้ว นักเลงเจ้าชู้เมื่อจะประกาศความประสงค์ของตน จึงได้
                กล่าวคาถาเหล่านี้ความว่า
                             ท่านยังเป็นสาวทั้งรูปก็ไม่เลว การบรรพชา จักทำประโยชน์อะไรให้ท่าน
                             ท่านจงเปลื้องจีวร อันย้อมด้วยน้ำฝาดออกเสียเถิด เชิญท่านมารื่นรมย์
                             กันในป่าไม้อันมีดอกบานสะพรั่งเถิด และหมู่ไม้เหล่านี้ อันลมพัดเอา
                             ละอองเกษรหอมฟุ้งไปโดยรอบ ฤดูนี้เริ่มฤดูฝน เป็นฤดูมีความสุข
                             เชิญท่านมารื่นรมย์กันในป่าไม้มีดอกสะพรั่งเถิด ก็ต้นไม้ทั้งหลายมีดอก
                             อันบานแล้ว ถูกลมโชยย่อมส่งกลิ่นฟุ้งไปตามลม ถ้าท่านจักอยู่ในป่า

                             แต่ผู้เดียว ความยินดีในป่านั้นจักมีแก่ท่านอย่างไรเล่า ท่านไม่มีเพื่อน
                             ปรารถนาจะไปสู่ป่าใหญ่ที่หมู่เนื้อร้ายอาศัย เกลื่อนกล่นด้วยช้างพลาย
                             และช้างพังผู้เมามัน เว้นแล้วจากชน น่ากลัว ท่านเป็นตุ๊กตาที่ช่างฉลาด
                             ทำแล้วด้วยทองคำมีสีสุก และเหมือนนางอัปสรเที่ยวอยู่ในสวนจิตรัถ
                             บัดนี้ท่านย่อมงาม ด้วยเครื่องนุ่งห่มแคว้นกาสี อันมีเนื้อละเอียดอ่อน

                             ไม่มีผ้าอื่นเปรียบปาน ถ้าเราทั้งสองได้อยู่ร่วมกัน ฉันพึงยอมอยู่ใน
                             อำนาจของท่าน ดูกรท่านผู้มีดวงตาดังกินนรี ชีวิตของเราก็ยังไม่เป็นที่รัก
                             ไปยิ่งกว่าท่าน ถ้าท่านจักทำตามคำของเรา ท่านจักได้รับความสุข เชิญ
                             ท่านมาอยู่ครองเรือนกับเราเถิด ท่านจักได้อยู่ในปราสาทอันไม่มีลมเข้า
                             มีสาวใช้คอยทำการรับใช้ท่าน ท่านจงนุ่งห่มผ้าแคว้นกาสีมีเนื้อละเอียด
                             จงตบแต่งร่างกายด้วยดอกไม้และเครื่องลูบไล้ผิวพรรณ เราจะทำเครื่อง

                             อาภรณ์ต่างๆ หลายชนิด ซึ่งล้วนด้วยทองคำ และแก้วมณี แก้วมุกดาให้
                             ขอเชิญท่านขึ้นสู่ที่นอนใหม่อันงามมีค่ามาก อันปูลาดด้วยผ้าขนสัตว์
                             และฟูกไม่มีธุลีเพราะซักฟอกดีแล้ว ประดับด้วยแก่นจันทน์ มีกลิ่น
                             หอม ดอกบัวใด ผุดขึ้นพ้นน้ำอันอมนุษย์หวงแหนแล้ว ดอกบัวนั้น
                             เป็นของอันใครๆ ไม่เคยใช้สอยเลย ฉันใด
ท่านเป็นสาวพรหมจารีก็
                             ฉันนั้น เมื่ออวัยวะของตนอันใครไม่ได้ใช้สอยเลย จักถึงความคร่ำคร่า
                             ไปเสียเปล่าโดยหาประโยชน์มิได้.


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 07, 2013, 09:27:27 pm »



                 

   สุภากัมมารธีตาเถรีคาถา
   คาถาสุภาษิตของนางสุภากัมมารธีตาเถรี
                [๔๗๑]       เมื่อก่อนเรายังเป็นสาว นุ่งห่มผ้าสะอาด ได้ฟังธรรมในสำนักพระศาสดา
                             การตรัสรู้อริยสัจจึงได้มีแก่เราผู้ไม่ประมาท เพราะเหตุนั้น เราจึงละความ
                             ยินดีอันแรงกล้าในกามทั้งปวง เห็นภัยในกายของตน (อุปาทานขันธ์ ๕)
                             จึงปรารถนานิพพานเครื่องออกจากกิเลส
เราละหมู่ญาติ ทาส กรรมกร
                             บ้าน ไร่นาเป็นอันมาก อันเป็นเครื่องรื่นเริงบันเทิงใจ และทรัพย์สมบัติ

                             ไม่น้อย ออกบวช ก็การที่เราออกบวชในพระสัทธรรมอันพระสัมมา
                             สัมพุทธเจ้า ทรงประกาศดีแล้วด้วยศรัทธาอย่างนี้ จะกลับมาสู่กามทั้ง
                             หลายอันเราตัดได้แล้วนั้น ไม่สมควรเลย เพราะเราปรารถนาความเป็น
                             ผู้ไม่มีห่วงใย
ผู้ใดละทองคำและเงินแล้ว ยังกลับมารับทองคำและเงิน
                             นั้นอีก ไฉนผู้นั้นจะพึงเงยหน้า ในระหว่างบัณฑิตทั้งหลายได้เล่า เพราะ
                             เงินหรือทองคำ ย่อมไม่มีเพื่อความสงบใจแม้แก่บุคคลนั้น เงินและ
                             ทองคำนั้น เป็นของไม่สมควรแก่สมณะ ไม่เป็นอริยทรัพย์ แท้จริง

                             ทองคำและเงินนี้ เป็นเหตุให้เกิดความโลภ นำมาซึ่งความมัวเมา ให้
                             เกิดความลุ่มหลง เป็นเครื่องให้กำหนัดพัวพัน มีความระแวง มีความ
                             คับแค้นเป็นอันมาก และไม่มีความยั่งยืนมั่นคง ก็คนทั้งหลายผู้ยินดี
                             ในทรัพย์นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ประมาท มีใจเศร้าหมอง ต่างผิดใจต่อกันและ
                             กัน กระทำความบาดหมาง ทะเลาะวิวาทกันเป็นอันมาก การฆ่ากัน
                             การถูกจองจำ การถูกลงโทษมีการตัดมือและเท้าเป็นต้น ความเสื่อมเสีย
                             ความเศร้าโศกร่ำไร ความฉิบหายวอดวายเป็นอันมาก ย่อมปรากฏ แก่

                             บุคคลผู้ติดเนื่องอยู่ในกามทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายเป็นญาติของเรา แต่
                             เหตุไฉนจึงมาทำเป็นเหมือนศัตรู ชักชวนเราในกามทั้งหลายเล่า ท่าน
                             ทั้งหลายจงรู้เถิดว่า เรามีปกติเห็นภัยในกามทั้งหลายบวชแล้ว อาสวะ
                             ทั้งหลาย ย่อมไม่สิ้นไปเพราะเงินและทอง
กามทั้งหลาย เป็นศัตรู
                             เป็นผู้ฆ่า เป็นข้าศึก เป็นดุจลูกศรและเครื่องจองจำ ท่านทั้งหลายเป็น
                             ญาติของเรา แต่เหตุไฉนจึงมาทำเป็นเหมือนศัตรูชักชวนเรา ในกามทั้ง
                             หลายเล่า ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า เราบวชแล้ว มีศีรษะโล้น ครองผ้า

                             สังฆาฏิ ก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้นอันจักต้องยืนรับ การเที่ยวแสวงหา
                             และผ้าบังสุกุล สมควรแก่เรา เพราะเป็นเครื่องอาศัยของบรรพชิต
                             กามทั้งหลายทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์ อันท่านผู้แสวงหาคุณ
                             อันยิ่งใหญ่มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นคายเสียแล้ว ท่านเหล่านั้นมีใจน้อมไป
                             แล้วในสถานที่อันปลอดโปร่ง ได้บรรลุความสุขอันไม่หวั่นไหว เราอย่า
                             ได้สมาคมด้วยกามทั้งหลาย อันไม่มีที่ต้านทานเลย เพราะกามทั้งหลาย
                             เป็นเหมือนข้าศึก เป็นดุจเพชฌฆาต อุปมาด้วยกองไฟ เป็นทุกข์

                             กามนี้เป็นของไม่บริสุทธิ์ มีภัย เป็นไปกับด้วยความคับแค้น เป็น
                             เสี้ยนหนาม เป็นเหตุให้กำหนัด
ไม่เรียบร้อย มีกังวลมาก เป็นทาง
                             แห่งความลุ่มหลงใหญ่ เป็นเหตุให้ขัดข้อง และเป็นของน่ากลัวพิลึก
                             เปรียบด้วยหัวงูเห่า ปุถุชนผู้โง่เขลามืดมนเหล่าใด ย่อมเพลิดเพลินต่อ
                             กามเหล่านั้น ปุถุชนเหล่านั้นเป็นอันมาก ข้องอยู่แล้วด้วยเครื่องข้อง
                             คือกาม
ก็ไม่รู้สึกในโลก ย่อมไม่รู้จักความสิ้นสุดแห่งความเกิดและ
                             ความตาย มนุษย์เป็นอันมากแลพากันดำเนินไปตามทางเป็นที่ไปสู่ทุคติ

                             นำโรคมาให้แก่ตน ล้วนแต่มีกามเป็นเหตุให้เกิดข้าศึกศัตรู เดือดร้อน
                             นำมาซึ่งความเศร้าหมอง เป็นเหยื่อในโลก เป็นเครื่องจองจำ เกี่ยว
                             เนื่องด้วยความตาย
กามทั้งหลายเป็นเหตุ ให้บ้า ให้บ่นเพ้อ ให้จิต
                             มัวเมา เป็นของอันมารดักไว้เพื่อความพินาศ ของหมู่สัตว์เร็วพลัน
                             กามทั้งหลายมีโทษหาที่สุดไม่ได้ มีทุกข์มาก มีพิษมาก มีความพอใจ
                             น้อย เป็นบ่อเกิดแห่งการรบราฆ่าฟันกัน เป็นเหตุให้ธรรมฝ่ายขาวเหือด
                             แห้งไป เราละความพินาศอันมีกามเป็นเหตุเช่นนั้นแล้ว จักไม่กลับมา

                             บริโภคกามนั้นอีก เพราะว่าจำเดิมแต่บวชแล้ว เรายินดีอย่างยิ่ง ใน
                             นิพพานทุกเมื่อ เราหวังความเยือกเย็น จึงทำสงครามต่อกามทั้งหลาย
                             เป็นผู้ไม่ประมาท ยินดีแล้วในนิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ เราจะ
                             เดินไปตามอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันเป็นทางไม่มี
                             ความเศร้าโศก ปราศจากธุลี ปลอดโปร่ง เป็นทางตรง
เป็นทางที่ท่าน
                             ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวงดำเนินข้ามห้วงน้ำใหญ่ไปแล้ว.

                พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระเถรีผู้บรรลุอรหัตในวันที่ ๘ แต่วันบวชแล้วนั่งเข้าฌาน
   อยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง แก่ภิกษุณีทั้งหลาย เมื่อจะทรงสรรเสริญจึงตรัสพระคาถา ๓ พระคาถา
   ความว่า
                             ท่านทั้งหลายจงดูนางสุภา ผู้เป็นธิดาแห่งนายช่างทอง ผู้ตั้งอยู่ในธรรมนี้
                             เธอได้บรรลุธรรมอันไม่หวั่นไหวแล้ว เพ่งฌาน อยู่โคนต้นไม้ วันนี้เป็น
                             วันที่ ๘ นางสุภาบวชแล้ว เป็นผู้มีศรัทธางามด้วยการบรรลุสัทธรรม
                             เป็นผู้อันพระอุบลวรรณาเถรีแนะนำแล้ว บรรลุวิชชา ๓ เป็นผู้ละมัจจุมาร
                             พระสุภาภิกษุณีเป็นไทแก่ตัวเอง ไม่เป็นหนี้ มีอินทรีย์อันอบรมดีแล้ว
                             พรากจากเครื่องเกาะเกี่ยวทั้งปวง ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ท้าวสักกะ
                             ผู้ใหญ่กว่าเหล่าสัตว์พร้อมด้วยหมู่เทวดา พากันลงมาไหว้ พระสุภา-
                             กัมมารธีตาเถรีนั้นด้วยฤทธิ์.