ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 10:56:42 pm »ความศรัทธาของพ่อ ที่มีต่อหลวงพ่อชาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในคราวหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็น งานรับกฐินจากทางไกลของสำนักพุทธเจดีย์ ตำบลหนองไฮ อำเภอวารินชำราบ สำนักสาขาที่ 4 ของวัดหนองปาพง พ่อนำรถบรรทุกเชฟโรเล็ท รับหลวงพ่อชาจากวัดหนองป่าพงไปที่นั่น ตำบลหนองไฮ สมัยนั้น ถนน คือ ลูกรังแดงฉานตลอดระยะทางหลายสิบกิโลเมตร มันเป็นถนนคลุกฝุ่นอย่างแท้จริง ซึ่งพ่อเคยเดินทางไปซื้อสินค้าเกษตร แถบนั้นบ่อย ๆ รสของฝุ่นถนนที่แสนคุ้นนั้น พ่อซึมซับได้อย่างออกรสที่สุด หลังเสร็จธุระทอดกฐินสำนักพุทธเจดีย์ และนำส่งหลวงพ่อชากลับถึงวัดหนองป่าพงเรียบร้อยแล้ว พ่อเอะอะกับทุกคนในครอบครัวเมื่อกลับถึงบ้านว่า
“หลวงพ่อชาอีเป็นเซียนแล้ว ไม่มีใครในรถของเราเปื้อนฝุ่นแม้แต่คนเดียว”
อาจกล่าวได้ว่าพ่อเป็นคนจีนในยุคแรกของสำนักสงฆ์หนองป่าพง ที่หลวงพ่อเมตตาเป็นพิเศษ ด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา เป็คุณสมบัติที่สะท้อนผลมาถึงทุกคนในครอบครัว ความเมตตาของหลวงพ่อ แผ่กว้างออกมาสู่ครอบครัวของเราอย่างทั่วถึง ไม่มีใครเลยที่หลวงพ่อไม่รู้จัก หลวงพ่อได้กลายเป็นประดุจพ่ออีกคนหนึ่งของบ้านเรา
ต่อมาพี่สาวคนโตได้แต่งงานแยกครัวออกไป แต่ไม่มีปัญหาสำหรับพ่อในเรื่องวัด พ่อยังคงดำเนินศรัทธาของพ่อไปตามปกติ และเมื่อพี่สาวคนที่สามหันหน้าเข้าสู่วัดอย่างจริงจังอีกคนหนึ่ง พระพุทธศาสนาก็ไม่มีวันแยกออกจากครอบครัวของเราอีกต่อไป อาจเป็นด้วยเหตุมีมาแต่เดิม คือ ทุกคนเคยถูกห้ามไม่ให้มีสัมพันธ์กับพระสงฆ์มา ก่อน พระพุทธศาสนาจึงคลุมเครืออยู่บ้างสำหรับลูก ๆ บางคน แม้พี่สาวคนที่สามซึ่งเริ่มต้นเข้าสู่การปฏิบัติธรรมสมัยแรก ๆ ก็เปี่ยมด้วยวิจิกิจฉาอย่างช่วยไม่ได้ มีคำถามเกิดขึ้นว่า ธรรมะมีดีอย่างไรปฏิบัติแล้วจะได้อะไร บุญจากการถวายทานแะรักษาศีลภาวนาเกิด ผลแบบไหน คนเรามีกรรมเป็นของ ๆ ตนจริงหรือ และแม้แต่หลวงพ่อชาเองวิเศษจริงหรือ? ข้อสงสัยลามปามไปถึงผู้เป็นประธานสงฆ์แห่งสำนักหนองป่าพง ที่พี่สาวคนที่สาม เข้าไปปฏิบัติธรรมทุกวันพระ ข้อสงสัยนี้ทุก ๆ คนสามารถมีได้เป็นได้ขอเพียงให้สงสัยเท่านั้น วันสิ้นสงสัยในหลวงพ่อชาได้มาถึง หลวงพ่อตอบคำถามด้วยฤทธิ์
เรื่องมีอยู่ว่า หลวงพ่อจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยกิจนิมนต์ประการหนึ่ง ข่าวนี้มีมาถึงพี่สาวซึ่งนั่งเย็บผ้าเป็นกิจวัตรตรงหน้าบ้าน พี่สาวของผมเป็นห่วงว่า หลวงพ่อและพระที่จะเดินทาง โดยรถด่วนเที่ยวเช้าตรู่ จะมีอาหารหรือไม่ บางทีจะมีผู้ไม่เข้าใจทำถวาย แต่จะทำให้หลวงพ่อและพระสงฆ์ที่ติดตาม รับอาหารไม่ได้ เพราะเหตุว่าท่านเคร่งในพระวินัย หากถวายผิดแล้ว พระทั้งหมดต้องอดอาหารแน่ เธอจึงสั่งไว้กับทุกคนที่รู้จักว่า หากหลวงพ่อมีกำหนดจะเดินทางโดยรถขบวนไหน วันใดแน่ชัดแล้วให้บอกเธอล่วงหน้าด้วย เพื่อจะได้เตรียมอาหารสำหรับถวายท่านบนรถไฟ
เช้าตรู่ของวันหนึ่ง มีรถบรรทุกพระสงฆ์แล่นผ่านหน้าบ้านเราอย่างช้า ๆ หลวงพ่ออยู่ในนั้นด้วย พี่สาวของผมตกใจ นั่นหลวงพ่อกำลังจะไปกรุงเทพฯ แล้ว แต่ไม่มีใครมาบอกเรื่องนี้ จะจัดเตรียมอาหารอย่างไรได้ทัน ดูไปที่นาฬิกาข้างฝาเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถจะออกจากสถานีวารินฯ เป็นอันหมดทางจะจัดทำ และนำอาหารไปถวายหลวงพ่อและพระสงฆ์ได้ เสียงหวูดรถไฟกังวานมาให้ได้ยินถนัด เนื่องจากบ้านของเราอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเกินไป ตามความเข้าใจของเธอ รถไฟที่หลวงพ่ออาศัยเดินทางไปกรุงเทพฯได้ออกสถานีไปแล้ว
ครู่ต่อมา... ปรากฏมีแถวพระสงฆ์ของสำนักวัดหนองป่าพง จาริกออกบิณฑบาตย้อนกลับมาผ่านหน้าบ้านอีกครั้ง เป็นหมู่พระสงฆ์ที่ไปส่งหลวงพ่อที่สถานีรถไฟ เมื่อส่งแล้วก็ถือโอกาสบิณฑบาตกลับ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน พี่สาวของผม ได้แต่มองดูพระสงฆ์เดินแถว ผ่านหน้าบ้านไปไม่สามารถจะใส่บาตรได้ทัน พระสงฆ์พรรษามากอยู่หัวแถว เรียงลำดับลงมาหาพรรษาน้อยด้วยระบบอาวุโส ผ่านกลับไปทีละองค์ จนกระทั่งถึงปลายแถว ซึ่งเป็นสามเณรองค์น้อย แต่หมดสามเณร แล้วสิ่งไม่คาดหมายก็เกิดขึ้น หลวงพ่อชาอุ้มบาตรเดินต่อจากสามเณร และมีพระสงฆ์เดินตามอีกสามรูป หลวงพ่อไม่ได้ไปกรงเทพฯ หรอกรึ ? เวลานั้นพี่สาวของผมยังคิดไม่ออก ในสิ่งที่เธอได้เห็นและ ไม่ฉุกใจคิดว่า ทำไมหลวงพ่อเดินต่อท้ายสามเณร ต่อมาอีกราว ๆ ครึ่งชั่วโมงพี่เขยซึ่งเป็นนายสถานีรถไฟ ได้มาถึงภายหลังจากได้เวลาออกเวรแล้ว
“หลวงพ่อไปกรุงเทพ” พี่เขยรายงานกับน้องภรรยา
“ไปยังไง” พี่ของผมเถียง “หลวงพ่อเพิ่งบิณฑบาตผ่านไปเมื่อกี้นี้เอง ”
“หลวงพ่อไปกรุงเทพฯ จริง ๆ เฮียเพิ่งไปส่งมาเดี๋ยวนี้” พี่เขยว่า “มีพระตามไปด้วยสามองค์”
พี่สาวของผมได้แต่งง ในที่สุดก็ขนลุกซู่ สิ้นสงสัยในหลวงพ่ออย่างทันที สิ้นสงสัยตลอดกาล ตั้งแต่นั้นมาเธอโหมปฏิบัติธรรมอย่างหนัก ถ้าหากเป็นผู้ชายเธอคงบวชไปแล้วอย่างแน่นอน บทบาทของพ่อของผม ที่เคยขัดขวางลูกสาวกับพระพุทธศาสนา ตวัดกลับมาเป็นสนับสนุนการปฏิบัติของเธอ อย่างเท่าที่พ่อจะทำให้ได้ ตลอดระหว่างเข้าพรรษา ลูกคนที่สามของพ่อถือศีลอุโบสถ พ่อให้สิทธิพิเศษอย่างเงียบ ๆ ด้วยน้ำอัดลมทีละสองสามลัง สำหรับเธอได้ดื่มเวลาบ่ายและค่ำ น้ำอัดลมสมัยนั้นเป็นเครื่องดื่มพิเศษที่ใคร ๆ นึกอยากจะดื่มก็ดื่มไม่ได้ แม้แต่พ่อเอ็งจะดื่มก็ต่อเมื่อโอกาสพิเศษอย่างเช่น ไปดูหนัง ลูก ๆ ก็จะได้กินของแปลกลิ้น ไปดูงิ้วลูก ๆ ก็จะได้กินดื่มอะไรก็ได้ตามปรารถนา แต่เวลาปกติจะถูกตี ! ผลจากการปฏิบัติและการสนับสนุนของพ่อ ทำให้พี่สาวคนที่สาม เลือกจะอยู่เป็นโสดจนตลอดชีวิต แม้มีผู้ชายที่แสนดีมาสู่ขอ พ่อไม่บังคับขืนใจ ออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนจีน ที่จะยอมให้ลูกสาวไร้คู่ แต่กับพ่อไม่เป็นเรื่องอึดอัดขัดข้องอย่างไรเลย นี่คือคนจีนนอกรีตที่เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว
ปัจจุบันพี่สาวคนนี้เป็นหญิงโสดอายุเกือบห้าสิบปีและอยู่ที่อเมริกาและยังรักษาศีลภาวนาอย่างที่เคยปฏิบัติมาโดยตลอด ปลายปี 2511 พ่อป่วยหนักด้วยโรคถุงน้ำดีอักเสบ ถึงหามเข้าโรงพยาบาล หลวงพ่อชาทราบข่าวนี้ได้อย่างไรไม่ทราบและได้ส่งโยมวัดนำ “พระเกษ” มาให้พ่อถึงห้อง พักรักษาตัวในโรงพยาบาล พระเกษคือตะกั่วหุ้มเส้นเกษา และผงพุทธคุณ มีรูปร่างต่าง ๆ กันไป แล้วแต่มือผู้หุ้มบางอันคล้ายหัวลูกปืน บางอันคล้ายกรวยแหลม บางอันแท่งกลมหน้าตัด วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อก็เดินทางมาเยี่ยมพ่อ ด้วยตัวท่านเอง สร้างความปีติให้แก่พ่อและลูก ๆ อย่างประมาณไม่ได้ พ่อถึงกับมีอาการตาแดง ๆ ทำทีจะร้องไห้
“หายแล้วไปอยู่วัดอาตมานะ ไปถือศีลปฏิบัติธรรม เราแก่เฒ่าแล้ว ภาระการงานก็มอบหมายให้ลูกเต้าเสียเถอะ ลูก ๆ ก็โต ๆ กันจนพอจะทำแทนเถ้าแก่ได้หรอก เอาตัวเอาใจของเราให้สบายนะ”
ไม่กี่วันต่อมาพ่อก็หายป่วย หลวงพ่อชาซึ่งบางทีอาจจะมีกิจนิมนต์ในตัวเมืองพอดี ได้ไปเยี่ยมพ่อ และรับพ่อขึ้นรถกลับมาส่งถึงบ้านของเรา
“ไปอยู่วัดนะ” หลวงพ่อชากำชับ แต่พ่อก็ไม่ไป พ่อห่วงใยในกิจการค้า จนทอดทิ้งธุระไม่ได้ และเริ่มป่วยด้วยโรคเดิมอีกตอนต้น ปี 2513 จนถึงปลายปีเดียวกัน พ่อต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง
หลวงพ่อก็มีเมตตามาเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง และได้สนทนากันนานเป็นพิเศษ ไม่กี่วันต่อมาพ่อได้กลับออกจากโรงพยาบาล เป็นครั้งที่สอง คราวนี้นอนซมอยู่กับที่นอนในบ้าน หมดสภาพที่เคยแข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง ความได้เจ็บโหมร่างกายพ่อ จนดูกระปลกกระเปลี้ยที่สุด เท่าที่จะเคยได้เห็น แต่จิตใจของพ่อดูเป็นตรงกันข้าม ไม่มีความวิตกกังวล ไม่มีความอ่อนแอ ไม่สะดุ้งกลัว แม้จะได้ฝันถึงแม่เมืองจีน นุ่งชุดดำมาหา อาจเพราะพ่อได้เรียนรู้เรื่องความตาย มามากพอควรจากหลวงพ่อชา
อธุวํ ชีวิตํ - ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน
ธุวํ มรณํ - ความตายเป็นของยั่งยืน
อวสฺ สํ มยา มริตพฺพํ - เราจะต้องตายแน่แท้
อปฺปมาทรตา โหถ - ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาทเถิด
“เมื่อพ่อตาย” พ่อสั่งกับแม่และพี่สาว “ศพของพ่อหากว่าทางสมาคมจีนแคะ จะรับธุระจัดพิธีให้ก็ปล่อยเขา แต่ไม่ต้องเอาไปฝัง ให้เผาเสียหมดเรื่องหมดราวไป เผาที่วัดหลวงพ่อนั่นแหละ” ในที่สุดเช้าตรู่วันหนึ่งของกลางเดือนตุลาคม ปี 2513 พ่อถูกหามเข้าโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน ตั้งแต่ผมไม่ตื่น เมื่อตื่นแล้วก็ได้เห็นรถบรรทุก นำศพพ่อกลับมาถึงบ้านพอดี เป็นเช้าตรู่ที่แย่ที่สุดในชีวิตของผม เป็นการตื่นรับอรุณที่ไม่สดชื่นเหมือนเคย
ศพพ่อจัดพิธีบำเพ็ญกุศลที่บ้าน คนจีนเพื่อนพ่อและญาติพี่น้องทางไกลฝ่ายจีน ร่วมมือร่วมใจกันดูแลงานศพเป็นอย่างดี แต่ไม่มีกงเต็ก เพราะนั่นไม่ใช่ความประสงค์ของพ่อ พิธีศพจึงเป็นอย่างจีนครึ่งไทยครึ่ง เหมือนสายเลือดลูกครึ่งจีนไทยโนตัวของพวกลูก ๆ หลวงพ่อชาเมตตาต่อศพพ่อ เหมือนครั้งพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านนำพระสงฆ์มาสวด ด้วยตัวท่านเองไม่น้อยกว่าสองคืน คืนอื่น ๆ ลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อ จะนำพระสงฆ์มาแทน หลวงพ่อได้บอกพวกเรา เหมือนรู้ความปรารถนาของพ่อเป็นอย่างดี “เสร็จงานแล้วให้เอาเถ้าแก่ไปวัดเรานะ” ไม่เพียงเมตตาจากหลวงพ่อเท่านั้นที่มีให้ พระอาจารย์เที่ยง โชติธมฺโม ศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อ และเป็นเจ้าอาวาส วัดอรัญวาสี สาขาวัดหนองป่าพงที่ 1 ก็มีเมตตาแก่พ่อเช่นเดียวกัน
คืนที่พระอาจารย์เที่ยงได้มาที่บ้านงานศพ ในฐานะประธานสงฆ์นำสวด พระอาจารย์เที่ยงลงจากรถ โดยไม่ทันขึ้นสู่อาสนะที่จัดเตรียมไว้ ท่านเดินตรงมาที่โลงศพพ่อ สั่งให้ลูกชายพ่อเปิดฝาโลงขึ้น ล้วงฝามือลงไปลูบใบหน้าพ่ออย่างแผ่วเบา ท่านพึมพำอะไรไม่ทราบในลำคอด้วยสำเนียงปรานีผมยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ฟังไม่ถนัด แต่สัมผัสอย่างนั้นหากพ่อยังมีชีวิตอยู่ จะรู้ว่ามันเป็นสัมผัสแห่งรัก และ เมตตาของผู้ทรงศีลอย่างแท้จริง ทำให้ผมได้เห็น และเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เมตตาพ่ออย่างเท่าที่จะมีให้ได้ และมันทำให้ผมน้ำตาคลอ วันสุดท้ายของงานศพ รถบรรทุกศพของพ่อไม่ได้เลี้ยวซ้ายไปสุสานคนจีน แต่เลี้ยวขวาไปสู่วัดหนองป่าพง คนจีนหลายคน ดูจะมีอาการงุนงง แม้แต่ลุงซึ่งเดินทางมา ร่วมงานศพจากกรุงเทพฯ ยังพูดอะไรไม่ออก เป็นขบวนศพอย่างศพคนจีน แต่มุ่งเข้าวัดป่าแบบไทย
สมัยนั้นสำหรับอำเภอเล็ก ๆของจังหวัดอุบลฯ งานศพคนจีนที่ลงเอยด้วยการเผา จะต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก จีนคนยากเท่านั้น ที่จะต้องเดินทางสู่เชิงตะกอนหลายคนแสดงความประหลาดใจ ที่พ่อจะถูกเผา บางคนบอกว่าวิญญาณพ่อจะไม่ได้ไปสวรรค์ ลูกหลานบ้านนี้ทำอุตริ อย่างไรก็ตามศพพ่อก็ได้เดินทาง ไปถึงวัดเวลาบ่ายแก่ ๆ หลวงพ่อนั่งเป็นประธาน รับศพอยู่ในศาลาใหญ่ ท่านมีบัญชาให้ทุกคน ทั้งที่เป็นชาวบ้านปฏิบัติธรรม และคนที่มาพร้อมกับศพพ่อ ให้ไปเก็บไม้ฟืนมาคนละท่อน และนำไปวางไว้ในที่ซึ่งท่านกำหนด ตรงชายป่าช้าท้ายวัด ได้ไม้อย่างเหลือเฟือ สำหรับทำเชิงตะกอนอย่างง่าย ๆ ตามธรรมชาติ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะว่า วัดหนองป่าพงยังไม่มีเมรุเผาศพอย่างถาวร เมรุที่ทำขึ้นนี้ จึงเผาได้เพียงครั้งเดียว ศพเดียวเท่านั้น
ตะวันลับฟ้าจนมืดไปทั้งแผ่นฟ้า ไฟถูกจุดขึ้น หลวงพ่อนั่งดูอยู่อย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยพระสงฆ์อีกหมู่หนึ่ง ผมนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อ ซึ่งผมไม่อาจอ่านความรู้สึกจากสายตาของหลวงพ่อ ที่มองมาสู่เด็กอย่างผมได้ถนัด แต่ความอบอุ่นที่แผ่ออกมานั้น ผมสัมผัสได้อย่างถนัดถนี่ที่สุด ไฟลามเลียศพทีละน้อย โลงไม้หายไป ร่างกายพ่อชัดเจนขึ้นทุกขณะ ถึงเวลาที่หลวงพ่อจะได้โบกมือไล่ทุกคน ให้กลับบ้าน บางทีภาพต่อจากนี้ไปอาจไม่เหมาะสม สำหรับผู้เป็นภรรยาและลูกของพ่อจะได้เห็น
หลวงพ่อสั่งให้ทุกคน กลับมาที่นี่ใหม่ตอนรุ่งเช้าเพื่อเก็บกระดูก และทุกคนได้กลับออกมาจากที่นั่น โดยที่หลวงพ่อไม่ได้ลุกไป จากที่นั่งข้างกองไฟนั้น ผมเห็นว่าท่านนั่งมองไปที่กองไฟอย่างสงบ แม้อยู่ในระยะไกลสุดตา กระดูกพ่อถูกเก็บในตอนเช้า หลวงพ่อไม่อนุญาตให้ใครนำกระดูกแม้แต่ชิ้นเดียวกลับบ้าน ให้เอาไว้ที่วัดทั้งหมด ทุกวันนี้กระดูกพ่อยังอยู่ที่นั่น คิดถึงพ่อเมื่อไหร่ ไปกราบได้เมื่อนั้น คงต้องบอกว่าพ่อ คือ คนจีนคนแรก ที่ถูกเผาในวัดหนองป่าพง ในวัดของพระสงฆ์องค์แรก และองค์เดียวที่พ่อเคารพรัก อย่างแท้จริง นี่คือที่จบของพ่อ ผู้เคยเกลียดชังพระสงฆ์ เข้ากระดูกดำ
-http://www.facebook.com/pages/สาขาวัดหนองป่าพง/182989118504002