ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: เมษายน 21, 2013, 10:44:09 am »สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถกับ “ฐานะและขนบประเพณี”เมื่อทรงศึกษา ณ รัสเซีย
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1365759159&grpid=03&catid=&subcatid=-
สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ฉลองพระองค์ชุดเต็มยศนายทหารพิเศษกรมทหารม้าฮุสซาร์แห่งรัสเซีย (ภาพจากหนังสือ “จุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ พระบรมราชวงศ์แห่งประเทศไทย”)
นางระบำปลายเท้านาม มาชิลเด คเชสซินสกายา (ภาพจาก -http://en.wikipedia.org-)
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย
“---การเกิดเป็นเจ้าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เพราะต้องทำอะไรตามขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจได้ ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็อยู่ในสายตาคนอื่นตลอดเวลา---”
เป็นข้อความตอนหนึ่งในบันทึกของ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ บันทึกขณะที่ทรงกำลังศึกษาวิชาทหารบก ณ ประเทศรัสเซีย ครั้งนั้นทรงพอพระทัยหญิงสาวชาวรัสเซีย แต่เพราะฐานะความเป็นเจ้าทำให้ไม่สามารถทรงทำตามพระทัยปรารถนาในการที่จะคบหากับหญิงสาวชาวรัสเซียเกินกว่าความเป็นเพื่อน ทำให้ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายฐานะความเป็นเจ้า
ในความเชื่อของคนสมัยโบราณ เชื่อกันว่าเจ้าคือเทพลงมาจุติ หรือผู้มีบุญลงมาเกิด เพื่อบำเพ็ญบารมีช่วยเหลือผู้คนในโลกมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ชีวิตของเจ้าจึงแตกต่างจากชีวิตของสามัญชน โดยมีกรอบที่เรียกว่ากฎมณเฑียรบาลเป็นข้อกำหนดให้ทรงประพฤติปฏิบัติพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ การดำเนินพระชนมชีพ การวางพระองค์ ตลอดจนพระจริยวัตรก็ถูกกำหนดไว้ทั้งสิ้น แม้จะทรงสุขสนุกสบายจนเทียบกันว่าทรงมีชีวิตดุจเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ แต่ท่ามกลางความสุขสนุกสบายนี้ ผู้ที่เกิดเป็นเจ้าต่างตระหนักดีว่าหน้าที่ของพระองค์นั้นหนักหน่วงกว่าสามัญชนมากมายนัก ดังปรากฏความหนักหน่วงนี้ในพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่โปรดพระราชทานพระราชโอรสที่เสด็จไปทรงศึกษาในทวีปยุโรป ความว่า
“---ถ้าจะถือว่าเกิดมาเป็นเจ้านายแล้วจริงๆ อยู่จนตลอดชีวิตก็สบาย ดังนั้นจะไม่ผิดอันใดกับสัตว์เดรัจฉานอย่างเลวนัก สัตว์เดรัจฉานนั้นเกิดมากินๆ นอนๆ แล้วก็ตาย แต่สัตว์บางอย่างมีเขามีหนังมีกระดูกเป็นประโยชน์ได้บ้าง แต่ถ้าคนเราประพฤติอย่างสัตว์เดรัจฉานนั้นแล้วจะมีประโยชน์อันใด ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานบางพวกไปเสียอีก---”
พระบรมราโชวาทนี้เองที่พระราชโอรสและเจ้านายทั้งปวงยึดถือเป็นหลักและแนวทางประพฤติปฏิบัติประจำพระองค์และได้อบรมสั่งสอนกันสืบมา โดยเฉพาะเรื่องเกียรติยศศักดิ์ศรี ขนบประเพณี ตลอดจนภาระหน้าที่ของเจ้าที่มีต่อราชวงศ์และบ้านเมือง ซึ่งจะต้องรักษาให้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาแต่การหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมจากชาติทางตะวันตก ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมและความเชื่อของชาติทางตะวันออกอย่างสิ้นเชิง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องทรงเตรียมทั้งพระองค์และบ้านเมืองเพื่อรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ สิ่งสำคัญที่ทรงต้องเตรียมคือการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญทัดเทียมกับอารยประเทศ วิธีการหนึ่งคือการส่งพระราชโอรสที่ทรงมีความสามารถให้เสด็จทรงไปศึกษาวิทยาการสมัยใหม่จากประเทศต่างๆ ในยุโรป เพื่อจะได้นำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาบ้านเมือง
พระราชโอรสทุกพระองค์ที่เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการยังประเทศในยุโรป ต่างทรงได้รับการอบรมสั่งสอนจากทั้งพระบรมราชชนกชนนี โดยเฉพาะพระบรมราโชวาทที่โปรดพระราชทานพระราชโอรสทุกพระองค์นั้น มีข้อความครอบคลุมทั้งความประพฤติการปฏิบัติพระองค์ของพระราชโอรสอย่างเข้มงวดกวดขันในทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นการวางพระองค์ให้เหมาะสมแก่พระเกียรติยศ ความรับผิดชอบด้านการศึกษาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในบ้านเมือง การใช้จ่ายที่ต้องประหยัดตามพระราชทรัพย์ที่ทรงกำหนดพระราชทาน พระบรมราโชวาทดังกล่าวถือเป็นกฎเหล็กที่พระราชโอรสทุกพระองค์ต้องทรงปฏิบัติ พระจริยวัตรของพระราชโอรสทุกพระองค์จะอยู่ในสายตาของพระอภิบาล ซึ่งทรงให้ความไว้วางพระราชหฤทัยให้ตามเสด็จไปดูแลถวายความสะดวกสบาย ทรงให้สิทธิพิเศษกับพระอภิบาลในการที่จะกล่าวทัดทานห้ามปรามพระราชโอรสในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และสามารถที่จะกราบทูลถึงปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับพระราชโอรสได้โดยตรง
“---ให้ถือเป็นหน้าที่ซึ่งจะต้องตรวจตราระวังความประพฤติของพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ เพื่อจะไม่ให้ตกไปในทางความประพฤติชั่ว---” และ “---เมื่อเห็นอย่างไร ให้พูดมาตรงๆ จึงจะนับว่าเป็นผู้ใหญ่ใจจงรักภักดีแท้---”
ด้วยเหตุนี้ การประพฤติปฏิบัติพระองค์ของพระราชโอรสทุกพระองค์จึงไม่พ้นจากพระเนตรพระกรรณ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ เป็นพระราชโอรสพระองค์หนึ่งที่เป็นความหวังของพระบรมราชชนกชนนี เพราะเป็นพระราชโอรสที่มีพระสติปัญญาฉลาดเฉลียว พระจริยวัตรงดงาม และยังทรงอยู่ในฐานะรัชทายาทพระองค์ที่ ๒ ต่อจากสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระเชษฐา จึงยิ่งต้องทรงประพฤติปฏิบัติพระองค์ตามกรอบขนบประเพณีอย่างเคร่งครัด โปรดไว้วางพระราชหฤทัยให้เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการทหารบกที่ประเทศรัสเซีย
ซึ่งขณะนั้นเป็นประเทศมหามิตรของสยาม มีพระยามหิบาลบริรักษ์ทำหน้าที่พระอภิบาล พระอภิบาลจึงต้องเอาใจใส่สอดส่องวัตรปฏิบัติของพระราชโอรสพระองค์นี้อย่างเข้มงวด เพื่อมิให้ “ตกไปในทางความประพฤติชั่ว” ในขณะที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้าทรงกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม สูงส่งพรั่งพร้อมด้วยฐานะเกียรติยศชาติตระกูล ทำให้ทรงเป็นที่สนใจหมายปองของหญิงสาวในวงสังคมราชสำนักรัสเซีย และแน่นอนที่จะต้องมีสตรีบางนางอยู่ในความสนพระทัยของเจ้าชายหนุ่ม ดังปรากฏข้อความในบันทึกประจำวันของพระองค์กล่าวนามหญิงสาวไว้หลายคน เช่น นาตาชา ซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนร่วมเรียน เพราะครั้งที่ทรงสอบวิชากฎหมายพระธรรมนูญศาลทหารได้คะแนนสูงสุด ทรงบันทึกไว้ว่า
“---ฉันไม่มีทางที่จะได้คะแนนต่ำไปกว่านี้ เพราะนาตาชาบอกว่า จะคิดถึงฉันตลอดเวลาระหว่างที่เรียนวิชานี้---”
และทรงบันทึกถึง มาชิลเด คเชสซินสกายา (Mathilde Kchessinskaya) นางระบำปลายเท้าซึ่งทรงใฝ่พระทัยหลงใหล เพราะความงาม ความร่าเริงแจ่มใสมีชีวิตชีวา นางจึงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในสังคมชั้นสูงของรัสเซีย โดยเฉพาะในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์หนุ่มๆ ทำให้เกิดการแข่งขันที่จะพิชิตหัวใจของหญิงสาว เจ้าชายสยามเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ร่วมในการแข่งขันนั้นด้วย ปรากฏหลักฐานในบันทึกรายวันที่ทรงบันทึกเกี่ยวกับหญิงสาวผู้นี้ครั้งที่เสด็จไปชมการแสดงของเธอว่า
“---โชคร้ายที่แกรนด์ดุคแชร์จเสด็จไปชมการแสดงด้วย และ ค. ก็ทำท่าทางให้รู้ว่าพระองค์เสด็จอยู่ในที่นั้นด้วยการไม่โค้งมาที่ฉันตรงๆ เพียงแต่สบสายตากับฉันเท่านั้น และหันไปโค้งให้กับผู้ชมอื่นๆ ความคิดที่ว่าแกรนด์ดุคทรงหึงฉัน เป็นเรื่องน่าหัวเราะสิ้นดี แต่ฉันก็ยอมรับว่าฉันรักในตัวเธออยู่เหมือนกัน เพราะเธอช่างเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ น่ารัก น่าชื่นชม ทำให้ฉันเบิกบานชุ่มชื่นใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์---”
การทุ่มเทหลงใหลในตัวหญิงสาวนางระบำปลายเท้าคนนี้ เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่พระอภิบาลเฝ้ามองดูและทูลถวายรายงานถึงพระเนตรพระกรรณ ดังที่ทรงบันทึกไว้ว่า “---พระยาสุริยานุวัตร (อัครราชทูตสยามประจำกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ได้เขียนจดหมายไปกราบบังคมทูลฟ้องทูลกระหม่อมพ่อเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับ ค. ทั้งนี้เพื่อจะได้มีเหตุผลในการสอดส่องควบคุมฉันอย่างเข้มงวดมากขึ้น และเพื่อที่จะให้ฉันมีอิสระเสรีน้อยลง---
” และในที่สุดก็ทรงบันทึกว่า “---ฉันคิดว่าถึงเวลาเสียทีที่ฉันควรต้องเลิกติดต่อกับเธอในเมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงกรุงเทพฯ แล้ว---”
ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาหัวใจที่เกิดตกหลุมรักหญิงสาวชาวรัสเซีย ซึ่งพร้อมที่จะประสานสัมพันธ์รักกับเจ้าชายหนุ่ม แต่ต้องทรงถอนพระทัยกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะสำนึกสำคัญถึงฐานะและขนบประเพณีที่เป็นเสมือนกำแพงใหญ่กั้นขวางหัวใจปรารถนาของพระองค์ จากพระอารมณ์และความรู้สึกในช่วงเวลานั้น จึงไม่น่าที่จะแปลกใจกับบันทึกแสดงถึงความเบื่อหน่ายในฐานันดรที่สูงส่ง ว่า
“---การเกิดเป็นเจ้าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง---”
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1365759159&grpid=03&catid=&subcatid=
.
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1365759159&grpid=03&catid=&subcatid=-
สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ฉลองพระองค์ชุดเต็มยศนายทหารพิเศษกรมทหารม้าฮุสซาร์แห่งรัสเซีย (ภาพจากหนังสือ “จุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ พระบรมราชวงศ์แห่งประเทศไทย”)
นางระบำปลายเท้านาม มาชิลเด คเชสซินสกายา (ภาพจาก -http://en.wikipedia.org-)
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย
“---การเกิดเป็นเจ้าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เพราะต้องทำอะไรตามขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจได้ ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรก็อยู่ในสายตาคนอื่นตลอดเวลา---”
เป็นข้อความตอนหนึ่งในบันทึกของ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ บันทึกขณะที่ทรงกำลังศึกษาวิชาทหารบก ณ ประเทศรัสเซีย ครั้งนั้นทรงพอพระทัยหญิงสาวชาวรัสเซีย แต่เพราะฐานะความเป็นเจ้าทำให้ไม่สามารถทรงทำตามพระทัยปรารถนาในการที่จะคบหากับหญิงสาวชาวรัสเซียเกินกว่าความเป็นเพื่อน ทำให้ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายฐานะความเป็นเจ้า
ในความเชื่อของคนสมัยโบราณ เชื่อกันว่าเจ้าคือเทพลงมาจุติ หรือผู้มีบุญลงมาเกิด เพื่อบำเพ็ญบารมีช่วยเหลือผู้คนในโลกมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ชีวิตของเจ้าจึงแตกต่างจากชีวิตของสามัญชน โดยมีกรอบที่เรียกว่ากฎมณเฑียรบาลเป็นข้อกำหนดให้ทรงประพฤติปฏิบัติพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ การดำเนินพระชนมชีพ การวางพระองค์ ตลอดจนพระจริยวัตรก็ถูกกำหนดไว้ทั้งสิ้น แม้จะทรงสุขสนุกสบายจนเทียบกันว่าทรงมีชีวิตดุจเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ แต่ท่ามกลางความสุขสนุกสบายนี้ ผู้ที่เกิดเป็นเจ้าต่างตระหนักดีว่าหน้าที่ของพระองค์นั้นหนักหน่วงกว่าสามัญชนมากมายนัก ดังปรากฏความหนักหน่วงนี้ในพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่โปรดพระราชทานพระราชโอรสที่เสด็จไปทรงศึกษาในทวีปยุโรป ความว่า
“---ถ้าจะถือว่าเกิดมาเป็นเจ้านายแล้วจริงๆ อยู่จนตลอดชีวิตก็สบาย ดังนั้นจะไม่ผิดอันใดกับสัตว์เดรัจฉานอย่างเลวนัก สัตว์เดรัจฉานนั้นเกิดมากินๆ นอนๆ แล้วก็ตาย แต่สัตว์บางอย่างมีเขามีหนังมีกระดูกเป็นประโยชน์ได้บ้าง แต่ถ้าคนเราประพฤติอย่างสัตว์เดรัจฉานนั้นแล้วจะมีประโยชน์อันใด ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานบางพวกไปเสียอีก---”
พระบรมราโชวาทนี้เองที่พระราชโอรสและเจ้านายทั้งปวงยึดถือเป็นหลักและแนวทางประพฤติปฏิบัติประจำพระองค์และได้อบรมสั่งสอนกันสืบมา โดยเฉพาะเรื่องเกียรติยศศักดิ์ศรี ขนบประเพณี ตลอดจนภาระหน้าที่ของเจ้าที่มีต่อราชวงศ์และบ้านเมือง ซึ่งจะต้องรักษาให้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาแต่การหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมจากชาติทางตะวันตก ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมและความเชื่อของชาติทางตะวันออกอย่างสิ้นเชิง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องทรงเตรียมทั้งพระองค์และบ้านเมืองเพื่อรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ สิ่งสำคัญที่ทรงต้องเตรียมคือการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญทัดเทียมกับอารยประเทศ วิธีการหนึ่งคือการส่งพระราชโอรสที่ทรงมีความสามารถให้เสด็จทรงไปศึกษาวิทยาการสมัยใหม่จากประเทศต่างๆ ในยุโรป เพื่อจะได้นำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาบ้านเมือง
พระราชโอรสทุกพระองค์ที่เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการยังประเทศในยุโรป ต่างทรงได้รับการอบรมสั่งสอนจากทั้งพระบรมราชชนกชนนี โดยเฉพาะพระบรมราโชวาทที่โปรดพระราชทานพระราชโอรสทุกพระองค์นั้น มีข้อความครอบคลุมทั้งความประพฤติการปฏิบัติพระองค์ของพระราชโอรสอย่างเข้มงวดกวดขันในทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นการวางพระองค์ให้เหมาะสมแก่พระเกียรติยศ ความรับผิดชอบด้านการศึกษาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในบ้านเมือง การใช้จ่ายที่ต้องประหยัดตามพระราชทรัพย์ที่ทรงกำหนดพระราชทาน พระบรมราโชวาทดังกล่าวถือเป็นกฎเหล็กที่พระราชโอรสทุกพระองค์ต้องทรงปฏิบัติ พระจริยวัตรของพระราชโอรสทุกพระองค์จะอยู่ในสายตาของพระอภิบาล ซึ่งทรงให้ความไว้วางพระราชหฤทัยให้ตามเสด็จไปดูแลถวายความสะดวกสบาย ทรงให้สิทธิพิเศษกับพระอภิบาลในการที่จะกล่าวทัดทานห้ามปรามพระราชโอรสในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และสามารถที่จะกราบทูลถึงปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับพระราชโอรสได้โดยตรง
“---ให้ถือเป็นหน้าที่ซึ่งจะต้องตรวจตราระวังความประพฤติของพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ เพื่อจะไม่ให้ตกไปในทางความประพฤติชั่ว---” และ “---เมื่อเห็นอย่างไร ให้พูดมาตรงๆ จึงจะนับว่าเป็นผู้ใหญ่ใจจงรักภักดีแท้---”
ด้วยเหตุนี้ การประพฤติปฏิบัติพระองค์ของพระราชโอรสทุกพระองค์จึงไม่พ้นจากพระเนตรพระกรรณ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ เป็นพระราชโอรสพระองค์หนึ่งที่เป็นความหวังของพระบรมราชชนกชนนี เพราะเป็นพระราชโอรสที่มีพระสติปัญญาฉลาดเฉลียว พระจริยวัตรงดงาม และยังทรงอยู่ในฐานะรัชทายาทพระองค์ที่ ๒ ต่อจากสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระเชษฐา จึงยิ่งต้องทรงประพฤติปฏิบัติพระองค์ตามกรอบขนบประเพณีอย่างเคร่งครัด โปรดไว้วางพระราชหฤทัยให้เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการทหารบกที่ประเทศรัสเซีย
ซึ่งขณะนั้นเป็นประเทศมหามิตรของสยาม มีพระยามหิบาลบริรักษ์ทำหน้าที่พระอภิบาล พระอภิบาลจึงต้องเอาใจใส่สอดส่องวัตรปฏิบัติของพระราชโอรสพระองค์นี้อย่างเข้มงวด เพื่อมิให้ “ตกไปในทางความประพฤติชั่ว” ในขณะที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้าทรงกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม สูงส่งพรั่งพร้อมด้วยฐานะเกียรติยศชาติตระกูล ทำให้ทรงเป็นที่สนใจหมายปองของหญิงสาวในวงสังคมราชสำนักรัสเซีย และแน่นอนที่จะต้องมีสตรีบางนางอยู่ในความสนพระทัยของเจ้าชายหนุ่ม ดังปรากฏข้อความในบันทึกประจำวันของพระองค์กล่าวนามหญิงสาวไว้หลายคน เช่น นาตาชา ซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนร่วมเรียน เพราะครั้งที่ทรงสอบวิชากฎหมายพระธรรมนูญศาลทหารได้คะแนนสูงสุด ทรงบันทึกไว้ว่า
“---ฉันไม่มีทางที่จะได้คะแนนต่ำไปกว่านี้ เพราะนาตาชาบอกว่า จะคิดถึงฉันตลอดเวลาระหว่างที่เรียนวิชานี้---”
และทรงบันทึกถึง มาชิลเด คเชสซินสกายา (Mathilde Kchessinskaya) นางระบำปลายเท้าซึ่งทรงใฝ่พระทัยหลงใหล เพราะความงาม ความร่าเริงแจ่มใสมีชีวิตชีวา นางจึงเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มในสังคมชั้นสูงของรัสเซีย โดยเฉพาะในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์หนุ่มๆ ทำให้เกิดการแข่งขันที่จะพิชิตหัวใจของหญิงสาว เจ้าชายสยามเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ร่วมในการแข่งขันนั้นด้วย ปรากฏหลักฐานในบันทึกรายวันที่ทรงบันทึกเกี่ยวกับหญิงสาวผู้นี้ครั้งที่เสด็จไปชมการแสดงของเธอว่า
“---โชคร้ายที่แกรนด์ดุคแชร์จเสด็จไปชมการแสดงด้วย และ ค. ก็ทำท่าทางให้รู้ว่าพระองค์เสด็จอยู่ในที่นั้นด้วยการไม่โค้งมาที่ฉันตรงๆ เพียงแต่สบสายตากับฉันเท่านั้น และหันไปโค้งให้กับผู้ชมอื่นๆ ความคิดที่ว่าแกรนด์ดุคทรงหึงฉัน เป็นเรื่องน่าหัวเราะสิ้นดี แต่ฉันก็ยอมรับว่าฉันรักในตัวเธออยู่เหมือนกัน เพราะเธอช่างเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ น่ารัก น่าชื่นชม ทำให้ฉันเบิกบานชุ่มชื่นใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์---”
การทุ่มเทหลงใหลในตัวหญิงสาวนางระบำปลายเท้าคนนี้ เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่พระอภิบาลเฝ้ามองดูและทูลถวายรายงานถึงพระเนตรพระกรรณ ดังที่ทรงบันทึกไว้ว่า “---พระยาสุริยานุวัตร (อัครราชทูตสยามประจำกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ได้เขียนจดหมายไปกราบบังคมทูลฟ้องทูลกระหม่อมพ่อเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับ ค. ทั้งนี้เพื่อจะได้มีเหตุผลในการสอดส่องควบคุมฉันอย่างเข้มงวดมากขึ้น และเพื่อที่จะให้ฉันมีอิสระเสรีน้อยลง---
” และในที่สุดก็ทรงบันทึกว่า “---ฉันคิดว่าถึงเวลาเสียทีที่ฉันควรต้องเลิกติดต่อกับเธอในเมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงกรุงเทพฯ แล้ว---”
ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาหัวใจที่เกิดตกหลุมรักหญิงสาวชาวรัสเซีย ซึ่งพร้อมที่จะประสานสัมพันธ์รักกับเจ้าชายหนุ่ม แต่ต้องทรงถอนพระทัยกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะสำนึกสำคัญถึงฐานะและขนบประเพณีที่เป็นเสมือนกำแพงใหญ่กั้นขวางหัวใจปรารถนาของพระองค์ จากพระอารมณ์และความรู้สึกในช่วงเวลานั้น จึงไม่น่าที่จะแปลกใจกับบันทึกแสดงถึงความเบื่อหน่ายในฐานันดรที่สูงส่ง ว่า
“---การเกิดเป็นเจ้าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง---”
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1365759159&grpid=03&catid=&subcatid=
.