ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 23, 2013, 12:53:31 am »ต่อค่ะ
ถัดมาจากรูป ก็คือเวทนา. เวทนาความรู้สึกว่า สุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ อย่างที่กล่าวแล้วนั้น มีทางที่จะถูกยึดเป็นตัวเป็นตนได้มากที่สุดเหมือนกัน. เราจะมองดูตัวอย่างในเรื่องนี้ ตรงที่เราหลงใหลในกามสุข โดยเฉพาะก็คือความเอร็ดอร่อย ความถูกอกถูกใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ ที่ได้รับอยู่. ตัวเวทนาในที่นี้ หมายถึงความรู้สึกเอร็ดอร่อยโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นความสุขชนิดที่ชาวโลกสมมติเอาเอง และเรียกว่าความสุข. ในที่นี้จึงเป็นอันว่า การติดในเวทนาก็คือเราติดในความรู้สึกที่เป็นความสุขหรือความอร่อยนั่นเอง. อาตมาต้องขออภัย ถ้าใช้คำ ๆ นี้มันไม่ตรงกับความหมายที่ท่านเข้าใจ หรือจะรู้สึกว่าเป็นคำที่หยาบโลนโสกโดกไปบ้าง แต่ไม่ทราบว่าจะใช้คำอะไรดี. ถ้าจะใช้คำบาลี ก็มีอยู่คำหนึ่ง ซึ่งคงจะแปลกหูท่านทั้งหลายมาก คือคำว่า “อัสสาทะ” เชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะไม่เคยได้ยิน. คำว่า อัสสาทะ เป็นคำบาลี ซึ่งหมายถึงความเอร็ดอร่อย ติดอกติดใจของ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส; ตรงกันข้ามจาก นิพพิทา คือความเบื่อหน่าย ดังที่เราเบื่อหน่ายไม่รู้สึกเพลิดเพลินในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง. เรากำลังเอร็ดอร่อยติดใจแน่นแฟ้นอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรียกว่ากำลังมี อัสสาทะ ในสิ่งนั้น. ความเอร็ดอร่อยนี้ก็คือ เวทนา นั่นเอง. โดยส่วนใหญ่ คนยึดถือเวทนาตัวนี้ เป็นตัวเป็นตนกันอยู่มาก หรือว่าแทบทั้งหมด เพราะว่าไม่มีใครที่จะไม่ชอบความเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะทาง โผฏฐัพพะ คือการสัมผัสทางกาย หรือทางผิวหนัง. อำนาจของอวิชชาหรืออุปาทาน ทำให้มองไม่เห็นสิ่งอื่นใด, มองเห็นแต่ความเอร็ดอร่อยแล้วก็ยึดถือเป็นตัวเป็นตน ในลักษณะที่จะเอาเป็นของของตน.
คำที่ว่ายึดถือเอาเป็นตัวเป็นตนนี้ มีอยู่ ๒ อย่าง คือยึดถือว่าเป็นตัวตนที่เป็นฝ่ายจะเอา หรือผู้เอา นี้ฝ่ายหนึ่ง, และยึดถือเป็นตัวเป็นตนในฝ่ายที่จะถูกเอา หรือแม้ถูกรังเกียจ เกลียดชัง ก็ตาม นี้อีกฝ่ายหนึ่ง; มีอยู่ ๒ ฝ่ายเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่าเวทนานั้น จะถูกยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนในทางที่จะเอา หรือในทางที่จะไม่เอาก็ตาม เรียกได้ว่า เป็นความรู้สึกที่เป็นความยึดถือ หรือเป็นที่ตั้งของความทุกข์ได้ทั้งนั้น. ถ้ามันตรงกับความต้องการหรือเอร็ดอร่อย มันก็ยึดถือเป็นตัวเป็นตนที่มันจะเอา คือว่ารวบรัดดึงเข้ามาหาตัว. นี้เป็นการกอดรัดเอาไว้ด้วยอุปาทาน, ถ้ามันไม่ถูกไม่ตรงกับความต้องการ กลายเป็นความโกรธความชังอย่างนี้ ก็เป็นเวทนาเหมือนกัน แต่เป็นทุกขเวทนา; มันมีลักษณะที่จะถูกผลักถูกดันออกไปให้ห่าง ตรงกันข้ามจากที่จะดึงเข้ามา, แต่ก็เป็นการผลักออกไปด้วยอำนาจอุปาทานอีกนั่นเอง. เป็นอันว่า ถ้ารัก ก็รักด้วยอุปาทาน, ถ้าเกลียด ก็เกลียดด้วยอุปาทานโดยเท่ากัน. ทั้ง ๒ ฝ่ายนี้ เป็นที่ตั้งของความทุกข์เท่ากัน.
ความรู้สึกชอบ กับความรู้สึกชังนี้ ตามความหมายอันแท้จริงของทางธรรมแล้ว ท่านถือว่าเป็นความทุกข์เท่ากัน. แต่ความหมายอย่างโลก ๆ ที่คนธรรมดารู้สึกนั้น กลับเห็นว่าฝ่ายที่ชอบที่รักนั้นเป็นความสุข ไม่ใช่ความทุกข์, ฝ่ายที่ไม่ชอบ จึงเป็นความทุกข์. นี่เรียกว่ามองกันอย่างโลก ๆ หรืออย่างติดสมมติ ซึ่งจะอธิบายทีหลัง. ทางธรรมนั้น หมายความว่ามันทำให้เกิดการทรมานเท่ากัน : ความชอบหรือความรัก ก็ทำให้เกิดความฟูขึ้นในทางจิตใจ; ความไม่ชอบไม่รัก ก็ทำให้แฟบลงในทางจิตใจ. การได้กับการเสีย การดีใจกับการเสียใจ เหล่านี้เป็นการทำให้จิตเหน็ดเหนื่อยเท่ากัน; ทำให้เกิดความอยาก ทำให้เกิดการวนเวียนในความทุกข์เท่ากัน. นี่เป็นการมองดูในลักษณะของธรรมะ ตามวิถีทางธรรม. แต่ถ้ามองดูในวิถีทางของโลกียะ ก้เป็นอย่างที่ว่ามาแล้ว คือถ้าเป็นสุขก็มัวแต่รัก ถ้าเป็นทุกข์ก็มัวแต่ชัง ถ้าเป็นอุเบกขาก็มัวรำคาญสงสัยต่าง ๆ นานา อยู่ไม่เว้นแต่ละวัน. ทั้งหมดนั้น เรียกว่าเป็นความยึดถือเวทนานั้น ๆว่าเป็นตัวตน. ขอให้ทุกคนพิจารณาให้เห็นการยึดถือเวทนาเป็นตัวตนของตัวเอง ให้เข้าใจเสียให้ถูกต้อง จะเป็นหนทางที่จะทำจิตให้เป็นอิสระจากเวทนา. เวทนานี่แหละ จะเป็นสิ่งที่ครอบงำใจ แล้วดึงจูงเราไปสู่สภาพที่เราจะต้องเสียใจทีหลัง. ในทางปฏิบัติเพื่อบรรลุพระอรหันต์ที่มีปรากฏอยู่ในพระสูตรทั้งหลาย ที่สอนให้พิจารณาเรื่องเวทนาโดยเฉพาะก็มีอยู่มาก; มีผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะกำหนดเวทนาเป็นวัตถุสำหรับการพิจารณา นี้ก็มีมาก.
เวทนานี้ เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือได้ง่ายกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมด เพราะมันเป็นตัวผลสุดท้ายของสิ่งที่เราพากเพียรทำ หรือเข้าไปเกี่ยวข้องและยึดถือกันอยู่เป็นประจำ. ขอให้คิดดูว่าเราอุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียน อุตส่าห์ประกอบการงานอาชีพต่าง ๆ ก็เพื่อให้ได้เงินมา แล้วก็ไปซื้อหาสิ่งต่าง ๆ มา นับตั้งแต่สิ่งของเครื่องใช้ เครื่องกิน เครื่องบำรุงบำเรอ; ตลอดจนถึงรสจากเพศตรงกันข้าม หรืออะไรทำนองนี้ ก็หามาได้ด้วยเงินที่เราหามาได้ แล้วก็ทำการบริโภคของเหล่านั้นเพื่อผลอย่างเดียวคือสุขเวทนา อย่างวิสัยโลก ดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง. เรื่องมันไปจบไปสุดอยู่ตรงสุขเวทนา คือความเอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ซึ่งได้มาจากสิ่งที่เราลงทุนลงแรงทำงาน แล้วซื้อหามา. เราลงทุนด้วยกำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังใจ ทั้งหมดจัดหามา แล้วก็เพื่อผลคือเวทนาอันเดียว เป็นสุขเวทนาทางลิ้นบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางตาบ้าง ซึ่งทราบกันดีแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องจาระไนให้เป็นรายละเอียด แต่ความสำคัญมีอยู่ตรงที่ว่า ถ้าไม่เพราะอำนาจสุขเวทนานี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็คงจะไม่ลงทุนเรียน ลงทุนทำงาน ลงเรี่ยวลงแรงหาเงิน นี่เป็นส่วนใหญ่, ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เรื่องของเวทนานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว. ถ้ามีความรู้ความเข้าใจแล้ว จะสามารถควบคุมมันได้ จะทำให้เรามีจิตใจสูงอยู่เหนือความรู้สึกชนิดนั้น, จะทำให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้สูง หรือดีกว่าที่เราจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมดา ฉะนั้นเราจึงควรเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเวทนานี้กันให้ถูกต้อง.
อาตมาอยากจะชี้ต่อไปถึงข้อที่ว่า แม้เรื่องในระหว่างสังคมที่ไม่เป็นความเรียบร้อย ได้แต่ยุ่งยากต่าง ๆ ก็มีมูลมาจากสุขเวทนานี้เหมือนกัน แม้การกระทบกระทั่งระหว่างประเทศชาติ หรือระหว่างครึ่งโลกกับครึ่งโลกที่จะต้องรบกัน ก็ขอให้คิดดูเถอะ ว่าเมื่อไล่เบี้ยไปให้ถึงที่สุดแล้ว จะไปสุดตรงความจริงที่ว่า ทุกคนตกเป็นทาสของเวทนา โดยเฉพาะก็คือสุขเวทนาอย่างที่กล่าวมาแล้ว ในทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย. การทำสงครามกันนั้น ไม่ใช่ว่ามีมูลมาจากความยึดถือเกี่ยวกับลัทธิ หรือเกี่ยวกับอุดมคติอะไรโดยแท้จริงก็หามิได้ โดยที่แท้แล้ว มันก็เนื่องมาจากประโยชน์; ต่างฝ่ายต่างมุ่งจะได้ประโยชน์ จะกอบโกยเอาประโยชน์; ส่วนตัวลัทธินั้นเป็นเครื่องบังหน้า หรือเป็นเครื่องมือประกอบรอง ๆ ลงไปเท่านั้นเอง ส่วนลึกที่สุดอยู่ที่การตกเป็นทาสของเวทนา. ฉะนั้นการรู้จักเวทนา ก็หมายถึงการรู้จักมูลเหตุอันสำคัญ ที่ทำให้คนเราตกเป็นทาสของกิเลสหรือความทุกข์.
เมื่อมนุษย์โลกเป็นอย่างไร ในโลกที่สูงไปกว่า เช่น เทวโลก พรหมโลก ก็มีลักษณะอย่างนั้น คือตกอยู่ภายใต้อำนาจเวทนาอย่างเดียวกัน. อย่างชนิดที่เรียกว่าสวรรค์หรือเทวโลก ก็เพ่งถึงสุขเวทนาอย่างเดียวกันกับในมนุษย์โลก เพียงแต่เขาบัญญัติให้เป็นเรื่องที่ดีกว่า ประณีตกว่า สูงกว่า ได้อย่างถึงอกถึงใจกว่า เท่านั้นเอง. แต่ความหมายก็ยังไม่พ้นไปจากเรื่องอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อยู่นั่นเอง. ถ้าสูงไปกว่าสวรรค์ ถึงพรหมโลก. นี่ในชั้นนี้ต้องยกเวทนาที่เป็นความอร่อยในทางกามารมณ์ออกเสีย แต่ก็ไม่พ้นจากความเอร็ดอร่อยทางจิตอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ฌาน. เมื่ออยู่ในฌานหรือสมาธิ เกิดความสุขใจเป็นรสอร่อยขึ้น ก็ติดใจในรสอร่อยนั้นเหมือนกัน แม้ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ก็เป็นเวทนาอยู่นั่นเอง ดังนี้เป็นต้น. และข้อนี้ไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์ที่ต่ำลงไปกว่ามนุษย์ มันย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจของเวทนาอย่างไม่เป็นระเบียบยิ่งกว่ามนุษย์เรา. ฉะนั้น การรู้เรื่องเวทนาว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะรู้เรื่องเวทนาไม่เป็นตัวตน ไม่ควรจะยึดถือ จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์.
ส่วนที่ถัดไปคือ สัญญาขันธ์ หรือสมปฤดีนั้น มีทางที่จะยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนได้ง่ายเหมือนกัน. เรื่องอย่างที่ชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เขาพูดว่า ถ้าเราหลับ มีอะไรบางอย่างออกไปจากตัวเรา จะเรียกว่าเจตภูตหรือเป็นอะไรก็สุดแท้ ในขณะนั้นเราก็เหมือนกับท่อนไม้ไม่มีความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย. พอมีสิ่งนั้นกลับมาสู่เราอีกตามเดิม จึงรู้สึกมีสมปฤดีตามเดิม มีสติสตังขึ้นมาตามเดิม, เขาสอนและเชื่อกันอย่างนั้น; เขายิ่งมีทางที่จะยึดถือสัญญาหรือสมปฤดีนี้ ว่าเป็นตัวตนมากขึ้น. แต่ถ้าว่าตามทางพุทธศาสนาแล้วสัญญาไม่ใช่เป็นตัวตนอย่างนั้น สัญญาเป็นเพียงสติสมปฤดีหรือความรู้สึกจำได้หมายรู้ที่ยังคงดีอยู่ เพราะว่ายังมีการปรุงแต่งที่เป็นระเบียบในร่างกายนี้ดีอยู่. พอเกิดการไม่เป็นระเบียบในการปรุงแต่งในร่างกายนี้เท่านั้น สิ่งที่เรียกว่าสัญญา หรือเจตสิกธรรมส่วนนี้ ก็จะกลายเป็นใช้ไม่ได้ไปทันที ในพุทธศาสนาไม่ยอมรับว่าสัญญาเป็นตัวตนเพราะเหตุนี้. แต่คนทั่วไปก็ชอบเดา หรือชอบสันนิษฐาน หรือชอบใช้เหตุผลไปในทางที่จะยึดถือเอาสิ่งที่ทำให้เราตามปรกติ ผิดกับคนสลบหรือคนบ้านั่นแหละว่าเป็นตัวตน. การศึกษาทางพุทธศาสนากลับได้ความรู้ที่ตรงกันข้าม ว่านั่นไม่ใช่ตัวตน, นั้นเป็นเพียงผลของการปรุงแต่งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติในคนเรา คนหนึ่ง ๆ .
ส่วนหรือขันธ์ ที่ถัดไปคือ สังขาร ได้แก่ความคิด. ความรู้สึกคิด จะทำนั่นจะทำนี่ จะได้นั่น จะได้นี่ จะเป็นความคิดดีก็ตาม ความคิดชั่วก็ตาม นี่ก็ยิ่งจะยึดถือว่าเป็นตัวตนหนักขึ้นไปอีก. ใคร ๆ ก็พอจะรู้สึกได้ว่า ถ้าจะเป็นตัวตนกันบ้างละก็ ตัวผู้คิดนี่น่าจะเป็นตัวตนมากกว่าอย่างอื่น อย่างนักปรัชญาคนหนึ่งของยุคปัจจุบัน ดูเหมือนจะชื่อว่า Bergsgan หรืออะไรทำนองนี้ถ้าอาตมาจำไม่ผิด,[๑] ซึ่งเขามีปรัชญาส่วนของเขาง่าย ๆ ว่า “ข้าพเจ้าคิด ข้าพเจ้าจึงมีอยู่” ซึ่งเป็นคำแปลของภาษาละติน แปลแล้วได้อย่างนั้น. นี่เป็นเพราะถือเอาโดยเหตุผลที่ว่า เพราะว่ามีการคิดได้อยู่ จึงมีผู้คิด คือตัวข้าพเจ้า. ในที่นี้เราจะเห็นว่า แม้นักปรัชญาสมัยปัจจุบัน ซึ่งเราเรียกว่าสมัยวิทยาศาสตร์แล้วอย่างนี้ ก็ยังมีผู้ยึดถือตัวตนอย่างเดียวกับในสมัยเมื่อสองสามพันกว่าปีมาแล้ว โดยยึดถือเอาตัวความคิดว่าเป็นตัวตน ยึดถือเอาสิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็น “ผู้คิด” ว่าเป็นตัวตน.
————————-
[๑] ในวันแสดงจริง จำผิด, ที่ถูกเป็น Descartes ไม่ใช่ Bergsgan. แต่การพิมพ์ในที่นี้คงไว้ตามที่แสดงจริง, เพราะเรื่องคาบเกี่ยวกันกับการบรรยายครั้งถัดไป.
แต่พุทธศาสนาก็ยังคงเหมือนกันกับข้ออื่น ในการที่ได้ปฏิเสธเวทนาและสัญญา ว่าไม่ใช่ตัวตนมาแล้ว ได้ปฏิเสธความคิด หรือตัวจิตที่เป็นตัวคิด ทำหน้าที่คิดในขณะนั้นก็ตาม ว่าไม่ใช่ตัวตนไปตามเดิม; เพราะกิริยาที่คิดขึ้นมาได้นั้น เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นผลของการปรุงแต่งของสิ่งหลาย ๆ สิ่ง ไม่ใช่ตัวตน สำเร็จรูปเป็นความคิดขึ้นมาได้ในกลุ่มของส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นคนขึ้นมา โดยไม่ต้องมีตัว “ข้าพเจ้า” ที่เป็นตัวเป็นตนอย่างที่ว่า. สังขารหรือความคิดนี้ จึงถูกบัญญัติว่าเป็นอนัตตา คือไม่เป็นตัวเป็นตน อย่างเดียวกันกับขันธ์อื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว. โดยเฉพาะคำพูดในพุทธศาสนา ก็ระบุชัดอยู่แล้วว่า “สังขาร ๆ” คำว่าสังขาร แปลว่า ของปรุง, คือของหลาย ๆ อย่างมาปรุงกันเข้า จึงยิ่งไม่ใช่ตัวตน. ความลำบากหรือความเข้าใจยากอยู่ตรงที่ว่า เราไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของนามธรรม หรือนามธาตุ อย่างเพียงพอ. เรารู้จักแต่เรื่องของรูปธาตุ ธาตุนั่นธาตุนี่ ที่เป็นวัตถุ. แต่ ธาตุอีกประเภทหนึ่ง ที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่วัตถุ นี่เราแทบจะไม่เข้าใจกันเสียเลย เราจึงเข้าใจยากในเรื่องการปรุงของธาตุที่เป็นนามธาตุ; ฉะนั้นเราต้องศึกษากันต่อไป ในที่นี้บอกได้แต่เพียงหลักตามทางพุทธ-ศาสนา ว่าเป็นการปรุงของธาตุหลาย ๆ ธาตุ รวมทั้งวัตถุและนามธาตุ สิ่งที่เรียกว่าความคิดหรือ “สังขาร” ในที่นี้ จึงเกิดขึ้นในใจ ในสิ่งที่เราเรียกกันว่าตัวเราหรือคนเรานี้ได้ ในลักษณะที่ทำให้เข้าใจไปว่ามีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้คิด หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นผู้คิด จึงทำให้มีทางเชื่อไปในทำนองว่า เป็น เจตภูต เป็นวิญญาณ เป็นตัวตน เป็นตัวเจ้าของร่าง หรืออะไรในทำนองนี้. พุทธศาสนาปฏิเสธสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง. เมื่อได้แยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็พิสูจน์แต่ละส่วน ๆ ว่าไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวตน, ตลอดถึงส่วนที่เป็นความคิด ก็ไม่ใช่ตัวตนอย่างที่ว่านี้.
ส่วนถัดไปอีก และเป็นส่วนสุดท้ายที่เรียกว่า “วิญญาณ” ซึ่งทำหน้าที่รู้แจ้ง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนเหมือนกัน. เพราะเหตุว่า อวัยวะนั้น ๆ , ซึ่งตามภาษาธรรมะเรียกว่า อายตนะ, คือตาพร้อมทั้งประสาทตา หูพร้อมทั้งประสาทหู จมูกพร้อมทั้งประสาทที่จมูก ลิ้นพร้อมทั้งประสาทที่ลิ้น ผิวกายทั่ว ๆ ไป พร้อมทั้งเส้นประสาทที่นั่น ล้วนแต่มีสมรรถภาพ ที่จะทำการรับอารมณ์ภายนอก ที่เรียกว่าอายตนะภายนอก ได้แก่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อยู่ตลอดเวลา เมื่อมากระทบกันเข้าพร้อมกันทั้งสองฝ่าย นามธรรมส่วนที่เรียกวิญญาณในที่นี้ ก็เกิดขึ้นในขณะนั้น เป็นสามฝ่ายด้วยกัน และจะมีความรู้แจ้งเกิดขึ้นที่ตรงนั้น เช่นที่ตา ก็มีความรู้แจ้งเกิดขึ้นที่ตา ว่ารูปนั้นมีสัณฐานอย่างไร เป็นรูปคนหรือสัตว์ สั้นหรือยาว ขาวหรือดำ สูงหรือต่ำ อย่างนี้เป็นต้น. ความรู้แจ้งที่เกิดขึ้นทำนองนี้ เป็นเหมือนกับแมคานิคของธรรมชาติ. นี่เป็นการพูดตามหลักของพุทธศาสนา ถือว่ามันเป็นแมคานิคอันหนึ่ง เป็นกลไกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นไปเองตามธรรมชาติอย่างอัตโนมัติ ซึ่งมันจะต้องเกิดขึ้นอย่างนั้นในขณะนั้น สำเร็จเป็นการรู้แจ้ง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย. ทีนี้คนบางพวกยึดถือว่า นั่นเป็นตัวเจตภูต เป็นตัววิญญาณ แล่นออกมาจากใจ มารับอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น อย่างนี้ก็มี, แล้วก็ยึดถือเอาเป็นตัวเป็นตน. แต่ตามหลักพุทธศาสนาถือว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง, มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น. ถ้ารูปและตา พร้อมทั้งประสาท ได้มีการกระทบกัน ก็จะมีการรู้แจ้งเกิดขึ้น สำเร็จเป็นความรู้แจ้ง ที่เรียกว่าจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ เป็นต้น ตามชื่อของที่ตั้งแห่งการกระทบ, โดยไม่ต้องมีตัวตนอะไรที่ไหนอีก.
เมื่อได้แยกดูทีละส่วน ๆ ทั้ง ๕ ส่วน ว่าไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวตน
-http://www.facebook.com/pages/อสุภะกรรมฐาน-กรณ์-มีดี/313871158714717
ถัดมาจากรูป ก็คือเวทนา. เวทนาความรู้สึกว่า สุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ อย่างที่กล่าวแล้วนั้น มีทางที่จะถูกยึดเป็นตัวเป็นตนได้มากที่สุดเหมือนกัน. เราจะมองดูตัวอย่างในเรื่องนี้ ตรงที่เราหลงใหลในกามสุข โดยเฉพาะก็คือความเอร็ดอร่อย ความถูกอกถูกใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ ที่ได้รับอยู่. ตัวเวทนาในที่นี้ หมายถึงความรู้สึกเอร็ดอร่อยโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นความสุขชนิดที่ชาวโลกสมมติเอาเอง และเรียกว่าความสุข. ในที่นี้จึงเป็นอันว่า การติดในเวทนาก็คือเราติดในความรู้สึกที่เป็นความสุขหรือความอร่อยนั่นเอง. อาตมาต้องขออภัย ถ้าใช้คำ ๆ นี้มันไม่ตรงกับความหมายที่ท่านเข้าใจ หรือจะรู้สึกว่าเป็นคำที่หยาบโลนโสกโดกไปบ้าง แต่ไม่ทราบว่าจะใช้คำอะไรดี. ถ้าจะใช้คำบาลี ก็มีอยู่คำหนึ่ง ซึ่งคงจะแปลกหูท่านทั้งหลายมาก คือคำว่า “อัสสาทะ” เชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะไม่เคยได้ยิน. คำว่า อัสสาทะ เป็นคำบาลี ซึ่งหมายถึงความเอร็ดอร่อย ติดอกติดใจของ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส; ตรงกันข้ามจาก นิพพิทา คือความเบื่อหน่าย ดังที่เราเบื่อหน่ายไม่รู้สึกเพลิดเพลินในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง. เรากำลังเอร็ดอร่อยติดใจแน่นแฟ้นอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรียกว่ากำลังมี อัสสาทะ ในสิ่งนั้น. ความเอร็ดอร่อยนี้ก็คือ เวทนา นั่นเอง. โดยส่วนใหญ่ คนยึดถือเวทนาตัวนี้ เป็นตัวเป็นตนกันอยู่มาก หรือว่าแทบทั้งหมด เพราะว่าไม่มีใครที่จะไม่ชอบความเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะทาง โผฏฐัพพะ คือการสัมผัสทางกาย หรือทางผิวหนัง. อำนาจของอวิชชาหรืออุปาทาน ทำให้มองไม่เห็นสิ่งอื่นใด, มองเห็นแต่ความเอร็ดอร่อยแล้วก็ยึดถือเป็นตัวเป็นตน ในลักษณะที่จะเอาเป็นของของตน.
คำที่ว่ายึดถือเอาเป็นตัวเป็นตนนี้ มีอยู่ ๒ อย่าง คือยึดถือว่าเป็นตัวตนที่เป็นฝ่ายจะเอา หรือผู้เอา นี้ฝ่ายหนึ่ง, และยึดถือเป็นตัวเป็นตนในฝ่ายที่จะถูกเอา หรือแม้ถูกรังเกียจ เกลียดชัง ก็ตาม นี้อีกฝ่ายหนึ่ง; มีอยู่ ๒ ฝ่ายเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่าเวทนานั้น จะถูกยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนในทางที่จะเอา หรือในทางที่จะไม่เอาก็ตาม เรียกได้ว่า เป็นความรู้สึกที่เป็นความยึดถือ หรือเป็นที่ตั้งของความทุกข์ได้ทั้งนั้น. ถ้ามันตรงกับความต้องการหรือเอร็ดอร่อย มันก็ยึดถือเป็นตัวเป็นตนที่มันจะเอา คือว่ารวบรัดดึงเข้ามาหาตัว. นี้เป็นการกอดรัดเอาไว้ด้วยอุปาทาน, ถ้ามันไม่ถูกไม่ตรงกับความต้องการ กลายเป็นความโกรธความชังอย่างนี้ ก็เป็นเวทนาเหมือนกัน แต่เป็นทุกขเวทนา; มันมีลักษณะที่จะถูกผลักถูกดันออกไปให้ห่าง ตรงกันข้ามจากที่จะดึงเข้ามา, แต่ก็เป็นการผลักออกไปด้วยอำนาจอุปาทานอีกนั่นเอง. เป็นอันว่า ถ้ารัก ก็รักด้วยอุปาทาน, ถ้าเกลียด ก็เกลียดด้วยอุปาทานโดยเท่ากัน. ทั้ง ๒ ฝ่ายนี้ เป็นที่ตั้งของความทุกข์เท่ากัน.
ความรู้สึกชอบ กับความรู้สึกชังนี้ ตามความหมายอันแท้จริงของทางธรรมแล้ว ท่านถือว่าเป็นความทุกข์เท่ากัน. แต่ความหมายอย่างโลก ๆ ที่คนธรรมดารู้สึกนั้น กลับเห็นว่าฝ่ายที่ชอบที่รักนั้นเป็นความสุข ไม่ใช่ความทุกข์, ฝ่ายที่ไม่ชอบ จึงเป็นความทุกข์. นี่เรียกว่ามองกันอย่างโลก ๆ หรืออย่างติดสมมติ ซึ่งจะอธิบายทีหลัง. ทางธรรมนั้น หมายความว่ามันทำให้เกิดการทรมานเท่ากัน : ความชอบหรือความรัก ก็ทำให้เกิดความฟูขึ้นในทางจิตใจ; ความไม่ชอบไม่รัก ก็ทำให้แฟบลงในทางจิตใจ. การได้กับการเสีย การดีใจกับการเสียใจ เหล่านี้เป็นการทำให้จิตเหน็ดเหนื่อยเท่ากัน; ทำให้เกิดความอยาก ทำให้เกิดการวนเวียนในความทุกข์เท่ากัน. นี่เป็นการมองดูในลักษณะของธรรมะ ตามวิถีทางธรรม. แต่ถ้ามองดูในวิถีทางของโลกียะ ก้เป็นอย่างที่ว่ามาแล้ว คือถ้าเป็นสุขก็มัวแต่รัก ถ้าเป็นทุกข์ก็มัวแต่ชัง ถ้าเป็นอุเบกขาก็มัวรำคาญสงสัยต่าง ๆ นานา อยู่ไม่เว้นแต่ละวัน. ทั้งหมดนั้น เรียกว่าเป็นความยึดถือเวทนานั้น ๆว่าเป็นตัวตน. ขอให้ทุกคนพิจารณาให้เห็นการยึดถือเวทนาเป็นตัวตนของตัวเอง ให้เข้าใจเสียให้ถูกต้อง จะเป็นหนทางที่จะทำจิตให้เป็นอิสระจากเวทนา. เวทนานี่แหละ จะเป็นสิ่งที่ครอบงำใจ แล้วดึงจูงเราไปสู่สภาพที่เราจะต้องเสียใจทีหลัง. ในทางปฏิบัติเพื่อบรรลุพระอรหันต์ที่มีปรากฏอยู่ในพระสูตรทั้งหลาย ที่สอนให้พิจารณาเรื่องเวทนาโดยเฉพาะก็มีอยู่มาก; มีผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะกำหนดเวทนาเป็นวัตถุสำหรับการพิจารณา นี้ก็มีมาก.
เวทนานี้ เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือได้ง่ายกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมด เพราะมันเป็นตัวผลสุดท้ายของสิ่งที่เราพากเพียรทำ หรือเข้าไปเกี่ยวข้องและยึดถือกันอยู่เป็นประจำ. ขอให้คิดดูว่าเราอุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียน อุตส่าห์ประกอบการงานอาชีพต่าง ๆ ก็เพื่อให้ได้เงินมา แล้วก็ไปซื้อหาสิ่งต่าง ๆ มา นับตั้งแต่สิ่งของเครื่องใช้ เครื่องกิน เครื่องบำรุงบำเรอ; ตลอดจนถึงรสจากเพศตรงกันข้าม หรืออะไรทำนองนี้ ก็หามาได้ด้วยเงินที่เราหามาได้ แล้วก็ทำการบริโภคของเหล่านั้นเพื่อผลอย่างเดียวคือสุขเวทนา อย่างวิสัยโลก ดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง. เรื่องมันไปจบไปสุดอยู่ตรงสุขเวทนา คือความเอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ซึ่งได้มาจากสิ่งที่เราลงทุนลงแรงทำงาน แล้วซื้อหามา. เราลงทุนด้วยกำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังใจ ทั้งหมดจัดหามา แล้วก็เพื่อผลคือเวทนาอันเดียว เป็นสุขเวทนาทางลิ้นบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางตาบ้าง ซึ่งทราบกันดีแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องจาระไนให้เป็นรายละเอียด แต่ความสำคัญมีอยู่ตรงที่ว่า ถ้าไม่เพราะอำนาจสุขเวทนานี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็คงจะไม่ลงทุนเรียน ลงทุนทำงาน ลงเรี่ยวลงแรงหาเงิน นี่เป็นส่วนใหญ่, ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เรื่องของเวทนานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว. ถ้ามีความรู้ความเข้าใจแล้ว จะสามารถควบคุมมันได้ จะทำให้เรามีจิตใจสูงอยู่เหนือความรู้สึกชนิดนั้น, จะทำให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้สูง หรือดีกว่าที่เราจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมดา ฉะนั้นเราจึงควรเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเวทนานี้กันให้ถูกต้อง.
อาตมาอยากจะชี้ต่อไปถึงข้อที่ว่า แม้เรื่องในระหว่างสังคมที่ไม่เป็นความเรียบร้อย ได้แต่ยุ่งยากต่าง ๆ ก็มีมูลมาจากสุขเวทนานี้เหมือนกัน แม้การกระทบกระทั่งระหว่างประเทศชาติ หรือระหว่างครึ่งโลกกับครึ่งโลกที่จะต้องรบกัน ก็ขอให้คิดดูเถอะ ว่าเมื่อไล่เบี้ยไปให้ถึงที่สุดแล้ว จะไปสุดตรงความจริงที่ว่า ทุกคนตกเป็นทาสของเวทนา โดยเฉพาะก็คือสุขเวทนาอย่างที่กล่าวมาแล้ว ในทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย. การทำสงครามกันนั้น ไม่ใช่ว่ามีมูลมาจากความยึดถือเกี่ยวกับลัทธิ หรือเกี่ยวกับอุดมคติอะไรโดยแท้จริงก็หามิได้ โดยที่แท้แล้ว มันก็เนื่องมาจากประโยชน์; ต่างฝ่ายต่างมุ่งจะได้ประโยชน์ จะกอบโกยเอาประโยชน์; ส่วนตัวลัทธินั้นเป็นเครื่องบังหน้า หรือเป็นเครื่องมือประกอบรอง ๆ ลงไปเท่านั้นเอง ส่วนลึกที่สุดอยู่ที่การตกเป็นทาสของเวทนา. ฉะนั้นการรู้จักเวทนา ก็หมายถึงการรู้จักมูลเหตุอันสำคัญ ที่ทำให้คนเราตกเป็นทาสของกิเลสหรือความทุกข์.
เมื่อมนุษย์โลกเป็นอย่างไร ในโลกที่สูงไปกว่า เช่น เทวโลก พรหมโลก ก็มีลักษณะอย่างนั้น คือตกอยู่ภายใต้อำนาจเวทนาอย่างเดียวกัน. อย่างชนิดที่เรียกว่าสวรรค์หรือเทวโลก ก็เพ่งถึงสุขเวทนาอย่างเดียวกันกับในมนุษย์โลก เพียงแต่เขาบัญญัติให้เป็นเรื่องที่ดีกว่า ประณีตกว่า สูงกว่า ได้อย่างถึงอกถึงใจกว่า เท่านั้นเอง. แต่ความหมายก็ยังไม่พ้นไปจากเรื่องอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อยู่นั่นเอง. ถ้าสูงไปกว่าสวรรค์ ถึงพรหมโลก. นี่ในชั้นนี้ต้องยกเวทนาที่เป็นความอร่อยในทางกามารมณ์ออกเสีย แต่ก็ไม่พ้นจากความเอร็ดอร่อยทางจิตอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ฌาน. เมื่ออยู่ในฌานหรือสมาธิ เกิดความสุขใจเป็นรสอร่อยขึ้น ก็ติดใจในรสอร่อยนั้นเหมือนกัน แม้ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ก็เป็นเวทนาอยู่นั่นเอง ดังนี้เป็นต้น. และข้อนี้ไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์ที่ต่ำลงไปกว่ามนุษย์ มันย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจของเวทนาอย่างไม่เป็นระเบียบยิ่งกว่ามนุษย์เรา. ฉะนั้น การรู้เรื่องเวทนาว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะรู้เรื่องเวทนาไม่เป็นตัวตน ไม่ควรจะยึดถือ จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์.
ส่วนที่ถัดไปคือ สัญญาขันธ์ หรือสมปฤดีนั้น มีทางที่จะยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนได้ง่ายเหมือนกัน. เรื่องอย่างที่ชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เขาพูดว่า ถ้าเราหลับ มีอะไรบางอย่างออกไปจากตัวเรา จะเรียกว่าเจตภูตหรือเป็นอะไรก็สุดแท้ ในขณะนั้นเราก็เหมือนกับท่อนไม้ไม่มีความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย. พอมีสิ่งนั้นกลับมาสู่เราอีกตามเดิม จึงรู้สึกมีสมปฤดีตามเดิม มีสติสตังขึ้นมาตามเดิม, เขาสอนและเชื่อกันอย่างนั้น; เขายิ่งมีทางที่จะยึดถือสัญญาหรือสมปฤดีนี้ ว่าเป็นตัวตนมากขึ้น. แต่ถ้าว่าตามทางพุทธศาสนาแล้วสัญญาไม่ใช่เป็นตัวตนอย่างนั้น สัญญาเป็นเพียงสติสมปฤดีหรือความรู้สึกจำได้หมายรู้ที่ยังคงดีอยู่ เพราะว่ายังมีการปรุงแต่งที่เป็นระเบียบในร่างกายนี้ดีอยู่. พอเกิดการไม่เป็นระเบียบในการปรุงแต่งในร่างกายนี้เท่านั้น สิ่งที่เรียกว่าสัญญา หรือเจตสิกธรรมส่วนนี้ ก็จะกลายเป็นใช้ไม่ได้ไปทันที ในพุทธศาสนาไม่ยอมรับว่าสัญญาเป็นตัวตนเพราะเหตุนี้. แต่คนทั่วไปก็ชอบเดา หรือชอบสันนิษฐาน หรือชอบใช้เหตุผลไปในทางที่จะยึดถือเอาสิ่งที่ทำให้เราตามปรกติ ผิดกับคนสลบหรือคนบ้านั่นแหละว่าเป็นตัวตน. การศึกษาทางพุทธศาสนากลับได้ความรู้ที่ตรงกันข้าม ว่านั่นไม่ใช่ตัวตน, นั้นเป็นเพียงผลของการปรุงแต่งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติในคนเรา คนหนึ่ง ๆ .
ส่วนหรือขันธ์ ที่ถัดไปคือ สังขาร ได้แก่ความคิด. ความรู้สึกคิด จะทำนั่นจะทำนี่ จะได้นั่น จะได้นี่ จะเป็นความคิดดีก็ตาม ความคิดชั่วก็ตาม นี่ก็ยิ่งจะยึดถือว่าเป็นตัวตนหนักขึ้นไปอีก. ใคร ๆ ก็พอจะรู้สึกได้ว่า ถ้าจะเป็นตัวตนกันบ้างละก็ ตัวผู้คิดนี่น่าจะเป็นตัวตนมากกว่าอย่างอื่น อย่างนักปรัชญาคนหนึ่งของยุคปัจจุบัน ดูเหมือนจะชื่อว่า Bergsgan หรืออะไรทำนองนี้ถ้าอาตมาจำไม่ผิด,[๑] ซึ่งเขามีปรัชญาส่วนของเขาง่าย ๆ ว่า “ข้าพเจ้าคิด ข้าพเจ้าจึงมีอยู่” ซึ่งเป็นคำแปลของภาษาละติน แปลแล้วได้อย่างนั้น. นี่เป็นเพราะถือเอาโดยเหตุผลที่ว่า เพราะว่ามีการคิดได้อยู่ จึงมีผู้คิด คือตัวข้าพเจ้า. ในที่นี้เราจะเห็นว่า แม้นักปรัชญาสมัยปัจจุบัน ซึ่งเราเรียกว่าสมัยวิทยาศาสตร์แล้วอย่างนี้ ก็ยังมีผู้ยึดถือตัวตนอย่างเดียวกับในสมัยเมื่อสองสามพันกว่าปีมาแล้ว โดยยึดถือเอาตัวความคิดว่าเป็นตัวตน ยึดถือเอาสิ่งที่ตนเข้าใจว่าเป็น “ผู้คิด” ว่าเป็นตัวตน.
————————-
[๑] ในวันแสดงจริง จำผิด, ที่ถูกเป็น Descartes ไม่ใช่ Bergsgan. แต่การพิมพ์ในที่นี้คงไว้ตามที่แสดงจริง, เพราะเรื่องคาบเกี่ยวกันกับการบรรยายครั้งถัดไป.
แต่พุทธศาสนาก็ยังคงเหมือนกันกับข้ออื่น ในการที่ได้ปฏิเสธเวทนาและสัญญา ว่าไม่ใช่ตัวตนมาแล้ว ได้ปฏิเสธความคิด หรือตัวจิตที่เป็นตัวคิด ทำหน้าที่คิดในขณะนั้นก็ตาม ว่าไม่ใช่ตัวตนไปตามเดิม; เพราะกิริยาที่คิดขึ้นมาได้นั้น เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นผลของการปรุงแต่งของสิ่งหลาย ๆ สิ่ง ไม่ใช่ตัวตน สำเร็จรูปเป็นความคิดขึ้นมาได้ในกลุ่มของส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นคนขึ้นมา โดยไม่ต้องมีตัว “ข้าพเจ้า” ที่เป็นตัวเป็นตนอย่างที่ว่า. สังขารหรือความคิดนี้ จึงถูกบัญญัติว่าเป็นอนัตตา คือไม่เป็นตัวเป็นตน อย่างเดียวกันกับขันธ์อื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว. โดยเฉพาะคำพูดในพุทธศาสนา ก็ระบุชัดอยู่แล้วว่า “สังขาร ๆ” คำว่าสังขาร แปลว่า ของปรุง, คือของหลาย ๆ อย่างมาปรุงกันเข้า จึงยิ่งไม่ใช่ตัวตน. ความลำบากหรือความเข้าใจยากอยู่ตรงที่ว่า เราไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของนามธรรม หรือนามธาตุ อย่างเพียงพอ. เรารู้จักแต่เรื่องของรูปธาตุ ธาตุนั่นธาตุนี่ ที่เป็นวัตถุ. แต่ ธาตุอีกประเภทหนึ่ง ที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่วัตถุ นี่เราแทบจะไม่เข้าใจกันเสียเลย เราจึงเข้าใจยากในเรื่องการปรุงของธาตุที่เป็นนามธาตุ; ฉะนั้นเราต้องศึกษากันต่อไป ในที่นี้บอกได้แต่เพียงหลักตามทางพุทธ-ศาสนา ว่าเป็นการปรุงของธาตุหลาย ๆ ธาตุ รวมทั้งวัตถุและนามธาตุ สิ่งที่เรียกว่าความคิดหรือ “สังขาร” ในที่นี้ จึงเกิดขึ้นในใจ ในสิ่งที่เราเรียกกันว่าตัวเราหรือคนเรานี้ได้ ในลักษณะที่ทำให้เข้าใจไปว่ามีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้คิด หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นผู้คิด จึงทำให้มีทางเชื่อไปในทำนองว่า เป็น เจตภูต เป็นวิญญาณ เป็นตัวตน เป็นตัวเจ้าของร่าง หรืออะไรในทำนองนี้. พุทธศาสนาปฏิเสธสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง. เมื่อได้แยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็พิสูจน์แต่ละส่วน ๆ ว่าไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวตน, ตลอดถึงส่วนที่เป็นความคิด ก็ไม่ใช่ตัวตนอย่างที่ว่านี้.
ส่วนถัดไปอีก และเป็นส่วนสุดท้ายที่เรียกว่า “วิญญาณ” ซึ่งทำหน้าที่รู้แจ้ง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนเหมือนกัน. เพราะเหตุว่า อวัยวะนั้น ๆ , ซึ่งตามภาษาธรรมะเรียกว่า อายตนะ, คือตาพร้อมทั้งประสาทตา หูพร้อมทั้งประสาทหู จมูกพร้อมทั้งประสาทที่จมูก ลิ้นพร้อมทั้งประสาทที่ลิ้น ผิวกายทั่ว ๆ ไป พร้อมทั้งเส้นประสาทที่นั่น ล้วนแต่มีสมรรถภาพ ที่จะทำการรับอารมณ์ภายนอก ที่เรียกว่าอายตนะภายนอก ได้แก่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อยู่ตลอดเวลา เมื่อมากระทบกันเข้าพร้อมกันทั้งสองฝ่าย นามธรรมส่วนที่เรียกวิญญาณในที่นี้ ก็เกิดขึ้นในขณะนั้น เป็นสามฝ่ายด้วยกัน และจะมีความรู้แจ้งเกิดขึ้นที่ตรงนั้น เช่นที่ตา ก็มีความรู้แจ้งเกิดขึ้นที่ตา ว่ารูปนั้นมีสัณฐานอย่างไร เป็นรูปคนหรือสัตว์ สั้นหรือยาว ขาวหรือดำ สูงหรือต่ำ อย่างนี้เป็นต้น. ความรู้แจ้งที่เกิดขึ้นทำนองนี้ เป็นเหมือนกับแมคานิคของธรรมชาติ. นี่เป็นการพูดตามหลักของพุทธศาสนา ถือว่ามันเป็นแมคานิคอันหนึ่ง เป็นกลไกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นไปเองตามธรรมชาติอย่างอัตโนมัติ ซึ่งมันจะต้องเกิดขึ้นอย่างนั้นในขณะนั้น สำเร็จเป็นการรู้แจ้ง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย. ทีนี้คนบางพวกยึดถือว่า นั่นเป็นตัวเจตภูต เป็นตัววิญญาณ แล่นออกมาจากใจ มารับอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น อย่างนี้ก็มี, แล้วก็ยึดถือเอาเป็นตัวเป็นตน. แต่ตามหลักพุทธศาสนาถือว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง, มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น. ถ้ารูปและตา พร้อมทั้งประสาท ได้มีการกระทบกัน ก็จะมีการรู้แจ้งเกิดขึ้น สำเร็จเป็นความรู้แจ้ง ที่เรียกว่าจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ เป็นต้น ตามชื่อของที่ตั้งแห่งการกระทบ, โดยไม่ต้องมีตัวตนอะไรที่ไหนอีก.
เมื่อได้แยกดูทีละส่วน ๆ ทั้ง ๕ ส่วน ว่าไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวตน
-http://www.facebook.com/pages/อสุภะกรรมฐาน-กรณ์-มีดี/313871158714717