ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มิถุนายน 15, 2013, 11:00:50 am »ใจเป็นผู้รู้ผู้เห็น...ความจริง
"ในสภาวะทั้งหลายล้วนตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์
วิธีที่จะเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์นั้นทำอย่างไร?
มันเป็นของมันอยู่แล้ว ไม่ใช่เราไปทำให้มันเป็น
กายนี้ ใจนี้ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์อยู่แล้ว แต่เราไม่
"เห็น" เท่านั้นเอง หน้าที่ของเราที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม
เพื่อให้ "เห็น" ความจริง ว่ากายนี้ใจนี้เป็นไตรลักษณ์
(ย้ำ) เพื่อให้เห็นความจริงเท่านั้นนะ
ไม่ใช่เพื่อไปทำให้เป็นไตรลักษณ์ เพราะมันเป็นอยู่แล้ว
โดยตัวของมันเอง วิธีที่จะเห็นกายเห็นใจเป็นไตรลักษณ์ได้นั้น
เราต้องดูแบบเป็นคนวงนอก
ถ้าเราดูแบบเข้าไป in กับมันทุกเรื่องนะ เราจะเข้าไปเป็นมัน
ใจของเราต้องอยู่ต่างหากนะ เห็นร่างกายมันทำงาน
ใจอยู่ต่างหากเป็นแค่ "คนดู" เห็นความสุขความทุกข์
กิเลส กุศลเกิดขึ้น ใจเป็น แค่คนดู
เห็นจิตเกิดดับ ทางทวารทั้ง ๖ ใจเป็นแค่คนดู
ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น มีแค่ ใจเป็นแค่คนดู เท่านั้นเอง
คำว่า "ผู้รู้ผู้เห็น" คำว่า วิปัสสนะ
แปลว่า การเห็น นะ
ไม่ใช่กำหนดอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่การคิดนะ
ถ้าคิด เป็น วิตก
ไม่มีการยินดียินร้าย ใจต้องเป็นกลาง"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
>>> F/B ธรรมะคือยาขนานเอก
ได้แชร์ รูปภาพ ของ พระสุรินทร์. วัดป่าสุคะโต
“…พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้บอกทาง
หลวงพ่อเป็นผู้จำทางมาบอก
พวกเราก็มีหน้าที่เดินทาง
เส้นทางสายนี้ยังมีคนเดินอยู่
ยังไม่ขาดสายนะ ยังไม่ขาดระยะ
ต้องรีบเดิน ถ้ามันขาดช่วงเมื่อไหร่เนี่ย
จะหาเส้นทางนี้อีกเนี่ย ยากแสนยาก
นานหนักหนากว่าจะมีผู้รู้เส้นทางนี้ขึ้นมา
กว่าพระพุทธเจ้าจะค้นพบเส้นทางนี้
มีโอกาสแล้ว รู้เส้นทางแล้ว ต้องรีบเดิน
พระพุทธเจ้าเดินนำหายไปก่อนแล้ว
ครูบาอาจารย์เดินตามหลังมา
ยังเห็นรอยเท้าอยู่ นานไปรอยเท้านี้จะหายไป
งั้นเราต้องรีบเดินตาม
ก่อนที่รอยเท้าของท่านจะหายไปหมด…”
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
พระธรรมเทศนา
ณ ศาลาลุงชิน ครั้งที่ ๒๑ (๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕)
>>> F/B ธรรมะคือยาขนานเอก