ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มิถุนายน 26, 2013, 03:52:52 pm »



                   

มารยาหญิง 40
....มารยาหญิงนั้น มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เนื่องจากว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอครับ เวลารักใครชอบใคร ก็ไม่สามารถแสดงออกไปตรงๆได้ จึงต้องอาศัยมารยาหญิงนี่เหละครับในการจับผู้ชาย

...สมัยพุทธกาล ในกรุงสาวัตถี กุลบุตรคนหนึ่งชื่อ สุนทรสมุทรกุมาร เกิดในตระกูลใหญ่อันมีสมบัติ 40 โกฏิ ได้ฟังธรรมจากสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว มีความอุตสาหะเกิดแล้วในบรรพชา จึงได้ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักพระศาสดา

หญิงแพศยานางหนึ่ง เห็นมารดาของพระสุนทรสมุทรเถระนั้นกำลังนั่งร้องไห้เสียใจที่ลูกตนเองออกบวช ด้วยความปรารถนา ในทรัพย์ 40 โกฏิ จึงได้รับอาสาออกอุบายเกลี้ยกล่อมพระเถระให้สึกเสีย โดย ยึดเอาเรือนเป็นที่พักหลังหนึ่งในที่นั้น ตกแต่งอาหารที่ประณีตไว้แต่เช้าตรู่ แล้วถวายภิกษาในเวลาพระเถระเข้าไปบิณฑบาต และได้นิมนต์พระเถระเข้าไปในปราสาทเบื้องบน

เมื่อพระเถระรับนิมนต์แล้ว ทำพระเถระไว้ข้างหน้า เมื่อจะขึ้นไปสู่ปราสาท ปิดประตูทั้งหลายเสีย จึงขึ้นไปสู่ปราสาท. พระเถระ แม้เป็นผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกเป็นวัตรอย่างอุกฤษฏ์ ถูกความอยากในรสพัวพันแล้ว จึงขึ้นไปสู่ปราสาท 7 ชั้นตามคำของนาง

....นางให้พระเถระนั่งแล้ว แสดงแง่งอนของหญิง ลีลาของหญิงซึ่งมาแล้วอย่างนี้ว่า "เพื่อนผู้มีหน้าเอิบอิ่ม ได้ยินว่า หญิงย่อมเกี้ยวชายด้วยฐานะ 40 อย่างคือ

สะบัดสะบิ้ง
ก้มลง
กรีดกราย
ชมดชม้อย
เอาเล็บดีดเล็บ

เอาเท้าเหยียบเท้า
เอาไม้ขีดแผ่นดิน
ชูเด็กขึ้น
ลดเด็กลง
เล่นเอง

ให้เด็กเล่น
จูบเอง
ให้เด็กจูบ
รับประทานเอง
ให้เด็กรับประทาน

ให้ของเด็ก
ขอของคืน
ล้อเลียนเด็ก
พูดดัง
พูดค่อย

พูดคำเปิดเผย
พูดลี้ลับ
(ทำนิมิต) ด้วยการฟ้อน ด้วยการขับ ด้วยการประโคม ด้วยการร้องไห้ ด้วยการเยื้องกราย ด้วยการแต่งตัว
ซิกซี้

จ้องมองดู
สั่นสะเอว
ยังของลับให้ไหว
ถ่างขา
หุบขา

แสดงถัน
แสดงรักแร้
แสดงสะดือ
ขยิบตา
ยักคิ้ว

เม้มริมฝีปาก
แลบลิ้น
เปลื้องผ้า
นุ่งผ้า
สยายผม
เกล้าผม

.....พระศาสดาประทับนั่งอยู่ในพระเชตวัน ณ ที่ไกลประมาณ 45 โยชน์นั้น ทรงเห็นเหตุนั้นแล้วทรงแผ่พระรัศมีไป ตรัสว่า "ภิกษุ เธอจงหมดอาลัย ละกามแม้ทั้งสองเสีย" แล้ว ตรัสพระคาถาความว่า "บุคคลใด ละกามแม้ทั้งสองในโลกนี้แล้ว เป็นผู้ไม่มีเรือน งดเว้นเสียได้ เราเรียกผู้นั้น ผู้มีกามสิ้นแล้ว และผู้มีภพสิ้นแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์"

ในกาลจบเทศนา พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว เหาะขึ้นไปสู่เวหาสด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ ทะลุมณฑลช่อฟ้าออกไปแล้ว ชมเชยพระสรีระพระศาสดาอยู่นั่นเทียว มาถวายบังคมพระศาสดาแล้ว

                 

ที่มา อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรคที26
: http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=36&p=32
:https://www.facebook.com/AKALIGO.com.thailand?hc_location=stream

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 09:12:19 pm »




39. เรื่องเทวหิตพราหมณ์
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภปัญหาของเทวหิตพราหมณ์  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ปุพฺเพนิวาสํ  เป็นต้น

ในสมัยหนึ่ง  พระศาสดา  ทรงอาพาธด้วยพระวาโย(ลม)กำเริบ  ทรงส่งพระอุปวานเถระไปขอน้ำร้อนจากเทวหิตพราหมณ์   พราหมณ์นั้นมีความดีใจมากที่นานครั้งจะได้มีโอกาสถวายสิ่งของแด่พระศาสดา  ดังนั้นนอกจากจะถวายน้ำร้อนมาแล้ว  พราหมณ์นั้นก็ยังถวายน้ำอ้อยมาพร้อมกันด้วย   เมื่อกลับมาถึงวัดพระเชตวันแล้ว   หลังจากที่ทรงสรงน้ำแล้ว  พระอุปวานะก็ได้น้อมถวายน้ำร้อนและน้ำอ้อย   เมื่อพระศาสดาทรงเสวยของทั้งสองอย่างเข้าไปแล้วอาการพระวาโยกำเริบก็หายไป  ต่อมาพราหมณผู้นั้นได้มาเฝ้าพระศาสดาและกราบทูลถามว่า  “บุคคลควรให้ไทยธรรมในบุคคลไหน ?  ไทยธรรมวัตถุอันบุคคลให้ในบุคคลไหน ?  จึงมีผลมาก   ทักษิณาของบุคคลผู้บูชาอยู่อย่างไรเล่า ? จะสำเร็จได้อย่างไร ?”  พระศาสดาตรัสว่า “ไทยธรรมวัตถุ  ที่บุคคลให้แก่พราหมณ์ผู้เช่นนี้  ย่อมมีผลมาก
เมื่อจะตรัสบอกบุคคลผู้เป็นพราหมณ์แก่พราหมณ์นั้น  จึงตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

ปุพฺเพนิวาสํ  เย  เวทิ
สคฺคาปายญฺจ  ปสฺสติ
อโถ  ชาติกฺขยํ  ปตฺโต
อภิญฺญา  โวสิโต  มุนิ
สพฺพโวสิตโวสานํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ  ฯ


บุคคลรู้ขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน
ทั้งเห็นสวรรค์และอบาย
อนึ่ง  บรรลุความสิ้นไปแห่งชาติ
เสร็จกิจแล้ว  เพราะรู้ยิ่ง

เป็นมุนี  เราเรียกบุคคลนั้น
ซึ่งมีพรหมจรรย์อันอยู่เสร็จสรรพแล้ว
ว่าเป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


-http://www.oknation.net/blog/dhammapada/2008/11/17/entry-18

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 03:10:19 pm »




37.เรื่องพระธรรมทินนาเถรี
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน  ทรงปรารภภิกษุณีชื่อธรรมทินนา  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ยสฺส  ปุเร จ  เป็นต้น

ในวันหนึ่ง  ในกรุงราชคฤห์  วิสาขอุบาสกสามีของนางธรรมทินนา  ไปฟังธรรมของพระศาสดาแล้วได้บรรลุพระอนาคามิผล   เมื่อกลับมาบ้าน  ได้กล่าวกับภรรยาว่า   นางจงรับทรัพย์สมบัติทั้งปวงในบ้านนี้ไว้ดูแลเถิด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่บริหารจัดการเรื่องใดๆทั้งสิ้น  นางธรรมทินนาได้ยินสามีกล่าวเช่นนั้นจึงตอบไปว่า “ใครจักรับน้ำลายที่ท่านบ้วนทิ้ง” นางได้ขออนุญาตสามีบวชเป็นนางภิกษุณี   เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว  ก็ได้เข้าไปบวชอยู่ในสำนักของนางภิกษุณี   หลังจากที่นางบวชเป็นภิกษุณีได้ไม่นาน  นางก็ได้ติดตามพวกภิกษุณีทั้งหลายไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งในชนบท  ต่อมาไม่นานนางก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  แล้วเดินทางกลับมาที่กรุงราชคฤห์

เมื่อวิสาขอุบาสก ทราบว่าภิกษุณีธรรมทินนากลับมาแล้ว  ก็ได้ไปพบและได้สอบถามปัญหาทางธรรมด้วย  เมื่อวิสาขอุบาสกสอบถามในเรื่องที่อยู่ในขอบข่ายของโสดาปัตติมรรค  สกทาคามิมรรค  และอนาคามิมรรค  นางก็สามารถตอบได้อย่างฉะฉาน  แต่พอวิสาขอุบาสกสอบถามธรรมในส่วนที่เกินเลยไปจากนั้น  พระธรรมทินนาเถรีตอบว่า เป็นการถามปัญหาที่เลยวิสัยสามารถของเขาไปเสียแล้ว  และได้แนะนำให้ไปกราบทูลถามพระศาสดาโดยตรง  จากนั้นวิสาขอุบาสกได้ลุกจากที่สนทนา เข้าไปกราบทูลเรื่องที่สนทนากันนี้กับพระศาสดา  พระศาสดาตรัสว่า  “ธรรมทินนาธิดาของเรากล่าวดีแล้ว  ด้วยเราเมื่อจะแก้ปัญหานั่น  ก็พึงแก้อย่างนั้นเหมือนกัน
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

ยสฺส  ปุเร  จ  ปจฺฉา  จ
มชฺเฌ  จ  นตฺถิ  กิญฺจนํ
อกิญฺจนํ  อนาทานํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ


ความกังวลในก่อน  ในภายหลัง
และในท่ามกลาง  ของผู้ใด  ไม่มี
เราเรียกผู้นั้น  ซึ่งไม่มีความกังวล
ไม่มีความยึดมั่น
ว่า  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.



38.เรื่องพระอังคุลิมาลเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระอังคุลิมาลเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อุสภํ   เป็นต้น

ในสมัยหนึ่ง  พระเจ้าปเสนทิโกศล  และพระนางมัลลกาเทวี ได้ทรงถวาย  อสทิสทาน (ทานที่หาทานใดเสมอเหมือนมิได้)  แด่พระศาสดาและภิกษุทั้งหลาย 500  รูป  โดยในพีธีถวายทานในครั้งนี้  ภิกษุแต่ละรูปจะมีช้างยืนถือเศวตฉัตรกั้นอยู่เหนือศีรษะ  แต่ช้างที่นำมาเข้าพิธีที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีแล้วมีทั้งสิ้นจำนวน 499 ตัว  จึงจำเป็นต้องนำช้างตัวที่ 500 ซึ่งเป็นช้างที่ยังมิได้รับการฝึกมากั้นฉัตรถวายพระอังคุลิมาลเถระ  หลังจากเสร็จพิธีนั้นแล้ว  ภิกษุทั้งหลาย  ถามพระอังคุลิมาลเถระว่า  “ผู้มีอายุ  ท่านเห็นช้างดุร้าย  ยืนกั้นฉัตรอยู่นั้น  ไม่กลัวหรือหนอ”  เมื่อพระอังคุลิมารเถระตอบว่า  “ไม่กลัวหรอก ท่าน”  ก็ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดา  โดยกล่าวหาว่า  พระเถระนั้นอวดอ้างตนว่าบรรลุเป็นพระอรหันต์   พระศาสดาตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  อังคุลิมาลบุตรของเรา  ย่อมไม่กลัว  เพราะว่า  ภิกษุทั้งหลายเช่นกับบุตรของเรา   ผู้องอาจที่สุดในระหว่างพระขีณาสพผู้องอาจทั้งหลาย  ย่อมไม่กลัว
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อุสภํ  ปวรํ  วีรํ
มเหสึ  วิชิตาวินํ
อเนชํ  นหาตกํ  พุทฺธํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ  ฯ


เราเรียกบุคคลผู้องอาจ  ประเสริฐ
แกล้วกล้า  แสวงหาคุณอันใหญ่
ผู้ชนะโดยวิเศษ   ไม่หวั่นไหว  ผู้ล้างแล้ว  ผู้รู้
นั้นว่า
  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 02:01:59 pm »




35. เรื่องภิกษุผู้เคยเป็นนักฟ้อนรูปที่ 2
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภภิกษุผู้เคยเป็นนักฟ้อนรูปที่ 2  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  หิตฺวา  รติญฺจ  เป็นต้น

ในสมัยหนึ่ง  ดารานักแสดงคนหนึ่ง  ออกตระเวนไปเปิดแสดงร้องรำทำเพลงไปตามถนนหนทาง  แล้วได้มีโอกาสได้ไปฟังธรรมของพระศาสดา  หลังจากได้ฟังธรรมแล้วก็ได้เข้าอุปสมบทเป็นภิกษุ  และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  เมื่อพระอดีตดารานักแสดงนั้นออกไปบิณฑบาตกับภิกษุสงฆ์  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  ภิกษุทั้งหลายเห็นบุตรของดารานักแสดงคนหนึ่ง จึงได้ถามพระอดีตดารานักแสดงนั้นว่า  ยังมีความเยื่อใยในอาชีพการแสดงอยู่หรือไม่  เมื่อพระอดีตดารานักแสดงตอบว่า “ไม่มีแล้ว  จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดาว่า  พระอดีตดารานี้อวดอ้างตนว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยความไม่จริง  พระศาสดาได้ตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย   บุตรของเราละความยินดีและความไม่ยินดีได้แล้ว  ดำรงอยู่” จากนั้น   พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

หิตฺวา  รติญจ  อรติญฺจ
สีติภูตํ  นิรูปธึ
สพฺพโลกาภิภุ   วีรํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ


เราเรียกบุคคลนั้น
ซึ่งละความยินดีและความไม่ยินดีได้แล้ว
ผู้เย็น  ไม่มีอุปธิ

ครอบงำโลกทั้งปวง  ผู้แกล้วกล้า 
ว่า  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ขนเป็นอันขาด  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


                       

36.เรื่องพระวังคีสเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระวังคีสเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  จุตึ  โย  เวทิ
 เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง   พราหมณ์ในกรุงราชคฤห์คนหนึ่งชื่อวังคีสะ   แค่เคาะกะโหลกศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว  ก็รู้ได้ในทันทีว่า  “นี้เป็นศีรษะของคนผู้เกิดในนรก  นี้เป็นศีรษะของคนผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน  นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเปรตวิสัย  นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในมนุษยโลก  นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเทวโลก”  พวกพราหมณ์ทั้งหลายถือเอาเรื่องนี้เป็นจุดขาย  จึงได้นำวังคีสพราหมณ์ขึ้นเกวียนออกตระเวนไปตามที่ต่างๆ  และก็มีคนเป็นจำนวนมากมาขอรับบริการจากเขาให้เคาะศีรษะของพวกญาติๆที่ตายไปแล้ว  โดยทั้งนี้คนที่มารับบริการจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าบริการคนละ 10  กหาปณะบ้าง  20 กหาปณะบ้าง  30 กหาปณะบ้าง

อยู่มาวันหนึ่ง   วังคีสพราหมณ์และคณะได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดพระเชตวัน  เมื่อพวกพราหมณ์ในคณะเห็นประชาชนจะเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา  จึงได้ร้องเชื้อเชิญให้พวกเขามาใช้บริการเคาะกะโหลกศีรษะของญาติเพื่อรู้ที่เกิดของพวกเขา    แต่ประชาชนเหล่านั้นตอบว่า “วังคีสะจะรู้อะไร  บุคคลผู้ทัดเทียมกับพระศาสดาของเราย่อมไม่มี”  พวกพราหมณ์เหล่านั้น  ต้องการจะพิสูจน์ว่าระหว่างวังคีสะกับพระศาสดาใครจะเก่งกว่ากัน  จึงได้พาวังคีสะร่วมเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา  พระศาสดาเมื่อทรงทราบวัตถุประสงค์ของคนเหล่านั้นแล้ว  จึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายนำกะโหลกศีรษะของคนตายที่ไปเกิดในนรก   คนตายที่ไปเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน  คนตายที่ไปเกิดในกำเนิดมนุษย์   คนตายที่ไปเกิดเป็นเทวดา   และคนตายที่เป็นพระอรหันต์   มาเรียงกันไว้ตามลำดับ  แล้วให้วังคีสะเคาะ

วังคีสะเคาะแล้วสามารถบอกที่กำเนิดของกะโหลกคนตายของ  4  คนแรกได้อย่างถูกต้อง  แต่พอมาเคาะกะโหลกของพระอรหันต์  วังคีสะบอกไม่ได้ว่าไปเกิดที่ใด  พระศาสดาตรัสถามว่า “ท่านไม่รู้หรือ”  เมื่อเขากราบทูลว่า  “พระเจ้าข้า  ข้าพระองค์ไม่รู้”  พระศาสดาตรัสว่า “ฉันรู้”  วังคีสะได้กราบทูลมนต์ที่จะทำให้ล่วงรู้กะโหลกศีรษะของพระอรหันต์นั้น  แต่พระศาสดาตรัสว่าพระองค์จะประทานมนต์นั้นเฉพาะแก่บุคคลที่เป็นภิกษุเท่านั้น   วังคีสะจึงได้บอกกับพราหมณ์ทั้งหลายในคณะให้ออกไปรออยู่นอกวัดในขณะที่เขาเรียนมนต์อยู่กับพระศาสดา  จากนั้น  พระศาสดาได้ทำพิธีอุปสมบทแก่วังคีสะ    และเมื่ออุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว  พระศาสดาทรงประทานพระกัมมัฏฐานที่มีอาการ 32 เป็นอารมณ์แก่พระวังคีสเถระ  แล้วตรัสว่า “เธอจงสาธยายบริกรรมมนต์”  เมื่อได้บริกรรมอาการ 32  นั้นผ่านไปเพียง  2-3 วัน วังคีสเถระก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  เมื่อพวกพราหมณ์ในคณะมาชวนให้ออกไปตระเวนเคาะกะโหลกคนตายอีก  พระวังคีสเถระก็ได้ตอบปฏิเสธไปว่า  “ฉันไม่ควรไปแล้ว

ภิกษุทั้งหลาย  ได้ยินคำนั้นแล้ว  เข้าใจว่าพระวังคีสะอวดอ้างตน  ว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยความไม่จริง  จึงนำความนั้นกราบบังคมทูลพระศาสดา   พระศาสดาตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธออย่ากล่าวอย่างนั้น  ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  บุตรของเราฉลาดในการจุติและปฏิสนธิแล้ว
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า

จุตึ  โย  เวทิ  อตฺตานํ
อุปฺปตฺติญฺจ  สพฺพโส
อสตฺตํ  สุคตํ  พุทฺธํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ  ฯ

ยสฺส  คตึ  น  ชานนฺติ
เทวา  คนฺธพฺพมานุสา
ขีณาสวํ  อรหนฺตํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ


ผู้ใด  รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย
โดยประการทั้งปวง
เราเรียกผู้นั้นซึ่งไม่ข้องไปดี  รู้แล้ว
ว่า
  เป็นพราหมณ์.
 
เทพดา  คนธรรพ์  และหมู่มนุษย์
ย่อมไม่รู้คติของผู้ใด
เราเรียกผู้นั้น  ซึ่งมีอาสวะสิ้นแล้ว
ผู้ไกลจากกิเลส  ว่า
  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 01:35:49 pm »




33.เรื่องพระโชติกเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน  ทรงปรารภพระโชติกเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  โยธ  ตณฺหํ  เป็นต้น

โชติกเศรษฐี   เป็นเศรษฐีที่มีชื่อเสียงมาก ในกรุงราชคฤห์   เขาพำนักอยู่ในปราสาท 7 ชั้น  มีกำแพงแก้ว  7  ประการล้อมรอบ มีซุ้มประตูทางเข้าประสาทอยู่ 7 ซุ้ม  และมีขุมทรัพย์ในบริเวณประสาท 4  ขุม  ในเวลาจะหุงหาอาหารโชติกเศรษฐีก็มิได้ใช้เตาและหม้อธรรมดาเหมือนคนอื่น   แต่ใช้เตาและหม้อหุงต้มอาหารอัตโนมัติเรียกเป็นภาษาในสมัยนั้นว่า “ปาสาณา”  เตาหุงข้าวชนิดนี้ไฟจะติดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ  และเมื่อข้าวหรืออาหารสุกแล้ว  ไฟก็จะดับเอง  เมื่อไฟดับก็แสดงว่าข้าวหรืออาหารนั้นสุกแล้ว  นอกจากนั้นแล้ว  โชติกเศรษฐีก็ยังมีภรรยาที่งดงามมาก  ซึ่งได้มาจากอุตตรกุรุทวีป  ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจะนิยมเข้าไปชมปราสาทของโชติกเศรษฐีเพราะต่างต้องการเห็นความร่ำรวย  ความมีทรัพย์มาก  และความมีชีวิตที่ฟุ่มเฟือยของเศรษฐีผู้นี้

อยู่มาวันหนึ่ง  พระเจ้าพิมพิสาร ได้เสด็จมาทอดพระเนตรปราสาทของเศรษฐีนี้  และพระองค์ได้นำเจ้าชายอชาตศัตรูพระโอรสตามเสด็จมาด้วย  เมื่อเจ้าชายอชาตศัตรูทอดพระเนตรเห็นความอลังการของปราสาท เห็นสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลาย  และเห็นทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าในปราสาท  ก็ได้มีความริษยาดำริว่า  เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ได้เสวยราชสมบัติ  ก็จะไม่ยอมให้โชติกเศรษฐีผู้นี้มีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยอยู่ในปราสาทหลังนี้ เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเสด็จออกจากปราสาท  โชติกเศรษฐีได้ทูลเกล้าถวายเพชรนิลจินดาที่มีค่ามากแด่พระราชา  ตามประเพณีที่เศรษฐีโชติกทำเป็นประจำแก่แขกที่เข้ามาเยี่ยมเยียนปราสาทของเขา


เมื่อเจ้าชายอชาตศัตรู  ขึ้นครองราชย์สมบัติภายหลังปลงพระชนม์พระบิดาคือพระเจ้าพิมพิสารแล้ว ก็ได้ทรงนำกองทหารจะไปยึดปราสาทของโชติกเศรษฐี  แต่เนื่องจากประตูทางเข้าปราสาททุกด้านมียักษ์รักษาการอยู่  พระเจ้าอชาตศัตรูจึงมิอาจจะนำกองทหารเข้าไปในปราสาทได้  พระองค์ต้องรีบถอนกำลังทหารออกมา  แล้วเสด็จไปที่วัดพระเชตวัน  เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นโชติกะเศรษฐีกำลังนั่งฟังธรรมของพระศาสดาอยู่  จึงได้ตรัสว่า “คฤหบดี  ท่านให้คนของท่านออกมาสู้รบกับกองทหารของข้าพเจ้าแล้ว ก็รีบมาทำทีว่านั่งฟังธรรมอยู่แบบนี้หรือ”  พอได้ฟังเช่นนี้  โชติกเศรษฐีก็รู้ได้ในทันทีว่าพระเจ้าอชาตศัตรูยกกองกำลังไปเพื่อจะยึดปราสาทของตน แต่ต้องถอยร่นออกมาเพราะต้านทานกับฝ่ายยักษ์ที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ไหว

ในพระคัมภีร์กล่าวว่า  ในอดีตชาติ  โชติกเศรษฐีผู้นี้  ได้ทำบุญทำกุศลไว้มาก และได้เคยอธิษฐานจิตตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขออย่าให้ใครสามารถมาแย่งชิงสมบัติใดๆของเขาไปได้   หากเขาไม่เต็มใจที่จะยกให้  ดังนั้น  โชติกเศรษฐีจึงกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรูว่า  “ข้าแต่สมมติเทพ  แม้พระราชาตั้งพัน  ก็ไม่สามารถเพื่อจะยึดเอาปราสาทของข้าพระองค์ได้  หากข้าพระองค์ไม่เต็มใจจะยกให้”  เมื่อกราบทูลเช่นนี้แล้ว  โชติกเศรษฐีก็ได้ยื่นนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วที่มีแหวนสวมอยู่ 10 วงให้พระราชาทรงทดลองรูดออกมาจากนิ้วดู  พระราชาแม้จะทรงพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถจะรูดแหวนออกมาจากนิ้วมือของเศรษฐีได้   คราวนี้โชติกเศรษฐีทดลองใหม่  โดยกราบทูลพระราชาให้ทรงปูผ้าไว้  แล้วเศรษฐีก็วางมือลงที่ผ้าผืนนั้นและแบมือออก ปรากฏว่า แหวนทุกวงก็ลื่นไหลออกมาจากนิ้วของเศรษฐีอย่างง่ายดาย  หลังจากที่ได้ถวายแหวนแด่พระเจ้าอชาตศัตรูแล้ว  โชติกเศรษฐีได้กราบทูลขอบวชจากพระศาสดา  เมื่ออุปสมบทเป็นภิกษุแล้วไม่นาน  ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

อยู่มาวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลาย  เรียกพระโชติกเถระมาถามว่า “ท่านโชติกะ  ตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นของท่านยังมีอยู่หรือ”  เมื่อท่านบอกว่า  “ไม่มีแล้วท่าน”  จึงกราบทูลพระศาสดาว่า  “พระเจ้าข้า  พระโชติกะนี้  กล่าวไม่จริง  อวดอ้างว่าเป็นพระอรหันต์
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย  บุตรของเรา  ไม่มีตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นแล้ว”  จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

โยธ  ตณฺหํ  ปหนฺตฺวาน
อนาคาโร  ปริพฺพเช
ตณฺหาภวปริกฺขีณํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ


ผู้ใด ละตัณหาในโลกนี้ได้แล้ว
เป็นผู้ไม่มีเรือน  เว้นเสียได้
เราเรียกผู้นั้น  ซึ่งมีตัณหาและภพอันสิ้นแล้ว
ว่า
  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


  34.  เรื่องภิกษุผู้เคยเป็นนักฟ้อนรูปที่ 1
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน  ทรงปรารภภิกษุผู้เคยเป็นนักฟ้อนรูปที่ 1  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  หตฺวา  มานุสกํ  เป็นต้น

ในสมัยหนึ่ง  ดารานักแสดงคนหนึ่ง  ออกตระเวนไปเปิดแสดงร้องรำทำเพลงไปตามถนนหนทาง  แล้วได้มีโอกาสได้ไปฟังธรรมของพระศาสดา  หลังจากได้ฟังธรรมแล้วก็ได้เข้าอุปสมบทเป็นภิกษุ  และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  เมื่อพระอดีตดารานักแสดงนั้นออกไปบิณฑบาตกับภิกษุสงฆ์  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  ภิกษุทั้งหลายเห็นบุตรของดารานักแสดงคนหนึ่ง จึงได้ถามพระอดีตดารานักแสดงนั้นว่า  ยังมีความเยื่อใยในอาชีพการแสดงอยู่หรือไม่  เมื่อพระอดีตดารานักแสดงตอบว่า “ไม่มีแล้ว”  จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดาว่า  พระอดีตดารานี้อวดอ้างตนว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยความไม่จริง  พระศาสดาได้ตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย   บุตรของเราก้าวล่วงกิเลสเครื่องประกอบทั้งปวงได้แล้ว”   จากนั้น   พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

หิตฺวา  มานุสกํ  โยคํ
ทิพฺพํ  โยคํ  อุปจฺจคา
สพฺพโยควิสํยุตฺตํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ  ฯ


ผู้ใด ละกิเลสเครื่องประกอบอันเป็นของมนุษย์
ล่วงกิเลสเครื่องประกอบอันเป็นของทิพย์ได้แล้ว
เราเรียกผู้นั้น  ซึ่งพรากกิเลสเครื่องประกอบทั้งปวงได้แล้ว
ว่า
เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 12:14:50 pm »




31. เรื่องพระสีวลีเถระ
พระศาสดา  เมื่อทรงอาศัยเมืองกุณฑิโกฬิยะ  ประทับอยู่ในป่าชื่อกุณฑธาน    ทรงปรารภพระสีวลีเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  โย  อิมํ  เป็นต้น

ในสมัยหนึ่ง  พระธิดาของเชื้อพระวงศ์สายโกลิยวงศ์  พระนามว่าสุปปวาสา  ทรงครรภ์อยู่   ปี 7  โดยไม่ยอมมีพระประสูติกาล  ต่อมา  พระนางเกิดความเจ็บพระครรภ์อยู่นานถึง 7 วันก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีพระประสูติกาลอีก  พระนางมีพระอาการเจ็บพระครรภ์มาก ทรงบรรเทาความเจ็บปวดนั้น ด้วยการระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ว่า1. พระผู้มีพระภาคพระองค์ใด  ทรงแสดงธรรมเพื่อละทุกข์แห่งรูปนี้แหละ  พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบหนอ  2. พระสงฆ์สาวกใดปฏิบัติเพื่อละทุกข์แห่งรูปนี้แหละ  พระสงฆ์สาวกนั้น  ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้วหนอ  3. ทุกข์เห็นปานนี้  ไม่มีในพระนิพพานใด  พระนิพพานนั้น  เป็นสุขดีหนอ”

พระนางจึงได้ให้พระสวามีไปเฝ้าพระศาสดา  แล้วให้กราบทูลเรื่องที่พระนางกำลังเจ็บพระครรภ์อยู่นี้  พระศาสดาตรัสว่า “พระธิดาโกลิยวงศ์พระนามว่าสุปปวาสา  จงเป็นผู้มีสุข  ไม่มีโรค  ประสูติพระโอรสซึ่งหาโรคมิได้เถิด” ขณะพระศาสดาตรัสนั้นประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน แต่พระนางสุปปวาสาก็ทรงหายจากการเจ็บพระครรภ์ในทันใด  ประสูติพระโอรสอย่างง่ายดาย  และในวันนั้นเอง  หลังจากมีพระประสูติกาลพระโอรสแล้ว  พระนางก็ได้กราบทูลพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่วังของพระนาง โดยมีพระโอรสน้อยที่เกิดใหม่แต่สามารถเดินได้ในทันที ทำหน้าที่กรองน้ำถวายพระศาสดาและพระสงฆ์  และเพื่อเป็นการฉลองการเกิดของพระโอรส  พระนางและพระสวามีได้ทูลอาราธนาพระศาสดาและพระสงฆ์มาฉันภัตตาหารที่วังเป็นเวลาติดต่อกัน 7 วัน

เมื่อพระโอรสซึ่งมีพระนามว่า สีวลี  เติบโตขึ้น  ก็ได้เสด็จออกบรรพชาเป็นสามเณร  และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  อยู่มาวันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย  พวกท่านจงดู  ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยแห่งพระอรหัตเห็นปานนี้   ยังเสวยทุกข์ในท้องของมารดาตลอดกาล  ประมาณเท่านี้  จะป่วยกล่าวไปใยเล่าถึงชนเหล่าอื่น  ทุกข์เป็นอันมากหนออันภิกษุนี้ถอนแล้ว

พระศาสดา  เสด็จมาตรัสถามถึงหัวข้อการสนทนานั้น  แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย  ใช่สิ  บุตรของเราพ้นจากทุกข์ประมาณเท่านี้แล้ว  บัดนี้  ทำพระนิพพานให้แจ้งแล้วอยู่
จากนั้น  พระศาสดา  ได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

โย  อิมํ  ปลิปถํ ทุคฺคํ
สํสารํ  โมหมจฺจคา
ติณฺโณ  ปารคโต  ฌายี
อเนโช  อกถํกถี
อนุปาทาย  นิพฺพุโต
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ


ผู้ใด  ล่วงทางอ้อม  หล่ม  สงสาร
และโมหะนี้ไปแล้ว  เป็นผู้ข้ามไปได้
ถึงฝั่ง  มีปกติเพ่ง  หากิเลสเครื่องหวั่นไหวมิได้
ไม่มีความสงสัย  เป็นเหตุกล่าวว่าอย่างไร

ไม่ถือมั่น  ดับแล้ว
เราเรียกผู้นั้นว่า  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


                     

32. เรื่องพระสุนทรสมุทรเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระสุนทรสมุทรเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  โยธ  กาเม  เป็นต้น

ในกรุงสาวัตถี  มีชายคนหนึ่งชื่อสุนทรสมุทร  เป็นบุตรของเศรษฐี  มีทรัพย์สมบัติ  40 โกฏิ  ต่อมาสุนทรสมุทรนี้ได้ออกบวช  และได้ออกเดินทางไปปฏิบัติธรรมในกรุงราชคฤห์  ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงสาวัตถีประมาณ  45  โยชน์
อยู่มาวันหนึ่ง  มีการจัดงานเทศกาลอย่างหนึ่งขึ้นในกรุงสาวัตถี  บิดามารดาของพระสุนทรสมุทรคิดถึงบุตรชายมากถึงกับร้องไห้ออกมา  เพราะนึกเสียดายว่าคิดว่าหากบุตรยังไม่บวชก็จะออกไปเที่ยวสนุกสนานในงานเทศกาลนี้  ขณะที่คนทั้งสองนั่งร้องไห้อยู่นั้น  ก็มีหญิงแพศยานางหนึ่งเข้ามาถามถึงสาเหตุที่คนทั้งสองร้องไห้  เมื่อได้ฟังว่าร้องไห้ถึงบุตรชายที่ออกบวชนั้น นางก็ถามขึ้นว่า  หากนางสามารถสึกพระลูกชายออกมาครองชีวิตเป็นฆราวาสได้  ทั้งสองคนจะให้อะไรเป็นสิ่งตอบแทนแก่นาง  ทั้งสองคนได้บอกกับนางว่า   จะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้   นางแพศยาก็จึงขอเงินจำนวนหนึ่งจากคนทั้งสองแล้วก็ออกเดินทางไปที่กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง 
 
เมื่อเดินทางถึงกรุงราชคฤห์แล้ว  นางก็ได้เช่าปราสาท  7  ชั้นหลังหนึ่ง  ซึ่งตั้งอยู่ในเส้นทางที่พระสุนทรสมุทรจะบิณฑบาตผ่าน  นางได้ตระเตรียมอาหารดีๆไว้รอพระสุทรสมุทรเถระมาบิณฑบาต  ใน 2-3  วันแรกนางได้ยกอาหารมาถวายพระเถระตรงที่ประตูบ้าน  แต่ต่อมานางได้นิมนต์พระเถระเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตข้างในบ้าน  ในช่วงนี้  นางได้ไปว่าจ้างพวกเด็กๆให้พากันมาเล่นอยู่ข้างนอกบ้านในช่วงเวลาที่พระเถระมารับบิณฑบาต เพื่อที่ว่านางจะหาเลศนัยใช้เป็นข้ออ้างว่ามีพวกเด็กๆมาเล่นกันฝุ่นฟุ้งและส่งเสียงอื้ออึงเมื่อนั่งอยู่ชั้นล่างของบ้าน สมควรที่พระเถระจะขึ้นไปนั่งอยู่เสียที่ชั้นที่สองของบ้าน   เมื่อพระเถระยอมปฏิบัติตามคำนิมนต์นั้นแล้ว  หญิงแพศยานั้นก็รีบเข้ามาปิดประตูสั่นดาล  แล้วนางก็เริ่มยั่วยวนพระเถระด้วยมารยาหญิง  นางได้กล่าวกับพระเถระว่า ท่านก็ยังหนุ่ม  ส่วนดิฉันก็ยังสาว  เราควรมาเป็นสมีภรรยากัน  เอาไว้เมื่อตอนชราจึงค่อยมาบวชเถิด

เมื่อพระเถระได้ยินคำพูดของนางแพศยา  ก็เกิดความสังเวชใจ  ว่าตนหลวมตัวทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเพราะความประมาทเลินเล่อ  ในขณะนั้นเอง  พระศาสดาประทับนั่งอยู่ในพระเชตวัน  ทีห่างไกลจากจุดนั้นประมาณ 45  โยชน์  ทรงเห็นเหตุการณ์ด้วยพระญาณวิเศษ     ได้ทรงกระทำความยิ้มแย้มออกมา  เมื่อพระอานนทเถระกราบทูลถามถึงสาเหตุของการที่ทรงยิ้มแย้มนั้น  ได้ตรัสว่า “อานนท์  สงครามระหว่างภิกษุชื่อสุนทรสมุทร  กับหญิงแพศยา  กำลังเปิดฉากขึ้น  บนปราสาท 7 ชั้น  ในกรุงราชคฤห์”  พระอานนทเถระทูลถามว่า  “ใครจะชนะ  ใครจะแพ้”  พระศาสดาตรัสว่า “ฝ่ายสุนทรสมุทรจะชนะ  ฝ่ายหญิงแพศยาจะแพ้”  จากนั้น  พระศาสดาได้เปล่งรัศมีไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพระสุนทรเถระ  แล้วตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

โยธ  กาเม  ปหนฺตฺวาน
อนาคาโร  ปริพฺพเช
กามภวปริกฺขีณํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ


บุคคลใดละกามทั้งหลายในโลกนี้แล้ว
เป็นผู้ไม่มีเรือน  งดเว้นเสียได้
เราเรียกบุคคลนั้น  ผู้มีกามและภพสิ้นแล้ว
ว่า
  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   พระเถระ  บรรลุพระอรหัตตผล.

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 11:10:55 am »




29. เรื่องพระเรวตเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในบุพพาราม  ทรงปรารภพระเรวตเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  โยธ  ปุญญญฺจเป็นต้น

วันหนึ่ง  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า  “น่าอัศจรรย์  สามเณร(เรวตะ)มีลาภมาก  น่าอัศจรรย์สามเณร(เรวตะ) มีบุญมาก  รูปเดียวแท้ๆ  สามารถสร้างเรือนยอด  500 หลังสำหรับภิกษุ  500 รูปได้”   พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามถึงหัวข้อที่สนทนากันนั้น  แล้วตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย บุญย่อมไม่มีแก่บุตรของเรา  บาปก็มิได้มี  บุญบาปทั้ง 2 เธอละได้แล้ว
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

โยธ  ปุญฺญญฺจ  ปาปญฺจ
อุโภ  สงฺคํ  อุปจฺจคา
อโสกํ  วิรชํ  สุทฺธํ
ตมหํ  พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ


ผู้ใดล่วงบุญและบาปทั้ง 2
และกิเลสเครื่องข้องเสียได้  ในโลกนี้
เราเรียกผู้นั้น  ซึ่งไม่มีความโศก  มีธุลีไปปราศแล้ว
ผู้บริสุทธิ์แล้ว
  ว่าเป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดปัตติผลเป็นต้น.
                       
30. เรื่องพระจันทาภเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระจันทาภเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  จนฺทํว  เป็นต้น

พระจันทาภเถระ  เมื่อครั้งในอดีตชาติ  เคยได้ถวายผงแก่นจันทน์แดงบูชาพระสถูปเจดีย์  ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้า ด้วยผลานิสงส์นั้น  ทำให้ได้ไปเกิดในเทวโลกเป็นเวลาหนึ่งพุทธันดร  ในพุทธุปบาทกาลนี้  ได้มาเกิดที่โลกมนุษย์ในตระกูลพราหมณ์กรุงราชคฤห์  ตั้งแต่คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา ทารกคนนี้มีแสงสว่างเป็นรูปวงกลมดุจจันทร์เพ็ญแผ่ออกจากสะดือ  เพราะฉะนั้นจึงมีชื่อว่า จันทาภะ  พวกพราหมณ์เห็นว่าสิ่งแปลกประหลาดในตัวของเขาเป็นจุดขาย ก็จึงนำเขาขึ้นเกวียนพาตระเวนไปตามที่ต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้ชมและใครที่จ่ายเงินจำนวน 100 กหาปณะ  หรือ 1000 กหาปณะก็จะได้รับอนุญาตให้จับเนื้อต้องตัวของเขาได้

อยู่มาวันหนึ่ง  เมื่อคณะของจันทาภะเดินทางถึงสถานที่กึ่งกลางระหว่างกรุงราชคฤห์กับพระเชตวัน ได้เห็นพระอริยะทั้งหลายเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาที่วัดพระเชตวัน  ก็ได้กล่าวกับครนเหล่านั้นว่า  จะมีประโยชน์อะไรกับการไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้านั้น  เพราะว่าไม่มีใครมีอานุภาพเสมอเหมือนจันทาภะนี้อีกแล้ว  ใครก็ตามที่สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวของเขาแล้ว  คนนั้นก็จะได้อิสริยยศและทรัพย์สมบัติ  ไม่เชื่อก็มาลองพิสูจน์ดูก็ได้  แต่พระอริยบุคคลเหล่านั้นได้กล่าว่า “พระศาสดาของพวกเราเท่านั้น มีอานุภาพมาก

คณะพราหมณ์นั้นจึงได้นำจันทาภะไปที่พระเชตวันเพื่อพิสูจน์ว่ามีอานุภาพมากกว่าพระศาสดา  เมื่อจันทาภะเข้าไปอยู่เบื้องหน้าของพระศาสดา  รัศมีวงกลมดังพระจันท์วันเพ็ญที่เคยแผ่ออกมาจากสะดือของเขาก็หายไปสิ้น  เมื่อลองให้จันทาภะออกไปจากเบื้องหน้าของพระศาสดา  รัศมีนั้นก็กลับมาดังเดิม  เมื่อได้ทำการทดลองถึง  3 ครั้ง  พวกพราหมณ์จึงเชื่อว่า  พระศาสดาจะต้องมีมนต์วิเศษ ที่สามารถทำให้รัศมีหายไปได้อย่างแน่นอน  จึงต้องการได้มนต์วิเศษนี้   แต่พระศาสดาตรัสว่า  พระองค์จะประทานมนต์นี้ก็เฉพาะแก่บุคคลที่เป็นภิกษุเท่านั้น  จันทาภพราหมณ์จึงบอกให้คณะพราหมณ์ของเขารอไปก่อนในขณะที่เขาเรียนมนต์นี้ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน จากนั้นพระศาสดาได้ให้การอุปสมบทแด่จันทาภพราหมณ์  และได้บอกพระกัมมัฏฐานที่มีอาการ 32 เป็นอารมณ์ให้พระจันทาภะนำไปปฏิบัติ  โดยตรัสว่า  จงนำมนต์นี้ไปท่องบ่นสาธยาย   เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 2-3 วันเท่านั้น พระจันทาภะก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์   เมื่อพวกพราหมณ์ในคณะมาชวนให้ไปออกตระเวนหาเงินต่อ  พระจันทาภะกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงไปเถิด  เดี๋ยวนี้ฉันเป็นผู้มีธรรมเครื่องไม่ไปเสียแล้ว”  ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนั้น  ก็คิดว่าท่านอวดอ้างตนว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยความไม่จริง  จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดา  พระศาสดาตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้  จันทาภะบุตรของเรา  มีอาสวะสิ้นแล้ว  ย่อมกล่าวแต่คำจริงเท่านั้น
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

จนฺทํว  วิมลํ  สุทฺธํ
วิปฺปสนฺนมนาวิลํ
นนฺทิภวปริกฺขีณํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ


เราเรียกผู้บริสุทธิ์  ผ่องใส  ไม่ขุ่นมัว
มีภพเครื่องเพลิดเพลินสิ้นแล้ว
เหมือนพระจันทร์ที่ปราศจากมลทิน
นั้นว่า  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 18, 2012, 06:08:34 pm »




27. เรื่องพระสารีบุตรเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระสารีบุตรเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อาสา  ยสฺส   เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  พระสารีบุตรเถระ พร้อมด้วยภิกษุบริวาร  500 รูป  ได้ไปเข้าจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่ง  ใกล้หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง   เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว   พระสารีบุตรเถระต้องการมอบจีวรแก่ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลาย   ท่านจึงบอกกับภิกษุทั้งหลายว่า  หากมีคนมาถวายจีวร  ก็ให้ส่งจีวรเหล่านั้นไปให้ท่าน  หรือว่าแจ้งได้ท่านได้รู้   แล้วก็ออกจากวัดแห่งนั้นไปเข้าเฝ้าพระศาสดา  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า  “ถึงทุกวันนี้ ตัณหาของพระสารีบุตรเถระ   ชะรอยจะยังมีอยู่  เพราะพระเถระสั่งไว้แบบนั้น”  พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามถึงหัวข้อสนทนานั้น  แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย  ตัณหา  ย่อมไม่มีแก่บุตรของเรา  แต่เธอกล่าวอย่างนั้น ก็ด้วยคิดว่า พวกมนุษย์จะได้ทำบุญกัน  และพวกภิกษุหนุ่มและสามเณรจะได้มีจีวรใช้”  จากนั้น  พระศาสดาตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อาสา  ยสฺส  น  วิชฺชนฺติ
อสฺมึ  โลเก  ปรมฺหิ  จ
นิราสาสํ  วิสํยุตฺตํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ  ฯ


ความหวังของผู้ใด  ไม่มี
ในโลกนี้และโลกหน้า
เราเรียกผู้นั้นว่า  ซึ่งไม่มีความหวัง
พรากกิเลสได้แล้ว

ว่า  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง    ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
 


28. เรื่องพระมหาโมคคัลลานเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระมหาโมคคัลลานเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ยสฺสาลยา    เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  พระโมคคัลลานเถระ พร้อมด้วยภิกษุบริวาร  500 รูป  ได้ไปเข้าจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่ง  ใกล้หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง   เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว   พระโมคคัลลาถเถระต้องการมอบจีวรแก่ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลาย   ท่านจึงบอกกับภิกษุทั้งหลายว่า  หากมีคนมาถวายจีวร  ก็ให้ส่งจีวรเหล่านั้นไปให้ท่าน  หรือว่าแจ้งได้ท่านได้รู้   แล้วก็ออกจากวัดแห่งนั้นไปเข้าเฝ้าพระศาสดา  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า  “ถึงทุกวันนี้ ตัณหาของพระโมคคัลานเถระ   ชะรอยจะยังมีอยู่  เพราะพระเถระสั่งไว้แบบนั้น”  พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามถึงหัวข้อสนทนานั้น  แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย  ตัณหา  ย่อมไม่มีแก่บุตรของเรา  แต่เธอกล่าวอย่างนั้น ก็ด้วยคิดว่า พวกมนุษย์จะได้ทำบุญกัน  และพวกภิกษุหนุ่มและสามเณรจะได้มีจีวรใช้”  จากนั้น  พระศาสดาตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

ยสฺสาลยา  น  วิชฺชนฺติ
อญฺญาย  อกถํกถี
อมโตคธํ  อนุปฺปตฺตํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ


ความอาลัยของบุคคลใดไม่มี
บุคคลใดรู้ชัดแล้ว
เป็นผู้ไม่มีความสงสัยเป็นเหตุกล่าวว่าย่างไร

เราเรียกบุคคลนั้น
ผู้หยั่งลงอมตะ  ตามบรรลุแล้ว
ว่า
  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 18, 2012, 04:18:09 pm »




25. เรื่องพระปิลินทวัจฉเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน  ทรงปรารภพระปิลินทวัจฉเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อกกฺกสํ เป็นต้น

พระปิลินทวัจฉเถระ  ติดนิสัยพูดคำไม่สุภาพกับคนอื่น เช่น พูดว่า  “มานี่  คนถ่อย  ไปนั่น  คนถ่อย”  เป็นต้น จะใช้คำว่า “คนถ่อย”นี้ทั้งกับคฤหัสถ์แลละบรรพชิต   ภิกษุทั้งหลายได้นำความนี้ขึ้นกราบบังคมพระศาสดาว่า  “พระเจ้าข้า  ท่านปิลินทวัจฉะ  ย่อมเรียกภิกษุด้วยถ้อยคำไม่สุภาพว่า  คนถ่อย”  พระศาสดารับสั่งให้พระเถระนั้นมาเฝ้า  แล้วตรัสถามถึงเรื่องนี้  เมื่อพระเถระยอมรับว่าได้พูดอย่างนั้นจริง

พระศาสดาทรงใช้อตีตังสญาณย้อนรำลึกถึงอดีตชาติของพระเถระ  ทรงทราบว่าเมื่อ 500 ที่ผ่านมา  พระเถระเคยเกิดในวรรณะพราหมณ์มาตลอด  ซึ่งพวกพราหมณ์ถือว่าพวกตนมีฐานะสูงส่งกว่าพวกคนวรรณะอื่น  คำว่า “คนถ่อย“ นี้พระเถระเคยพูดมาจนติดเป็นนิสัย   ดังนั้นพระศาสดาจึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า พระเถระไม่ได้จงใจที่จะพูดกระทบกระทั่งคนอื่น  เพราะปกติแล้วพระขีณาสพจะไม่พูดคำระคายหู  หรือคำหยาบใดๆ
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อกกฺกสํ  วิญฺญาปนึ
คิรึ  สจฺจํ  อุทีรเย
ยาย  นาภิสเช  กญฺจิ
ตมหํ  พฺรูหิ  พฺราหฺมณํ ฯ


ผู้ใด  พึงกล่าวถ้อยคำอันไม่ระคายหู
อันให้รู้กันได้เป็นคำจริง
อันเป็นเหตุไม่ยังใครๆให้ขัดใจ

เราเรียกผู้นั้นว่า  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


                       

26. เรื่องภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  โยธ  ทีฆํ  เป็นต้น

วันหนึ่ง   พราหมณ์คนหนึ่งในกรุงสาวัตถี  เปลื้องผ้าห่ม  วางผึ่งลมไว้นอกบ้าน  พระอรหันต์ขีณาสพรูปหนึ่ง  กำลังจะเดินกลับวัด   เห็นผ้านั้น  มองไปมองมาไม่เห็นใคร  ก็เลยคิดว่าเป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของ  จึงได้อธิษฐานผ้าเป็นบังสุกุล  ถือเอาไป  พราหมณ์มองลงมาทางหน้าต่างเห็นพระเถระหยิบเอาผ้าของคนไปก็ได้วิ่งไล่ตาม   ด่าพลางเข้าไปหา กล่าวว่า “ สมณะโล้น  ท่านเอาผ้าของข้าพเจ้าไปทำไม” พระเถระ  กล่าวว่า   “ฉันไม่เห็นใคร จึงฉวยเอาผ้านี้มาด้วยสำคัญว่าเป็นผ้าบังสุกุล  ท่านจงรับผ้านี้คืนเถิด”ว่าแล้ก็คืนผ้าผืนนั้นให้แก่พราหมณ์ในทันที

เมื่อกลับไปถึงวัดแล้ว  พระเถระได้เล่าเรื่องนี้ให้ภิกษุทั้งหลายฟัง  พระภิกษุเหล้านั้นได้ถามท่านในเชิงเยาะเย้ยว่า”ผ้าผืนนั้น  ยาวหรือสั้น  หยาบหรือละเอียด”  พระเถระกล่าวว่า  “ท่านทั้งหลาย  ผ้านั้นจะยาวหรือสั้น หยาบหรือละเอียดก็ช่างเถิด  ความอาลัยในผ้านั้นของผมไม่มี  ผมหยิบเอามาด้วยความสำคัญว่าผ้าบังสุกุลต่างหาก

ภิกษุทั้งหลายฟังคำนั้นแล้ว  นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดาว่า “พระเจ้าข้า  ภิกษุนั่น  กล่าวคำไม่จริง  อวดอ้างว่าเป็นพระอรหันต์  พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุนั่น  กล่าวคำจริง  ธรรมดาพระขีณาสพทั้งหลาย   ย่อมไม่ถือเอา  สิ่งของๆคนเหล่าอื่น
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

โยธ  ทีฆํ  วา  รสฺสํ  วา
อณํ  ถูลํ  สุภาสุภํ
โลเก  อทินฺนํ  นาทิยติ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหมณํ ฯ


ผู้ใด  ไม่ถือเอาของยาวของสั้น
น้อยหรือใหญ่ งามหรือไม่งาม
อันเขาไมได้ให้แล้ว  ในโลกนี้
เราเรียกผู้นั้นว่า  เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 18, 2012, 03:57:39 pm »



  23. เรื่องสามเณร
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภสามเณรทั้งหลาย  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อวิรุทฺธํ เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  นางพราหมณีคนหนึ่ง  ได้มอบหมายให้พราหมณ์ผู้สามีไปที่วัดพระเชตวัน  เพื่อทำการนิมนต์พระภิกษุ 4 รูปมารับอาหารบิณฑบาตที่บ้าน   นางบอกถึงคุณสมบัติว่าพระที่จะนิมนต์มานั้นต้องเป็น “พราหมณ์แก่ 4 คน”  เมื่อพราหมณ์ไปที่วัดและแจ้งความประสงค์ว่าต้องการพราหมณ์แก่ 4 คนไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านตามที่นางพราหมณีต้องการ   แต่เวลาจัดให้จริงๆ  กลับเป็นว่าผู้ที่ถูกส่งไปที่บ้านของพราหมณ์และนางพราหมณีเป็นสามเณรน้อยอายุ   7 ขวบจำนวน  4  รูป  คือ 1.สังกิจจสามเณร  2.บัณฑิตสามเณร  3.โสปากสามเณร  และ 4.เรวตสามเณร  ซึ่งสามเณรน้อยทั้ง 4 รูปนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์

เมื่อนางพราหมณีผู้ภรรยาเห็นเป็นสามเณรแทนที่จะเป็นพราหมณแก่  นางก็รู้สึกผิดหวังได้ต่อว่าต่อขานพราหมณ์ผู้สามีว่าไปนิมนต์สามเณรที่มีอายุอ่อนกว่าเด็กคราวหลานมาได้อย่างไร  นางจึงบอกสามีให้กลับไปที่วัดใหม่เพื่อนิมนต์พราหมณ์มาแทนสามเณรน้อย 4 รูปนี้  ในขณะเดียวกันนั้น  นางก็ปฏิเสธที่จะให้สามเณรนั่งบนอาสนะสูงๆที่นางจัดไว้สำหรับพราหมณ์ชรา  ได้ให้สามเณรทั้ง 4 รูปนั่งบนอาสนะที่ต่ำๆและก็ไม่ยอมถวายอาหารบิณฑบาตแก่สามเณรเหล่านี้ด้วย

เมื่อพราหมณ์นั้นกลับไปที่วัด  ก็ได้พบกับพระสารีบุตรเถระและได้นิมนต์พระเถระไปที่บ้าน  เมื่อพระเถระเดินทางไปถึงที่บ้านแล้ว  ก็ได้เห็นสามเณรขีณาสพทั้ง 4  รูป ท่านจึงได้ถามสามเณรขีณาสพเหล่านั้นว่า ได้ฉันอาหารบิณฑบาตแล้วหรือยัง  เมื่อได้ทราบว่าสามเณรขีณาสพยังไม่ได้ฉันอาหารบิณฑบาตและอาหารบิณฑบาตเหล่านั้นตระเตรียมไว้สำหรับเพียงพอบุคคล 4 คนเท่านั้น  พระเถระก็ได้กลับวัดโดยที่ไม่รับอาหารบิณฑบาตจากบ้านของพราหมณ์  นางพราหมณ์จึงได้ส่งพราหมณ์ผู้สามีกลับไปที่วัดเพื่อนิมนต์พราหมณ์ชราคนอื่นมา  คราวนี้ไปได้พระมหาโมคคัลลานเถระมา  พระมหาโมคคัลลานเถระเมื่อมาถึงแล้วก็กลับวัดไปอีกรูปหนึ่งเมื่อรู้ว่าสามเณรทั้ง 4  รูปยังไม่ได้ฉันภัตตาหาร  และอาหารตระเตรียมไว้สำหรับคน 4 คนเท่านั้น

พอถึงช่วงนี้  สามเณรทั้ง 4 รูป ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า  ก็มีความรู้สึกหิวขึ้นมามาก  และในขณะนั้น  ทิพอาสน์ของท้าวสักกะเทวราชแสดงอาการร้อน  ท้าวเธอได้สอดส่องทิพยเนตรมาดู  ได้ทรงทราบว่าสามเณรทั้ง 4 รูปกำลังหิวโหยอาหาร  จึงทรงแปลงร่างเป็นพราหมณ์ชรามาที่บ้านของพราหมณ์และนางพราหมณีนั้น   พราหมณ์และนางพราหมณีก็ได้เข้าไปไหว้พราหมณ์ชรานั้นและได้เชิญให้ขึ้นนั่งบนอาสนะที่สูงๆ  แต่ท้าวสักกะแปลงร่างนั้นกลับนั่งลงที่พื้นบ้านและได้ก้มลงทำความเคารพสามเณรทั้ง 4 รูป  จากนั้นท้าวเธอก็ยังได้ทรงเปิดเผยพระองค์ว่าเป็นท้าวสักกะแปลงร่างมา เมื่อเห็นท้าวสักกะทำความเคารพสามเณรทั้ง 4 รูป  พราหมณ์และนางพราหมณีก็จึงยอมนำอาหารไปถวายสามเณรทั้ง 4 รูป  หลังจากเสร็จภัตตกิจแล้ว  ท้าวสักกะและสามเณรทั้ง 4 รูปได้แสดงอิทธิฤทธิ์  เหาะทะลุผ่านทางหลังคาสู่อากาศ  โดยท้าวสักกะเหาะขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ส่วนสามเณรทั้ง 4 รูปก็เหาะกลับวัดพระเชตวัน

เมื่อภิกษุทั้งหลายสอบถามสามเณรทั้ง 4 รูปว่ามีความโกรธหรือไม่เมื่อตอนที่พราหมณ์และนางพราหมณียังไม่ยอมถวายอาหารบิณฑบาต  สามเณรทั้ง 4 รูปตอบว่าไม่โกรธ  ภิกษุเหล่านั้นไม่เชื่อ  และได้นำเรื่องขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดาว่า  สามเณรทั้ง 4 รูปโกหกและอวดอ้างตนว่าเป็นอรหันต์
พระศาสดา  ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย  ธรรมดาพระขีณาสพทั้งหลาย  ย่อมไม่เคียดแค้น  ในชนทั้งหลาย  แม้ผู้เคียดแค้นแล้วเลย
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อวิรุทฺธํ  วิรุทฺเธสุ
อตฺตทณฺเฑสุ  นิพฺพุตํ
สาทาเนสุ  อนาทานํ
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ ฯ


เราย่อมเรียก บุคคลผู้ไม่เคียดแค้น
ในบุคคลผู้เคียดแค้น
ผู้ดับเสียได้ในบุคคลผู้มีอาชญาในตน
ผู้ไม่ถือมั่นในบุคคลผู้ถือมั่น  นั้น

ว่า  เป็นพราหมณ์.


เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


                       

24. เรื่องพระมหาปันถกเถระ
พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน  ทรงปรารภพระมหาปันถก  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ยสฺส  ราโค  จ  เป็นต้น

พระมหาปันถกเถระ  เป็นพระอรหันต์แล้ว   ในตอนที่น้องชายของท่านที่ชื่อว่าจูฬปันถกเข้ามาบวช  พระจูฬปันถกเป็นคนมีปัญญาทึบเพราะในอดีตชาติเคยล้อเลียนพระที่เล่าเรียนไม่เก่งรูปหนึ่ง  พระจูฬปันถกไม่สามารถจดจำพระคาถาที่พระมหาปันถกพี่ชายมอบให้ไปท่องแม้จะใช้เวลาท่องอยู่ถึง 4 เดือนก็ตาม  พระมหาปันถกรู้สึกผิดหวังกับพระน้องชายเป็นอย่างมากจึงขับไล่ออกไปจากวัดเพราะเป็นคนไม่มีคุณค่าที่จะบวชอยู่ต่อไป  “เธอเป็นผู้อาภัพแม้ในพระศาสนา  ทั้งเป็นผู้เสื่อมแล้วจากโภคะของคฤหัสถ์  ประโยชน์อะไรของเธอด้วยการอยู่ในวัดนี้  เธอจงออกไปเสียจากวัดนี้” พระมหาปันถกกล่าว  แล้วปิดประตู

ภิกษุทั้งหลาย  สนทนากันว่า “ท่านทั้งหลาย  พระมหาปันถกเถระทำแบบนี้  ชะรอยความโกรธจะยังคงเกิดขึ้นกับพระขีณาสพทั้งหลายได้เป็นแน่
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามถึงหัวข้อสนทนานั้น  แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย  กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น  ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพทั้งหลาย  แต่บุตรของเราทำเช่นนั้น  เพราะความที่ตนเป็นผู้มุ่งประโยชน์เป็นเป้าหมายสำคัญ  และเพราะเป็นผู้มุ่งธรรมเป็นเป้าหมายสำคัญ
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

ยสฺส  ราโค จ  โทโส  จ
มาโน  มกฺโข  จ  ปาติโต
สาสโปริว  อารคฺคา
ตมหํ  พฺรูมิ  พฺราหฺมณํ  ฯ


ราคะ  โทสะ  มานะ  และมักขะ
อันผู้ใดให้ตกไปแล้ว
เหมือนเมล็ดพันธ์ผักกาด
ตกไปจากปลายเหล็กแหลม ฉะนั้น

เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์
.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย    มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.