ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 30, 2013, 09:49:18 am » วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8249 ข่าวสดรายวัน
-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNek13TURZMU5nPT0=§ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE15MHdOaTB6TUE9PQ==-
เมตตา
ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร www.watdevaraj.com
เมตตา หมายถึง ความรู้สึกปรารถนาดี หวังดีต่อผู้อื่น สัตว์อื่น เป็นความรู้สึกที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ความลำเอียง ความเกลียดชัง คิดทำร้าย หรือคิดทำลาย แต่เป็นความรู้สึกที่มุ่งไมตรี มุ่งความสุขความเจริญแก่ทุกคนสม่ำเสมอกัน มิใช่มุ่งสิ่งที่ตนชอบหรือที่เขาชอบเป็นสำคัญ
อีกนัยหนึ่ง เมตตา คือ ความรักใคร่ที่เว้นจากราคะ ความกำหนัด หากแต่เป็นความรักความปรารถนาดีที่อยากให้เกิดความสุข ความเจริญแก่ผู้อื่น สัตว์อื่น ความปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข ความมีจิตอันแผ่ไมตรีคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์และสัตว์ทั่วหน้า มีลักษณะคิดนำสุขไปให้เขาส่วนเดียว มีคุณสมบัติกำจัดพยาบาท คือความคิดปองร้ายได้
เมตตา แสดงทางกายด้วยกิริยางดงาม ใบหน้าสายตาแช่มชื่น แสดงออกทางวาจาด้วยถ้อยคำไพเราะ น่ารัก น่าสนทนา น่าฟัง แสดงถึงดวงจิตที่เอิบอิ่มเต็มไปด้วยความปรารถนาดี เมตตาธรรมที่มีอยู่ในจิตใจ ทำให้เยือกเย็นสงบ มีความสุข หากจิตใจขาดเมตตาธรรมจะมีแต่ความเดือดร้อน ทำให้เกิดความคิดโกรธแค้นขัดเคือง ความคิดเบียดเบียนอิจฉาริษยา เป็นที่สะสมบ่มความทุกข์อยู่ในใจ
เมตตา เป็นธรรมะข้อแรกในพรหมวิหารธรรม คือ เป็นคุณธรรมของบิดามารดาหรือผู้ใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้า เป็นคุณธรรมประจำใจอันประเสริฐ เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพรหม
เมตตา ป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในใจของเราทุกคน นอกจากตนเองจะมีเมตตาอยู่แล้วยังต้องการได้รับเมตตาจากผู้อื่นอีก คือปรารถนาดีต่อผู้อื่นแล้ว ต้องให้ผู้อื่นมีความปรารถนาดีต่อตนเองบ้าง ผู้มีเมตตาจึงควรแผ่เมตตาไปยังผู้อื่น สัตว์อื่นอยู่เสมอๆ โดยการมองคนในแง่ดี เหมือนมารดาบิดาเอ็นดูบุตร ธิดาของตน ดังคำโบราณว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรืออกเขาอกเรา
เมื่อนึกอยู่เช่นนี้เมตตาจะมีมากขึ้น ความสุขความสงบก็เกิดขึ้น จะระงับความเดือดร้อนความโกรธเคืองได้
เมตตา คือ การเจริญกัมมัฏฐานด้วยการสำรวมจิต แผ่ความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ให้เป็นสุขทั่วหน้า หลักการแผ่เมตตาจิตนั้นในเบื้องต้น พึงนึกเปรียบเทียบตนกับผู้อื่นก่อนว่าเรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้นเหมือนกัน แล้วจึงแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์โดย 2 ลักษณะ คือ
1.แผ่ไปโดยเจาะจงบุคคล เป็นเมตตาชั้นต่ำ มีผลจำกัด แต่มีกำลังแรงกล้า
2.แผ่ไปโดยไม่เจาะจงบุคคล เป็นเมตตาชั้นสูง มีผลกว้างขวาง แต่มีกำลังอ่อน
ส่วนใหญ่นิยมแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจง บทแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงว่า ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุข รักษาตนเถิด
การเจริญเมตตานี้เป็นคุณธรรมที่ทำลายความรู้สึกพยาบาทโดยตรง เมื่อเจริญเมตตาได้แล้วจิตจะผ่องแผ้วจากกิเลสที่เรียกว่าโทสะ ผลหรืออานิสงส์ที่ได้รับจากการเจริญเมตตาอยู่เสมอ คือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ อมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย ไม่ประสบอุปัทวันตราย สีหน้าผ่องใส จิตสงบเป็นสมาธิได้เร็ว ไม่ตายอย่างไร้สติ ตายไปแล้วเมื่อยังไม่บรรลุธรรมชั้นสูงย่อมบังเกิดในสุคติ คือพรหมโลกตามสมควรแก่กำลังแห่งเมตตาจิตที่ตนเจริญอยู่เป็นประจำนั้น
-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNek13TURZMU5nPT0=§ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE15MHdOaTB6TUE9PQ==-
เมตตา
ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร www.watdevaraj.com
เมตตา หมายถึง ความรู้สึกปรารถนาดี หวังดีต่อผู้อื่น สัตว์อื่น เป็นความรู้สึกที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ความลำเอียง ความเกลียดชัง คิดทำร้าย หรือคิดทำลาย แต่เป็นความรู้สึกที่มุ่งไมตรี มุ่งความสุขความเจริญแก่ทุกคนสม่ำเสมอกัน มิใช่มุ่งสิ่งที่ตนชอบหรือที่เขาชอบเป็นสำคัญ
อีกนัยหนึ่ง เมตตา คือ ความรักใคร่ที่เว้นจากราคะ ความกำหนัด หากแต่เป็นความรักความปรารถนาดีที่อยากให้เกิดความสุข ความเจริญแก่ผู้อื่น สัตว์อื่น ความปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข ความมีจิตอันแผ่ไมตรีคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์และสัตว์ทั่วหน้า มีลักษณะคิดนำสุขไปให้เขาส่วนเดียว มีคุณสมบัติกำจัดพยาบาท คือความคิดปองร้ายได้
เมตตา แสดงทางกายด้วยกิริยางดงาม ใบหน้าสายตาแช่มชื่น แสดงออกทางวาจาด้วยถ้อยคำไพเราะ น่ารัก น่าสนทนา น่าฟัง แสดงถึงดวงจิตที่เอิบอิ่มเต็มไปด้วยความปรารถนาดี เมตตาธรรมที่มีอยู่ในจิตใจ ทำให้เยือกเย็นสงบ มีความสุข หากจิตใจขาดเมตตาธรรมจะมีแต่ความเดือดร้อน ทำให้เกิดความคิดโกรธแค้นขัดเคือง ความคิดเบียดเบียนอิจฉาริษยา เป็นที่สะสมบ่มความทุกข์อยู่ในใจ
เมตตา เป็นธรรมะข้อแรกในพรหมวิหารธรรม คือ เป็นคุณธรรมของบิดามารดาหรือผู้ใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้า เป็นคุณธรรมประจำใจอันประเสริฐ เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพรหม
เมตตา ป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในใจของเราทุกคน นอกจากตนเองจะมีเมตตาอยู่แล้วยังต้องการได้รับเมตตาจากผู้อื่นอีก คือปรารถนาดีต่อผู้อื่นแล้ว ต้องให้ผู้อื่นมีความปรารถนาดีต่อตนเองบ้าง ผู้มีเมตตาจึงควรแผ่เมตตาไปยังผู้อื่น สัตว์อื่นอยู่เสมอๆ โดยการมองคนในแง่ดี เหมือนมารดาบิดาเอ็นดูบุตร ธิดาของตน ดังคำโบราณว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรืออกเขาอกเรา
เมื่อนึกอยู่เช่นนี้เมตตาจะมีมากขึ้น ความสุขความสงบก็เกิดขึ้น จะระงับความเดือดร้อนความโกรธเคืองได้
เมตตา คือ การเจริญกัมมัฏฐานด้วยการสำรวมจิต แผ่ความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ให้เป็นสุขทั่วหน้า หลักการแผ่เมตตาจิตนั้นในเบื้องต้น พึงนึกเปรียบเทียบตนกับผู้อื่นก่อนว่าเรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้นเหมือนกัน แล้วจึงแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์โดย 2 ลักษณะ คือ
1.แผ่ไปโดยเจาะจงบุคคล เป็นเมตตาชั้นต่ำ มีผลจำกัด แต่มีกำลังแรงกล้า
2.แผ่ไปโดยไม่เจาะจงบุคคล เป็นเมตตาชั้นสูง มีผลกว้างขวาง แต่มีกำลังอ่อน
ส่วนใหญ่นิยมแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจง บทแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงว่า ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุข รักษาตนเถิด
การเจริญเมตตานี้เป็นคุณธรรมที่ทำลายความรู้สึกพยาบาทโดยตรง เมื่อเจริญเมตตาได้แล้วจิตจะผ่องแผ้วจากกิเลสที่เรียกว่าโทสะ ผลหรืออานิสงส์ที่ได้รับจากการเจริญเมตตาอยู่เสมอ คือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ อมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย ไม่ประสบอุปัทวันตราย สีหน้าผ่องใส จิตสงบเป็นสมาธิได้เร็ว ไม่ตายอย่างไร้สติ ตายไปแล้วเมื่อยังไม่บรรลุธรรมชั้นสูงย่อมบังเกิดในสุคติ คือพรหมโลกตามสมควรแก่กำลังแห่งเมตตาจิตที่ตนเจริญอยู่เป็นประจำนั้น