ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 04, 2013, 10:05:04 am »เที่ยวกรุงเก่า เล่าเรื่องใหม่
เที่ยวกรุงเก่า เล่าเรื่องใหม่ : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์
พูดถึงพระนครศรีอยุธยา หลายคนมองข้ามเพราะความที่อยู่ใกล้จนเกินไป เหมือนกับที่เขาชอบพูดกันว่า "ใกล้เกลือกินด่าง" หลายคนเคยไปจนไม่รู้จะไปเที่ยวตรงไหนของอยุธยาอีก และหลายคนรู้จักอยุธยาแค่เพียงเรื่องเล่าขานผ่านหน้าประวัติศาสตร์ แต่ยังไม่ได้ไปสัมผัส
พระนครศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของไทยยังเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และผู้ที่ชื่นชอบคลั่งไคล้ในโบราณสถาน ด้วยชื่อชั้นที่เป็นเมืองมรดกโลก โดยคณะกรรมการมรดกโลก ยูเนสโก( UNESCO) ได้มีมติรับนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ที่มีอาณาเขตครอบคลุม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534 พร้อมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร
สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป ที่มีเวลาน้อยนิดแค่ 1 วัน แต่ไม่รู้จะไปไหนดี ก็ไปหาความสำราญได้ในแง่มุมอื่นๆ ของพระนครศรีอยุธยาที่ผสมผสานทั้งความเก่าแก่ และความเป็นสมัยใหม่ได้ไม่ยาก
เอาเป็นว่า วันนี้ฉันจะพาไปเที่ยวแบบฝนนิดๆ แดดหน่อยๆ ที่ "อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา" แล้วกัน จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางถนนสายเอเชีย แยกซ้ายเข้าอยุธยา ตรงไปเรื่อยๆ จนเห็นวงเวียนเจดีย์กลางเมือง บางคนอาจจะอยากแวะเที่ยวแถวนี้ก่อนก็ได้ วัดใหญ่ชัยมงคล อยู่แยกซ้าย สมัยพระนเรศวรชนช้างชนะพระมหาอุปราชา ได้โปรดเกล้าให้สร้างเจดีย์ไว้เป็นที่ระลึกที่นี่ ขนานนามว่า "พระเจดีย์ชัยมงคล" จากจุดนี้สามารถเลยไปเที่ยวชมวัดพนัญเชิง บ้านฮอลันดา บ้านญี่ปุ่น ได้ด้วย แต่ยังไม่ใช้เป้าหมายของเรา
เลยวงเวียนตรงไปเรื่อยๆ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไปสุดทางสามแยก เลี้ยวขวาไปตามป้ายอุทยานประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งใจกลางกรุงศรีอยุธยา ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 หลายคนไปอยุธยา ไม่รู้ว่าจะตั้งต้นเที่ยวที่ไหนดี แนะนำว่า ที่นี่แหละ เหมาะที่สุด เพราะสามารถเดินเท้าเชื่อมไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ไม่ยาก เห็นช้างแต่งตัวรับนักท่องเที่ยวนั่งหลังช้าง ก็ถึง "วังช้าง" มุดหมายที่เราจะเริ่มต้นเดินเที่ยวซะที แวะจอดรถข้างๆ ลานแสดงช้าง
แวะทักทายพลายน้อย พังน้อย ที่มาเรียกเสียงปรบมือจากนักท่องเที่ยวกันเสียหน่อย ขวัญใจของฉัน เห็นจะเป็น "ปีเตอร์" ช้างพลายที่เริ่มจะวัยรุ่น เจ้าตัวนี้มีแววศิลปินไม่น้อย ชอบเต้นแถมทำหน้าได้ระรื่น จนหน้าขำ
จากลานแสดงช้าง เดินไปด้านหลัง เห็นเรือนไทยอยู่อีกฝั่งของคูน้ำ "คุ้มขุนแผน" แต่เดิมเป็นจวนสมุหเทศาภิบาล มณฑลกรุงเก่า ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ได้ย้ายจากที่เดิมมาสร้างตรงนี้ ที่แต่ก่อนเป็นคุกนครบาลเก่าของพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งสร้างเรือนไทยเพิ่มขึ้นอีกในปี พ.ศ. 2499 และให้ชื่อเรือนไทยนี้ว่า คุ้มขุนแผน ซึ่งเชื่อกันว่าขุนแผนเคยต้องโทษอยู่ในคุกแห่งนี้
ขึ้นไปบนเรือน พวกเราเลือกถ่ายรูปกันมุมนั้น มุมนี้ แต่พออ่านป้ายที่ติดไว้ให้ทราบอีกที เป็นต้องวิ่งไปถ่ายรูปกันใหม่ที่เรือนใหญ่กันใหม่ สงสัยชาติก่อนเป็นขี้ข้า หรือไม่ก็ทาส ถึงได้เลือกถ่ายรูปกับส่วนที่เป็นเรือนคนใช้ก่อนเพื่อนเหมือนคุ้นเคยซะงั้น 555
จากคุ้มขุนแผน ข้ามสะพานด้านหลัง เชื่อมไปยังบริเวณที่จะเห็นเป็นวัด และเจดีย์มากมาย บริเวณนี้เป็นเขตพระราชวังโบราณ และเป็นที่ตั้งของวัดมงคลบพิตร และวัดพระศรีสรรเพชญ์ จัดแจงติดต่อซื้อบัตรผ่านประตูเข้าวัดพระศรีสรรเพชญ์คนละ 10 บาท ราคาคนไทยก่อนจะเข้าเที่ยวชมได้
วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง ต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวังสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง วัดนี้สร้างในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ตามพระราชพงศาวดาร ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2035 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่ 2 องค์ที่วัดนี้เพื่อบรรจุพระบรมอัฐของพระราชบิดาและพระเชษฐา แต่มาสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (พระหน่อพุทธางกูร) โปรดเกล้าให้สร้างเจดีย์ขึ้นอีก 1 องค์ เรียงกันไป เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
วิหารหลวงของวัดนี้ สร้างในปี พ.ศ. 2034 มีพระพุทธรูปยืนหุ้มทองขนาดใหญ่ คือ พระศรีสรรเพชญ์ เมื่อคราวพม่าบุกกรุงครั้งสุดท้ายได้สุมไฟเพื่อเผาเอาทองที่หุ้มพระศรีสรรเพชญ์ไป จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงโปรดเกล้าให้อัญเชิญชิ้นส่วนที่ชำรุดของพระศรีสรรเพชญ์ลงมากรุงเทพ ฯ และให้นำชิ้นส่วนที่บูรณะไม่ได้แล้วรวมกันไว้ในพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างขึ้น แล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า "เจดีย์สรรเพชญดาญาณ"
บริเวณเจดีย์ สามารถเดินชมได้โดยรอบ ผ่านซากปรักหักพังของอิฐ หิน เจดีย์ เดี๋ยวนี้แต่ละจุดสำคัญ จะมีเครื่องหมายบอกให้ฟังคำอธิบายผ่านหูฟังที่ติดต่อขอใช้บริการได้ตอนซื้อบัตรผ่านประตู แต่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวไทยไม่ค่อยสนใจอาจจะเพราะรู้เรื่องมาบ้าง นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์มีไกด์คอยอธิบายความ
ออกจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ มาแวะ วัดมงคลบพิตร วัดนี้ถ้าใครดูรูปสมัยก่อนจะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เด่นเป็นสง่า ซึ่งก็คือ พระมงคลบพิตร พระพุทธรูปโบราณที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทยนั่นเอง ในสมัยพระเจ้าเสือเกิดฟ้าผ่าลงมาที่ยอดมณฑป และเกิดไฟไหม้จนเครื่องมณฑปพังลงมาต้องพระศอของพระมงคลบพิตรหักตกลงมายังพื้น พระเจ้าเสือจึงโปรดเกล้าให้รื้อยอดมณฑปแล้วสร้างใหม่เป็นแบบมหาวิหาร และต่อพระศอของพระมงคลบพิตรที่หักให้คืนดังเดิม
แต่วิหารที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตรและวัดพระศรีสรรเพชญ์ กลายเป็นซากปรักหักพัง เป็นสถานที่รกร้างอยู่นานถึง 153 ปีหลังจากที่พม่ายกทัพใหญ่เข้าประชิด จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จบวงสรวงดวงวิญญาณของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 บริเวณพระราชวังโบราณจึงได้รับการขุด ปรับแต่งให้ดีขึ้น และวัดทั้งสองแห่งก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่
ผ่านฉากของประวัติศาสตร์ เพียงแต่บริเวณพระราชวังโบราณก็ทำให้นึกย้อนอดีตที่เราเคยได้แต่เรียนรู้จากหนังสือเท่านั้น
"เสียงอะไรดัง... หรือหูฉันแว่วไป " ฉันนึกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงจ้อกกก แผ่วๆ มา อ้อ...ที่แท้ท้องร้อง ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วสิ มาอยุธยาทั้งที่ แถมอยู่ย่านอุทยานประวัติศาสตร์แบบนี้ เลยไปอีกไม่ไกล มีร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีกเจ้าอร่อยขึ้นชื่อลือชานัก ว่าแล้วก็ชักชวนเพื่อนขึ้นรถดิ่งไปทันที
ออกจากที่จอดรถข้างวังช้าง เลี้ยวขวา ตรงไปจนข้ามสะพานไม้แล้วเลี้ยวขวาเลาะกำแพงเมืองไปจนสุดท้าย ข้ามแยกไปอีกหน่อย ทางเดียวกับวัดพนมยงค์ ก็ถึงพอดี "ประนอมก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีก" น้ำซุปเข้มข้น หอมอร่อย จบมื้อเที่ยงแบบอิ่มสบายท้อง ก็เลี้ยวเข้าวัดพนมพงค์ที่อยู่ตรงนั้น ต่อซะเลย
วัดพนมยงค์ เป็นวันเก่าแก่ในสมัยอยุธยาตอนกลาง มีพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่ง และเป็นวัดต้นตระกูลพนมยงค์ เนื่องจากศาสตราจารย์ปรีดี พนมยงค์ มีถิ่นกำเนิดอยู่ใกล้วัดนี้ เมื่อถึงยุคที่ต้องมีนามสกุล (รัชกาลที่6) จึงได้นำชื่อวัดพนมยงค์มาเป็นชื่อสกุล เครือญาติและลูกศิษย์ได้ช่วยกันทะนุบำรุงวัด และสร้างวิหารหลังใหม่ จากเดิมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวัดร้างมาก่อน โดยมีชื่อว่า วัดพระนมยง
ออกจากวัดพนมยงค์ ยูเทิร์นมาทางแยกเลี้ยวขวาก็เจอ พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น ของ อ.เกริก ยุ้นพันธ์ ขึ้นชื่อว่าล้านของเล่น ที่นี่มีของเล่นเยอะแยะขนาดนั่งดูกันเป็นวันๆ ไม่หมด อาคารสีฟ้าขาว ของเล่นที่นี่มีทั้งสมัยโบราณสังกะสี มาจนถึงสมัยใหม่เรซิ่นก็มี ขวัญใจเด็กๆ อย่างซูเปอร์แมน อุลตร้าแมน หรือกัปตันอเมริกาตัวโตๆ รอให้ทักทายอย่างใกล้ชิด
อาทิตย์หน้ามาติดตามกันต่อนะคะ จะชวนคุณพ่อ คุณแม่ ไปย้อนอดีตวันเด็ก ที่พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นกันค่ะ
.......................................
(เที่ยวกรุงเก่า เล่าเรื่องใหม่ : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์)
เที่ยวกรุงเก่า เล่าเรื่องใหม่ : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์
พูดถึงพระนครศรีอยุธยา หลายคนมองข้ามเพราะความที่อยู่ใกล้จนเกินไป เหมือนกับที่เขาชอบพูดกันว่า "ใกล้เกลือกินด่าง" หลายคนเคยไปจนไม่รู้จะไปเที่ยวตรงไหนของอยุธยาอีก และหลายคนรู้จักอยุธยาแค่เพียงเรื่องเล่าขานผ่านหน้าประวัติศาสตร์ แต่ยังไม่ได้ไปสัมผัส
พระนครศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของไทยยังเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และผู้ที่ชื่นชอบคลั่งไคล้ในโบราณสถาน ด้วยชื่อชั้นที่เป็นเมืองมรดกโลก โดยคณะกรรมการมรดกโลก ยูเนสโก( UNESCO) ได้มีมติรับนครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ที่มีอาณาเขตครอบคลุม อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ไว้ในบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2534 พร้อมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร
สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป ที่มีเวลาน้อยนิดแค่ 1 วัน แต่ไม่รู้จะไปไหนดี ก็ไปหาความสำราญได้ในแง่มุมอื่นๆ ของพระนครศรีอยุธยาที่ผสมผสานทั้งความเก่าแก่ และความเป็นสมัยใหม่ได้ไม่ยาก
เอาเป็นว่า วันนี้ฉันจะพาไปเที่ยวแบบฝนนิดๆ แดดหน่อยๆ ที่ "อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา" แล้วกัน จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางถนนสายเอเชีย แยกซ้ายเข้าอยุธยา ตรงไปเรื่อยๆ จนเห็นวงเวียนเจดีย์กลางเมือง บางคนอาจจะอยากแวะเที่ยวแถวนี้ก่อนก็ได้ วัดใหญ่ชัยมงคล อยู่แยกซ้าย สมัยพระนเรศวรชนช้างชนะพระมหาอุปราชา ได้โปรดเกล้าให้สร้างเจดีย์ไว้เป็นที่ระลึกที่นี่ ขนานนามว่า "พระเจดีย์ชัยมงคล" จากจุดนี้สามารถเลยไปเที่ยวชมวัดพนัญเชิง บ้านฮอลันดา บ้านญี่ปุ่น ได้ด้วย แต่ยังไม่ใช้เป้าหมายของเรา
เลยวงเวียนตรงไปเรื่อยๆ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไปสุดทางสามแยก เลี้ยวขวาไปตามป้ายอุทยานประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งใจกลางกรุงศรีอยุธยา ที่ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 หลายคนไปอยุธยา ไม่รู้ว่าจะตั้งต้นเที่ยวที่ไหนดี แนะนำว่า ที่นี่แหละ เหมาะที่สุด เพราะสามารถเดินเท้าเชื่อมไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ไม่ยาก เห็นช้างแต่งตัวรับนักท่องเที่ยวนั่งหลังช้าง ก็ถึง "วังช้าง" มุดหมายที่เราจะเริ่มต้นเดินเที่ยวซะที แวะจอดรถข้างๆ ลานแสดงช้าง
แวะทักทายพลายน้อย พังน้อย ที่มาเรียกเสียงปรบมือจากนักท่องเที่ยวกันเสียหน่อย ขวัญใจของฉัน เห็นจะเป็น "ปีเตอร์" ช้างพลายที่เริ่มจะวัยรุ่น เจ้าตัวนี้มีแววศิลปินไม่น้อย ชอบเต้นแถมทำหน้าได้ระรื่น จนหน้าขำ
จากลานแสดงช้าง เดินไปด้านหลัง เห็นเรือนไทยอยู่อีกฝั่งของคูน้ำ "คุ้มขุนแผน" แต่เดิมเป็นจวนสมุหเทศาภิบาล มณฑลกรุงเก่า ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ได้ย้ายจากที่เดิมมาสร้างตรงนี้ ที่แต่ก่อนเป็นคุกนครบาลเก่าของพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งสร้างเรือนไทยเพิ่มขึ้นอีกในปี พ.ศ. 2499 และให้ชื่อเรือนไทยนี้ว่า คุ้มขุนแผน ซึ่งเชื่อกันว่าขุนแผนเคยต้องโทษอยู่ในคุกแห่งนี้
ขึ้นไปบนเรือน พวกเราเลือกถ่ายรูปกันมุมนั้น มุมนี้ แต่พออ่านป้ายที่ติดไว้ให้ทราบอีกที เป็นต้องวิ่งไปถ่ายรูปกันใหม่ที่เรือนใหญ่กันใหม่ สงสัยชาติก่อนเป็นขี้ข้า หรือไม่ก็ทาส ถึงได้เลือกถ่ายรูปกับส่วนที่เป็นเรือนคนใช้ก่อนเพื่อนเหมือนคุ้นเคยซะงั้น 555
จากคุ้มขุนแผน ข้ามสะพานด้านหลัง เชื่อมไปยังบริเวณที่จะเห็นเป็นวัด และเจดีย์มากมาย บริเวณนี้เป็นเขตพระราชวังโบราณ และเป็นที่ตั้งของวัดมงคลบพิตร และวัดพระศรีสรรเพชญ์ จัดแจงติดต่อซื้อบัตรผ่านประตูเข้าวัดพระศรีสรรเพชญ์คนละ 10 บาท ราคาคนไทยก่อนจะเข้าเที่ยวชมได้
วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง ต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวังสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง วัดนี้สร้างในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ตามพระราชพงศาวดาร ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2035 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่ 2 องค์ที่วัดนี้เพื่อบรรจุพระบรมอัฐของพระราชบิดาและพระเชษฐา แต่มาสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (พระหน่อพุทธางกูร) โปรดเกล้าให้สร้างเจดีย์ขึ้นอีก 1 องค์ เรียงกันไป เพื่อบรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
วิหารหลวงของวัดนี้ สร้างในปี พ.ศ. 2034 มีพระพุทธรูปยืนหุ้มทองขนาดใหญ่ คือ พระศรีสรรเพชญ์ เมื่อคราวพม่าบุกกรุงครั้งสุดท้ายได้สุมไฟเพื่อเผาเอาทองที่หุ้มพระศรีสรรเพชญ์ไป จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงโปรดเกล้าให้อัญเชิญชิ้นส่วนที่ชำรุดของพระศรีสรรเพชญ์ลงมากรุงเทพ ฯ และให้นำชิ้นส่วนที่บูรณะไม่ได้แล้วรวมกันไว้ในพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างขึ้น แล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ว่า "เจดีย์สรรเพชญดาญาณ"
บริเวณเจดีย์ สามารถเดินชมได้โดยรอบ ผ่านซากปรักหักพังของอิฐ หิน เจดีย์ เดี๋ยวนี้แต่ละจุดสำคัญ จะมีเครื่องหมายบอกให้ฟังคำอธิบายผ่านหูฟังที่ติดต่อขอใช้บริการได้ตอนซื้อบัตรผ่านประตู แต่ดูเหมือนนักท่องเที่ยวไทยไม่ค่อยสนใจอาจจะเพราะรู้เรื่องมาบ้าง นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์มีไกด์คอยอธิบายความ
ออกจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ มาแวะ วัดมงคลบพิตร วัดนี้ถ้าใครดูรูปสมัยก่อนจะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เด่นเป็นสง่า ซึ่งก็คือ พระมงคลบพิตร พระพุทธรูปโบราณที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทยนั่นเอง ในสมัยพระเจ้าเสือเกิดฟ้าผ่าลงมาที่ยอดมณฑป และเกิดไฟไหม้จนเครื่องมณฑปพังลงมาต้องพระศอของพระมงคลบพิตรหักตกลงมายังพื้น พระเจ้าเสือจึงโปรดเกล้าให้รื้อยอดมณฑปแล้วสร้างใหม่เป็นแบบมหาวิหาร และต่อพระศอของพระมงคลบพิตรที่หักให้คืนดังเดิม
แต่วิหารที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตรและวัดพระศรีสรรเพชญ์ กลายเป็นซากปรักหักพัง เป็นสถานที่รกร้างอยู่นานถึง 153 ปีหลังจากที่พม่ายกทัพใหญ่เข้าประชิด จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จบวงสรวงดวงวิญญาณของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 บริเวณพระราชวังโบราณจึงได้รับการขุด ปรับแต่งให้ดีขึ้น และวัดทั้งสองแห่งก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่
ผ่านฉากของประวัติศาสตร์ เพียงแต่บริเวณพระราชวังโบราณก็ทำให้นึกย้อนอดีตที่เราเคยได้แต่เรียนรู้จากหนังสือเท่านั้น
"เสียงอะไรดัง... หรือหูฉันแว่วไป " ฉันนึกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงจ้อกกก แผ่วๆ มา อ้อ...ที่แท้ท้องร้อง ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วสิ มาอยุธยาทั้งที่ แถมอยู่ย่านอุทยานประวัติศาสตร์แบบนี้ เลยไปอีกไม่ไกล มีร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีกเจ้าอร่อยขึ้นชื่อลือชานัก ว่าแล้วก็ชักชวนเพื่อนขึ้นรถดิ่งไปทันที
ออกจากที่จอดรถข้างวังช้าง เลี้ยวขวา ตรงไปจนข้ามสะพานไม้แล้วเลี้ยวขวาเลาะกำแพงเมืองไปจนสุดท้าย ข้ามแยกไปอีกหน่อย ทางเดียวกับวัดพนมยงค์ ก็ถึงพอดี "ประนอมก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีก" น้ำซุปเข้มข้น หอมอร่อย จบมื้อเที่ยงแบบอิ่มสบายท้อง ก็เลี้ยวเข้าวัดพนมพงค์ที่อยู่ตรงนั้น ต่อซะเลย
วัดพนมยงค์ เป็นวันเก่าแก่ในสมัยอยุธยาตอนกลาง มีพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่ง และเป็นวัดต้นตระกูลพนมยงค์ เนื่องจากศาสตราจารย์ปรีดี พนมยงค์ มีถิ่นกำเนิดอยู่ใกล้วัดนี้ เมื่อถึงยุคที่ต้องมีนามสกุล (รัชกาลที่6) จึงได้นำชื่อวัดพนมยงค์มาเป็นชื่อสกุล เครือญาติและลูกศิษย์ได้ช่วยกันทะนุบำรุงวัด และสร้างวิหารหลังใหม่ จากเดิมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวัดร้างมาก่อน โดยมีชื่อว่า วัดพระนมยง
ออกจากวัดพนมยงค์ ยูเทิร์นมาทางแยกเลี้ยวขวาก็เจอ พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่น ของ อ.เกริก ยุ้นพันธ์ ขึ้นชื่อว่าล้านของเล่น ที่นี่มีของเล่นเยอะแยะขนาดนั่งดูกันเป็นวันๆ ไม่หมด อาคารสีฟ้าขาว ของเล่นที่นี่มีทั้งสมัยโบราณสังกะสี มาจนถึงสมัยใหม่เรซิ่นก็มี ขวัญใจเด็กๆ อย่างซูเปอร์แมน อุลตร้าแมน หรือกัปตันอเมริกาตัวโตๆ รอให้ทักทายอย่างใกล้ชิด
อาทิตย์หน้ามาติดตามกันต่อนะคะ จะชวนคุณพ่อ คุณแม่ ไปย้อนอดีตวันเด็ก ที่พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นกันค่ะ
.......................................
(เที่ยวกรุงเก่า เล่าเรื่องใหม่ : คอลัมน์ชวนเที่ยว : โดย...เรื่อง/ภาพ : นพพร วิจิตร์วงษ์)