ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: kh.sathit
« เมื่อ: กันยายน 12, 2013, 11:21:09 am »

บทที่ 2 นี้มีจุดสำคัญอยากให้เทียบเคียงครับเพราะเป็นทฤษฎีหนึ่งขณะจิตสามพัน,(10โลก*10โลก*10ลักษณะ*3สภาวะ)ของนิกายเทียนไท้และนิชิเร็น
"สรรพสิ่งทั้งหลายมีรูป, มีสาระ(นิสัยสันดาน), มีตัวตน, มีพลัง, มีการกระทำ, มีเหตุ,  มีปัจจัยสัมพันธ์กับเหตุ, มีผลแฝง, มีผลสำแดง มีความสอดคล้องตั้งแต่ต้นจนปลาย (9 อย่าง +1ความสอดคล้องต้นปลาย เรียกว่า 10 ลักษณะ)"
what they are, how they are, like what they are, of what characteristics and of what nature they are
พระตถาคตนั้นแลทรงรู้ธรรมทั้งปวงธรรมทั้งหลายเหล่านั้น เป็นอะไรเป็นอย่างไร เป็นเช่นไร มีลักษณะอย่างไร มีสภาพอย่างไร
ตรงนี้ทางมหายานแปลว่า สรรพสิ่ง
หมายถึงสรรพสัตว์มีสภาวะพุทธะซ้อนอยู่ทั้งหมดในทุกๆขณะจิตจะสามารถเปลี่ยนเป็นเอกยานคือ พุทธยานได้(ทฤษฎีของการเข้าถึง "การรู้แจ้ง"  เป้าหมายของมหายานไม่ได้หยุดที่นิพพาน)
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 05, 2010, 03:13:04 pm »




อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ คุณมด
ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 09:49:21 pm »

 
:13: อนุโมทนาครับพี่มด ^^
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 03:16:23 pm »

ขณะนั้นแล พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงชี้แจงเนื้อความนั้นให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นจึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

38                 ก็ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ผู้มีอภิมานะ(ถือตัว) ปราศจากศรัทธา มีจำนวนไม่          น้อยกว่า 5000 คน

39                 (เขาเหล่านั้น) เมื่อไม่เห็นโทษอย่างนี้ มีการศึกษาอบรมมาอย่างผิดๆ ทั้งยังรักษาสิ่งที่ผิดไว้ มีความรู้ผิด ได้หลีกออกไปแล้ว

40                 พระโลกนาถ ทรงทราบความเศร้าหมองของบริษัท จึงได้ตรัสว่า เขาเหล่านั้น ไม่มี บุญกุศลที่จะฟังธรรมนี้

41                 บริษัทของเราบริสุทธิ์แล้ว ปราศจากเครื่องเศร้าหมองแล้ว ปราศจากสิ่งไร้คุณค่าดำรงอยู่ดีแล้ว และบัดนี้สิ่งที่เป็นสาระแก่นสารทั้งหมดได้ตั้งมั่นแล้ว

42                 ดูก่อนศาริบุตร เธอจงฟังเราเถิดว่า ธรรมนี้ เป็นธรรมที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เลิศแห่งมนุษย์ ได้ตรัสรู้แล้วอย่างไร และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้นำ ย่อมตรัสด้วยอุบายอันฉลาดหลายร้อยวิธีอย่างไร

43                 เรา (ตถาคต) รู้อัธยาศัยจริตและความน้อมนึกแห่งจิตต่างๆ กันของสัตว์จำนวนหลายโกฏิ ณ ที่นี้ ทั้งรู้การกระทำต่างๆ และกุศลกรรมที่สัตว์เหล่านั้นได้กระทำแล้ว ในชาติปางก่อน

44                 เราจึงแสดงธรรม แก่สัตว์เหล่านั้น ด้วยการอธิบายเหตุผลต่างๆ การยกอุทาหรณ์หลายร้อยอย่างให้เห็น และสรรพสัตว์ก็ยินดี กับวิธีการนั้น

45                 เรา (ตถาคต) จะตรัสพระสูตร คาถา อติวฤตตกะ ชาตกะ อัทภูตะ เคยะ อุปเทศะ พร้อมด้วยนิทานและอุปมาหลายร้อยอย่างต่างๆ กัน

46                 เราจะแสงดทางพระนิพพาน แก่ชนทั้งหลาย ผู้ไม่มีความรู้ ยินดีในความเสื่อมข้องติดอยู่ในสังสารวัฏ มีความทุกข์ และไม่ประพฤติธรรมในพระพุทธเจ้าที่มีมากหลายโกฏิ

47                 พระสวยัมภู ทรงใช้อุบายนี้เพื่อทำให้สัตว์เข้าใจประโยชน์ของการรู้พุทธญาณ แต่พระองค์ก็มิได้ตรัสกะชนทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย จงอย่ากังวล ท่านทั้งหลายจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกนี้ ณ สมัยใดสมัยหนึ่ง

48                 เหตุใด พระสวยัมภูตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพิจารณากาลเวลาแล้ว และทรงพบโอกาสแล้ว จึงตรัสในภายหลังว่า ได้เวลานี้แล้ว เราจะกล่าข้อความตามที่เป็นจริง ณ ที่นี้

49                 เรา (ตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า) ได้ประกาศนวังคศาสน์แล้ว ตามกำลังน้อยใหญ่ของสัตว์ทั้งหลาย เราผู้ให้สิ่งประเสริฐ ได้แสดงอุบายนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของสัตว์ที่จะเข้าถึงพุทธญาณ

50                 ณ ที่นี้ ชนเหล่าใด เป็นผู้บริสุทธิ์ ฉลาด สะอาด มีใจกรุณา เป็นพุทธบุตร และได้สร้างอธิการไว้ ในพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์มีอยู่ เราก็จะแสดงพระสูตรที่กว้างขวางยิ่งขึ้น แก่ชนเหล่านั้น

51                 เพราะเหตุนั้น เรา (ตถาคต) จึงกล่าวถึงชนเหล่านั้น ผู้มีกายบริสุทธิ์ มีใจเบิกบานว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์ (ต่อสรรพสัตว์)

52                 เมื่อชนทั้งหมดเหล่านั้น ได้ฟังแล้ว เกิดความยินดีว่า พวกเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นประธานของชาวโลก เราเมื่อรู้ความประพฤติของพวกขาเหล่านั้น จึงประกาศพระสูครให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

53                 พวกเขาเหล่านั้น ซึ่งเป็นสาวกของพระตถาคต ได้เคยฟังคำสอนอันประเสริฐนี้ แม้ได้ฟัง หรือจดจำเพียงคาถาเดียว ก็ไม่น่าจะมีปัญหา (ความสงสัย) ในการตรัสรู้ธรรมทั้งปวง

54                 จริงอยู่ ในกาลไหนๆ ก็มีเพียงยานเดียว ยานที่สองไม่มี ยานที่สามก็ไม่มี นอกจากว่า พระผู้มีพระภาค ใช้อุบายจึงแสดงว่า มียานต่างๆ

55                 พระโลกนาถ ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นในโลก ด้วยการประกาศพุทธธรรม ภารกิจมีเพียงอย่างเดียว ภารกิจที่สองไม่มี เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่นำสัตว์ไปด้วยหีนยาน

56                 พระสวยัมภู (ตถาคต) เองดำรงมั่นแล้ว ในธรรมเช่นใด ที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ยังสัตว์เหล่านั้น ที่มีพลังและอินทรีย์หลุดพ้นแล้วด้วยสมาธิ ให้ตั้งมั่นในธรรมเล่านั้นด้วย

57                 ก็แล โทษที่เกิดจากความริษยาจะพึงมีแก่เรา (ตถาคต) ผู้บรรลุโพธิญาณอันปราศจากโทษและประเสริฐสุดแล้ว ถ้าให้สัตว์แม้ผู้หนึ่งดำรงอยู่ในหีนยาน การกระทำอย่างนี้ไม่สมควรแก่เรา

58                 ความเลวร้าย ความริษยา ฉันทะ และราคะ ไม่มีแก่เรา ธรรมทั้งปวงของเราก็เป็นธรรมที่ไร้บาป ฉะนั้น เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า เพราะให้ชาวโลกตรัสรู้ตาม (ด้วย)

59                 เมื่อสรรพสัตว์มิใช่น้อย ได้นับถือเครื่องหมายของสภาวธรรม เป็นเครื่องชี้นำ เราจึงทำโลกนี้ให้สว่างไสว ด้วยลักษณะต่างๆของเรา

60                 ดูก่อนศาริบุตร ดังนั้น เรา (ตถาคต) จึงคิดว่า สรรพสัตว์ในโลกนี้ พึงเป็นผู้มีมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ จะเป็นพระสวยัมประภา พระโลกวิทู และพรสวยัมภู ได้อย่างไรหนอ?

61                 เรา (ตถาคต) เห็นอย่างไร คิดอย่างไร และความหวังในกาลก่อนของเรามีอย่างไร ประณิธานนั้นของเราบริบูรณ์แล้วทั้งความเป็นพุทธะ และเราจะประกาศพุทธธรรม ต่อไป

62                 ดูก่อนศาริบุตร ถ้าเราพึงกล่าวกะสัตว์ทั้งหลายว่า ขอให้พวกเธอจงยังความพอใจ ให้เกิดขึ้น เพื่อการตรัสรู้ พวกเขาทั้งหมดผู้เขลาก็จะไม่เข้าใจคำสอนของเรา พึงเที่ยวไป ณ ที่นี้

63                 เราทราบเรื่องราวของเขาเหล่านั้นว่าในชาติปางก่อน พวกเขาไม่ได้ประพฤติธรรม หมกมุ่น ยึดติดในกามคุณทั้งหลาย ถูกกิเลสตัณหาครอบงำ จนมีโมหจิต

64                 เพราะกามคุณเป็นเหตุ พวกเขาจึงตกไปสู่ทุคติ ถูกทรมานในภูมิทั้งหก เวียนเกิดอยู่เรื่อยไป พวกเขาเป็นผู้มีบุญน้อย ถูกความทุกข์เบียดเบียนอยู่ร่ำไป

65                 พวกเขาจมอยู่กับการยึดทฤษฎีที่ว่า เที่ยง ไม่เที่ยง มี ไม่มี อาศัยทิฏฐิ 62 ดำรงอยู่ด้วยการยึดมั่นในอสันตภาวะ

66                 เขาเหล่านั้น เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ เย่อหยิ่ง หัวดื้อ คดโกง หยาบช้า และโง่เขลา พลา จะไม่ได้ยินเสียงของพระพุทธเจ้าแน่นอน แม้ในหลายโกฏิชาติ

67                 ดูก่อนศาริบุตร เรากล่าวอุบายแก่สัตว์เหล่านั้นว่า เธอทั้งหลายจงสร้างที่สุดแห่งทุกข์ (ขจัดทุกข์ให้หมดไป) เราเห็นสัตว์ที่ถูกความทุกข์เบียดเบียนแล้ว จึงแสดงพระนิพพาน ณ ที่นั้น (แก่พวกเขา)

68                 ก็แล เราแสดงธรรมเหล่านี้ ที่เป็นเครื่องดับทุกข์อยู่เป็นนิตย์ ที่ทำให้สงบในเบื้องต้น ส่วนพุทธบุตรยังวัตรปฏิบัติให้ถึงพร้อม ก็จักเป็นพระชินเจ้าได้ในอนาคต

69                 นี้เป็นอุบายที่ฉลาดของเรา ที่เราแสดงยานเป็นสาม ซึ่งที่แท้ยานมีเพียงหนึ่ง เท่านั้น นัยก็มีหนึ่ง และเทศนาของตถาคตทั้งหลายก็มีเพียงหนึ่ง

70                 ชนเหล่าใด มีความข้องใจสงสัยอยู่ เธอจงขจัดความข้องใจสงสัยของชนเหล่านั้นเสีย ตามปกติ พระโลกนาถทั้งหลาย ไม่ตรัสเป็นอย่างอื่น ยานมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ยานที่สองไม่มี

71                 ก็แล ในอดีตกาล พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยก่อน มีจำนวนหลายพันองค์ ไม่สามารถประมาณได้ ที่ได้ปรินิพพานไปแล้ว ในกัลป์อันนับไม่ถ้วน

72                 พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบุรุษสูงสุดเหล่านั้นทั้งหมด ได้ประกาศธรรมอันบริสุทธิ์หมดจดมากมาย ด้วยการยกตัวอย่าง ด้วยการแสดงเหตุผล และด้วยอุบายที่ฉลาดหลายร้อยวิธี

73                 พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ได้แสดงยานเดียว และให้สัตว์หลายพันโกฏิ นัยไม่ได้ เข้าถึงยานเดียว ทั้งอบรมสัตว์เหล่านั้นไว้ในยานเดียว

74                 พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศธรรมอันประเสริฐสุด ด้วยอุบายอื่นๆ อีกมากมายของพระชินเจ้า พระองค์ทรงทราบความเป็นไปและอุปนิสัยของสัตว์ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ด้วยอุบายเหล่านั้น

75                 สัตว์ทั้งหลายที่กำลังฟังธรรมอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ตาม เป็นผู้เคยฟังธรรมมาแล้ว (ในชาติปางก่อน) ก็ตามได้ให้ทานรักษาศีล และประพฤติดี ปฏิบัติชอบด้วยความอดทน

76                 สัตว์ทั้งหลายได้ทำความดีด้วยความเพียร และด้วยสมาธิ ได้ไตร่ตรองพิจารณาธรรมด้วยปัญญา และได้ทำบุญต่างๆ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด มีส่วนได้เพื่อการตรัสรู้

77                 สัตว์ทั้งหลายผู้อดทน มีคนฝึกแล้ว ตั้งมั่นในพระศาสนาของพระชินเจ้าทั้งหลายที่ปรินิพพานแล้ว สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

78                 สัตว์ทั้งหลาย ผู้ทำการบูชาพระธาตุทั้งหลายของพระชินเจ้า ที่ปรินิพพานไปแล้วและได้สร้างสถูปจำนวนหลายพัน ด้วยรัตนเจ้า ทอง แก้วผลึก

79                 พวกเขาได้สร้างสถูปที่สำเร็จด้วย มรกต การเกตน์ มุกดา ไพฑูรย์ นิล ที่มีคุณภาพดียิ่ง สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

80                 สัตว์ทั้งหลาย ที่สร้างสถูปด้วยศิลา แก่นไม้จันทน์และกฤษณา ไม่เทพทารุ (ไม้สนหรือไม้ฉำฉา) และด้วยไม้นานาชนิด

81                 สัตว์ทั้งหลาย ที่มีความยินดี สร้างสถูปด้วยอิฐ หรือก้อนดินเหนียวปั้น หรือให้ทำกองฝุ่นเป็นสถูป ในป่าและที่เปลี่ยว อุทิศพระชินเจ้าทั้งหลาย

82                 แม้เด็กๆ เล่นทำเนินทรายให้เป็นสถูป อุทิศ (เจาะจง) พระชินเจ้าทั้งหลาย เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อการตรัสรู้

83                 ชนบางพวกเจาะจงให้สร้างรูปพระชินเจ้าทั้งหลาย ที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะอาการ 32 จากรัตนะ (เพื่อเป็นที่ระลึก) แม้เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้เหมือนกัน

84                 ชนบางพวกให้สร้างรูปของพระสุคตทั้งหลาย ด้วยทองแดงบ้าง ด้วยทองเหลืองบ้าง ประดับด้วยรัตนะ 8 ประการบ้าง ไว้ ณ ที่นั้นๆ เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อการตรัสรู้

85                 ชนเหล่าใดใช้ตะกั่ว เหล็ก หรือดินเหนียว ทำรูปพระสุคตทั้งหลาย ให้เป็นต้นแบบที่งดงาม ชนเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

86                 ชนเหล่าใดกระทำภาพ (พระสุคต) ที่สมบูรณ์ด้วยปุณยลักษณะ 100 ประการบนฝาผนังที่สวยงาม เขาเขียน (ภาพ) เองก็ตาม ให้ผู้อื่นเขียนก็ตาม เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

87                 ผู้ใหญ่หรือเด็กก็ตาม ที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ หรือเล่นอยู่ เพื่อความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เขียนภาพ (ตถาคต) ด้วยเล็บหรือชิ้นไม้ไว้ที่ฝาผนัง

88                 เขาเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีความกรุณา ช่วยเหลือสัตว์เป็นจำนวนหลายพันโกฏิ สนับสนุนพระโพธิสัตว์จำนวนมากให้ข้ามพ้น (สังสารวัฏ) เขาเหล่านั้นทั้งหมดก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

89                 ชนเหล่าใดถวายดอกไม้และเครื่องหอมทั้งหลาย ไว้ที่พระธาตุทั้งหลาย หรือที่พระสถูปทั้งหลายของตถาคต ที่ปั้นด้วยดินเหนียว หรือรูปวาดของตถาคตที่ฝาผนัง หรือที่สถูปทราย

90                 ชนเหล่าใด ที่เป็นนักดนตรี ได้บรรเลง (ดนตรี) ตีกลอง เป่าสังข์ มีเสียงกึกก้องและตีกลองหน้าเดียวดังกึกก้อง เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐสุด

91                 เด็กหนุ่ม หรือกุมารเยาว์วัย เชื้อสายนักดนตรี ที่สมารถดีดพิณ ตีฉาบ เป่าแตร เป่าปี่ เป่าขลุ่ย ตีกลอง ที่ไพเราะจับใจ (เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า) เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

92                 ชนทั้งหลายที่ตีฉิ่ง เป่าปี่ หรือเป่าแตร ร้องเพลงอันไพเราะจับเพื่ออุทิศบูชาพระสุคตทั้งหลาย

93                 เขาเหล่านั้นทั้งหมด กระทำการบูชาพระบรมธาตุชนิดต่างๆในโลก ให้บรรเลงเครื่องดนตรีชิ้นเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว ร ที่ใกล้พระบรมธาตุของพระสุคต ก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

94                 แม้ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน บูชาพระตถาคต ด้วยดอกไม้เพียงดอกเดียว และให้เขียนภาพพระตถาคตบนผนัง แล้วบูชา ก็ได้ได้เฝ้าพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ตามกาลอันควร

95                 บางพวกเพียงประนมมือไหว้ บางพวกทำความเคารพอย่างสมบูรณ์แบบ คือยกศีรษะชั่วครู่แล้วน้อมกายลงครั้งหนึ่ง ที่พระสถูปนั้นๆ

96                 ในเวลานั้น แม้พวกที่มีจิตฟุ้งซ่าน กล่าวครั้งหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า” ที่พระสถูปอันเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุทั้งหลาย เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็จักได้บรรลุโพธิญาณอันประเสริฐนี้

97                 สัตว์เหล่าใด แม้ได้ฟังชื่อพระธรรมของพระสุคตทั้งหลาย ผู้ปรินิพพานไปแล้วหรือทรงดำรงอยู่ในกาลนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้

98                 พระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ในอนาคต มีจำนวนที่กำหนดไม่ได้ ประมาณมิได้ พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้เป็นพระชินเจ้า เป็นที่พึ่งของชาวโลกที่ประเสริฐสุดจักประกาศอุบายเช่นนี้

99                 พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ซึ่งเป็นผู้แนะนำชาวโลก ก็จะมีความฉลาดในอุบายอันหาที่สุดมิได้ ด้วยความฉลาดในอุบาย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็จะแนะนำสัตว์จำนวนหลายโกฏิในพุทธภาวะ และญาณอันไม่มีอาสวะ

100              ไม่มีสัตว์แม้ผู้เดียวที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าเวลาใด จะไม่ได้เป็นพุทธะ พระตถาคตมีพระประณิธานอย่างนี้ว่า “เราประพฤติธรรมแล้วจะต้องให้ผู้อื่นประพฤติธรรม เพื่อตรัสรู้ด้วย”

101              ในอนาคตกาล พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักประกาศแนวทางแห่งการบรรลุธรรมมากมายหลายพันโกฏิ พระองค์เมื่อประกาศยานหนึ่งนี้ ก็จักแสดงธรรม (เพื่อบรรลุ) ความเป็นพระตถาคตด้วย

102              พระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ ทรงทราบว่า หัวข้อและกฎแห่งธรรมที่มั่นคงนี้ ย่อมส่องประกาย (รุ่งเรือง) อยู่เสมอ จึงได้ประกาศเอกยานของเรา

103              พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ประกาศความมั่นคงแห่งธรรม กฎแห่งธรรม ที่ไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นในโลกเป็นนิจ และพระโพธิญาณบนพื้นดิน

104              พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีจำนวนเท่าเมล็ดทราย ในแม่น้ำคงคา ที่มนุษย์และเทวดาบูชาแล้วทั้งสิบทิศ ทุกๆ พระองค์ย่อมแสดงพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้ เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งมวลในโลกนี้

105              พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงประกาศความฉลาดในอุบาย ทรงแสดงยานต่างๆ แต่จะประกาศยานหนึ่งเท่านั้นว่า เป็นพื้นฐานของความสงบสูงสุด

106              พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ครั้นทรงทราบจริต และอุปนิสัยที่เคยปฏิบัติ กำลังและความเพียรของสัตว์ทั้งหลายแล้ว ย่อมแสดงธรรมเครื่องหลุดพ้น

107              พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เป็นผู้นำ ย่อมชี้อุทาหรณ์เหตุแลผลมากมาย ด้วยกำลังแห่งพระญาณ พระองค์ทรงทราบว่า สัตว์ทั้งหลายมีอุปนิสัยต่างๆกันแล้ว จึงแสดงอภินิหารต่างๆ

108              แม้เราเอง เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของพระชินเจ้า ย่อมแสดงพุทธโพธิญาณนี้ ด้วยอภินิหารหลายพันโกฏิวิธี ก็เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งหลาย

109              เราทราบพฤติกรรมและอุปนิสัยของสัตว์ทั้งหลายแล้ว จึงแสดงธรรมหลายประการ เราให้สัตว์แต่ละผู้แต่ละคนรื่นเริงหรรษาด้วยอุบายหลายอย่าง นี้คือ กำลังแห่งญาณของเรา

110              เรามองเห็นสัตว์ผู้ยากไร้ ผู้เสื่อมจากปัญญาและบุญ ผู้ตกอยู่ในความทุกข์ลำบากในสังสารวัฏ ทั้งยังจมอยู่ในกองทุกข์อย่างต่อเนื่อง

111              คนพาล  ผู้หมกมุ่นอยู่ในตัณหาเหมือกับจามรี มืดมนตลอดเวลาเพราะกามเป็นเหตุ เขาเหล่านั้นไม่แสวงหาพุทธะและธรรมะ ที่มีอานุภาพมาก สามารถให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

112              เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีจิตยินดีอยู่ในภูมิทั้งหก ตั้งมั่นในมิจฉาทิฏฐิอย่างเหนียวแน่นวิ่งหาทุกข์อยู่ร่ำไป เรามีความการุณต่อพวกเขาเหลือกำลัง

113              เราหลังจากตรัสรู้แล้ว ประทับอยู่โพธิมณฑลสามสัปดาห์เต็ม เพ่งมองต้นไม้พิจารณาเรื่องนี้อยู่

114              เราเพ่งมองต้นไม้นั้นและเดินจงกรมอยู่ภายใต้ต้นไม้นั้น พลางคิดว่านี้คือญาณที่อัศจรรย์และประเสริฐสุด สัตว์เหล่านี้ ช่างโง่เขลาและมืดบอดเหลือเกิน

115              ในกาลนั้น พระพรหม ท้าวศักระ ท้าวโลกาบาลทั้งสี่ พระมเหศวร พระอิศวร และคณะมรุตเทพ จำนวนหลายพันโกฏิมาขอร้องเรา

116              เทพเหล่านั้นทั้งหมด ยืนประคองอัญชลี แสดงความเคารพ เรา (ตถาคต) คิดถึงเรื่องนี้ว่า จะทำอย่างไรดี (ตัดสินใจว่า) เราจะแสดงธรรมอันประเสริฐแก่สัตว์ (ชนชั้น) ทั้งหลาย เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ถูกความทุกข์ครอบงำ

117              ถ้าพวกเขาจะเพิกเฉยธรรมของเราที่กล่าวเพื่อคนพาล ครั้นพวกเขาเพิกเฉยก็จะเข้าถึงอบายภูมิ จึงเป็นการดีที่เราไม่แสดงธรรมแม้ในกาลไหนๆ ขอให้เราจงนิพพานด้วยความสงสัยเสียในวันนี้เถิด

118              แต่ว่า เมื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน และอุบายอันฉลาดของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น (เราจึงคิดได้ว่า) เราควรแสดงพุทธโพธิญาณนี้ โดยแบ่งเป็นสามภาค

119              ขณะที่เราคิดข้อธรรมอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ที่ประทับอยู่ในทิศทั้งสิบก็มาปรากฏพระกายต่อหน้าเรา และเปล่งพระสุรเสียงว่า “สาธุ” (แล้วกล่าว่า)

120              ข้าแต่พระมุนี ผู้นำที่ประเสริฐของชาวโลก ดังข้าพเจ้าทั้งหลายจะขอโอกาสพระองค์เมื่อตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ พิจารณา ศึกษากุศโลบายของพระผู้นำแห่งโลกอยู่

121              แม้ข้าพเจ้าทั้งหลาย หลังจากตรัสรู้แล้วในครั้งนั้น ได้แสดงธรรม (บท) แบ่งเป็นสามภาค เพราะว่า ชนทั้งหลายที่ไม่มีความรู้ และมีอุปนิสัยต่ำทราม จะไม่เชื่อ(คำพยากรณ์ที่ว่า) “พวกเธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้า (ในอนาคต)

122              แต่นั้น ด้วยความอนุเคราะห์เป็นเหตุ เราจึงใช้ความฉลาดในอุบาย กล่าวสนับสนุนเรื่องความปรารถนาในอริยผล กะพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

123              เราได้ฟังพระสุรเสียงอันไพเราะจับใจของพระตถาคตทั้งหลายแล้ว มีปิติปลาบปลื้มใจ เราจึงกล่าวว่า ท่านมหาฤษีทั้งหลาย (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) ผู้ประเสริฐ พระดำรัสของท่านผู้มั่นคง เป็นพระดำรัสที่ไม่มีโมหะ

124              เราจะประพฤติเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสไว้ เพราะว่า เราบังเกิดในท่ามกลางแห่งความเสื่อมของสัตว์ที่ปวดร้าวและทารุณนี้

125              ดูก่อนศาริบุตร เราครั้นทราบอย่างนี้แล้ว ก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองพาราณสี ในเวลานั้น และได้ประกาศธรรมอันเป็นรากฐานแห่งความสงบ แก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ ด้วยอุบายอันฉลาด

126              แต่นั้น ธรรมจักรของเราตถาคตได้หมุนไป ศัพท์ว่า นิพพาน อรหันต์ ธรรมะ สังฆะ ก็ได้บังเกิดขึ้นในโลก

127              เรากล่าวเรื่องนิพพานเป็นเวลาหลายปี และชี้ว่า พระนิพพานเป็นที่สุดแห่งความทุกข์ในสงสาร เรา (ตถาคต) กล่าวอย่างนี้เป็นนิจกาล

128              ดูก่อนศาริบุตร ในเวลานั้น เราได้เห็นบุตรของชนชั้นสูง จำนวนมากมายหลายพันโกฏิ ที่เข้าใกล้พระโพธิญาณอันประเสริฐและสูงสุด

129              ทุกคนเหล่านั้น เข้ามาสู่ที่ใกล้เรา (ตถาคต) ยืนประคองอัญชลีเคารพเรา เขาเหล่านั้นเคยฟังธรรมของพระชินเจ้าทั้งหลายมาแล้ว และได้ฟังกุศโลบาย ประการต่างๆมาแล้ว

130              แต่นั้นเราได้มีความคิดครู่หนึ่งว่า นี้เป็นกาลสมัยแห่งเรา ที่จะประกาศธรรมอันประเสริฐ(เพราะว่า) เราอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ก็เพื่อประกาศพระโพธิญาณ อันประเสริฐนั้นและเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก

131              การเข้าใจนิมิตในวันนี้ เป็นสิ่งที่รับ (เชื่อ) ได้ยาก สำหรับผู้ที่มีความรู้น้อย ถึงพร้อมด้วยอธิมานะ งมงาน แต่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จะพากันฟังธรรม (ของเรา)

132              เรามีความแกล้วกล้าผ่องใส ละความลังเลใจทั้งปวงเสียแล้ว จะกล่าวในท่ามกลางแห่งบุตรพระสุคตทั้งหลาย และเราจะนำเขาเหล่านั้นให้ตรัสรู้ตามด้วย

133              ก็เราครั้นเห็นพุทธบุตรที่เช่นนี้แล้ว (จึงกล่าวว่า) ท่านทั้งหลายจงขจัดความสงสัยออกไป และสาวกอีก 1200รูปเหล่านี้ ก็จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะทั้งหมดจักเป็นพุทธะในโลกนี้

134              ธรรมของมุนีในอดีตทั้งหลายเหล่านั้น และของพระชินเจ้าในอนาคต ย่อมเป็นเหมือนกับธรรมของเรา คือปราศจากมลทิน ซึ่งเราจะแสดงแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้

135              ไม่ว่าเวลาใด ที่ใด และอย่างไร พระตถาคตทั้งหลาย จะอุบัติขึ้นในโลก ครั้นอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ทุกพระองค์ทรงมีจักษุเป็นทิพย์ ย่อมแสดงธรรมเช่นนี้ทุกครั้ง

136              ธรรมอันประเสริฐเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ตลอดเวลาหลายหมื่นโกฏิกัลป์ และสัตว์ทั้งหลายผู้เช่นนี้ ซึ่งฟังธรรมอันประเสริฐแล้ว เกิดความเลื่อมใส ก็หาได้ยากยิ่ง

137              เหมือนดอกมะเดื่อเป็นสิ่งที่หาได้ยาก อย่างไรก็ตาม บุคคลย่อมพบเห็นในบางคราวและบางแห่ง มันก็ยังเป็นที่เจริญใจของบุคคล ทั้งยังเป็นที่อัศจรรย์แก่ชาวโลกและเทวดาด้วย

138              ก็แล ธรรมที่เรากล่าวยิ่งอัศจรรย์ไปกว่านั้น บุคคลใดได้ฟังธรรมอันเป็นสุภาษิตนี้ แล้วอนุโมทนายินดีกล่าวถ้อยคำแม้เพียงคำเดียว (เกี่ยวกับธรรมนั้น) เขาเหล่านั้นชื่อว่าได้กระทำการบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวงแล้ว

139              ขอให้เธอจงเลิกละความสงสัย คลางแคลงใจในเรื่องนี้เถิด เราผู้เป็นธรรมราชาขอบอกว่า เราจะให้เขาเข้าถึงโพธิญาณอันประเสริฐนี้ ณ ที่นี้ เรายังไม่มีสาวกเลย

140              ดูก่อนศาริบุตร เธอจงทราบความลึกลับนี้ของเราไว้เถิด แม้สาวกทั้งปวงของเรามีพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นประธานเหล่านี้ ก็จงจำความลึกลับของเรา (ตถาคต)ไว้

141              เพราะเหตุไร ในสมัยแห่งความเสื่อมทั้งห้าสัตว์ทั้งหลายผู้ชั่วช้าและต่ำทรามถูกครอบงำด้วยกามทั้งหลาย เป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญาในกาลไหนๆ  ย่อมมีความคิดเพื่อการตรัสรู้

142              แลสัตว์ทั้งหลายได้ฟังเพียงยานเดียวของเรา ที่พระชินเจ้าประกาศแล้วท่องเที่ยวไปในอนาคตกาล สลัดพระสูตรทิ้งเสีย ก็จะพึงถึงนรก

143              สัตว์ทั้งหลาย ผู้สงบเสงี่ยม สะอาดหมดจด พยายามเข้าถึงพระโพธิญาณอันประเสริฐสูงสุด เรากล้าจะพรรณนาลักษณะอันไม่สิ้นสุดของเอกยานนั้นแก่เขาทั้งหลาย

144              เทศนาของผู้นำ (ตถาคต) ทั้งหลายเป็นเช่นนี้ นี้คือความฉลาดในอุบาย ที่ประเสริฐสุด เราได้กล่าวด้วยถ้อยคำอันลึกหลากหลาย ยากที่ผู้ไม่ได้รับการศึกษาจะเข้าใจได้

145              เพราะฉะนั้น เธอควรเข้าใจถ้อยคำอันลึกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้สั่งสอนโลกผู้มั่นคงเถิด  จงขจัดความสงสัย จงละความคลางแคลงใจเสีย ก็จะเป็นพุทธะ ยังความหฤหรรษ์ให้เกิดขึ้น

บทที่2 อุปายโกศลปริวรรต ว่าด้วยความฉลาดในอุบาย

ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ

มีเพียงเท่านี้



http://www.mahayana.in.th/tmayana/พระสูตรสัทธรรมปุณฑริก/สัทธรรมปุณทรีกะบท2.htm
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 03:15:41 pm »

ครั้นเมื่อ พระศาริบุตรกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า

พอละ ศาริบุตร ประโยชน์อะไรด้วยการกล่าวอรรถนี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า เมื่อเรา(ตถาคต) กล่าวอธิบายอรรถนี้อยู่ ชาวโลกและเทวดาจะตกใจกลัว

          พระศาริบุตร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค แม้เป็นคำรบสองว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงตรัสอรรถนี้นั่นแล ของพระสุคตจงตรัสอรรถนั่นแล ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร ข้อแต่พระผู้มีพระภาค เพราะในบริษัท (ที่ประชุม) นั้น มีสรรพสัตว์จำนวนมาก นับเป็นร้อย พัน แสน และหลายหมื่นแสนโกฏิ ที่เคยเฝ้าพระพุทธเจ้ามาแล้ว เป็นผู้มีปัญญา จักมีศรัทธาเชื่อถือและรับเอาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้

          ครั้งนั้นแล ท่านศาริบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถานี้ ว่า

33       ข้าแต่พระชินเจ้าผู้ประเสริฐสุด ขอพระองค์จงตรัสให้ชัดเจนเถิด บรรดาสรรพสัตว์จำนวนพันในบริษัทนี้ มีความศรัทธา เลื่อมใส เคารพ ในพระสุคต จักเข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสแล้วนั้น

           ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระศาริบุตรผู้มีอายุ เป็นคำรบสองว่า ดูก่อน ศาริบุตร พอละ ไม่มีประโยชน์ ที่จะอธิบายอรรถนี้ ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่าเมื่อเรา (ตถาคต ) กล่าวอธิบายอรรถนี้อยู่ ชาวโลกรวมทั้งเทวโลก จะพากันตกใจกลัว และภิกษุทั้งหลายที่มีอภิมานะ (เย่อหยิ่ง) จักต้องอาบัติหนัก

                ครั้งนั้น ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

34       อย่าให้เราประกาศธรรม ณ ที่นี้เลย ธรรมนี้สุขุมลุมลึก เข้าใจยาก คนโง่ที่เย่อหยิ่ง มีจำนวนมาก พวกเขาไม่รู้ก็จะใส่ร้ายธรรมที่เราประกาศแล้วนั้น

                ท่านศาริบุตร ได้ทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคอีก เป็นคำรบสามว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงตรัส ของพระสุคตจงตรัสเนื้อความนี้ นั่นแล ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในบริษัทนี้ บรรดาสรรพสัตว์ผู้เหมือนอย่างข้าพระองค์มีจำนวนหลายร้อย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค และมีสรรพสัตว์จำนวนมากมายนับเป็นร้อย พัน แสน และหลายหมื่นแสนโกฏิ ที่พระผู้มีพระภาคได้อบรมแล้ว ในชาติปางก่อน เขาเหล่านั้น จะมีศรัทธาเชื่อถือและรับเอาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้ พระดำรัสนั้นก็จะเป็นเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่เขาทั้งหลายตลอดกาลนาน

                ครั้งนั้น ท่านพระศาริบุตรก็ได้กล่าวคาถาอีกหลายคาถาในเวลานั้นว่า

35                 ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ข้าพระองค์เป็นบุตรคนโตได้ทูลขอร้องพระองค์ว่า ขอพระองค์จงแสดงธรรมเถิด ณ ที่นี้ มีสรรพสัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ ซึ่งจะศรัทธาเชื่อถือธรรมของพระองค์เช่นกัน

36                 และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พระองค์ได้อบรมแล้ว เป็นนิตย์ตลอดกาลช้านานในชาติปางก่อน บัดนี้ ก็ได้ยืนประคองอัญชลีอยู่แล้ว ณ ที่นี้ สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จะศรัทธาเชื่อถือธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว

37                 มีชนอีก 1200 คนที่เป็นเช่นกับข้าพระองค์ คือปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณอันประเสริฐ ขอพระสุคตจงทอดพระเนตรเขาเหล่านั้น ทรงตรัสธรรมยังความหรรษาสูงสุดให้เกิดขึ้น แก่เขาทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล ครั้นทรงทราบคำทูลของร้องของท่านพระศาริบุตรตลอดทั้งสามวาระแล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า ดูก่อนศาริบุตร ณ บัดนี้ เนื่องจากเธอขอร้องเราถึงสามครั้ง ดูก่อนศาริบุตร เราจะกล่าวอะไรกะเธอ ผู้ขอร้องอยู่ ดูก่อนศาริบุตร ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงตั้งใจให้ดี จงใส่ใจให้ดี เราจะกล่าวแก่เธอ

เมื่อพระผู้มีพระภาค ครัสถ้อยคำนี้จบลง ลำดับนั้นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ที่มีอภิมานะประมาณ 5,000 ในที่ประชุมนั้น ได้ลุกจากที่นั่งของตนๆ ก้มลงกราบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค แล้วหลีกออกไปจากที่ประชุมนั้น เพราะเกิดมีอภิมานะและท่านเหล่านั้นคิดว่าตนจะต้องทุกข์ทรมาน จึงออกไปเสียจากที่ประชุมนั้น และพระผู้มีพระภาคก็ทรงยอมรับโดยดุษณีภาพ

ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระศาริบุตรว่า ที่ประชุมของเราได้ว่างจากสิ่งที่ไร้ค่า พ้นจากสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ตั้งมั่นอยู่แล้วในศรัทธาสาระ ดูก่อนศาริบุตร ดีละ ผู้มีอภิมานะเหล่านี้ ได้หนีไปแล้ว ดูก่อนศาริบุตร ถ้าอย่างนั้น เราจะกล่าวข้อความนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ดีละ พระศาริบุตรได้ฟังจากพระผู้มีพระภาค เป็นนิจ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนศาริบุตร บางครั้งเท่านั้น ที่ตถาคตแสดงพระธรรมเทศนา อย่างนี้ ดูก่อนศาริบุตร ดอกมะเดื่อย่อมปรากฏเป็นบางครั้ง ฉันใด ดูก่อนศาริบุตร ตถาคต ย่อแสดงธรรมอย่างนี้ เป็นบางครั้ง ฉันนั้น ดูก่อนศาริบุตร เธอจงเชื่อเรา เราย่อมกล่าวคำสัตย์ พูดแต่ความจริง เราไม่กล่าวสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดูก่อนศาริบุตร วาจาของพระตถาคตนั้น เข้าได้ยาก ข้อนั้น เป็นเพราะอะไร?  ดูก่อนศาริบุตร เราได้ประกาศธรรม ด้วยกุศโลบายร้อยพันอย่าง ที่มีการชี้แจง อธิบาย และยกตัวอย่างด้วยศัพท์ต่างๆ ดูก่อนศาริบุตร พระสัทธรรมนั้น เป็นตถาคตญาณ ไม่เป็นไปด้วยเหตุและผลของตรรกะ ข้อนั้น เป็นเพราะอะไร? ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาในโลก ด้วยกรณียกิจที่พึงกระทำอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่มาก ดูก่อนศาริบุตร กรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระตถาคตเป็นอย่างไรหนอ ? พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลก ด้วยกิจที่พึงกระทำอย่างหนึ่งคือ แสดงนิมิตที่เป็นเหตุให้สัตว์ได้เข้าถึงตถาคตญาณทัศนะ นิมิตเป็นเหตุให้เห็นตถาคตญาณทัศนะ นิมิตที่เป็นเหตุให้สัตว์ก้าวลงสู่ตถาคตญาณทัศนะ นิมิตที่เป็นเหตุให้สัตว์ บรรลุตถาคตญาณทัศนะ นิมิตที่เป็นเหตุสัตว์ก้าวลงสู่ตถาคตญาณทัศนะ ดูก่อนศาริบุตร นี้คือกรณียกิจที่ควรกระทำอย่างหนึ่ง เป็นมหากรณียกิจที่มีประโยชน์ฝ่ายเดียวซึ่งเกิดขึ้นยากในโลก ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตได้กระทำกรณียกิจอย่างหนึ่ง ที่เป็นมหากรณียกิจอย่างนี้แล ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ? ดูก่อนศาริบุตร เราเองได้บรรลุตถาคตญาณทัศนะ ได้แสดงตถาคตญาณทัศนะ ได้ก้าวลงสู่ตถาคตญาณทัศนะ ได้รู้แจ้งตถาคตญาณทัศนะ และได้ก้าวลงสู่แนวทางของตถาคตญาณทัศนะ

ดูก่อนศาริบุตร เราอาศัยยานเดียวเท่านั้น แสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย ยานนี้ก็คือพุทธยาน ดูก่อนศาริบุตร ยานที่สองหรือที่สามใดๆนั้นไม่มี ดูก่อนศาริบุตร นี้เป็นธรรมดาทุกที่ในโลกทั้งสิบทิศ  ข้อนั้นเป็นไฉน ?  ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายได้มีแล้วในอดีตกาล ในโลกธาตุทั้งหลาย ที่นับไม่ได้กำหนดไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแห่งชนจำนวนมาก เพื่อการอนุเคราะห์ชาวโลกและเพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนส่วนใหญ่ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทั้งหลายเหล่าใด ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ (กายและจิต) ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆกัน ได้ทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจงแสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ ดูก่อนศาริบุตร พระผู้มีพระภาคทั้งปวงแม้เหล่านั้น ได้อาศัยยานเดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย นั่นก็คือพุทธยาน อันมีการรู้สิ่งทั้งปวงเป็นที่สุด และนั่นก็คือพระผู้มีพระภาคทั้งปวง ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะแห่งตถาคต เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะแห่งตถาคต ดูก่อนศาริบุตร สัตว์แม้เหล่าใด ได้ฟังพระสัทธรรมจากที่ใกล้แห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็จักถึงการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

                ดูก่อนศาริบุตร ในอนาคตกาล พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จักมีในโลกธาตุทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนที่นับไม่ได้ ที่กำหนดไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแห่งชนจำนวนมาก เพื่อการอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนจำนวนมากและเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใด ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆ กัน จักทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจงแสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ ดูก่อนศาริบุตร พระผู้มีพระภาคทั้งปวงแม้เหล่านั้น ได้อาศัยยาน เดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรม นั่นก็คือ พุทธยานมีการรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่สุด และนั่นก็คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งปวง จักทรงแสดงธรรมที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะแห่งตถาคต  ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะแห่งตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนศาริบุตร ลัตว์ทั้งหลายเหล่าใดจักฟังธรรมนั้นจากที่ใกล้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอนาคตนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็จักถึงการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

                ดูก่อนศาริบุตร ในปัจจุบันนี้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย สถิตดำรง ทรงอยู่ ทรงแสดงธรรมอยู่ในโลกธาตุ มีจำนวนที่นับไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุขแห่งชนจำนวนมาก เพื่อการอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนส่วนมาก และเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆกัน ย่อมทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหาร การชี้แจง แสดงเหตุผลต่างๆ การอธิบายที่มาของคำ ดูก่อนศาริบุตร พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวงเหล่านั้น ได้ทรงอาศัยเพียงยานเดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย นั่นคือพุทธยาน ที่มีการรู้สิ่งทั้งปวงเป็นที่สุด กล่าวคือพระผู้มีพระภาคพุทธทั้งปวง ย่อมทรงแสดงธรรมที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะของตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ได้ฟังธรรมอยู่ ณ ที่ใกล้ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบัน สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจักได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

                ดูก่อนศาริบุตร ณ บัดนี้ แม้เรา ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจ มีอารมณ์ต่างๆกัน แสดงธรรมอยู่ ด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจง แสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชน ส่วนมาก และเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดูก่อนศาริบุตร แม้เราก็อาศัยเพียงยานเดียว แสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย นั่นคือพุทธยาน ที่มีการรู้สิ่งทั้งปวงเป็นที่สุดกล่าวคือ เราตถาคตแสดงอยู่ซึ่งธรรม ที่เป็นเหตุให้รับญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะของตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ได้ฟังธรรมนี้ของเรา ณ บัดนี้ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จักได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดูก่อนศาริบุตร เพราะฉะนั้น พึงทราบตามคำบรรยายนี้อย่างนี้ คือไม่มีการประกาศยานที่สองในโลกทั้งสิบทิศ ไม่ว่าที่ใด ดังนั้น จะมีการประกาศยานทั้งสาม ณ ที่ใดเล่า

                ดูก่อนศาริบุตร แม้เมื่อใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อุบัติขึ้นในกัลป์ที่หม่นหมอง หรือสรรพสัตว์หม่นหมอง หรือว่าในสมัยที่มี ความหม่นหมองเพรากิเลส หม่นหมองเพราะทิฏฐิ หม่นหมองเพราะอายุ ดูก่อนศาริบุตร เมื่อสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาผู้มีกุศลมูลเพียงเล็กน้อย  เดือดร้อนใจและหม่นหมองในกัลป์ ถึงปานนี้ ดูก่อนศาริบุตร เมื่อนั้นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมแสดงพุทธยานเพียงหนึ่งเดียว โดยแยกแสดงเป็น 3 ยาน ด้วยอุบายที่ฉลาด ดูก่อนศาริบุตร ณ ที่นั้น ชนเหล่าใด ซึ่งเป็นสาวกอรหันต์หรือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ฟัง ไม่ไตร่ตรอง ไม่เข้าใจกิริยานี้ ที่เป็นเหตุให้ถึงพุทธยานของตถาคต ดูก่อนศาริบุตร ทุกคนควรทราบเถิดว่า ชนเหล่านั้น ไม่ใช่สาวกของตถาคต ไม่ใช่พระอรหันต์ ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า

                ดูก่อนศาริบุตร ถ้าหากภิกษุหรือภิกษุณีผู้ใดผู้หนึ่ง พึงปฏิญาณความเป็นอรหันต์พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เป็นผู้ตัดขาดแล้วจากพุทธยาน (และ) พึงกล่าว ถึงพระนิพพานว่า เป็นชาติสุดท้ายของเราเช่นนี้ ดูก่อนศาริบุตร พึงรู้เถิดว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้มีอภิมานะ ข้อนั้น เพราะอะไร ดูก่อนศาริบุตร เพราะไม่ใช่ฐานะและเป็นไปไม่ได้ที่ภิกษุหรือพระอรหันต์ ที่สิ้นอาสวะแล้ว ฟังธรรมนี้จากพระตถาคต ผู้อยู่เบื้องหน้าแล้ว ไม่มีศรัทธาเชื่อถือ นอกจากพระตถาคตปรินิพพานไปแล้วเท่านั้น ข้อนั้น เพราะเหตุไร ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ในกาลสมัยนั้น สาวกทั้งหลายก็จะไม่อาจทรงจำ หรือแสดงพระสูตรทั้งหลายเห็นปานนี้ได้ ดูก่อนศาริบุตร เขาเหล่านั้นจะหมดความสงสัย ก็ต่อเมื่อมีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าอื่น (อุบัติขึ้นมา) ดูก่อนศาริบุตร ท่านจงเชื่อในพุทธธรรมทั้งหลายเหล่านี้ของเรา จงทำความคุ้นเคยและเข้าใจพุทธธรรมเหล่านี้เถิด ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า ตถาคตไม่ได้พูดโกหก ดูก่อนศาริบุตร มียานอยู่ชนิดเดียวเท่านั้น คือพุทธยาน

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 03:15:05 pm »




พระสูตรสัทธรรมปุณฑรีกะ
วัดโพธิ์แมนคุณาราม
นายชะเอม แก้วคล้าย แปลจากต้นฉบับสันสกฤต
บทที่ 2
อุปายโกศลปริวรรต
ว่าด้วยความฉลาดในอุบาย

 
                ครั้งนั้น หลังจากที่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงมีพระสติและปัญญา ทรงออกจากสมาธิครั้นออกแล้ว ได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า ดูก่อน ศาริบุตร พุทธญาณ เป็นสิ่งซึ่งลึกซึ้งเข้าใจยากและรู้ยาก  เป็นสิ่งที่พระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงก็เข้าใจยาก แต่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายได้รู้แล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่าพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้บูชาสักการะพระพุทธเจ้าจำนวนมาก หลายหมื่นแสนโกฏิมาแล้ว ได้ประพฤติธรรมมากับพระพุทธเจ้าหลายหมื่นแสนโกฏิ ถึงพร้อมในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทำความเพียร จนบรรลุธรรมอันน่าอัศจรรย์และเป็นจริง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยธรรมที่รู้ได้ยากและเข้าใจธรรมที่เข้าใจได้ยาก

                ดูก่อนศาริบุตร การแสดงธรรมของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เพราะเหตุไร ? เพราะว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประกาศธรรมทั้งหลายที่เป็นเฉพาะพระองค์ เพื่อให้สัตว์ผู้ข้องอยู่ในสิ่งต่างๆ หลุดพ้นไปด้วยกุศโลบายต่าง ๆ คือ ด้วยญาณทัศนะ การแสดงเหตุผล อารมณ์ นิรุกติ และการทำให้เข้าใจ ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความเป็นผู้ฉลาดในอุบายอันยิ่งใหญ่ ญาณทัศนะและพระบารมีจึงสูงยิ่ง เพราะ(พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย) ทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความไม่ข้อง (ในสิ่งต่างๆ) ด้วยความรู้ที่ไม่มีผู้ใดขัดข้องได้ ด้วยทัศนะ ด้วยพลัง ด้วยความแกล้วกล้า ด้วยธรรมอันวิเศษ อินทรีย์พละ โพชฌงค์  ฌาน วิมุตติ สมาธิ สมาบัติ และธรรมอื่นๆ ทรงเป็นผู้ประกาศธรรมนานัปการ ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ถึงความมหัศจรรย์ ดูก่อนศาริบุตร เป็นการสมควรที่จะกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ถึงซึ่งความมหัศจรรย์ยิ่ง ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตนั้นแล พึง แสดงธรรมที่พระองค์ทรงรู้แล้ว แก่พระตถาคต ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตนั้น ทรงแสดงธรรมแม้ทั้งปวง พระตถาคตนั้นแลทรงรู้ธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น เป็นอะไรเป็นอย่างไร เป็นเช่นไร มีลักษณะอย่างไร มีสภาพอย่างไร พระตถาคตนั่นแล ทรงเป็นผู้รู้ประจักษ์ในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น

        ก็แล ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงตรัสคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า

1               สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่อาจจะรู้ได้ว่า ในโลกที่มีเทวดาและมนุษย์ มีพระตถาคตที่กล้าหาญยิ่งอยู่มาก ซึ่งไม่อาจประมาณจำนวนได้

2               ใครๆ ไม่อาจรู้ได้ว่า พระตถาคตทั้งหลายมีพลัง และเป็นผู้หลุดพ้น มีความฉลาด เช่นใด มีพุทธธรรมเป็นเช่นไร

3               ในอดีตกาล พระตถาคต ได้ทรงประพฤติธรรมอยู่ใกล้ๆพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ ธรรมนั้นลึกซึ้งละเอียดสุขุม ใครๆ รู้ได้ยาก และเห็นได้ยาก

4               ในขณะที่ทรงประพฤติธรรมอยู่หลายโกฏิกัลป์จนจำไม่ได้ ก็บัดนี้ เรา(ตถาคต) ได้เห็นผล ที่มณฑปอันเป็นที่ตรัสรู้

5               เรา ผู้นำแห่งโลกคนอื่นๆ ย่อมรู้ธรรมนั้นว่า เป็นประการใด เป็นอะไร เป็นเช่นไร และมีลักษณะอย่างไร


6               ไม่มีใครสามารถแสดงธรรมนั้นได้ จึงไม่มีโวหารแห่งธรรมนั้นบุคคลใดๆ ที่เป็นเช่นนั้น (คือสามารถกล่าวธรรมนั้นได้) ก็ไม่มีในโลก

7               เว้นจากพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเสียแล้ว ใครจะแสดงธรรมนั้นแก่ผู้ใด ใครจะรู้ธรรมที่แสดงแล้ว และชนเหล่าใดจะเป็นผู้ที่ตั้งมั่นในอธิโมกข์ได้

8               วิสัยในญาณของพระชินเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มีในชนทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระตถาคต ผู้ปฏิบัติกิจแล้ว ผู้ที่พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว ผู้สิ้นอาสวะแล้วและผู้ดำรงชีวิตเป็นชาติสุดท้าย

9               ถ้าว่าโลกธาตุทั้งปวงพึงเต็มไปด้วยชนทั้งหลาย เช่นกับพระศาริบุตร และชนเหล่านั้นมาร่วมกันคิด เขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถรู้ญาณของพระสุคตได้

10           ถ้าว่าทิศทั้งสิบพึงเต็มไปด้วยบัณฑิตทั้งหลายอย่างท่าน โลกก็จะเต็มไปด้วยบัณฑิตผู้เป็นสาวกของเรา (ตถาคต) นั่นเอง

11           และเขาเหล่านั้นทั้งหมดพึงมาประชุมกัน พิจารณาญาณของพระสุคต เขาเหล่านั้นทั้งหมด แม้จะประชุมกันแล้ว ก็ไม่อาจรู้พุทธญาณ ที่ประมาณไม่ได้ของเรา(ตถาคต)

12           ทิศทั้งสิบพึงเต็มไปด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้สิ้นอาสวะ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีร่างกายอยู่ในภพสุดท้ายแล้ว ดุจต้นอ้อหรือต้นไผ่ในป่า

13           ก็แลพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมด พึงมาประชุมกันพิจารณาธรรมอันประเสริฐของเรา (ตถาคต) เพียงส่วนเดียวตลอดหลายหมื่นโกฏิกัลป์ติดต่อกันไป ท่านเหล่านั้นก็ไม่เข้าใจอรรถอันแท้จริงของธรรมอันประเสริฐนั้นได้

14           พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้อยู่บนยานใหม่ มีกิจอันได้กระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ ผู้กล่าวอรรถที่พิจารณาดีแล้ว  และกล่าวธรรมจำนวนมาก ทิศทั้งสิบควรเต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น

15           หากโลกทั้งปวงพึงเต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ จนไม่มีที่ว่างเหมือนไม้อ้อและต้นไผ่(ในป่า) พระโพธิสัตว์เหล่านั้น มาประชุมกันพิจารณาธรรมที่พระสุคตเจ้าทรงเห็นแล้วเป็นนิจกาล


16           พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีจิตแน่วแน่ไม่คิดเป็นอื่นด้วยปัญญาอันสุขุม คิดพิจารณาอยู่หลายโกฏิกัลป์จนนับไม่ได้ เหมือนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา แค่คติวิสัยในญาณ ของพระสุคต ย่อมไม่มีแก่พระโพธิสัตว์เหล่านั้น

17           พระโพธิสัตว์จำนวนไม่น้อยดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ผู้ไม่ถอยกลับ และมีจิตแน่แน่ว ไม่คิดเป็นอย่างอื่น พึงคิดพิจารณาญาณ (ของพระสุคต) แต่คติวิสัยในญาณ (ของพระสุคต) ย่อมไม่มีแม้แก่พระโพธิสัตว์เหล่านั้น

18           ธรรมที่ลึกซึ้งสุขุมอย่างไร เช่นไร พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอาสวะ และเรา (ตถาคต)หรือพระชินเจ้าทั้งหลาย ในทิศทั้งสิบ ในโลก ก็ย่อมรู้ได้

19           ดูก่อนศาริบุตร พระสุคตตรัสธรรมใดท่านจงเชื่อในธรรมนั้น พระชินเจ้ามหามุนีผู้มีปกติไม่ตรัสเป็นอย่างอื่น ได้ตรัสเนื้อความประเสริฐสุด มาช้านานแล้ว

20           เรา (ตถาคต) ได้เรียกพระสาวกทั้งหมด ที่ปรารถนาจะบรรลุปัจเจกโพธิมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราช่วยให้ตั้งอยู่ในนิรวารณธรรม และเป็นผู้ที่เราช่วยให้พ้นแล้วจากความทุกข์ตลอดไป

21           เรา (ตถาคต) ใช้อุบายโกศล อันประเสริฐของเรา กล่าวธรรมหลากหลายวิธีในโลกจนปลดเปลื้องผู้ข้องในพันธะทั้งปวง แล้วแสดงยานทั้งสามให้ปรากฏ

ครั้งนั้นแล  ในบริษัทที่ประชุมบริษัทนั้น ได้มีพระอรหันตขีณาสพ มหาสาวกจำนวน 1200 องค์

 ซึ่งมีพระอาชญาตเกานฑินยะ (พระอัญญาโกณฑัญญะ) เป็นประมุข ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกาทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติในสาวกยาน และ(ชนอื่นๆ) ผู้ตั้งอยู่ในปัจเจกพุทธยาน ทั้งหมดนั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า อะไรหนอเป็นเหตุ ที่ทำให้พระผู้มีพระภาค ตรัสสรรเสริญ อุบายโกศลของพระตถาคตทั้งหลาย เป็นอย่างยิ่ง ตรัสว่า ธรรมอันลึกซึ้งนี้อันเรา (ตถาคต) ได้ตรัสรู้แล้ว และตรัสว่า อันพระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง พึงทราบได้โดยยาก เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสความหลุดพ้นอย่างเดียวเท่านั้น แม้เราทั้งหลายได้รับพุทธธรรม ก็จักบรรลุพระนิพพาน เราทั้งหลายไม่เข้าใจความหมายพระดำรัส ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสครั้งนี้

                ครั้งนั้นแล พระศาริบุตรผู้มีอายุ ทราบความลังเลใจ ความสงสัยของบริษัทสี่เหล่านั้น และเข้าใจความปริวิตกที่เกิดขึ้นในจิตของบริษัทเหล่านั้น ด้วยจิต แม้ตนเองก็มีความสงสัยในธรรม จึงทูลกับพระผู้มีพระภาค ในเวลานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้พระผู้มีพระภาค ทรงสรรเสริญอุบายโกศลญาณทัศนะ และการแสดงธรรมของพระตถาคตทั้งหลายบ่อยๆนัก และพระผู้มีพระภาค ย่อมตรัสเสมอว่า เราได้ตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้ง และธรรมของพระตถาคต เป็นสิ่งที่เข้าใจยากยิ่ง ก็ข้าพระองค์ ไม่เคยฟังธรรมบรรยายเช่นนี้ ในที่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคมาก่อนเลย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ก็แลบริษัทสี่เหล่านี้มีความลังเลใจ และสงสัยยิ่งนัก ดังข้าพระองค์จะขอโอกาสพระตถาคต พระตถาคตทรงประสงค์สิ่งใดจึงตรัสสรรเสริญธรรมของพระตถาคตซึ่งลึกซึ้งบ่อยๆ ขอพระผู้มีพระภาค โปรดทรงชี้แจงสิ่งนั้นด้วยเถิด

                ก็แล ในเวลานั้นท่านศาริบุตร ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ว่า

22           พระสุคตผู้ประเสริฐ แห่งนรชนทั้งหลาย ย่อมตรัสพระดำรัสเช่นนี้ ในวันนี้ เป็นเวลาช้านานว่า เราได้บรรลุ พละ วิโมกษะ และญาณ อันหาประมาณมิได้แล้ว

23           พระองค์ตรัสสภาวะแห่งความรู้แจ้ง โดยไม่มีผู้ใดทูลถาม และพระองค์ตรัสพระธรรม โดยปราศจากผู้ทูลถามพระองค์

24           พระองค์ทรงตรัสและพรรณนาจริยาของพระองค์โดยไม่มีผู้ทูลถาม และพระองค์ตรัสอย่างชัดเจนถึงการตรัสรู้ญาณและพระธรรมอันลึกซึ้ง

25           วันนี้ ชนเหล่านี้ ผู้สำรวมตนแล้ว ไม่มีอาสวะ ผู้จะเข้าถึงพระนิพพานแล้ว มีความสงสัยว่า เพราะเหตุไร พระชินเจ้าจึงตรัสความข้อนี้


26           ภิกษุ ภิกษุณี เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์และพญานาคทั้งหลาย ผู้ปรารถนาปัจเจกโพธิ

27           กำลังสนทนากะกันและกันอยู่ กำลังเฝ้ามองพระองค์ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ เขาเหล่านั้น เป็นผู้มีความคลางแคลงใจ คิดอยู่ว่า ขอพระองค์ผู้เป็นพระมหามุนีได้โปรดพยากรณ์ให้แจ่มแจ้งด้วยเถิด

28           พระสาวกทั้งปวงของพระสุคต มีจำนวนเท่าใด ข้าพระองค์ คือผู้ที่พระมุนี ผู้ประเสริฐได้พยากรณ์ไว้แล้ว จึงได้สะสมบารมีไว้ในโลกนี้

29           ข้าแต่ผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชน ณ ที่นี้ แม้ข้าพระองค์ยังมีความสงสัยในสถานะของตนว่า ข้อปฏิบัติที่แสดงแล้วแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์จะตั้งอยู่ในพระนิพพานหรือ

30           ขอพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงว่า นี้คือธรรม ให้กึกก้องดุจเสียงกลองอันประเสริฐ พุทธบุตรเหล่านี้ของพระชินเจ้า ได้ยืนประคองอัญชลีเฝ้าพระชินเจ้าอยู่แล้ว

31           เทวดา นาค ยักษ์ และรากษสทั้งหลาย มีจำนวนหลายพันโกฏิ เสมอเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา แม้ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ ซึ่งมีจำนวน 80,000 คน ก็ยืนพร้อมกันอยู่ที่นี่

32           ราชามหาบดี และพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย ผู้เสด็จมาแล้วจากหลายพันโกฏิ (พุทธ) เกษตร ทุกท่านมีความเคารพ (ในพระองค์) ได้ยืนประคองอัญชลี ด้วยคิดว่า เราทั้งหลายจะประพฤติให้บริบูรณ์ได้อย่างไรหนอ