ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 25, 2013, 06:08:32 am »‘รถสตาร์ตไม่ติด‘ เพราะอะไร? แก้อย่างไร?
-http://auto.sanook.com/6024/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/-
' รถสตาร์ทไม่ติด' ถือเป็นปัญหายอดฮิตสำหรับผู้ใช้รถยนต์ เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ แม้รถจะถอยออกมาจากศูนย์ฯเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ
วันนี้ Sanook!Auto จะกล่าวถึงสาเหตุของอาการสตาร์ทไม่ติด และวิธีการแก้ไขเฉพาะหน้ากันครับ
หากตื่นเช้ามาและกำลังจะขับรถเพื่อไปทำงาน เมื่อเสียบกุญแจรถแล้วบิดสตาร์ต ปรากฏว่าเครื่องยนต์ไม่ติด แต่มีเสียงดังแชะๆเป็นจังหวะขณะที่บิดกุญแจ หรืออาจไม่ดังเลย ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า แบตเตอรี่มีปัญหา ให้ลองกดแตรดูว่ามีเสียงดังปกติหรือไม่ หากแตรมีเสียงเบากว่าปกติ นั่นอาจเป็นเพราะแบตเตอรี่อ่อน จนเกือบหมด ทำให้ไปหมุนไดสตารท์ไม่ไหว
สาเหตุดังกล่าวอาจเกิดจาก
1. แบตเตอรี่เสื่อม เนื่องจากแบตเตอรี่โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานราว 2 ปี ต้องทำการเปลี่ยนลูกใหม่
2. เปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทิ้งไว้ เช่น ไฟหน้า, ไฟในรถ และอื่นๆ ซึ่งทำให้กินประจุไฟฟ้าตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสามารถแก้ไขเฉพาะหน้าได้ด้วยวิธีพ่วงสตาร์ต (ในรถเกียร์อัตโนมัติ) หรือ เข็นสตาร์ท (ในรถเกียร์ธรรมดา) โดยไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ และเมื่อสตารท์ติดแล้ว อย่าเพิ่งดับเครื่องทันที ให้ขับรถไปบนถนนสักพัก เพื่อให้แบตเตอรี่ได้รับการชาร์จไฟ จนมีประจุเพียงพอในการสตาร์ทครั้งต่อไป
3.ไดชาร์จเสื่อม เนื่องจากถึงอายุการใช้งานของมันเอง ทำให้ไม่สามารถชาร์จไฟไปยังแบตเตอรี่ได้ ซึ่งหากเป็นที่ไดชาร์จจริง จะมีสัญลักษณ์รูปแบตเตอรี่ขึ้นค้างไว้ที่หน้าปัทม์รถขณะขับขี่ กรณีนี้อาจต้องนำช่างมาลากรถไปยังศูนย์บริการ เพื่อเปลี่ยนไดชาร์จลูกใหม่ หรือนำแบตเตอรี่สำรองมาใส่แทนไปก่อน แล้วจึงนำรถไปยังศูนย์บริการโดยเร็วที่สุด ก่อนที่แบตเตอรี่จะหมดอีกครั้ง
แต่หากว่าลองบิดกุญแจสตาร์ทแล้วไม่มีเสียงใดๆเลย แต่อุปกรณ์ไฟฟ้ายังคงทำงานได้ปกติ (วิทยุดัง, ไฟหน้าติด, แตรดัง และอื่นๆ) อาจสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ไดสตาร์ทเสีย ให้ลองหาท่อนไม้มาเคาะไดสตาร์ต (ต้องระมัดระวังอย่าให้โดนอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย) ถ้าสตาร์ตติดแสดงว่าไดสตาร์ตสกปรก แต่หลังจากนั้นก็ต้องถอดไปทำความสะอาดด้วย แต่ถ้าเคาะแล้วยังไม่ทำงานก็ต้องถอดออกไปซ่อม หรือหากไม่ทราบว่าไดสตาร์ทอยู่ตรงไหนของเครื่องยนต์ อาจจำเป็นต้องเรียกช่างเพื่อมาแก้ไขให้ต่อไป
ในกรณีนี้หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา สามารถใช้วิธีเข็นสตาร์ตเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ จากนั้นจึงนำรถเข้าไปยังศูนย์บริการหรืออู่ต่อไป
ที่กล่าวมาเบื้องต้น เป็นสาเหตุที่พบได้ทั่วไป แต่อาการสตาร์ทไม่ติดอาจมีสาเหตุที่ลึกกว่านี้ก็เป็นได้ เช่น ในกรณีที่รถติดแก๊ส หรือ เครื่องยนต์มีสภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะนำเสนอให้คุณผู้อ่านทราบต่อไปครับ
(ขอบคุณเนื้อหาจาก ประชาชาติธุรกิจ)
http://auto.sanook.com/6024/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/
-http://auto.sanook.com/6024/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/-
' รถสตาร์ทไม่ติด' ถือเป็นปัญหายอดฮิตสำหรับผู้ใช้รถยนต์ เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ แม้รถจะถอยออกมาจากศูนย์ฯเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น หากไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ
วันนี้ Sanook!Auto จะกล่าวถึงสาเหตุของอาการสตาร์ทไม่ติด และวิธีการแก้ไขเฉพาะหน้ากันครับ
หากตื่นเช้ามาและกำลังจะขับรถเพื่อไปทำงาน เมื่อเสียบกุญแจรถแล้วบิดสตาร์ต ปรากฏว่าเครื่องยนต์ไม่ติด แต่มีเสียงดังแชะๆเป็นจังหวะขณะที่บิดกุญแจ หรืออาจไม่ดังเลย ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า แบตเตอรี่มีปัญหา ให้ลองกดแตรดูว่ามีเสียงดังปกติหรือไม่ หากแตรมีเสียงเบากว่าปกติ นั่นอาจเป็นเพราะแบตเตอรี่อ่อน จนเกือบหมด ทำให้ไปหมุนไดสตารท์ไม่ไหว
สาเหตุดังกล่าวอาจเกิดจาก
1. แบตเตอรี่เสื่อม เนื่องจากแบตเตอรี่โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานราว 2 ปี ต้องทำการเปลี่ยนลูกใหม่
2. เปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทิ้งไว้ เช่น ไฟหน้า, ไฟในรถ และอื่นๆ ซึ่งทำให้กินประจุไฟฟ้าตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสามารถแก้ไขเฉพาะหน้าได้ด้วยวิธีพ่วงสตาร์ต (ในรถเกียร์อัตโนมัติ) หรือ เข็นสตาร์ท (ในรถเกียร์ธรรมดา) โดยไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ และเมื่อสตารท์ติดแล้ว อย่าเพิ่งดับเครื่องทันที ให้ขับรถไปบนถนนสักพัก เพื่อให้แบตเตอรี่ได้รับการชาร์จไฟ จนมีประจุเพียงพอในการสตาร์ทครั้งต่อไป
3.ไดชาร์จเสื่อม เนื่องจากถึงอายุการใช้งานของมันเอง ทำให้ไม่สามารถชาร์จไฟไปยังแบตเตอรี่ได้ ซึ่งหากเป็นที่ไดชาร์จจริง จะมีสัญลักษณ์รูปแบตเตอรี่ขึ้นค้างไว้ที่หน้าปัทม์รถขณะขับขี่ กรณีนี้อาจต้องนำช่างมาลากรถไปยังศูนย์บริการ เพื่อเปลี่ยนไดชาร์จลูกใหม่ หรือนำแบตเตอรี่สำรองมาใส่แทนไปก่อน แล้วจึงนำรถไปยังศูนย์บริการโดยเร็วที่สุด ก่อนที่แบตเตอรี่จะหมดอีกครั้ง
แต่หากว่าลองบิดกุญแจสตาร์ทแล้วไม่มีเสียงใดๆเลย แต่อุปกรณ์ไฟฟ้ายังคงทำงานได้ปกติ (วิทยุดัง, ไฟหน้าติด, แตรดัง และอื่นๆ) อาจสันนิษฐานเบื้องต้นว่า ไดสตาร์ทเสีย ให้ลองหาท่อนไม้มาเคาะไดสตาร์ต (ต้องระมัดระวังอย่าให้โดนอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย) ถ้าสตาร์ตติดแสดงว่าไดสตาร์ตสกปรก แต่หลังจากนั้นก็ต้องถอดไปทำความสะอาดด้วย แต่ถ้าเคาะแล้วยังไม่ทำงานก็ต้องถอดออกไปซ่อม หรือหากไม่ทราบว่าไดสตาร์ทอยู่ตรงไหนของเครื่องยนต์ อาจจำเป็นต้องเรียกช่างเพื่อมาแก้ไขให้ต่อไป
ในกรณีนี้หากเป็นรถเกียร์ธรรมดา สามารถใช้วิธีเข็นสตาร์ตเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ จากนั้นจึงนำรถเข้าไปยังศูนย์บริการหรืออู่ต่อไป
ที่กล่าวมาเบื้องต้น เป็นสาเหตุที่พบได้ทั่วไป แต่อาการสตาร์ทไม่ติดอาจมีสาเหตุที่ลึกกว่านี้ก็เป็นได้ เช่น ในกรณีที่รถติดแก๊ส หรือ เครื่องยนต์มีสภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะนำเสนอให้คุณผู้อ่านทราบต่อไปครับ
(ขอบคุณเนื้อหาจาก ประชาชาติธุรกิจ)
http://auto.sanook.com/6024/%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/