ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2013, 02:37:53 pm »


ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิด รูปนามพิภพ ต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด รูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิด รูปนามสัตว์ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิต

ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ(เกิด) การเปลี่ยนแปลง บางอย่างเรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต

เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็น เหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม

สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ(มี)ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุ ปัจจัย ภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็น สุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น

เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลง มี กรรมชั่ว อย่างเดียว เป็น เหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้อง ใช้หนี้ กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอม ใช้หนี้เกิด กันไม่ มันกลับ เพิ่มหนี้ ให้เป็น เหตุเกิด ทวีคูณ ด้วยเพศผู้เพศเมียเกิดเป็น สุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้ เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ

ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะเรียกว่า รูปถอด ก็ได้ เพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยู่คงทนอยู่ ยืนนานกว่า รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจาก นิพพาน เท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย


ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำนักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเป็นที่ทำงานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ได้เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ

เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัย (ของ) ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย

ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างชีวิตพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดอย่างบริบูรณ์ดังพระประสงค์แล้ว พระพุทธองค์จึงได้ทรงเสด็จสู่อนุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ, ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือสิ้นทั้งกิเลสและชีวิต) เป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระพุทธองค์ก็คือ ลำดับแรก ก็เจริญฌานดิ่งสนิทเข้าไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปดับลึกสุดอยู่เหนือ อรูปฌาน

ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังไม่ได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเป็นเด็ดขาดแต่อย่างใด ยังเพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ได้ทรงพากเพียรก่อเป็นทาง เป็นแบบอย่างไว้ เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่าสิ่งอันเกิดจากที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา (เป็น) ผู้ที่มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสว่า มันเป็นทุกข์

นี่แหละ กระบวนการกระทำจิตตน ให้ถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น เป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นยอดแห่งศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีแผ่เผย แจ้งออกสู่สัตว์โลกให้พึงปฏิบัติตาม เมื่อทรงสิ่งซึ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่สภาวะต้น คือ ปฐมฌาน แล้วจึงได้ตัดสินพระทัยสุดท้าย เสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์ วิญญาณขันธ์แห่งชีวิต และร่างกายนั้น เพราะต้องดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นแรกเสียก่อน วิญญาณขันธ์จึงได้ดับ ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น

พระองค์เริ่มดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที อันจะส่งผลให้ก่อ วิภวตัณหา ได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงได้เลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาน แล้วจึงดับ สัญญาขันธ์ เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาน เมื่อ พระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนเข้าสู่ จตุตถฌาน คงมีแต่ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแห่งชีวิต นั้นแล คือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ

เมื่อพระองค์ดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว แล้วก็มาดับ เวทนาขันธ์ อันเป็น จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาน พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ สุดท้ายจริงๆ ของพระองค์เสียลงเพียงนั้น

นี่ พระองค์เข้าสู่นิพพานอย่างจริงๆ อยู่ตรงนี้ พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนดอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่นคือ พระองค์ ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตปกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดที่มาครอบงำอำพราง ให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์

เมื่อ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแท้ๆ จริงๆ ได้ถูกทำลายลงอย่างสนิท จึงเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดสิ้นแล้วซึ่งสังขารธรรม และหมดเชื้อ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ทั้งปวงใดๆ ในพระองค์ท่าน ไม่มีเหลือ คงทิ้งแต่ รูปขันธ์ อันจะมีชีวิตนั้นไม่ได้แน่ เพราะรูปไม่ใช่ชีวิตหากสิ้นนามเสียแล้ว ก็คือแท่ง คือก้อนวัตถุหนึ่ง เท่านั้นเอง

นั่นแล คือ ลำดับฌาน ที่พระอนุรุทธเถระเจ้าได้นำฌานจิตเข้าไปดู เป็นวิธีการดับโดยแท้ ดับโดยจริงโดยพระองค์เป็นผู้ดับเองเสียด้วย

" จิตคือพุทธะ " หลวงปู่ดูลย์
>>> F/B Trader Hunter พบธรรม
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 08, 2013, 09:07:36 pm »





      จิตคือพุทธะ ตอน จิตที่ไปรู้นิพพาน

      จิตนี้คือพุทธะโยนิอันบริสุทธิ์ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน
      สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี
      พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี
      ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีแตกต่างกันเลย
      ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆเท่านั้น
      ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด
      ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น
      โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว
      เป็นสิ่งซึ่งไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว
      สิ่งนั่นก็คือความว่าง
      เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่ทุกแห่งซึ่งสงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน

      มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง
      จงเข้าไปสู่สิ่งสิ่งนี้โดยลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง
      สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ คือสิ่ง สิ่งนั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น
      และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีกแล้ว
      จิตก็คือพุทธะ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด
      นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย เป็นที่สุดในเบื้องสูง
      ลงไปกระทั้งจนถึงสัตว์ที่ต่ำต้อยที่สุด
      ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานอยู่ด้วยอกและแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ

      สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งนั้นย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมด
      และทุกๆสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับจิตหนึ่งนั้น
      ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงได้เป็นสิ่งที่มีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับพุทธะอยู่แล้วตลอดเวลา
      ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเรานี้ให้สำเร็จ
      และค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น
      มันก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นจะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย
      จิตของเรานั้นถ้าเราทำความสงบอยู่จริงๆ
      เว้นขาดจากการคิดนึกซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิตแม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ
      ตัวแท้ของจิตก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป

      มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรที่ไหนๆแม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่า
      เป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือว่าไม่มีความเป็นอยู่แม้แต่ประการใดเลย
      เพราะเหตุที่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอาตยนะ
      เพราะจิตที่เป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือเป็นกำเนิด
      ซึ่งไม่ได้มีใครทำให้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย
      ในการทำปฏิกริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆนั้น
      มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาจากปรากฎการณ์ต่างๆ
      ซึ่งสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา
      แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม
      คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่คิดนึงหรือสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมานั้น

      มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่า
      มันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่
      ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา
      ในฐานะของกฏแห่งการตอบสนองของเหตุและผลของกันและกันนั้น
      มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้
      โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวารอยู่นั่นเอง

      ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่ง
      ความไม่มีอะไรในขณะนั้น
      พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง
      ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้อยู่หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
      มูลธาตุทั้งห้าซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น มันเป็นของว่างเปล่า
      แต่ละมูลธาตุทั้งสี่ของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นรูปกายนั้น
      ไม่ใช่เป็นสิ่งทีประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา
      จิตจริงแท้นั้นไม่มีรูปร่างและไม่มีอาการมา อาการไป

      ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้นเป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง
      ซึ่งไม่มีการตั้งต้นขึ้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย
      แต่เป็นของสิ่งเดียวรวดและปราศจากเคลื่อนไหวใดๆ
      ในส่วนลึกจริงๆของมันทั้งหมด
      จิตของเรากับสิ่งต่างๆซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้น เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน
      ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ
      เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแว๊บเดียวในขณะนั้น
      และเราเป็นผู้ไม่ต้องข้องเกี่ยวในโลกทั้งสามอีกต่อไป

      เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก จะไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีก
      แม้แต่นิดเดียว เราจะเป็นแต่ตัวของเราเองเท่านั้น
      ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง
      และเป็นสิ่งสิ่งเดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น และเราจะได้ลุถึงภาวะแห่ง
      ความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป
      ฉะนั้นนี่แหละคือหลักธรรมะ นี่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้
   
     
   
      สัมมาสัมโพธิเป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่า ไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ
      ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา
      ปรัชญาก็คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งคือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิมซึ่งปราศจากรูป
      ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ
      คือจิตและวัตถุเป็นของสิ่งเดียวกันนั่นแหละ
      จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งและลึกลับเหนือคำพูด

      และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง
      สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น มันไม่ได้หายไปจากเราแม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา
      และไม่ได้รับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตตถาตา
     
      ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ
      มันเต็มอยู่ในความว่างและเป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น
      เมื่อเป็นดังนั้นแล้วอารมณ์ต่างๆของเราที่จิตได้สร้างขึ้นทั้งฝ่ายธรรมและฝ่ายรูปธรรม
      จะเป็นซึ่งอยู่ภายนอกของความว่างนั่นได้อย่างไร
      โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั่นเป็น สิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆแห่งการกินเนื้อที่
      คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฐิ
      พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า
      โดยแท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย
      ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธะทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนี้ ไม่มีอะไรบรรจุอยู่
      แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฏแห่งการกินเนื้อที่เลย
      มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ต้องติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ
      เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้โดยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น
      มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ
     
      เราต้องแยกรูปถอด ด้วยวิชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ
      ใช้ หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด

     

   สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาลมีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น   
   นามเดิมก็คือจักรวาลเข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิดตัวอวิชา เกิดเหตุก่อ
   ที่ใดมีรูป ที่นั่นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั่นต้องมีรูป
   รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกริยาให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาลและเกิดกาลเวลาขึ้น
   คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน
   จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหวและหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย

   รูปเคลื่อนไหวได้เพราะมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้
   เมื่อสภาวะธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุสสาร ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
   จึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไตรลักษณ์ เกิดดับสืบเนื่องทุกขณะจิต
   ไม่มีวันหยุดนิ่งคงทนเป็นปัจจุบันทุกยามได้

   จิตวิญญาณก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล
   เพราะเป็นมายาหลอกลวงและเปลี่ยนแปลงให้คนหลง
   จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามมีชีวิต
   จากรูปนามมีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ
   แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกันไป
   คงแต่นาม ว่างที่ปราศจากรูป นี่เป็นจุดสุดยอดของ..
   การหลอกหลวงของรูปนาม ...



            หลวงปู่ดูลย์...อัศจรรย์ !!!     
      บางส่วนของธรรมเทศนาของหลวงปู่
      จากหนังสือ จิตคือพุทธะ
      หลวงปู่เทศน์ไว้เมื่อ พ.ศ. 2525-2526


     -http://cyberwalker.multiply.com/journal/item/170
        - http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=512.0

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 03:42:13 pm »

 :13: อนุโมทนาครับ ^^
ข้อความโดย: nanpicha
« เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 03:33:16 pm »

:13: :13: :13:
จิตคือพุทธะ ตอน จิตหนึ่ง
โดยหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

พระพุทธเจ้าทั้งปวงและสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจิตหนึ่ง
   นอกจากจิตหนึ่งแล้วไม่ได้มีอะไรตั้งอยู่เลย
   จิตหนึ่งที่ปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นและไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย
   มันไม่ใช่สิ่งของมีสีเขียวหรือสีเหลือง และไม่มีทั้งรูปและการปรากฎ
   มันไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งต่างๆที่มีการตั้งอยู่หรือไม่มีการตั้งอยู่
   ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือของเก่า มันไม่ใช่ของยาว ของสั้น ของใหญ่ ของเล็ก
   ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้
   หรือแม้การเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น
   จิตหนึ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นว่าตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่ลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูสิ
   เราจะหล่นไปสู่ความผิดพลาดทันที
   สิ่งนี้มันเป็นเหมือนของว่างอันปราศจากขอบทุกๆด้านซึ่งไม่อาจหยั่งหรือวัดได้
   จิตหนึ่งนี้เท่านั้นเป็นพุทธะ ไม่มีแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย
   เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆเสีย
   และเพราะเหตุนั้นเขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก
   การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเองทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ
   การทำสิ่งนี้เท่ากับการใช้สิ่งซึ่งเป็นพุทธะไปเที่ยวแสวงหาพุทธะ
   และการใช้จิตให้ช่วยจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะพยายามสุดความสามารถของเขาอยู่ตั้งกัปป์หนึ่งเต็มๆ
   เขาก็ไม่สามารถลุถึงภาวะพุทธะได้เลย เขาไม่รู้ว่าถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง
   และหมดความกระวนกระวายเพราะความแสวงหาเสียเท่านั้น
   พุทธะก็จะปรากฎตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้ก็คือพุทธะนั่นเอง
   
   พุทธะก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง
   สิ่งสี่งนี้ในเมื่อปรากฎอยู่ที่สามัญสัตว์และเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่
   เมื่อปรากฎอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่
   สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้งหกก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆกันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี
   หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาเลยก็ได้
   เหล่านี้นั้นจงคิดดูเถิด ถ้าเราเป็นผู้สมมุติโดยสัจจะพื้นฐานในทุกๆกรณีแล้ว
   ซึ่งเป็นจิตหนึ่งหรืออันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว
   เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งซึ่งสมบูรณ์อยู่แล้วนั้น
   ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นมิใช่หรือ
   เมื่อไรโอกาสอำนวยให้ทำก็ทำมันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้วอยู่เฉยๆก็แล้วกัน
   ถ้าเรายังไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า
   จิตนั้นคือพุทธะก็ดี แล้วเราไปยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรมต่างๆอยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆอยู่ก็ดี
   และต่อวิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่างๆอยู่ก็ดี
   แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่ ไม่เข้าร่องเข้ารอยกับทาง ทางโน่นเสียเลย
   จิตหนึ่งนี้เท่านั้นที่เป็นพุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก
   มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง
   คือ มันไม่มีรูปร่างและปรากฎการณ์ใดๆเลย
   การใช้จิตของเราปรุงแต่งคิดฝันไปต่างๆนั้น เท่ากับเราละทิ้งเนื้อหาอันเป็นฐานะเสีย
   แล้วไปผูกพันธ์ตัวเองกับรูปธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก
   พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่พุทธะของความยึดมั่นถือมั่น
   การปฏิบัติปารมิตาทั้งหกและการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
   ด้วยเจตนาที่จะไปเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดคืบหน้าทีละขั้น ทีละขั้น
   แต่พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังกล่าวแล้วนั่น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆเช่นนั้นไม่
   เรื่องมันเพียงแต่ตื่นและลืมตาต่อจิตหนึ่งเท่านั้น
   และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือพุทธะที่แท้จริง
   พุทธะและสัตว์โลกทั้งหลายคือจิต จิตหนึ่งที่เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกแล้ว
   จิตเป็นเหมือนความว่างซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสนและความไม่ดีต่างๆ
   ดังจะเห็นได้ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก
   เพราะว่าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นย่อมให้ความสว่างทั่วทั้งพื้นโลก
   ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น
   และเมื่อพระอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง
   ปรากฎการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
   แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง
   จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น
   ถ้ามองดูพุทธะว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฎของสิ่งที่บริสุทธิ์ ผ่องใสและรู้แจ้งก็ดี
   หรือมองสัตว์โลกทั้งหลายว่า เป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฎของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน
   และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้น อันเป็นผลเกิดมาจากความคิดยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น
   จะกันเราไว้เสียความรู้อันสูงสุด
   ถึงแม้เราจะได้ปฏิบัติมากี่กัปป์นับไม่ถ้วนประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม
   มีแต่จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดแม้แต่อนุภาคเดียวที่จะอิงอาศัยได้
   เพราะจิตนั่นเองคือพุทธะ
   
   
   http://cyberwalker.multiply.com/journal/item/171