ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 12, 2014, 06:04:44 pm »สาเหตุหลักของภาวะความเสื่อมและความเจ็บป่วย
ความเสื่อมและความเจ็บป่วยในยุคนี้ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจาก 5 ข้อหลัก ดังต่อไปนี้
1.อารมณ์ เป็นพิษ เช่น ความเครียด ความเร่งรีบ เร่งรัด รีบร้อน ความกลัว ความวิตกกังวล ความไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบายใจ ความไม่พอใจ รำคาญใจ ความมุ่งร้าย อาฆาต พยาบาท ความโลภ โกรธ หลง ยึดเกิน เอาแต่ใจตัวเอง เป็นต้น ทุกครั้งที่ผู้คนมีสภาพจิตดังกล่าว จะทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งสารอะดรีนาลีนออกมา กระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายผลิตพลังงานมากเกินความพอดี จนเผาทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย อวัยวะส่วนใดของร่างกายที่อ่อนแอก็จะเสื่อมหรือแสดงอาการไม่สบายก่อน เช่น บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ บางคนปวดคอ บางคนปวดท้อง บางคนเจ็บหัวใจ บางคนอ่อนเพลียทั้งตัว เป็นต้น ถ้ายังมีอารมณ์ดังกล่าวอยู่ ความเสื่อมก็จะลุกลามขยายผลและแสดงอาการไม่สบายไปตามอวัยวะส่วนอื่นต่อไป
2.อาหารเป็นพิษ ซึ่งพิษจากอาหารประกอบด้วย 6 สาเหตุหลักดังนี้
2.1 พิษ จากอาหารที่มีสารพิษ สารเคมีทั้งในพืชและสัตว์ ทั้งจากขบวนการผลิตและการปรุงเป็นอาหาร สารพิษสารเคมีดังกล่าวจะเผาทำร้ายเซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดความเสื่อมและเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดังนั้น การบริโภคอาหารไร้สารพิษก็จะดีที่สุด แต่ถ้าเราไม่สามารถหาอาหารที่ไร้สารพิษมารับประทานได้ วิธีลดสารพิษก็เป็นเรื่องที่ควรทำ เช่น แช่ผักผลไม้หรือเมล็ดธัญพืชในน้ำซาวข้าวอย่างน้อย ๑๐-๒๐ นาที แล้วนำไปล้างในน้ำสะอาดอีกที จะช่วยลดพิษได้มาก หรือใช้ถ่านที่เป็นเชื้อเพลิงในการก่อไฟ ๑-๕ ก้อน แช่ในน้ำ แล้วนำผักผลไม้หรือเมล็ดธัญพืชวางทับลงไป แช่อย่างน้อย ๑๐-๒๐ นาที แล้วจึงนำมาล้างในน้ำสะอาด ก็ช่วยลดพิษได้มากเช่นกัน ส่วนถ่านที่ใช้แช่แล้วนำมาผึ่งให้แห้ง สามารถเวียนกลับมาใช้แช่เพื่อลดสารพิษได้อีกประมาณ ๑๕-๒๐ ครั้ง จึงนำไปตากแห้งใช้ก่อไฟหุงต้มต่อไป
2.2 พิษ จากอาหารที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์มากเกินจนองค์การอนามัยโลก และกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาประกาศให้ลดเนื้อสัตว์ แล้วเพิ่มการกินผัก เพราะในเนื้อสัตว์จะมี ไขมัน กรดยูริค กรดแลคติก อะดรีนาลีนและสารอื่นๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกายมาก ถ้าท่านยังบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ ควรบริโภคเนื้อปลา เพราะปลาจะมีพิษน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ดังนั้นถ้าจะบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่มีไขมันเยอะ ก็ควรรับประทานในปริมาณที่น้อย นักธรรมชาติบำบัดที่มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในการดูแลแก้ไขปัญหาสุขภาพหรือสร้างสุขภาพจะพบว่า โปรตีนที่ดีสำหรับมนุษย์ก็คือ เมล็ดธัญพืช โดยเฉพาะถั่วชนิดต่างๆ
2.3 พิษ จากอาหารที่ปรุงรสจัดเกินไป จนทำให้องค์การอนามัยโลก และกระทรวงสาธารณได้ออกมาประกาศให้ลดความหวานมัน เค็ม และลดการรับประทานอาหารรสจัดต่างๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว วัตถุสสารที่ปรุงรสของอาหารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหวาน มัน เค็ม เผ็ด เปรี้ยว ฝาด ขม เบื่อเมา เมื่อถูกย่อยด้วยน้ำย่อยในร่างกายมนุษย์จะกลายเป็นพลังงานทั้งหมด ซึ่งร่างกายมนุษย์ ณ ปัจจุบัน ต้องการรสต่างๆ ที่ปรุงในอาหารประมาณ 30% ของที่ปรุงกันทั้วไป หมายความว่า ถ้าเดิมใส่เครื่องปรุง 100 ส่วน ก็ลดเหลือ 30 ส่วน หรือปรุง 10 ส่วน ก็ลดลเหลือ 3 ส่วน ถ้าเดิมเคยปรุง 3 ส่วน ก็ลดลงเหลือ 1 ส่วน เช่น เคยใส่พริก 3 เม็ด ก็ลดลงเหลือ 1 เม็ด ใส่เกลือหรือน้ำตาล 3 ช้อนชา ก็ลดลงเหลือ 1 ช้อนชา เป็นต้น
จึงพอดีบำรุงเลี้ยงร่างกายให้แข็งแรงที่สุด บำบัดบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บได้ดีที่สุด และเกิดพลังชีวิต (สบายเบากาย มีกำลัง) สูงสุด อาจปรุงมากหรือน้อยกว่านั้นตามแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน ณ เวลานั้นๆ ซึ่งถ้าปรุงมากเกินความต้องการของร่างกาย เมื่อถูกย่อยก็จะเกิดพลังงานส่วนเกิน เผาทำร้ายเซลล์ เม็ดเลือด เกล็ดเลือด ส่วนประกอบต่างๆ ของเลือดและเซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวุในร่างกายหรือ ถ้าย่อยเป็นพลังงานไม่หมดก็จะเกิดการอุดตันอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ธาตุอาหารและพลังงานก็ไม่พอ เซลล์เนื้อเยื่อก็เสื่อมเร็ว พลังชีวิตตกและเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แต่ถ้าปรุงน้อยเกินความพอดีของร่ายกาย ธาตุอาหารและพลังงานก็ไม่พอ เซลล์เนื้อเยื่อก็เสื่อมเร็ว พลังชีวิตตกและเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้เช่นเดียวกัน
เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักอยู่ในกลุ่มปรุงรสจัดเกินความพอดี จะเห็นได้ว่ามัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า การปฏิบัติสู่ความพอดี ความสมดุล ความเป็นกลาง ไม่ปรุงมากเกินไป ไม่ปรุงน้อยเกินไป ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นทางสายเอกสายเดียวที่พาพ้นทุกข์นั้นเป็นความจริงที่แต่ละคนสามารถพิสูจน์กันได้
2.4 พิษ จากชนิดของอาหารที่ไม่สมดุล หลายท่านพยายามลดสารพิษสารเคมีในอาหาร ลดเนื้อเพิ่มผัก ลดหวานมันเค็มและอาหารรสจัดอื่นๆ ลงแล้ว สุขภาพก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ก็เพราะไม่รู้ชนิดของอาหารที่สมดุลกับร่างกาย ณ ขณะนั้น เช่น คนในเมืองหนาว ได้แก่ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น คนที่แข็งแรงหรือหายป่วยด้วยการใช้อาหาร ก็จะใช้อาหารที่ให้ความร้อนหรือพลังงานค่อนข้างสูง เช่น ข้าวอาร์ซี ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวแดง ข้าวดำ ข้าวนิล เผือก มัน ถั่วดำ ถั่วแดง งาดำ ส้มเขียวหวาน ฝรั่ง สาหร่าย แครอท บีทรูท คะน้า กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ฟักทองแก่ เป็นต้น เมื่อเขากินอาหารเหล่านี้เขาจะรู้สึกอุ่นสบาย โรคภัยไข้เจ็บทุเลาเบาบางลงหรือหายไป เขาจึงวิจัยพบสารต่างๆ มากมายในอาหารดังกล่าว และระบุว่าสารต่างๆ เหล่านั้นเป็นประโยชน์กับร่างกายเขา และเหมารวมว่าเป็นประโยชน์กับร่างกายของทุกคนในโลก ความจริงเหตุที่ทำให้เขาทุเลาหรือหายจากโรค ก็เพราะเขาปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ในพระไตรปิฎก “ อนายุสสสูตร ” ว่า คนที่แข็งแรงอายุยืน ต้องเป็นผู้รู้จักทำความสบายแก่ตนเอง จุดสบายที่เมืองหนาวคือ อุ่นสบาย จุดสบายที่เมืองร้อนก็คือเย็นสบาย
ดังนั้น จุดหายจากโรคในเมืองไทยที่เป็นเมืองร้อน ก็คือ จุดที่เย็นสบาย ได้แก่ อาหารที่มีฤทธิ์เย็นเป็นส่วนใหญ่ที่ให้ความร้อนหรือพลังงานไม่มากเกิน เช่น ข้าวจ้าวที่ไม่ใช่ข้าวแดงข้าวดำ อาหารไขมันน้อย ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ย์ขาว มังคุด กล้วยน้ำว้า กระท้อน ชมพู่ ส้มโอ ผักหวานบ้าน ก้านตรง อ่อมแซบ ผักบุ้ง ผักสลัด ถั่วงอก บวบ ตำลึง ฟัก แฟง แตงต่างๆ ลูกฟักทองอ่อน ยอดฟักทอง ดอกฟักทอง เป็นต้น บางครั้งอาจไม่ใส่สิ่งที่มีฤทธิ์ร้อนเลย หรือบางครั้งอาจใส่สิ่งที่มีฤทธิ่ร้อนได้บ้างในปริมาณที่พอดีสบาย เบากาย มีกำลัง ณ เวลานั้น ของบุคคลนั้นๆ
ปัญหาก็คือ คนไทยส่วนใหญ่มักจะเชื่อถือศรัทธาฝรั่งต่างประเทศ จึงเอาความสำเร็จของต่างประเทศซึ่งเป็นเมืองหนาวมาปฏิบัติ เช่น การกินอาหารฤทธิ์ร้อนมากจนเกินความพอดี ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บหรือความเจ็บป่วยนั้นไม่ลดลงเท่าที่ควร หรือถ้าเอาจากองค์ความรู้ของประเทศไทย ก็ไปเอาความสำเร็จของการปรับสมดุลดิน น้ำ ลม ไฟ ในอดีตเมื่อ 30 ปีย้อนหลังไป ซึ่งเป็นการปรับสมดุลดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ากับสภาพสังคม สิ่งแวดล้อมที่เย็น โดยไม่ได้เอาหลักการปรับสมดุลดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มีคุณค่านั้นมาประยุกต์เข้ากับ สภาพสังคม สิ่งแวดล้อม ณ ปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่มีภาวะร้อน จึงทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บหรือความเจ็บป่วยนั้นไม่ลดลงเท่าที่ควร นอกจากจะรู้ชนิดและสัดส่วนของอาหารที่สมดุลแล้ว ต้องเรียนรู้เทคนิคการปรุงและการรับประทานที่สมดุลด้วย โรคภัยไข้เจ็บจึงจะทุเลา เบาบางหรือหายไป
2.5 พิษ จากของเสียและความร้อนจากขบวนการย่อย การสันดาปหรือการเผาผลาญอาหาร เนื่องจากเซลล์เนื้อเยื่อมนุษย์ทุกอวัยวะทำงานตลอดเวลา ทุกขบวนการทำงานของเซลล์เนื้อเยื่อต้องใช้พลังงานจากการสันดาปเผาผลาญอาหาร ตั้งแต่การย่อยสันดาปเผาผลาญอาหารระดับหยาบๆ เช่น การเคี้ยวย่อยอาหารในปาก การย่อยและดูดซึมในกระเพาะอาหารลำไส้ จนถึงระดับละเอียด คือ การย่อยสันดาปเผาผลาญอาหารในระดับเซลล์ ซึ่งการย่อยสันดาปเผาผลาญอาหารทุกครั้งทุกระดับจะเกิดของเสียและความร้อนที่ เป็นพิษกับร่างกายขึ้น เช่น เกิดคาร์บอนไดออกไซม์ เกิดแอมโมเนีย เกิดสารและพลังงานที่เป็นพิษอื่นๆ ถ้าไม่รีบสลายหรือขับพิษออก พิษดังกล่าวก็จะทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย
2.6 พิษ จากการไม่รู้เทคนิคในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพอย่างผาสุก และไม่รู้วิธีปฏิบัติในการลดละ ล้างความอยากในจิตต่ออาหารที่เป็นพิษ อย่างถูกต้อง
3.พิษจากการไม่ออกกำลังกาย หรือการออกกำลังกายที่เคลื่อนไหวอิริยาบถไม่ถูกต้อง สำหรับการออกกำลังกาย และอิริยาบถที่ถูกต้องเป็นประโยชน์กับร่างกายนั้นจะต้องได้คุณลักษณะ 3 ประการ ได้แก่
1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระดูก และเส้นเอ็น
2. ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
3. การเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ เพราะคุณลักษณะทั้ง ๓ ประการ จะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดลม และพลังงานในร่างกายเป็นไปโดยปกติอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดสุขภาพที่ดี แต่ปัจจุบันการออกกำลังกายและอิริยาบถของคนส่วนใหญ่โดยทั่งไป เช่น เดิน วิ่ง กระโดดเชือก ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก หรือเล่นกีฬาต่างๆ มักทำแต่เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้กดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหารให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยืดหยุ่นเข้าที่เข้าทาง จึงมักจะได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ พร้อมกับผลข้างเคียงของการออกกำลังกายคือ ความแข็งตึงเกร็งค้างของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น การเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งปกติของกระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ
ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมและพลังงานในร่างกายติดขัด ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด ตึง มึนชา พลังชีวิตตก เร่งความเสื่อมในร่างกายและเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ผู้เขียนเคยพบผู้ป่วยหลายคนที่มีอาการไม่สบายต่างๆ ทั้งเบาและหนักจนถึงเกือบตาย แม้แพทย์แผนปัจจุบันจะรักษาด้วยการใช้วิธีการต่างๆ อย่างไร อาการก็ไม่ดีขึ้น ในส่วนของผู้เขียนได้ช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยเทคนิคของการกดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหาร ให้กระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นเข้าที่เข้าทางตามปกติเดิม พบว่า จำนวนผู้ป่วยที่ใช้เทคนิคดังกล่าวกว่า ๙๐ % หรือเกือบทั้งหมด อาการมักจะทุเลาลงอย่างรวดเร็ว เป็นที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง ดังนั้นการออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวอิริยาบถเพื่อให้เกิดความแข็งแรง เกิดความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น การเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ
4.มลพิษต่างๆ ในโลกเพิ่มมากขึ้น
5.พิษ จากการสัมผัสเครื่องยนต์ /เครื่องใช้ไฟฟ้า/เครื่องอิเลคทรอนิคมากเกินไป เช่น การเดินทางด้วยรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ การใช้คอมพิวเตอร์ การใช้มือถือ ใช้เครื่องเสียงต่างๆ อย่างไม่รู้ความสมดุลและไม่รู้วิธีถอนพิษ เพราะอุปกรณ์ดังกล่าวมีพลังงานความสั่นสะเทือน มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าเข้าไปในร่างกายมากเกินไป จะชนกระแทกทำร้ายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย ทำให้เร่งความเสื่อมของร่างกาย ตัวอย่างส่วนหนึ่งของการป้องกันแก้ไขปัญหา เช่น ขณะที่โดยสารยานยนต์ เมื่อเครื่องยนต์เขย่าแต่ละเซลล์ของร่างกายก็จะถูกเขย่าเสียดสีกระทบกระแทก กัน เกิดความร้อนขึ้น ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียหรือมีอาการไม่สบายต่างๆ วิธีแก้ไขขณะโดยสารยานยนต์ คือถ้าง่วงก็ให้นอนหลับ เมื่อตื่นแล้วรู้สึกไม่สบายก็ควรดื่มน้ำเท่าที่รู้สึกสบายเพื่อดับพิษร้อน
ในกรณีที่สามารถจอดรถแวะเข้าห้องน้ำหรือในยานยนต์มีห้องน้ำถ้าปวดปัสสาวะก็ ควรจะเข้าห้องน้ำเพื่อระบายพิษร้อนออก พร้อมกับยืดเส้นยืดสายให้ร่างกายสบาย กรณีที่ไม่สามารถจอดแวะหรือในยานยนต์ไม่มีห้องน้ำ ให้จิบน้ำทีละน้อย โดยอมน้ำไว้ในปากนานๆ แล้วค่อยกลืน จะทำให้เราไม่ปัสสาวะบ่อย ขณะเดินทางอาจถอนพิษด้วยการพอก ทา หยอด ดมสมุนไพร ขูดพิษ กดจุด นวดตัว ดัดตัวตามความพอเหมาะ ถ้าเดินทางถึงที่หมายแล้วรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่สบาย แสดงว่ามีภาวะร้อนเกิดจากการเดินทาง ก็ให้ถอนพิษร้อนตามวิธีการที่จะได้นำเสนอไว้ในหนังสือเล่มนี้
ทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกไม่สบายจากการใช้คอมพิวเตอร์นานๆ เช่น อ่อนเพลีย แสบตา เป็นต้น ให้พักการใช้พร้อมกับพรากห่างจากเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วถอนพิษร้อนด้วยวิธีการต่างๆ ถ้ารู้สึกสบายดีแล้ว ค่อยกลับไปใช้คอมฯ อีกครั้ง การใช้โทรศัพท์มือถือ ใช้สายหูฟังพิษจะน้อย หรือใช้ลำโพง คลื่นก็จะไม่ทำร้ายเรามาก ถ้าต้องแนบมือถือที่หู เมื่อรู้สึกไม่สบายที่หูข้างหนึ่งก็ให้เปลี่ยนมาใช้อีกข้างหนึ่งสลับไปมา และควรใช้เวลาพูดธุระให้สั้นที่สุด
ยังมีต้นเหตุของความเจ็บป่วยอย่างอื่นๆ อีก แต่ต้นเหตุหลัก อย่างน้อย ๕ ประการดังกล่าว เป็นปัจจัยที่มีผลมากที่สุดที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยทุกโรคทุกอาการ เช่น มะเร็ง เนื้องอก โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง ภูมิแพ้ (หวัด ไซนัส หอบหืด ผื่นคัน) เก๊าท์ รูมาตอยด์ ปวดตามข้อ ปวดกระดูก ปวดตามเนื้อตัว ปวดมดลูก มดลูกโต ตกขาว ตกเลือด ไทรอยด์เป็นพิษ ริดสีดวงทวาร ต่อมลูกหมากโต ไส้เลื่อน นิ่วตามอวัยวะต่างๆ ไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน หน้ามืด วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน มึนชา อ่อนล้า อ่อนแรง โรคกระเพาะอาหารลำไส้อักเสบ การอักเสบและติดเชื้อตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และภูมิต้านทานลดเป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าอวัยวะส่วนใดของบุคคลนั้นอ่อนแอที่ตรงไหนก็จะเกิดโรคภัยไข้ เจ็บหรืออาการไม่สบายที่จุดนั้นก่อน หลังจากนั้นถ้าต้นเหตุยังคงอยู่โรคก็จะลุกลามกระจายไปทำลายอวัยวะอื่นๆ ต่อไป ถ้าเรารู้สึกปรับสมดุลถอนพิษจากต้นเหตุหลักดังกล่าวและทำได้อย่างมี ประสิทธิภาพต่อเนื่อง ถ้าผู้ป่วยคนนั้นยังมีพลังชีวิตอยู่และผลของการกระทำทั้งชาตินี้และชาติก่อน ไม่ส่งผลรุนแรงจนเกินไป โรคภัยไข้เจ็บก็จะทุเลาเบาบางลงหรือหายไป แม้ผู้ป่วยแทบจะหมดพลังชีวิตแล้วหรือผลของกรรมเก่าทั้งชาตินี้และชาติก่อนจะส่งผลรุนแรง ผู้เขียนก็ยังมีความเห็นว่า การดูแลแก้ไขถอนพิษปรับสมดุลก็ควรจะกระทำอย่างเต็มที่ อย่างน้อยก็อาจจะช่วยให้ทุเลาเบาบางจากอาการที่ไม่สบายลงได้บ้าง อาจช่วยยึดอายุ หรือผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตโดยไม่ต้องทรมานมากเกินไป
http://morkeaw.com/
>>> F/B >>อกาลิโก แปลว่า ไม่ประกอบด้วยกาล