ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 17, 2014, 03:02:37 pm »





วิถีแห่งเต๋า หลักธรรม มณีปัญญา
ของ จวงจื๊อ จอมปราชญ์

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,8488.0.html


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 17, 2014, 01:53:55 pm »




นก...อู กุ ย สุ ...
ล้างตีนเปื้อนโคลนของมัน
ในหมู่ดอกเหมย
"อิสซา"

บทกวีของอิสซาอีกบทหนึ่ง
ที่เกี่ยวกับนกอูกุยสุ
(นกตัวเล็ก ๆ ชอบบินซอกซอน
ไปในระหว่างกิ่งก้านของต้นบ๊วย)
แสดงให้เห็นถึงจิตใจ...
ที่เป็นหนึ่งเดียวของเขา



จิตใจ...ที่ไม่แบ่งแยก
ระหว่าง..สกปรก - สะอาด
ดี - ชั่ว ฯลฯ

ตีนของนกอูกุยสุเปื้อนโคลน
มันไปเกาะบนดอกเหมยสีขาวบริสุทธิ์
ดอกเหมยขาว...ก็ติดโคลนดำนั้นด้วย
เป็นภาพพจน์...ที่น่าประทับใจ



อิสซา..มิได้แลเห็นว่า
นกอูกุยสุ..ทำดอกไม้ให้แปดเปื้อน
นี่..ล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ
ตีนของนก..ไม่หยาบคาย
โคลน..ก็ไม่สกปรก

โคลน..ที่ติดดอกไม้
มิได้ทำให้ดอกไม้แปดเปื้อนเลย

ดอกเหมย...ยังบริสุทธิ์อยู่เหมือนเดิม
โคลนสะอาด
นกก็ไร้เดียงสา



ทุกสิ่ง...ดำรงอยู่ตามสภาพเดิม
ของมันที่แท้จริง
โดยปราศจากการปรุงแต่ง
เป็น..ตถาคต
คือ...ความจริง


ทำอย่างไรเราจึงจะ....ไปพ้นจากโลก
ไปพ้นจาก...ความดี - ความชั่ว
ความถูก - ความผิด นี้ได้...

วิถีแห่งเต๋า...



16 มกราคม 2557
>>> F/B ติช นัท ฮันห์
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 15, 2014, 04:05:13 pm »




ศาสนาและลัทธิความเชื่อใด ๆ
ตราบใดที่ยังเป็น...ความเชื่อ...เป็นศาสนาอยู่
ก็เป็นของเทียม

จนกว่า...ศาสนาและความเชื่อนั้น
จะละลายไหลเข้ามารวมเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกับตัวเราเท่านั้น

นั่นคือ...ชีวิต
และ...ชีวิตเป็นของจริง

เป็นส่วนที่หนักแน่นและสมเหตุสมผล
เต๋า...จึงไม่ใช่ทั้งศาสนาและลัทธิความเชื่อ

หากเต๋าคือ..."วิถีชีวิต" นั่นเอง

เมื่อคนได้ "แลเห็น"
ใจของเขาย่อมสว่าง
หนทางอันยิ่งใหญ่ย่อมเปิดออก
เป็นหนทางอันยิ่งใหญ่ที่รวมทางเล็กทางน้อย
ทุกสายไว้ภายใน

เราเพียงแต่เดินไป...โดยมิต้องกังวล
เราเดินตามทางไปโดยมิต้อง...ตั้งจุดมุ่งหมาย
หรือวางแผนการ

ชีวิตของเรา...จะเป็นไปเอง
เรียบง่ายดังการไหลของน้ำ
ดังนกที่บินอยู่บนอากาศ
และดังปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายธาร

เราจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกอย่าง
เหมาะสมกลมกลืน

เราจะอยู่ในสังคมที่สับสน...
ด้วยใจที่สว่าง

โดยมิต้องหลบเข้าป่าบวช
หรือหนีหน้าออกจากสังคม

เราจะรวมเป็น...อันหนึ่งอันเดียว
กับโลกและธรรมชาติ
ลีลาจังหวะชีวิตของเราจะดำเนินไป
อย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ
พร้อม ๆ กับการหมุนของโลก

ดัง...การเปลี่ยนฤดู หรือ
ดัง...ใบไม้ที่พริ้วไหวกับสายลม

นี่คือ...ความเป็นไปของ...มนุษย์ที่แท้
นี่คือ...หนทางอันยิ่งใหญ่
นี่คือ...วิถีแห่งเต๋า



"วิถีแห่งเต๋า" :เหลาจื้อ
>>> F/B >> ติช นัท ฮันห์

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 14, 2013, 03:54:24 pm »



:Mark Seawell

ยอดคนสนทนา
ขงจื่อดำเนินชีวิตจนล่วงวัย 51 แต่ยังมิอาจบรรลุเต๋า
ในที่สุดจึงบ่ายหน้ามุ่งใต้เพื่อพบเหลาจื่อ

"ข้าได้ยินว่าท่านเป็นผู้ทรงธรรมจากแดนเหนือ ท่านได้บรรลุถึงเต๋าหรือไม่" เหลาจื่อถาม
"หามิได้" ขงจื่อตอบ

"ท่านแสวงหามันจากสิ่งใด"
"ข้าพยายามเรียนรู้มันจากกฎเกณฑ์และแบบแผน ห้าปีล่วงผ่านยังหาพบไม่"

"ท่านได้แสวงหา ณ ที่ใดอื่นอีกบ้าง"
"ข้าได้แสวงหาในอินและหยาง 12 ปีล่วงผ่านหาพบไม่"
"นี่ก็มีเหตุผล" เหลาจื่อกล่าว

"หากเต๋าสามารถแสดงออกมาได้ คงไม่มีใครไม่นำมาแสดงต่อผู้ปกครอง
หากเต๋าสามารถน้อมเสนอได้ คงไม่มีใครไม่น้อมเสนอต่อบิดามารดา
หากเต๋าสามารถบอกกล่าวได้ คงไม่มีใครไม่บอกกล่าวมันแก่ญาติพี่น้อง
หากเต๋าสามารถส่งมอบได้ คงไม่มีใครไม่ส่งมอบแก่ทายาท
แต่ทั้งหมดล้วนไม่อาจกระทำได้"

ด้วยเหตุนี้ หากภายในปราศจากสิ่งรองรับ เต๋าก็ไม่อาจสถิตย์อยู่ ณ ที่นั้น
หากภายนอกไม่มีหลักหมายชี้นำ เต๋าก็มิอาจดำเนินไป
หากภายนอกมิอาจรองรับสิ่งที่ผุดจากภายใน
ปราชญ์ย่อมไม่น้อมนำออกมา
หากสิ่งที่นำมาจากภายนอก มิได้รับการต้อนรับจากภายใน
ปราชญ์ย่อมไม่วางใจมอบให้

จาก "จวงจื่อ ฉบับสมบูรณ์" โดย openbooks
>>> F/B สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ามด ได้แชร์ รูปภาพ ของ openbooks


:Chinese Ink  JIA YOUFU (b.1942)


มนุษย์ที่แท้ของจวงจื่อ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   11 กรกฎาคม 2556 08:39 น

 “มนุษย์ที่แท้ย่อมไม่กระทำการที่เป็นภัยต่อผู้อื่น ไม่อวดแสดงความมีมนุสสธรรมและเอื้อเฟื้อ เขาไม่กระทำการใดๆเพื่อผลประโยชน์ แต่ก็ไม่ประณามผู้ที่กระทำเช่นนั้น เขาไม่ดิ้นรนไขว่คว้าทรัพย์สมบัติ แต่ก็ไม่แสดงอาการโอ่อวดปฏิเสธ เขาไม่เรียกร้องความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ก็ไม่อวดโอ้ถึงความสามารถพึ่งพิงตัวเอง และไม่เหยียดหยามคนโลภและต่ำช้า
       
       "การกระทำของเขาแตกต่างจากผู้คนทั่วไป แต่ก็ไม่แสดงความพิเศษหรือแตกต่าง เขาพึงพอใจที่จะรั้งท้ายอยู่เบื้องหลังผู้คน แต่ก็ไม่ประณามพวกที่ชิงรุดไปข้างหน้าเพื่อประจบสอพลอ ตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆไม่อาจสร้างความลำพอง โทษทัณฑ์และการประณามใดๆก็ไม่อาจทำให้ละอาย เขารู้ว่าไม่อาจกำหนดเส้นแบ่งระหว่างความถูกและความผิด ไร้ขอบเขตที่แน่นอนระหว่างความยิ่งใหญ่และความเล็กน้อย ข้าได้ยินคำกล่าวว่า ‘มนุษย์แห่งเต๋าไม่เสาะหาชื่อเสียง คุณธรรมสูงสุดไม่แสวงหาผลสำเร็จใดๆ มนุษย์ที่แท้นั้นไร้ตัวตน’ การบรรลุถึงระดับสูงสุด คือการดำเนินไปตามเส้นทางที่โชคชะตากำหนด”
       
       แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ(庄子)บทที่ 17
:http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000083488

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2013, 09:56:06 pm »





เมื่อมนุษย์เลิกติดฉลากให้กับสิ่งต่างๆ ว่าดีหรือเลว
น่าพึงใจหรือไม่น่าพึงใจ
เมื่อนั้น ความทุกข์ทั้งมวลที่มนุษย์สร้างขึ้น
ก็จะมลายหายไปสิ้น
ในสายตาของจวงจื่อ มนุษย์จึงเป็นผู้กำหนดสุข-ทุกข์
และพันธนาการของตนเอง
และความกลัวทั้งหมดล้วนเกิดจากระบบคุณค่า
ที่ตัวเองสร้างขึ้น

********************




เต๋าที่แท้อยู่ที่ไหน
การอ่านจวงจื่อมิใช่เรื่องง่าย
หากทว่า ก็มิใช่เรื่องยาก
จวงจื่อปฏิเสธคุณค่าแบบเก่าทั้งมวล
รวมถึงระเบียบการใช้ถ้อยคำแบบเก่า

จวงจื่อจงใจใช้คำที่ตรงกันข้าม
เลือกใช้ถ้อยคำต่ำต้อยสามัญ
เพื่อให้คนหลุดออกจากกรอบความคิดเรื่องความดีงาม
ดังเช่นบนสนทนาอมตะของจวงจื่อกับอาจารย์ตงกัว

ตงกัว: "สิ่งที่เรียกว่าเต๋าดำรงอยู่ที่ใด"
จวงจื่อ: "มันดำรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง"

ตงกัว: "ช่วยตอบให้กระจ่างหน่อย"
จวงจื่อ: "มันอยู่ในมด"
ตงกัว: "ต่ำอย่างนั้นเชียวหรือ"

จวงจื่อ: "มันอยู่ในต้นไมยราพ"
ตงกัว: "นั่นยิ่งต่ำเข้าไปใหญ่"

จวงจื่อ: "มันอยู่ในกระเบื้องและเศษหม้อไห"
ตงกัว: "มันจะต่ำต้อยเพียงนั้นได้อย่างไร"

จวงจื่อ: "มันอยู่ในฉี่และอึ"

ต่ำต้อย ยอกย้อน แปดเปื้อน หากทว่ายั่วยุ และคมคาย
นี่คือ จวงจื่อ ที่คนจีนอ่านกันมากว่า 2,000 ปี


******************




ความสุขหรรษา ความโกรธเกรี้ยว ความโศกศัลย์
ความเบิกบาน ความวิตกกังวล ความเสียใจ
ความแปรปรวน ความเคร่งครัด ความอ่อนน้อม
ความดื้อดึง ความเปิดเผย ความหยาบคาย
ล้วนเป็นดนตรีจากรูร่องอันว่างเปล่า
เป็นดอกเห็ดที่งอกเงยขึ้นจากที่อับชื้น
หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปวันแล้ววันเล่า
ไม่มีใครล่วงรู้ว่ามันผุดขึ้นจากที่ใด

หากปราศจากมันก็ปราศจากเรา
หากปราศจากเราก็ไม่มีสิ่งใดให้ครอบงำ
นี่ดูเหมือนต้นตอของเรื่องราว

*******************************



จาก "จวงจื่อ ฉบับสมบูรณ์" โดย openbooks
>>> F/B สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ามด ได้แชร์ รูปภาพ ของ openbooks
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2013, 09:51:52 pm »





การสัญจรของผู้เก็บเกี่ยวสัจจะ
ชื่อเสียงเป็นอาวุธของสังคม อย่าได้ใฝ่หามันบ่อยครั้ง
มนุสสธรรมและครรลองธรรม
เป็นกระท่อมฟางของกษัตริย์ในอดีต
ท่านสามารถเข้าไปพัก
เพียงชั่วคืน หากมิอาจดำรงอยู่เนิ่นนาน

มนุษย์ที่แท้ใช้มนุสสธรรมเป็นเส้นทางชั่วคราว
ใช้ครรลองธรรมเป็นโรงเตี๊ยมที่พักพิง
หากสัญจรไปมาอย่างอิสระ กินอยู่อย่างง่ายๆ ในท้องทุ่ง
เดินชมอุทยานที่มิใช่ของผู้ใด
เขาไปพำนักอยู่ในอกรรมอย่างอิสระสุข
เรียบง่ายสามัญ ไม่สั่งสมเก็บงำ จึงไม่ต้องมอบสิ่งใดออกมา

ผู้คนโบราณเรียกสิ่งนี้ว่า
"การสัญจรของผู้เก็บเกี่ยวสัจจะ"


*****************************




สิ่งสมมติ
ผู้ถือความมั่งคั่งเป็นสิ่งดี
มิอาจทนทานต่อการสูญเสียเงินทอง
ผู้ถือเกียรติภูมิเป็นของสูงส่ง
มิอาจทนต่อการเสียชื่อเสียง
ผู้หลงใหลในอำนาจ
มิอาจทนต่อการมอบอำนาจให้ผู้อื่น

ทุกผู้ล้วนเกาะกุมยึดถืออย่างเหนียวแน่น
หากสูญเสียไปก็มิอาจหยุดคร่ำครวญแม้เพียงชั่วยาม
หากสูญเสียไป พวกเขาล้วนหม่นหมองโศกตรม

**********************




เมื่อหยุดแสวงหาความสุข
ก็จะพบความสุข
:จวงจื่อ

ความสุขไม่เคยจากเราไปไหนเลย
เพียงแต่มนุษย์ต่างหากที่วิ่งวุ่นแสวงหาความสุข
เมื่อแสวงหาจึงไม่พบ
ต่อเมื่อหยุดแสวงหา
มนุษย์จะพบว่า "ความสุข" นั้นอยู่คู่กับมนุษย์อยู่แล้ว
ลองเขียนคำว่า "แสวงหาความสุข"
แล้วลบคำว่า "แสวงหา" ออก
คุณจะพบ "ความสุข" รออยู่

ปราชญ์ชาวอินเดียสอนเรื่องจิตเดิมแท้
ปราชญ์ชาวจีนสอนเรื่องเต๋า
สารัตถะสำคัญล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน


**************


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 10, 2013, 09:44:17 pm »




มนุษย์ที่แท้ 1
มนุษย์ที่แท้แต่โบราณไม่พิศมัยชีวิต
ไม่เกลียดชังความตาย
เขาถือกำเนิดอย่างปราศจากความยินดี และกลับคืนไป
อย่างไม่เศร้าอาลัย
เขามาในพริบตา และจากไปในพริบตา
เขาไม่ลืมแหล่งที่มาของตน
ไม่พยายามค้นหาตำแหน่งแห่งที่อันเป็นจุดจบ
พึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับและหลงลืมมันไป

ด้วยเหตุนี้ จิตใจของเขาจึงลืมหมดสิ้นทุกอย่าง
ใบหน้าสงบ หน้าผากกว้าง
เยือกเย็นราวฤดูใบไม้ร่วง อบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ
ความเบิกบานและความขุ่นเคืองใจของเขาซึมซ่านอยู่ในฤดูทั้งสี่
เขาดำเนินการอยู่ในความถูกต้องชอบธรรม
และไม่มีใครอาจหยั่งวัดขอบเขตของเขา

***********************




มนุษย์ที่แท้ 2
มนุษย์ที่แท้แต่โบราณนอนหลับโดยไม่ฝัน
ตื่นขึ้นโดยไม่วิตกกังวล กินอาหารโดยไม่ใส่ใจในรสชาติ
ลมหายใจของเขามาจากเบื้องลึกภายใน
เขาหายใจจากส้นเท้า
ขณะที่ผู้คนทั่วไปหายใจจากลำคอ

คนทั่วไปเมื่อพ่ายแพ้ก็เค้นคำพูดออกมาดั่งสำรอก
ลุ่มหลงในความปรารถนาและความใคร่อยาก
คนเหล่านี้ล้วนตื้นเขินในหนทางปฏิบัติแห่งฟ้า

******************




มนุษย์ที่แท้ 3
มนุษย์ที่แท้แต่โบราณไม่ต่อต้านความขัดสน
ไม่ยินดีในความมั่งคั่ง ไม่วางแผนการ
มนุษย์เยี่ยงนี้อาจทำผิด ทว่าไม่เศร้าเสียใจ
อาจประสบความสำเร็จ ทว่าไม่ลำพอง
มนุษย์ที่แท้ป่ายปีนสู่ที่สูงชันโดยไม่หวาดหวั่น
โจนสู่นทีโดยไม่เปียกปอน
เข้าสู่กองเพลิงโดยไม่มอดไหม้
ความรู้ของเขา อาจนำไปสู่มรรคาแห่งเต๋า ด้วยอาการดังนี้

******************




มนุษย์ที่แท้ 4
มนุษย์ที่แท้แต่โบราณ สูงตระหง่านและไม่อาจโค่นล้ม
ดูเหมือนขัดสน แต่ไม่ต้องการสิ่งใด
สง่างามในความถูกต้อง แต่ไม่ดื้อรั้น
ยิ่งใหญ่ในความว่างเปล่าและไม่โอ้อวด

ยามนุ่มนวลเบิกบานก็แลดูมีความสุข
แม้ไม่เต็มใจก็ยังช่วยเหลือในกิจการงาน
ยามหงุดหงิดรำคาญแสดงออกทางสีหน้า
ยามผ่อนคลายก็พักผ่อนในคุณธรรมตน

อดทนข่มกลั้นจนคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของโลก
ผงาดเงื้อมจนไม่มีสิ่งใดอาจเหนี่ยวรั้ง
ยามปลีกเร้นก็คล้ายดั่งจะตัดขาด
ยามครุ่นคิดก็คล้ายลืมสิ่งที่จะเอ่ยออกมา

******************


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 08:32:12 pm »



               

บทสรุป
มนุษย์เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ ในวิถีทางของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่เท่านั้น เราจะถามไถ่ถึงอิสรภาพได้อย่างไรในเมื่อเราเองก็อยู่ภายใต้กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงอันไม่จบสิ้นของธรรมชาติ การหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนของฤดูกาล การแก่เฒ่าร่วงโรยของร่างกายไปตามอายุขัย หรือการตายลงเมื่อถึงเวลาอันควร ภายใต้ความเป็นไปตามธรรมชาติเหล่านี้จะมีประโยชน์อย่างไรที่เราจะคิดไปถามไถ่ถึงสภาวะแห่งอิสรภาพ ซึ่งนั่นเป็นเพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไปอย่างอิสระเสรีที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงอาจจะกล่าวได้ว่า อิสรภาพในปรัชญาของจวงจื๊อคือการปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความเป็นกฎเกณฑ์ หรือโลกทัศน์อันจำกัดไปสู่สภาวะตามธรรมชาติโดยที่ไม่เข้าไปก้าวก่ายจัดระเบียบหรือสร้างกฎเกณฑ์ใดๆ ขึ้นมาเพื่อพันธนาการมนุษย์

การสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ใดๆ ขึ้นมาซ้อนทับวิถีทางแห่งธรรมชาตินี้ จะทำได้อย่างมากก็เพียงแค่ได้เข้าใกล้กับความเป็นจริงของธรรมชาติเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่เป็นการดีกว่าหรือ หากเราจะปล่อยสิ่งต่างๆให้เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ หรือตามวิถีทางของเต๋า ตัวอย่างเช่น การปล่อยต้นไม้ให้ได้เติบใหญ่และแผ่กิ่งก้านของตนเองได้อย่างตามใจชอบ การปลดปล่อยให้เต่าที่ไม่หวังจะให้ใครมาบูชากระดองของตนได้เดินเล่นกระดิกหางอยู่ในโคลนตม หรือการปลดปล่อยให้มนุษย์ได้เป็นมนุษย์ที่แท้และได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติที่แท้จริงสิ่งเหล่านี้จึงเป็นเสมือนกับความหมายของอิสรภาพที่แท้จริงหรือเป็นอิสรภาพของอิสรชนที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์จวงจื๊อ

มนุษย์ที่แท้นั้นอัศจรรย์นัก แม้ทุ่งใหญ่ที่มีเพลิงโหมก็มิอาจทำให้รู้สึกร้อนได้ มหานทีที่แม้น้ำจับแข็งจนทั่วธารก็มิอาจส่งให้รู้สึกหนาวเย็นได้ แรงอสุนีบาตที่ผ่าแยกขุนเขา มหาวาโยที่สั่นสะเทือนท้องสมุทร ล้วนมิอาจสร้างความหวั่นไหวให้ได้ บุคคลเยี่ยงนี้แลที่ดั้นเมฆโดยสารตะวันแลดวงเดือนท่องเที่ยวไปยังโพ้นทะเลทั้งสี่ กระทั่งจะตายหรือเป็นก็มิอาจทำให้ต้องหวั่นไหวเปลี่ยนแปลงตัวตนของตน จะกล่าวไปไยถึงแค่เรื่องคุณเรื่องโทษ”16


1. สุวรรณา สถาอานันท์, กระแสธารปรัชญาจีน:ข้อโต้แย้งเรื่องธรรมชาติ อำนาจ และจารีต, กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543 ,หน้า 98.
2. ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์,คัมภีร์เต๋าของจวงจื่อ, แปลและเรียบเรียง,กรุงเทพฯ ,สำนักพิมพ์เคล็ดไทย,2540,หน้า 1.
3. อ้างแล้ว,หน้า 19.
4. อ้างแล้ว,หน้า 135-137.
5. James D. Sellmann ,Tranformational Humor in the Zhuangzi, in Roger T. Ames (ed).Wandering at Ease in the Zhunagzi,New York Pres,1998,pp.169.
6. อ้างแล้ว,หน้า 121-122.
7. หมายถึงการปลดปล่อยมนุษย์จากความกลัวตาย.
8. อ้างแล้ว,หน้า 164.
9. อ้างแล้ว,หน้า 158.
10. Antonio S. Cua ,Forgetting Morality:Reflections on a theme in Chuang Tzu,in Journal of Chinese Philosophy,vol.4 (1997),pp.305-328.
11. ผู้เขียนมีความเห็นว่าการกระทำของผู้ที่มีจิตใจปลอดโปร่ง (clarity of mind) นี้หมายรวมไปถึงจิตใจที่ปราศจากสิ่งที่เป็นความหม่นหมองต่างๆด้วยเช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือเป็นจิตเดิมแท้ในความหมายของนิกายเซน ซึ่งจากการกล่าวในเรื่องนี้ของจวงจื๊อมีลักษณะที่อาจตีความให้เข้าใจเช่นนั้นได้.
12. อ้างแล้ว,หน้า 26.
13. อ้างแล้ว,หน้า 140-145.
14. อ้างแล้ว,หน้า 62.
15. อ้างแล้ว,หน้า 124.
16. อ้างแล้ว,หน้า 50-51.



***เรียบเรียงจากรายงานวิชาปรัชญาจีน
โดย: dreamingbutterfly
-http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=easywandering&month=02-2009&date=06&group=1&gblog=83

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 07:37:59 pm »





จะเห็นได้ว่าการกระทำสิ่งหนึ่งเพราะเหตุว่าเป็นหน้าที่มักจะไม่สามารถนำความรื่นรมย์มาสู่ชีวิตได้อย่างแท้จริง เพราะหากบทบาทหน้าที่นี้เป็นสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของเราสิ่งนี้จะทำให้เรามีความรื่นรมย์ในชีวิตได้มากกว่าและบทบาทหน้าที่นั้นก็จะไม่บกพร่องลงด้วยเพราะการขัดฝืนในธรรมชาติของเรา เหมือนกับข่าวของหน่วยกู้ภัยที่ทำหน้าที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่นจนกระทั่งตัวเองบาดเจ็บเสียชีวิต การทำหน้าที่ของเขาได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติของเขาจนกระทั่งลืมที่จะนึกถึงความปลอดภัยของตัวเอง วันใดที่ไม่ได้กำลังอยู่ในเวลางานก็อดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อรู้เห็นว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นเอง (ซึ่งไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ในทุกๆ คน) หรือในตัวอย่างในเรื่องพ่อครัว การชำแหละเนื้อโคเมื่อเริ่มแรกก็ยังเห็นโคว่าเป็นโคเต็มร่างอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสามปีเขาก็ไม่เห็นว่าโคว่าเป็นโคเต็มร่างอีกเลย การชำแหละโคจึงเป็นการ “แหวกมีดลงตามร่อง กรีดผ่านไปตามช่อง ตามสรีระอันเป็นธรรมชาติอยู่ แม้แต่เอ็นเส้นเนื้อก็ดังหนึ่งจักไม่ถูกต้องคมมีดเลย อย่าว่าแต่ข้อต่อกระดูกอันใหญ่ชัดนั้นเลย”14 การชำแหละโคของพ่อครัวได้ผสมผสานกลมกลืนไปกับธรรมชาติของโค เมื่อการกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ขัดแย้งกับวิถีทางของเต๋าแล้วเส้นเอ็นหรือกระดูกก็ไม่สามารถทำอะไรแก่คมมีดได้ ดังนั้นการกระทำสิ่งใดๆ โดยไม่ขัดกับวิถีทางของธรรมชาตินอกจากจะเป็นการกระทำที่นำมาซึ่งความรื่นรมย์ที่มีความปลอดโปร่งยิ่งกว่า แล้วยังเป็นการกระทำที่ทำให้ผู้กระทำไม่เป็นอันตรายอีกด้วย

จากที่พิจารณามาแล้ว จวงจื๊อได้แสดงท่าทีที่ปฏิเสธและดูเหมือนไม่ให้ความสำคัญใดๆ เลยกับจารีตกฎเกณฑ์ ในบทหนึ่งจวงจื๊อได้กล่าวถึงจารีตรวมถึงมาตรฐานต่างๆ ในทางสังคมไว้ในมุมมองความหมายที่มีความคลี่คลายลงไว้ในบทหนึ่งว่า

“ถือเอาโทษทัณฑ์เป็นดั่งเรือนร่าง ถือเอาจารีตเป็นดั่งปีก ถือเอาปัญญาเป็นดั่งกาละ ถือเอาคุณธรรมเป็นดั่งครรลอง เมื่อถือโทษทัณษ์เป็นดั่งเรือนร่างก็ย่อมรู้เปิดใจกว้างในยามต้องเข่นฆ่า เมื่อถือเอาจารรีตเป็นดั่งปีกก็ย่อมรู้ประคองตัวในยามจรดลตามโลกย์ เมื่อถือปัญญาเป็นดั่งกาละก็ย่อมรู้ทางปฏิบัติในกิจอันมิอาจเลี่ยง เมื่อถือเอาคุณธรรมเป็นดั่งครรลองก็ย่อมเป็นเสมือนผู้มีเท้าก้าวขึ้นสู่จุดยอดบนภูได้ ทั้งนี้โดยผู้คนพากันเชื่ออย่างจริงจังว่าเหล่านี้เป็นผลมาแต่ตบะแห่งความเพียร ดังนั้น สิ่งที่เขาชอบก็เป็นหนึ่ง สิ่งที่เขาไม่ชอบก็เป็นหนึ่ง สิ่งที่ไม่เป็นหนึ่งก็เป็นหนึ่ง การเป็นหนึ่งทำให้เคียงคลอไปกับฟ้า การไม่เป็นหนึ่งทำให้เคียงคลอไปกับมนุษย์ เมื่อฟ้าและมนุษย์มิมีชัยชนะต่อกันนั่นแลย่อมเรียกว่ามนุษย์ที่แท้”15

ในบทนี้โทษทัณฑ์ จารีต ปัญญา คุณธรรม สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเสมือนเครื่องมือที่ดีจริงในการดำเนินชีวิตในวิถีทางของชาวโลก และที่สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่ของมันได้ดีในทางโลกก็เนื่องมาจากการเชื่อหรือการยึดมั่นถือมั่นในหมู่ของผู้คนโดยทั่วไป (ไม่ใช้ในฐานะที่เรายึดมั่นว่าเป็นความจริงแท้) เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เกิดมาตรฐานในการแยกแยะสิ่งที่ชอบและสิ่งที่เขาไม่ชอบ (หรือสิ่งที่ดีหรือไม่ดี) ออกจากความเป็นหนึ่งเดียวของความเป็นจริง และทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งหมดไป แต่สำหรับจวงจื๊อการเข้าใจความเป็นหนึ่งเดียวของความเป็นจริง และไม่ปล่อยให้วิถีทางของชาวโลกกับวิถีทางของธรรมชาติทำร้ายซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้เราเข้าสู่สภาวะของการเป็นมนุษย์ที่แท้ได้ นั่นคือมนุษย์ที่แท้นั้นถึงแม้จะอยู่ภายใต้ระเบียบของมาตรฐานจารีตคุณธรรมต่างๆ ที่กำหนดขึ้นจากสังคมก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายทำร้ายใคร ในขณะเดียวกันจิตใจของตัวเองก็สามารถมีความสงบเป็นไปตามวิถีทางของธรรมชาติได้ จากที่เราได้พบเห็นโดยทั่วไป บุคคลที่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับมาตรฐานกฎเกณฑ์ทางสังคมนั้นยากมากที่จะสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแรงของการกดทับของความเป็นกฎเกณฑ์มากขึ้นเท่าใด ความพยายามหาอิสรภาพจากสภาวะเช่นนี้อาจที่จะต้องมีลักษณะของการเป็นปฎิปักษ์กับคนอื่นๆ ในสังคม จวงจื๊อเองก็มีท่าทีที่ปฏิเสธมาตรฐานกฎเกณฑ์ทางสังคมเช่นกันหรืออาจที่จะเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นของการปฏิวัติมาตรฐานกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างรุนแรงก็ว่าได้ แต่จากงานเขียนที่สื่อถึงรูปแบบเชิงวิถีชีวิตของเขาในด้านต่างๆ และท่าทีในเรื่องอิสรภาพ จวงจื๊อกลับสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสมถะและมีอิสระเสรีภาพได้มากที่สุดคนหนึ่ง


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 07:31:57 pm »



             

ชีวิตที่มีอิสรภาพ
ในงานศพของจื่อซังฮู่ ขงจื๊อผู้ได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ในเรื่องพิธีกรรมเป็นอย่างดีได้ส่งลูกศิษย์ชื่อจื่อก้งเพื่อไปช่วยในงานพิธีศพ แต่สิ่งที่จื่อก้งได้พบคือสหายของจื่อซังฮู่คนหนึ่งกำลังแต่งเนื้อเพลงเพื่อขับร้องกับสหายอีกคนหนึ่งที่บรรเลงเครื่องดนตรี โดยร้องร่วมกันเป็นเพลงว่า

โอ ซังฮู่เอย โอ้ ซังฮู่เอ๋ย ได้กลับสู่สัจภาวะแล้ว ส่วนพวกเรายังคงดำรงเป็นคนอยู่

จื่อก้งเมื่อได้พบเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผิดแปลกไปจากจารีตที่ได้เคยร่ำเรียนมา จึงได้เข้าไปสอบถามถึงความเหมาะสมของการกระทำเหล่านี้ แต่สิ่งที่เขาได้รับเป็นคำตอบจากสหายทั้งสองของจื่อซังฮู่ก็คือการหัวเราะขบขันและพลางกล่าวว่า “นี่หรือคือคนที่จะเข้าใจในเรื่องของจารีต” เมื่อจื่อก้งกลับไปรายงานขงจื๊อจึงได้แสดงความขุ่นเคืองต่อว่าคนเหล่านั้นให้ขงจื๊อฟัง แล้วถามว่า “พวกเขาเป็นคนอย่างไรกันหนอ” ขงจื๊อได้ตอบแก่จื่อก้งว่า

พวกเหล่านี้หรือ เป็นพวกที่ท่องอยู่ยังเบื้องนอก ส่วนตัวข้านี่เป็นผู้ที่ท่องอยู่ยังเบื้องใน เบื้องนอกและเบื้องใน มิอาจจะสัมผัสถึงกันได้ การที่ข้าส่งเจ้าไปร่วมงานศพเขาในครั้งนี้ นับว่าเป็นความผิดพลาดของข้าเอง พวกเขากำลังกระทำงานร่วมอยู่กับธรรมชาติผู้สร้าง กำลังท่องอยู่ในอารมณ์เดียวกันกับฟ้าและดิน พวกเขาเห็นว่าชีวิตคือติ่งหรือเนื้องอกที่ปูดโปนเกินมา เห็นว่าความตายคือแผลคือฝีที่พุพองเปื่อยเน่าเช่นนี้แล้ว จะรู้ได้ฉันใดว่าชีวิตและความตายมีลำดับก่อนหลังอย่างไร พวกเขามองเห็นสมมติธาตุอันแตกต่างมาประชุมรวมอยู่ในร่างเดียวกัน ลืมละหัวใจและตับของตัว ทอดทิ้งหูและตาของตน เห็นการเกิดดับสลับเปลี่ยน มิรู้จุดเริ่มและปลายทาง ระเร่เรื่องไปในหนแห่งอันอยู่นอกธุลีโลก เสรีอิสระอยู่ในกิจอันเป็นนิรกรรม เช่นนี้แล้วพวกเขาจะสามารถเข้าเกลือกกล้ำกับจารีตแห่งโลกียวัตรเพื่อให้สอดคล้องกับหูตาของมหาชนได้อย่างไรเล่า

จื่อก้งได้ถามขงจื๊อต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้นตัวท่านอาจารย์เองยึดเหนี่ยวอยู่กับทิศทางใดเล่า” ขงจื๊อได้ตอบแก่จื่อก้งว่า “ตัวข้านี้ เป็นดั่งทาสผู้ต้องทัณฑ์ของฟ้า…” 13

จากบทข้างต้นได้แสดงถึงท่าทีของจวงจื๊อที่มีต่อระเบียบจารีตทางสังคมโดยมีจื่อก้งและขงจื๊อเป็นตัวแทนของคนที่ยึดมั่นในระเบียบจารีตเหล่านี้ จารีตที่จื่อก้งยึดมั่นกลับกลายเป็นสิ่งน่าหัวเราะเยาะสำหรับสหายของจื่อซังฮู่ และขงจื๊อก็กลายเป็นทาสผู้ต้องทัณฑ์ของฟ้า การถามต่อจื่อก้งว่านี่หรือคือคนที่จะเข้าใจในเรื่องของจารีตอาจที่จะเข้าใจได้ว่าสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติกันอยู่นั้นเป็นความจริงหรือเป็นสัจจะที่ไม่ได้มีลักษณะของการถูกจำกัดให้เป็นกฎเกณฑ์ ความหมายของจารีตที่พวกเขาเข้าใจคือวิถีทางของธรรมชาติหรือเต๋าที่แตกต่างไปจากจารีตที่จื่อก้งและขงจื๊อยึดถือ

การดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์จารีตทางสังคมอาจจะทำให้สามารถมีชีวิตที่ดีได้ตามแบบมาตรฐานทางสังคม แต่เราก็ไม่สามารถใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติที่แท้จริงได้ การไว้ทุกข์ให้บิดามารดาเป็นเวลาสามปีอาจจะเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของขงจื๊อ แต่การสร้างกฎเกณฑ์นี้ให้กลายมาเป็นมาตรฐานทางสังคมซึ่งประกอบด้วยมนุษย์ที่มีธรรมชาติอันแตกต่างกันจึงเป็นการบิดเบือนอิสรภาพที่ทุกๆ คนควรมีในชีวิตไป สำหรับความเป็นกฎเกณฑ์นั้นเมื่อมีการปฎิบัติไปถึงระดับหนึ่งความเป็นกฎนี้ก็อาจจะไม่ดำรงอยู่ เพราะเมื่อสามารถกลมกลืนเป็นเสมือนกับธรรมชาติของเราการกระทำต่างๆ ภายใต้กฎเหล่านี้จึงเป็นไปอย่างอิสระเหมือนกันกับเมื่อเวลาที่เราว่ายน้ำเป็นแล้วการสำนึกถึงขั้นตอนต่างๆในการว่ายน้ำก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่างกัน การสร้างมาตรฐานใดๆ ขึ้นมาจึงไม่สามารถที่จะกลมกลืนกลายเป็นธรรมชาติของทุกๆ คนได้เหมือนกันหมด ซึ่งเหมือนกับการพยายามดัดต้นไม้ให้กิ่งก้านของมันเป็นไปในลักษณะที่เราพอใจเหมือนกันหมดทุกต้นโดยที่ไม่มีความเข้าใจในธรรมชาติที่แท้จริงของต้นไม้ชนิดนั้นเลย กิ่งก้านนั้นอาจหักไปเพราะความแข็งของเนื้อไม้ไม่สามารถที่จะดัดเอาตามใจชอบได้ หรือในบางต้นที่สามารถดัดได้แต่ต้นไม้ต้นนั้นก็ขาดโอกาสที่จะเติบโตมีกิ่งก้านเป็นร่มเงาให้แก่สิ่งต่างๆอย่างที่มันควรจะเป็น