ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2014, 01:23:11 pm »ต่อค่ะ
#เวลาฝึกหัดจิตใจเบื้องต้น พยายามจะทำภาวนาให้จิตมีความสงบ ทั้งๆ ที่มีครูมีอาจารย์มีตำรับตำราบอกสอนไว้แล้วก็ตาม แต่เวลาเข้าสู่สงครามคือขึ้นเวที ได้แก่การประกอบความพากเพียร จะเป็นท่านั่งท่ายืนท่าเดินก็ตาม ซึ่งเป็นท่าแห่งความเพียรที่เราได้ตั้งเอาไว้เพื่อชำระกิเลส มันจะล้มเหลวไปๆ เพราะถูกกิเลสบีบบังคับ ถูกกิเลสเตะถูกกิเลสยัน ให้เหลวแหลกแตกกระจายยึดหลักเกณฑ์ไม่ได้ เช่น ให้ภาวนาคำว่า พุทโธ ๆ นี้ไม่กี่วินาที เราไม่อยากจะพูดถึงนาทีเลย ก็ถูกกิเลสลัดปัดทิ้งลงไปเสีย เหลือตั้งแต่ความเผลอสติอันเป็นเรื่องของกิเลสทำงาน แล้วฉุดลากจิตใจของเราไปสู่อารมณ์นั้นสู่อารมณ์นี้ ทั้งๆ ที่เราอยู่ในท่าแห่งการประกอบความเพียร หรือท่ารบกับกิเลสนั้นแล เราก็ไม่มีโอกาสที่จะทราบได้ จิตของเราจึงหาความสงบไม่ได้
เพราะคำว่าความเผลอเรอนั้น ไม่ใช่เป็นทางให้เดินเพื่อความสงบของใจ แต่เป็นทางให้เป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน เพราะกิเลสผลักดันหรือฉุดลากให้ไปต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนั้นการเผลอก็เผลออยู่ไม่หยุดไม่ถอย ทั้งๆ ที่เราก็ภาวนาอยู่เช่นนั้นแลตามความเข้าใจของเรา แต่จิตหาความสงบไม่ได้เพราะเหตุไร ก็มางงในเจ้าของ งงอะไร ถ้าจะให้ความรู้เหนือกว่านั้นขึ้นไปก็คือว่า เพราะเผลอสตินั่นเอง ถ้าสติได้ตั้งกันตามจุดที่หมาย เช่น เรากำหนดพุทโธ นี่ในขั้นเริ่มแรก หรือจะกำหนดอานาปานสติ ลมหายใจเข้าออก ก็ให้ตั้งความรู้ลงที่จุดแห่งลมหายใจ ความรู้ที่เรียกว่าใจ และมีสติรับทราบให้เด่นขึ้นในความรู้นั้นอยู่ตลอดเวลาแล้ว จิตไม่มีโอกาสที่จะเถลไถลไปที่ไหนได้ มีธรรมะเป็นเครื่องผูกมัดจิตใจด้วยสติอยู่โดยสม่ำเสมอ จิตนั้นจะสงบตัวๆ เข้ามา แล้วกลายเป็นความสงบขึ้นที่ใจ
..
..
#เราอย่าดูจิตคนอื่น
ให้ดูจิตของเราที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ในความคิดความปรุงความสำคัญมั่นหมายนี้
มันเคยเบื่ออะไรบ้างมีใหม.....ไม่เคยมี
คิดปรุงวันยังค่ำ......เพลินคิดวันยังค่ำ
ไม่เคยเบื่อความคิดความปรุงของตนเลย
สำคัญมั่นหมายอันใดกับอารมณ์ใดก็ตาม
ขึ้นชื่อว่าเป็นกิเลสแล้ว
มันพออกพอใจหมุนติ้วกันอยู่ทั้งวันทั้งคืน
เพราะฉะนั้นการเกิดการตายจึงไม่มีคำว่า...แก่ คำว่า...ชรา...คร่ำคร่า
จะต้องมีเกิดมีตายไปเรื่อยอย่างนี้
เพราะธรรมชาติกิเลสอันนี้ไม่เคยมีคำว่า..ชรา..คร่ำคร่าลงไป
แม้กฏ อนิจฺจํ ของธรรมท่านว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงไม่แน่นอน ถือเป็นตัวของตัวไม่ได้
แต่เรื่องของกิเลสจะแปร...ก็แปรไปเพื่อกิเลส
เป็นทุกข์ก็เพราะ...กิเลสเป็นผู้บีบให้เป็นทุกข์
อนตฺตา ก็กิเลสเป็นผู้เสกสรรปั้นยอว่าเรา
ว่าของเราเอาเสียอย่างดื้อ ๆ ด้าน ๆ ที่ให้เราได้ชื่อได้เห็นอยู่
ทั้ง ๆ ที่ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่นั้นแล
นี่ในเวลาที่จิตของเรายังไม่สามารถ...มันเป็นได้อย่างนี้ ดูหัวใจเราก็รู้
@ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาองค์หลวงตาพระมหาบัว
“จิตที่อยู่ในวงล้อมของกิเลส”
เทศน์เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๒
..
..
#ทำไมจึงเรียกว่า
"จิตเป็นสมมุติ" กับ "จิตเป็นวิมุตติ"เล่า?
มันกลายเป็นจิตสองดวงอย่างนั้นเหรอ?
ไม่ใช่อย่างนั้น จิตดวงเดียวนั้นแหละ
ที่มี "สมมุติ คือกิเลสอาสวะครอบอยู่นั้น" เป็นจิตลักษณะหนึ่ง
แต่เมื่อได้ถูกชำระขยี้ขยำ ด้วยปัญญา จนจิตลักษณะนั้นแตกกระจายไปหมดแล้ว
ส่วนจิตแท้ ธรรมแท้ ที่ทนต่อการพิสูจน์ไม่ได้สลายไปด้วย
สลายไปแต่สิ่งที่เป็น "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา" ที่แทรกอยู่ในจิตเท่านั้น
เพราะกิเลสอาสวะแม้จะละเอียดเพียงใดก็ตาม
มันก็เป็น "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา" เป็นสมมุติอยู่โดยดีนั่นแล
เมื่อสิ่งนี้สลายไป จิตแท้เหนือสมมุติ จึงปรากฏตัวอย่างเต็มที่
ที่เรียกว่า "วิมุตติจิต" สิ่งนี้แลท่านเรียกว่า "จิตบริสุทธิ์"
ขาดจากความสืบต่อเกี่ยวเนื่องใด ๆ ทั้งสิ้น
เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ที่บริสุทธิ์สุดส่วนอย่างเดียว ..
..
..
#ผู้ปฏิบัติเมื่อถึงด้านปัญญาแล้ว..
อยู่ที่ไหนก็ฟังธรรมอยู่ทั้งนั้น
มีอะไรมาสัมผัสเป็นธรรมทั้งหมด
เพราะเป็นเครื่องเตือนสติให้ได้รู้
ปัญญาก็วิ่งตามกันโดยอัตโนมัติ..
..
..
#ชีวิตหมดไปทุกวันทุกวัน..
เมื่อวานนี้ก็วันหนึ่ง..
"""""""""
@หลวงตามหาบัว
***ให้ทำความเพียร
..
..
#หลวงตามหาบัว ท่านเคยพูดไว้ว่า
คนเรามักพอใจต่อการส่งเสริมกิเลส
มากกว่าการแก้กิเลส..
..
..
#ในน้ำบนบกเป็นป่าช้าของสัตว์โลกทั้งนั้น
..
..
#คนโง่ชมเชยสิ่งที่ต่ำ..
คนดีชมตามความจริง..
ไม่เห่อ ไม่ตื่นเงา..
..
..
#ใครไม่เคยเห็นมรรคผลนิพพาน
จึงไม่กระตือรือร้นกับนิพพาน
เหมือนกระตือรือร้นไปตามกิเลส
..
..
กิเลสไม่กลัวพระ..
ที่ศีรษะโล้นๆเพียงเท่านั้น
แต่มันกลัวสติปัญญาความเพียรเท่านั้น
..
..
#..เพราะไม่มีงานอื่นใดทำ มีแต่งานภาวนา
เพื่อจะดูละครลิงซึ่งมันมีอยู่ในจิต
เอาธรรมะตีเข้าไปๆ จิตก็สงบได้
..
..
#..ธรรม คือ ยาแก้โรคของใจ
คือ กิเลสอาสวะ..
ให้เบาบางและหายสนิท
จนเป็นจิตบริสุทธิ์
ที่เต็มไปด้วยพุทโธทั้งดวง..
..
..
"ชอบธรรม ก็เจอธรรม
ชอบทุกข์ ก็เจอทุกข์.."
..
..
".. อะไรโล่งก็สู้จิตใจโล่งไม่ได้
อะไรคับแคบตีบตันก็สู้จิตใจคับแคบตีบ
ตันไม่ได้ อะไรจะทุกข์ก็สู้จิตทุกข์ไม่ได้
อะไรจะสุขก็สู้จิตสุขไม่ได้ แน่ะ!
รวมลงที่จิตแห่งเดียว!.."
..
..
"..กิเลสพระพุทธเจ้าท่านฝืนได้..
ทำไมกิเลสเราจะฝืนไม่ได้..
กิเลสก็กิเลสอย่างเดียวกัน.."
ฝืนสิ่งไม่ดีของเรา..เป็นความชอบธรรม..
ไม่ผิด..เป็นมงคล.."
..
..
#เรียนอะไรก็ไม่หายสงสัย
ถ้าไม่เรียนตัวเอง
เพราะตัวเองเป็นผู้หลง
ตัวเองเป็นผู้ยึด
ตัวเองเป็นผู้รับผล
แห่งการยึดการถือของตน
หรือจะเรียกว่า..
ตัวเองเป็นผู้รับผล..
แห่งความผิดของตัวเอง
จิตต้องเรียนลงที่ตรงนี้..
***อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เรียนให้เห็นความจริง
..
..
@หลวงตามหาบัว
... F/B Jeng Dhammajaree
#เวลาฝึกหัดจิตใจเบื้องต้น พยายามจะทำภาวนาให้จิตมีความสงบ ทั้งๆ ที่มีครูมีอาจารย์มีตำรับตำราบอกสอนไว้แล้วก็ตาม แต่เวลาเข้าสู่สงครามคือขึ้นเวที ได้แก่การประกอบความพากเพียร จะเป็นท่านั่งท่ายืนท่าเดินก็ตาม ซึ่งเป็นท่าแห่งความเพียรที่เราได้ตั้งเอาไว้เพื่อชำระกิเลส มันจะล้มเหลวไปๆ เพราะถูกกิเลสบีบบังคับ ถูกกิเลสเตะถูกกิเลสยัน ให้เหลวแหลกแตกกระจายยึดหลักเกณฑ์ไม่ได้ เช่น ให้ภาวนาคำว่า พุทโธ ๆ นี้ไม่กี่วินาที เราไม่อยากจะพูดถึงนาทีเลย ก็ถูกกิเลสลัดปัดทิ้งลงไปเสีย เหลือตั้งแต่ความเผลอสติอันเป็นเรื่องของกิเลสทำงาน แล้วฉุดลากจิตใจของเราไปสู่อารมณ์นั้นสู่อารมณ์นี้ ทั้งๆ ที่เราอยู่ในท่าแห่งการประกอบความเพียร หรือท่ารบกับกิเลสนั้นแล เราก็ไม่มีโอกาสที่จะทราบได้ จิตของเราจึงหาความสงบไม่ได้
เพราะคำว่าความเผลอเรอนั้น ไม่ใช่เป็นทางให้เดินเพื่อความสงบของใจ แต่เป็นทางให้เป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน เพราะกิเลสผลักดันหรือฉุดลากให้ไปต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนั้นการเผลอก็เผลออยู่ไม่หยุดไม่ถอย ทั้งๆ ที่เราก็ภาวนาอยู่เช่นนั้นแลตามความเข้าใจของเรา แต่จิตหาความสงบไม่ได้เพราะเหตุไร ก็มางงในเจ้าของ งงอะไร ถ้าจะให้ความรู้เหนือกว่านั้นขึ้นไปก็คือว่า เพราะเผลอสตินั่นเอง ถ้าสติได้ตั้งกันตามจุดที่หมาย เช่น เรากำหนดพุทโธ นี่ในขั้นเริ่มแรก หรือจะกำหนดอานาปานสติ ลมหายใจเข้าออก ก็ให้ตั้งความรู้ลงที่จุดแห่งลมหายใจ ความรู้ที่เรียกว่าใจ และมีสติรับทราบให้เด่นขึ้นในความรู้นั้นอยู่ตลอดเวลาแล้ว จิตไม่มีโอกาสที่จะเถลไถลไปที่ไหนได้ มีธรรมะเป็นเครื่องผูกมัดจิตใจด้วยสติอยู่โดยสม่ำเสมอ จิตนั้นจะสงบตัวๆ เข้ามา แล้วกลายเป็นความสงบขึ้นที่ใจ
..
..
#เราอย่าดูจิตคนอื่น
ให้ดูจิตของเราที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ในความคิดความปรุงความสำคัญมั่นหมายนี้
มันเคยเบื่ออะไรบ้างมีใหม.....ไม่เคยมี
คิดปรุงวันยังค่ำ......เพลินคิดวันยังค่ำ
ไม่เคยเบื่อความคิดความปรุงของตนเลย
สำคัญมั่นหมายอันใดกับอารมณ์ใดก็ตาม
ขึ้นชื่อว่าเป็นกิเลสแล้ว
มันพออกพอใจหมุนติ้วกันอยู่ทั้งวันทั้งคืน
เพราะฉะนั้นการเกิดการตายจึงไม่มีคำว่า...แก่ คำว่า...ชรา...คร่ำคร่า
จะต้องมีเกิดมีตายไปเรื่อยอย่างนี้
เพราะธรรมชาติกิเลสอันนี้ไม่เคยมีคำว่า..ชรา..คร่ำคร่าลงไป
แม้กฏ อนิจฺจํ ของธรรมท่านว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงไม่แน่นอน ถือเป็นตัวของตัวไม่ได้
แต่เรื่องของกิเลสจะแปร...ก็แปรไปเพื่อกิเลส
เป็นทุกข์ก็เพราะ...กิเลสเป็นผู้บีบให้เป็นทุกข์
อนตฺตา ก็กิเลสเป็นผู้เสกสรรปั้นยอว่าเรา
ว่าของเราเอาเสียอย่างดื้อ ๆ ด้าน ๆ ที่ให้เราได้ชื่อได้เห็นอยู่
ทั้ง ๆ ที่ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่นั้นแล
นี่ในเวลาที่จิตของเรายังไม่สามารถ...มันเป็นได้อย่างนี้ ดูหัวใจเราก็รู้
@ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาองค์หลวงตาพระมหาบัว
“จิตที่อยู่ในวงล้อมของกิเลส”
เทศน์เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๒
..
..
#ทำไมจึงเรียกว่า
"จิตเป็นสมมุติ" กับ "จิตเป็นวิมุตติ"เล่า?
มันกลายเป็นจิตสองดวงอย่างนั้นเหรอ?
ไม่ใช่อย่างนั้น จิตดวงเดียวนั้นแหละ
ที่มี "สมมุติ คือกิเลสอาสวะครอบอยู่นั้น" เป็นจิตลักษณะหนึ่ง
แต่เมื่อได้ถูกชำระขยี้ขยำ ด้วยปัญญา จนจิตลักษณะนั้นแตกกระจายไปหมดแล้ว
ส่วนจิตแท้ ธรรมแท้ ที่ทนต่อการพิสูจน์ไม่ได้สลายไปด้วย
สลายไปแต่สิ่งที่เป็น "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา" ที่แทรกอยู่ในจิตเท่านั้น
เพราะกิเลสอาสวะแม้จะละเอียดเพียงใดก็ตาม
มันก็เป็น "อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา" เป็นสมมุติอยู่โดยดีนั่นแล
เมื่อสิ่งนี้สลายไป จิตแท้เหนือสมมุติ จึงปรากฏตัวอย่างเต็มที่
ที่เรียกว่า "วิมุตติจิต" สิ่งนี้แลท่านเรียกว่า "จิตบริสุทธิ์"
ขาดจากความสืบต่อเกี่ยวเนื่องใด ๆ ทั้งสิ้น
เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ที่บริสุทธิ์สุดส่วนอย่างเดียว ..
..
..
#ผู้ปฏิบัติเมื่อถึงด้านปัญญาแล้ว..
อยู่ที่ไหนก็ฟังธรรมอยู่ทั้งนั้น
มีอะไรมาสัมผัสเป็นธรรมทั้งหมด
เพราะเป็นเครื่องเตือนสติให้ได้รู้
ปัญญาก็วิ่งตามกันโดยอัตโนมัติ..
..
..
#ชีวิตหมดไปทุกวันทุกวัน..
เมื่อวานนี้ก็วันหนึ่ง..
"""""""""
@หลวงตามหาบัว
***ให้ทำความเพียร
..
..
#หลวงตามหาบัว ท่านเคยพูดไว้ว่า
คนเรามักพอใจต่อการส่งเสริมกิเลส
มากกว่าการแก้กิเลส..
..
..
#ในน้ำบนบกเป็นป่าช้าของสัตว์โลกทั้งนั้น
..
..
#คนโง่ชมเชยสิ่งที่ต่ำ..
คนดีชมตามความจริง..
ไม่เห่อ ไม่ตื่นเงา..
..
..
#ใครไม่เคยเห็นมรรคผลนิพพาน
จึงไม่กระตือรือร้นกับนิพพาน
เหมือนกระตือรือร้นไปตามกิเลส
..
..
กิเลสไม่กลัวพระ..
ที่ศีรษะโล้นๆเพียงเท่านั้น
แต่มันกลัวสติปัญญาความเพียรเท่านั้น
..
..
#..เพราะไม่มีงานอื่นใดทำ มีแต่งานภาวนา
เพื่อจะดูละครลิงซึ่งมันมีอยู่ในจิต
เอาธรรมะตีเข้าไปๆ จิตก็สงบได้
..
..
#..ธรรม คือ ยาแก้โรคของใจ
คือ กิเลสอาสวะ..
ให้เบาบางและหายสนิท
จนเป็นจิตบริสุทธิ์
ที่เต็มไปด้วยพุทโธทั้งดวง..
..
..
"ชอบธรรม ก็เจอธรรม
ชอบทุกข์ ก็เจอทุกข์.."
..
..
".. อะไรโล่งก็สู้จิตใจโล่งไม่ได้
อะไรคับแคบตีบตันก็สู้จิตใจคับแคบตีบ
ตันไม่ได้ อะไรจะทุกข์ก็สู้จิตทุกข์ไม่ได้
อะไรจะสุขก็สู้จิตสุขไม่ได้ แน่ะ!
รวมลงที่จิตแห่งเดียว!.."
..
..
"..กิเลสพระพุทธเจ้าท่านฝืนได้..
ทำไมกิเลสเราจะฝืนไม่ได้..
กิเลสก็กิเลสอย่างเดียวกัน.."
ฝืนสิ่งไม่ดีของเรา..เป็นความชอบธรรม..
ไม่ผิด..เป็นมงคล.."
..
..
#เรียนอะไรก็ไม่หายสงสัย
ถ้าไม่เรียนตัวเอง
เพราะตัวเองเป็นผู้หลง
ตัวเองเป็นผู้ยึด
ตัวเองเป็นผู้รับผล
แห่งการยึดการถือของตน
หรือจะเรียกว่า..
ตัวเองเป็นผู้รับผล..
แห่งความผิดของตัวเอง
จิตต้องเรียนลงที่ตรงนี้..
***อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เรียนให้เห็นความจริง
..
..
@หลวงตามหาบัว
... F/B Jeng Dhammajaree