ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มีนาคม 01, 2014, 02:47:51 pm »พุทธศาสนสุภาษิต :สิ่งที่เป็นการยาก
กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ
กิดโฉ มะนุดสะ ปะติลาโภ
ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก
กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
กิดฉัง มัดจานะ ชีวิตัง
ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
กิดฉัง สัดธัมมัด สะวะนัง
การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก
กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
กิดโฉ พุดทานะ มุบปาโท
ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก
ทุลฺลภํ ทสฺสนํ โหติ สมฺพุทฺธานํ อภิณฺหโส
ทุนละพัง ทัดสะนัง โหติสำพุดทานัง อะพินหะโส
การเห็นพระพุทธเจ้าเนืองๆ เป็นการหาได้ยาก
เรื่องของเม้า ตอนที่สอง
มีคนมาแจมกับตามหาแก่นธรรมกันแล้วและที่รับปากว่าจะมากับท่านสะมะชัยโยแล้วก็มี
เม้าจะรออ่านแล้วก็เลยขอแจมก่อนในครั้งนี้ แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรขอขียนคำว่า"ชีวิต"ดีกว่าลองอ่านกันดูนะครับว่าจะเข้าท่าหรือเปล่า
เม้าเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุราว 6 ปีเป็นลูกชายร้านทำเฟอร์นิเจอร์เล็กๆแห่งหนึ่ง มีคนงาน 2-3 คนมีพี่น้อง 7 คน เสียชีวิตแต่เล็ก 2คน เม้าเป็นลูกคนที่ 4 จากลูกคนที่เหลือทั้งหมด คุ้นเคยกับคนสูงวัยตั้งแต่เเม่ผู้ให้กำนิดเพราะผู้เป็นแม่อายกว่า 40 ปีแล้วในตอนนั้น พอถึงเวลาเข้าเรียนหนังสือ แม่ก็พาไปเรียนกับโรงเรียนเล็กๆข้างบ้าน ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนแม่จะหวีผมให้เรียบแปล้ รองเท้าใหม่เอียมแต่กางเกงหลวมโคล่งแถมมีรอยปะใยแมงมุมเล็กๆที่ข้างหลังกางเกง เพราะรับช่วงต่อมาจากพี่ชาย ตามธรรมดาของครอบครัวที่มีลูกหลายคน แม่จะให้ค่าขนมและอาหารพอดีกับการใช้แบบประหยัด เพราะหมดพอดีไม่มีเหลือทุกวัน เม้านอกจากจะขลุกกับเพื่อนที่โรงเรียนแล้ว ก็จะอยู่กับแม่เกือบตลอดเวลา ช่วยแม่ทำโน่นทำนี่
ทุกเย็นที่เม้าไปตลาดกับแม่ แม่ค้าจะทักทายเม้าและแม่เกือบทุกร้าน อย่างร้านขายหมูจะแถมหมูสันในให้แม่แล้วบอกว่า" ไปให้นึ่งให้อาตี๋กิน " และคำพูดยอดฮิตของแม่ค้าเกือบทุกร้านในตลาด จะพูดตอนส่งของให้แม่ว่า"ลงบัญชีไว้ก่อนมั๊ยเจ๊"อย่างยิ้มแย้ม แต่แม่ก็ไม่ได้ลงบัญชีทุกร้าน จะเลือกบางร้านที่เหลือก็จ่ายเงินสดไป กิจวัตรก่อนข้าวเย็นของเม้า ต้องเก็บเศษไม้ที่คนงานไสหน้าเพื่อเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ต่อไป ที่เขาเรียกกันว่าขี้กบและยังมีขี้เลื่อยจากการเลื่อยไม้อีกต่างหาก คนงานมักหมุนเวียนเปลี่ยนไปแล้วแต่งาน บางครั้งเจอคนงานใจดีก็จะช่วยเม้าเก็บของ2-3 เข่ง
คนงานมักถามเม้าว่าชอบกินไข่มากหรือ เเพราะอาหารเช้าของเม้าอาทิตย์ละ 5 วันก่อนไปโรงเรียนก็คือไข่ต้ม2 ฟองกับข้าว เพราะแม่ไม่มีเวลาเตรียมอาหารได้มากกว่านั้น แม่จะยุ่งทั้งวันแถมยังต้องทำกับข้าวให้คนงานและครอบครัวกิน 3 มื้อ ว่างจากงานอื่นๆแม่จะมานั่งกระเทาะเม็ดบัวที่ตากแดดแห้งกรอบใส่ปี๊บใบใหญ่ ด้วยอุปกรณ์คล้ายหลุมไม้และมีดพร้าหรือมีดอีโต้ ค่าแรงช่างถูกแสนถูกคือปี๊บใหญ่ 5 บาท เม้าอยากช่วยแม่ก็เลยให้แม่สอนกระเทาะ ซึ่งกว่าจะกระเทาะเป็นนิ้วมือของเม้าก็เกือบขาดไปหลายต่อหลายครั้ง เพราะมีดมันต้องคมจึงจะกระเทาะเปลือกบัวแตกและต้องงัดให้ออก
มีเรื่องอึดอัดใจของเม้าอยู่เรื่องหนึ่งที่โรงเรียนที่เม้าต้องเจอ คือก่อนสอบทุกครั้งทางโรงเรียนจะประกาศชื่อเด็กนักเรียนที่ยังไม่ได้จ่ายค่าเทอมให้มาจ่ายให้เรียบร้อยทางไมโครโฟน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีสิทธิ์สอบ แต่หลังจากนั้นสองสามวันเมื่อแม่รู้จากเม้า ก็จะนำเงินมารีบจ่ายค่าเทอมให้เสมอ แม่ไม่ต้องพูดคำว่าเชื่อแม่นะลูกว่าจะเรียบร้อย แต่แม่ทำให้ดู เพราะแม่เป็นคนจีนเลยพูดไทยให้คนไม่คุ้นเคยฟังได้ไม่ชัด (แม่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ) แต่สิ่งที่แม่ทำให้เม้ารักแม่สุดๆก็คือหลังจากจ่ายค่าเทอมตามที่เม้าบอกแม่ว่าโรงเรียนประกาศชื่อเม้าหลายครั้งแล้ว แม่กลับไปคุยกับครูสมศรีอย่างเข้าใจชัดเจนว่าครูอย่าประกาศชื่อลูกชายฉันอีกเลย แม่ทำมือเขียนกระดาษให้
แล้วบอกทำนองว่าทำหนังสือทวงมาให้ฉัน จะรีบมาจัดการให้ หลังจากนั้นเม้าก็ไม่ได้ยินเสียงประกาศชื่อเม้าทวงค่าเทอมอีกเลย มีแต่หนังสือจากครูสมศรีส่งมาถึงแม่ผ่านเม้าพร้อมรอยยิ้มของครู และมักจะพูดตอนส่งหนังสือให้ว่า "แม่หนูรักหนูจังเลยนะ" ใช่สิเม้าถึงรักแม่ที่สุดในโลก
เม้าเติบโตในอ้อมกอดของแม่ด้วยความรัก และไม่เคยสงสัยในความรักของแม่เลยแม้แต่น้อย ถึงแม่จะให้อะไรๆน้อยกว่าน้องมากกว่า อย่างเช่นมีขนมร้อนๆจากเพื่อนของแม่มาฝาก แม่จะไม่รีรอที่จะหยิบขนมขึ้นมาเป่าให้เย็นแล้วก็ใส่ปากเม้าเลย มันอร่อ่ยมากเลย จริงๆนะ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เม้าต้องเอาเครื่องมือช่างไปให้ช่างที่ศูนย์การค้าสยาม ปัจจุบันก็สยามดิสคอบเวอรี่นะแหละ ตอนนั้นอายประมาณ 10 ขวบ อุ้มเครื่องมือแนบอกขึ้นรถเมล์ไป แต่ขึ้นได้แค่กระไดขั้นแรกเพราะรถแน่นมาก พอรถเลี้ยวตรงแยกปทุมวันตัวเม้าก็เอียงหลุดออกไปนอกรถ แต่ตอนนั้นมีมือใครก็ไม่รู้จับคอเม้าดึงกลับเข้ามาในรถ ทุกวันนี้ยังระลึกถึงมือข้างนั้นด้วยความขอบคุณ ที่ทำให้เม้าได้อยู่กับแม่อีกหลายสิบปี
เวลาผ่านไปหลายปีเม้าก็ยังกระเทาะเปลือกลูกบัวไปพลางอ่านหนังสือไปพลาง ช่วงมัธยมปลายแม่ดูเหมือนจะขาดเงินมาก เพราะแม่ยืมเงินญาติให้เห็นบ่อยๆ แต่แม่ก็จะคืนให้ตามกำหนดทุกครั้ง เม้าก็มุ่งมั่นจะช่วยแม่มาก จึงไปกราบครูประจำชั้นว่าจะขอไม่มาโรงเรียนแต่จะขอมาสอบอย่างเดียว แล้วก็เล่าเรื่องแม่ให้ครูฟัง ครูก็ยอมแต่ขอให้มาโรงเรียนบ้าง ครูท่านนั้นท่านชื่อครูประณีต และท่านได้ให้โอกาสอย่างใหญ่หลวงแก่ชีวิตของเม้าอย่างมากมาย เม้าไม่ได้บอกแม่ว่าไม่ไปเรียนทุกวัน แต่ไปอาทิตย์ละวันหรือสองวัน ที่เหลือก็บอกแม่ว่าโรงเรียนมีกิจกรรม แม่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร แล้วในปีนั้นเม้าก็ทำให้แม่และครูดีใจ เพราะสอบได้ที่หนึ่งของห้อง
หลังจากปีนั้นพี่ๆเริ่มจบการศึกษาแม่เริ่มสบายขึ้นมาก เพราะแม่มีเงินเดือนจากพี่ๆ พี่ยีเป็นตัวอย่างที่ดีและเป็นวีระบุรุษของน้องๆ ทุกเรื่องที่พ่อและแม่เอ่ยถึง ทั้งสองก็จะได้รับทันที ไม่เคยได้ยินคำว่าไม่จากพี่ชายคนนี้เลย ตอนเรียนหนังสือ พี่ยีเป็นคนเรียนหนังสือเก่งกิจกรรมเยี่ยม ก็เลยได้เรียนคณะวิศวกรรมในสถาบันมีชื่อ และมักจะเป็นประธานนักศึกษาเกือบทุกที่ๆพี่ยีเรียน พี่ยีจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปส่งหนังสือพิมพ์และไปช่วยเขาส่งกาแฟเพื่อเอาเงินมาช่วยแม่ก่อนไปเรียน พี่ยีบอกน้องๆเสมอว่าเรียนไปเถอะขาดเหลืออะไรพี่จะจัดการให้ และพี่ไม่เคยปดต่อคำพูดตัวเองเลย นอกจากนี้แล้วไม่เคยเห็นพี่ยีตอบปฎิเสธใครถ้ามาขอความช่วยเหลือ แม้กระทั่งทุกวันนี้ถ้าใครพูดถึงพี่ยี ก็จะพูดว่าเขาไม่เคยเซย์โนกับใครทุกคำที่ขอความช่วยเหลือ พี่ยีจึงเป็นที่รักของทุกคนและเพื่อนบ้าน
ในช่วงเรียนมหาลัยฯตอนไปอ่านหนังสือและติวหนังสือกับเพื่อนๆแถวเกษตร มีอยู่คืนหนึ่งที่เม้าอ่านหนังสือจนล้า จึงเอนกายพิงกำแพงพักสายตาพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นพระพุทธรูปห่างจากตัวประมาณเมตรครึ่ง ทองสุกปลั่งสักครู่ก็เปลี่ยนไปเป็นโครงกระดูก จะว่าผีอำก็ยังเห็นพัดลมหมุนอยู่ซ้ายมือ ขาเหยียดตรงเห็นเหงื่อตรงปลายหางตา แต่ขยับตัวไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร จู่ๆก็นึกถึงหลวงปู่แหวน สุจิณโณและเห็นท่าน สักพักโครงกระดูกก็รวมเป็นพระพุทธรูปแล้วก็หายวับไป อีกห้านาทีเพื่อนๆมาชวนเล่นผีถ้วยแก้ว เม้าได้แต่ร้องบรื๋อแล้วก็คลุมโปงนอนทันที หลังจากนั้นสองสามวันมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งกวักมือเรียก แล้วบอกว่าเอ็งเอาพระไปห้อยคอ แล้วท่านก็ยื่นหลวงปู่แหวนรุ่นเราสู้มาให้องค์หนึ่ง จากความคิดว่าพระพุทธอยู่ที่ใจไม่นิยมอิฐปูน ก็เลยมีหลวงปู่แหวนมาคล้องคอด้วยความเคารพและศรัทธา
เอ....ที่เขียนมานี่มันสอดคล้องกับหัวข้อของท่านสะมะชัยโยหรือเปล่าว่า "ตามหาแก่นธรรม"
วันนี้ขอแค่นี้ก่อนนะครับ /เม้า
10/3/53
ยอมเป็นก็เย็นได้
แม่ คำๆแรกที่คนเราทุกคนมักจะพูดถึงบ่อยที่สุดตั้งแต่หัดพูด และเป็นคำพูดเดียวที่ซึ้งกินใจที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใดก็ตาม แม้จะต่างอักขระแต่ถ้าเป็นความหมายเดียวกันแล้วละก็ ใช่เลย มีคนจำนวนมากพูดและเขียนถึงแม่ได้ลึกซึ้งกว่าเม้า แต่ที่ยังเขียนถึงแม่ของเม้าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านอีกครั้งด้วยความระลึกถึง และรักแม่มากที่สุดในโลกจริงๆ เผื่อว่าทุกคนจะร่วมระลึกถึงมือสองข้างที่โอบอุ้มพวกเรามาแต่ฝาหอย ประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างแสนรัก มีอะไรที่ดีที่สุดสำหรับแม่ ก็จะให้พวกเราก่อน อย่างไม่ต้องคิดหรือนึกให้เสียเวลาแม้แต่น้อย เพราะหัวใจของแม่มีแต่พวกเราอยู่เต็มหัวใจ
เคยเล่าเรื่องของเม้าในวัยเด็กในตามหาแก่นธรรมมาหลายครั้งแล้ว และเม้าเองก็เคยพูดถึงแม่ไปบ้าง วันนี้มีโอกาสก็เลยเขียนมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง แต่ตอนที่เล่าแล้วจะไม่ขอเล่าซ้ำ จะขอผ่านไป แม่ของเม้าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักษาคำพูดเป็นที่สุด ใจดีต่อทุกคน เป็นนักคิดและนักพัฒนาอย่างเหลือเชื่อ ด้วยที่ว่าแม่มีลูกเยอะจึงทำให้ต้องแบกภาระหนักอึ้ง เพราะมีแต่งานให้ทำไม่รู้จักจบจักสิ้น ตั้งแต่เช้ายันดึก จนกระทั่งพวกเราพี่น้องจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีและทำงานกันแล้ว ภาระทางกายของแม่จึงเริ่มทุเลาเบาบางลง ด้วยลักษณะของแม่ที่เม้าเคยเล่าให้ฟัง แม่ก็จะถ่ายทอดให้ลูกแต่ละคนไป แล้วแต่ว่าใครจะรับได้มากน้อยแค่ไหน ทุกครั้งที่เม้านั่งกระเทาะเปลือกบัวกับแม่ ก็จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพี่ๆ แต่ละคนว่าไปทำอะไรมา แล้วทำได้ผลเป็นอย่างไรแค่ไหน เม้าจึงรู้เรื่องราวลูกทุกคนของแม่เป็นอย่างดี และรู้ว่าแม่ห่วงใครมากน้อยแค่ไหน แม้แม่จะไม่พูดอะไรสักคำในเรื่องนี้
แม่มักจะเน้นเสมอเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและจริงใจกับผู้คน จนเพื่อนๆหลายคนที่รักและที่ไม่รักเม้า ต่างพูดที่หลังว่าเม้าใจดีและจริงใจกับทุกๆคน แม่มักพร่ำสอนให้รู้จักคำว่าช่างมันเถอะและยอม ตอนนั้นเม้าก็ได้แต่รับปากรับคำแม่ แต่เพิ่งมาเข้าใจในภายหลัง ซึ่งมันทำให้เม้ามีเพื่อนมากและคลายทุกข์ไปได้เยอะ แม่สอนเม้าหลายต่อหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องการจัดการ พอมาได้เรียนหนังสือในภายหลัง จึงสงสัยว่าสิ่งที่แม่สอนทำไมล้วนแล้วแต่อยู่ในหลักสูตรปริญญาโทการบริหารของมหาวิทยาลัยแทบทั้งนั้น ทั้งๆที่แม่นั่งเรือสำเภามาจากเมืองจีน พูดไทยไม่ค่อยได้ ด้วยความเป็นคนรักษาคำพูดเป็นที่่สุด แม่ของเม้าจึงมีเครดิตดีมาก เอ่ยปากกับใครในเรื่องหยิบยืมเงิน ไม่เคยผิดหวัง จนพวกเราผ่านสภาวะนั้นกันมาได้ และที่น่าประหลาดใจเป็นที่สุดก็คือคนที่แม่ไปหยิบยืมเงินมาล้วนกลายเป็นเพื่อนสนิทของแม่กันทั้งนั้น แม่เป็นคนใจเย็นและมักจะมีคำตอบดีๆเสมอ จึงมีเพื่อนๆของแม่มานั่งปรับทุกข์ด้วยบ่อยๆ และก็หายกลุ้มกลับไป แม่พูดให้ฟังเสมอว่าในวัยเด็กของแม่ แม่เป็นนักเล่นการพนันที่เก่งคนหนึ่ง แม่จึงเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย แต่แม่ก็สอนไม่ให้ลูกๆเล่นการพนัน และด้วยลักษณะเช่นนี้จึงเห็นแม่แสดงความกล้าหาญอยู่บ่อยครั้ง เวลาจะออกหน้าเรื่องใดๆอย่างมีสติ
แม่สอนเม้าแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่การคบเพื่อนจนถึงการตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง แม่คงเป็นต้นแบบในความกล้าหาญของเม้าที่กล้าคิดกล้าทำ เมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วจนทุกวันนี้ แม่มีเรื่องสะเทือนใจเข้ามาในชีวิตหลายต่อหลายครั้ง อย่างเช่นตอนที่แม่เล่าว่าได้ข่าวยายเสียแล้ว และแม่เก็ล่าให้เม้าฟังเพียงครั้งเดียวอย่างซึมๆบ่นเสียดายที่ไม่ได้กลับไปดูใจยายที่เมืองจีน ตั้งแต่นั้นมาแม่จึงตั้งความหวังว่าจะกลับเมืองจีนสักครั้ง พี่ยีพี่ชายแสนดีของเม้ารู้เรื่องนี้ดี จึงได้ลางานหนึ่งอาทิตย์เพื่อพาแม่กลับไปพบญาติที่เมืองจีนในวัยใกล้ๆหกสิบปี ตอนแรกแม่ตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเยี่ยมญาติที่โน่น แม่เล่าให้ฟังว่ามีป้าคนหนึ่งที่เป็นพี่สาวของพ่ออายุกว่าเก้าสิบปีแล้ว รักแม่มาก อุตส่าห์เดินข้ามภูเขาตั้งสามลูกเพื่อมาพบแม่ทุกวันในตอนที่แม่กับพี่ยีอยู่เมืองจีน และที่แม่ดีใจมากก็คือได้จัดโต๊ะจีนราคาเจ็ดร้อยบาทเลี้ยงพวกญาติๆที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น นี่เป็นสิ่งที่แม่มีความสุขมากอย่างหนึ่งในชีวิต แม่จึงเล่าได้หลายๆครั้งไม่รู้จักเบื่อ
เมื่อครั้งที่พี่ยีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่น้ำตาซึมเงียบมาหลายปี และทุกๆครั้งที่พูดถึงพี่ยี น้ำตาของแม่ก็ร่วงออกมาจากหัวใจ เพราะพี่ยีเป็นลูกชายแสนดีของแม่ที่ไม่เคยพูดคำว่าไม่กับแม่เลยสักครั้งเดียว อีกทั้งพี่ยียังเป็นที่รักในหมู่เพื่อนๆที่เรียกพี่ยีว่าเซอร์วิสแมน แม้กาลเวลาจะผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้วก็ตาม เพื่อนๆของพี่ยีก็ยังพูดถึงและเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของเขา คล้ายๆว่าพี่ยีเป็นตำนานของพวกเพื่อนๆ จนมาถึงจุดหนึ่งแม่ก็หยุดร้องไห้ให้ดู เมื่อเม้าเป็นตัวแทนของพี่ยีได้ แม้จะไม่เทียบเท่าสักครึ่งหนึ่งของพี่ยีก็ตาม
แม่จะเป็นหลักของคนทั้งครอบครัว และทุกคนก็จะมารวมตัวกันในวันเกิดของแม่ทุกๆปีนอกเหนือการแวะมาเยี่ยมบ่อยครั้ง แม่จะมีความสุขมากในวันนั้น ถึงแม้เวลาลูกๆหลานๆจะทยอยกลับไปกันจนหมด แต่แม่ก็ไม่เคยนั่งซึมเหมือนคนแก่บางคน เพราะแม่เข้าใจความจริงของการแยกย้ายจากกันดี ทุกๆคำถามจะมีคำตอบดีๆจากแม่เสมอ แม้จะเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงเช่นการลาออกจากงานของเม้า แม่จะพูดสั้นๆว่าเมื่อคิดดีถี่ถ้วนแล้วก็ตัดสินใจเถอะ แล้วแต่ลูก แม่เชื่อลูกนะ แม่เป็นคนอดทนมากแม้ยามเจ็บป่วย แม่ก็ยังนิ่งเฉยเสมอ แถมยังพูดอวดบ่อยๆกับเม้าว่าแม่คุมเบาหวานได้ดีจนหมอชม และขอดื่มเป็บซี่ที่แม่ชอบตั้งแต่ไหนแต่ไรหน่อยหนึ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่ตกเตียง แม่เล่าให้เม้าฟัง แล้วแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร พอเม้าได้ฟังเช่นนั้นก็เลยขอเปิดดูข้างหลังของแม่ เม้าเห็นเนื้อตรงสะโพกเป็นสีม่วงจนตกใจ ก็พยายามชักชวนแม่ให้ไปหาหมอ แต่แม่ไม่ยอมและบอกว่าไม่มีอะไร แข็งแรงดี ภายหลังจากทายาให้แม่แล้วเม้าก็เชื่่อแม่และรอดูอาการก่อน เพราะแม่รู้ตัวเองดีที่สุด
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่เจ็บตรงหัวไหล่แทบทนไม่ไหวและทำให้แม่ยกแขนไม่ขึ้น แม่จึงยอมให้เม้าพาไปหาหมอ ทำกายภาพบำบัดอยู่หลายเดือนจึงหาย แต่แม่ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ ในวัยเจ็ดสิบสองปีแม่มีอาการเหนื่อยหอบ เม้าพาแม่ไปหาหมอที่ไว้ใจที่คลีนิคใกล้บ้าน หมอบอกว่าแม่ไม่เป็นไร หัวใจยังดี อีกสักสิบนาทีแม่หมดแรงคอตก เม้าจึงรีบพาแม่ส่งไปโรงพยาบาล ภายหลังจากหาหมอแล้ว หมอจะให้แม่นอนในโรงพยาบาล แต่แม่ปฏิเสธ เม้าต้องให้พี่ชายคนถัดไปเกลี้ยกล่อมแม่เพราะเม้ามีประชุมด่วนใกล้โรงพยาบาล สักพักแม่มีอาการหัวใจวายแบบนึกไม่ถึงแต่หมอช่วยไว้ทันเพราะรู้อาการดีอยู่แล้ว แม่จึงมีอายุยืนยาวเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกมาถึงอายุแปดสิบหกปี ในปีที่แปดสิบห้าของแม่ แม่บอกเม้าว่าจะอยู่กับเม้าอีกปีหนึ่งเท่านั้นเพราะร่างกายของแม่ มันไปไม่ไหวแล้ว หมดสภาพที่จะอยู่ต่อ แม่พูดอย่างหน้าตาเฉย แถมยังขอบใจเม้าที่จะอยู่กับแม่จนตายจากไป แม่ยังชมเม้าอีกนะว่าเป็นลูกที่ดีมากที่สุดคนหนึ่งและหาได้ยาก
วันที่เจ็ดเดือนเมษายนสองพันห้าร้อยสี่สิบห้า แม่มีอาการเดินเซ จะพาไปหาหมอ แต่แม่ว่าไม่เป็นไร พร่งนี้ค่อยไป วันรุ่งขึ้นเม้าจึงอุ้มแม่ไปหาหมอ หมอบอกให้นอนในโรงพยาบาล แม่บอกไม่เป็นไร และแล้วก็เป็นวันสุดท้ายที่แม่จะคุยกับเม้าในชีวิตนี้ แม่มีอาการเส้นเลือดในสมองตีบในตอนแรก และติดเชื้อในกระแสเลือดในตอนหลัง อันเป็นระยะสุดท้ายในชีวิตของแม่ เม้าได้ป้อนน้ำส้มให้แม่ในวันที่เก้า ถึงแม่จะไม่รู้สึกตัวแล้วก็ตาม แต่แม่ก็ยังรับน้ำส้มจากมือของเม้าอย่างช้าๆ และถึงแม้ว่าเม้าจะได้คุยกับแม่ฝ่ายเดียวก็ตาม แต่เม้าก็ยังบอกแม่ว่าว่าเม้ารักแม่แค่ไหนอย่างไร ในวันที่สิบเดือนเมษายนแม่ก็จากไป ทุกระบบในร่างกายของแม่หยุดทำงาน แม่ของเม้าสอนลูกทุกอย่าง แม้กระทั่งการตายอย่างงดงาม แม่จ๋า...เม้ารักแม่ที่สุดในโลกเลยนะจ๊ะ
/ เม้า
แม่จ๋า
พี่จ๋า ในโลกนี้มีผู้หญิงใจดี อารมณ์ดีเป็นนิจ อดทนเพื่อครอบครัว หัวเราะยามลูกมีความสุข
ยิ้มตอนตัวเองมีความทุกข์ ซึมไปหนึ่งวันเมื่อรู้ข่าวยาย(แม่ของแม่ตาย)ที่จากกันมาสี่สิบกว่าปีเพราะอยู่คนละประเทศและยากจน ซึมไปสามปีเพราะลูกชายสุดที่รักตายจากไปก่อน แต่ก็ไม่ให้ลูกคนอื่นเห็น มีเพื่อนมากแม้จะคุยกันคนละภาษา พูดสอนลูกเสมอว่าให้รู้จักคำว่า...ยอม ( เหมือนจะบอกว่ายอมเป็นก็เย็นได้ ) ตอนเเม่ตาย แขกมางานศพกันตรึมทั้งที่ไม่ได้เชิญ กับผู้หญิงต่างด้าววัยแปดสิบหกปี และตอนที่เเม่รู้ว่าจะตายเเม่บอกลูกๆว่า...แม่ขอนอนที่บ้านก่อนนะ ด้วยความกล้าหาญ ( แม่บอกลูกชายคนเล็กมาก่อนปีหนึ่งแล้วว่าเเม่จะตาย ) แล้วแม่ก็ตายอย่างสมศักดิ์ศรีที่สุดเลย เป็นบทเรียนสุดท้ายที่แม่สอนอย่างนิ่มนวลที่ สุด... แม่จ๋า
/ เม้า
******************************
ทุกชีวิตทุกลมหายใจล้วนแล้วแต่ตามหาแก่นธรรม ใครจะตั้งนิยามเช่นไรก็ช่างเขา แม้บางท่านจะทำตัวเคร่งในการฝึกฝนตนเองในแบบใดๆก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านตามหาแก่นธรรมอะไรก็ได้ จะถูกหรือหลงผิดก็ไม่รู้ ถ้าจริงกิเลสตัณหามันบางลงเองครับ
ขอบคุณนะเม้าที่ส่งข้อเขียนมา ขออนุโมทนาและสาธุการครับ ขอให้เม้าเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ว่างๆส่งมาอีกนะครับ สนุกและได้แก่นสารดีครับ
/ สะมะชัยโย
ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่องขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดขึ้นจากบทความนี้ ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ ตลอดจนอุทิศให้แด่บรรพบุรุษอันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม สรรพสัตว์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรตลอดจนท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
Thammasatu ธรรมะสาธุ เวบดีดีมีธรรมะ »
หมวดหมู่ทั่วไป » ประสบการณ์ที่ผ่านมา » ตามหาแก่นธรรม
10 เรื่องของเม้า ตอนที่สอง
ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรมให้อยู่เป็นสุข โดยธรรมสุจริต "ตดเกิดตดดับ"