ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 04:52:59 pm »


http://youtu.be/V1pqU49BTpk



สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี ๒ hiphoplanla Uploaded on Dec 23, 2011
Playlist :
วิมุตติรัตนมาลี ตอน สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี 1-2
พระพรหมโมลี (วิลาส ญาณวโร ป.ธ. ๙)
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง :http://www.84000.org/one/2/11.html
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 22, 2011, 06:30:03 pm »

             

                   สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี

คำนำ
สุมิตตากุมารี
พิมพายโสธราเทวี
พระกาฬุทายีพรรณนาสถลวิถี
สมเด็จพระพิมพารำพัน
สมเด็จพระพิมพาสำเร็จมรรคผล

สมเด็จพระพิมพาทูลลานิพพาน
อติทุกขกุมารี
พระนางนันทาเทวี
นาคีกุมารี
นางพญาปลาดุก

อนิมิตตาเศรษฐีนี
ปทุมากุมารี
มกฏนารี
ปัญญากุมารี
โกกิลนารี

นางกินรี
วิมลาเทวี
กัลยาณีกุมารี
จันทมาลากุมารี
มังคลีกุมารี

มงคลเทวี
นางพญาหงส์ทอง
ธรรมิกราชธิดา
นางพญาสกุณี
พระนางมัทรี

ปฏิหาริย์พระราหุลอรหันต์
สุวรรณทีปกุมาร
ภัททิยเศรษฐี
สมเด็จพระพิมพาดับขันธนิพพาน
อวสานบท

ปัจฉิมพจน์



สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี
จาก หนังสือ วิมุตติรัตนมาลี
รจนาโดย พระพรหมโมลี วัดยานนาวา กทม.
คลิ๊ก.. เพื่ออ่านตอนอื่นๆต่อค่ะ : http://palapanyo.com/pimpa/index.html
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 22, 2011, 06:19:19 pm »




เมื่อสมเด็จพระนางพิมพาราชเทวี ได้ทรงสดับนางสนมพากันมาทูลความฉะนี้ ก็ให้ดีพระหฤทัยค่อยเคลื่อนคลายระบาย พระอัสสาสะปัสสาสะอันร้อนผ่อนยาวออกได้ จึงอุฏฐาการลุกขึ้นฉับพลันทันใด พระกรจูงหัตถ์พระราหุลบวรดนัย มิได้ทันทรงประดับสรรพาภรณ์ รีบด่วนบทจรมาสถิตยังธรณีพระทวาร ปรารถนาจะทอดทัศนาการพระบรมราชสามี พระอัสสุชลวารีก็ให้มีเป็นอันหลั่งไหลนองพระนัยนากว่าร้อยพันหยาด พอเหลือบเห็นองค์พระมุนีนาถ น้ำพระอัสสุชลนัยน์ก็ไหลหลั่งดั่งกระแสสายสินธุ์นทีธาร ทำให้พระนางมิอาจจะได้ทอดทัศนาการสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์โดยสะดวกเป็น ปรกติสุขได้ จึงตรัสพิไรรำพันพ้อต่อน้ำพระเนตรว่า

"อนิจจา น้ำตาเอ๋ย! กระไรเลยเจ้าช่างไม่เวทนาต่อพิมพา ช่างไม่มีความเมตตาปรานีต่อพิมพานี้บ้างเลยหรือไร จะขอโอกาสเจ้าแต่พอเพ่งพักตร์พระราชสวามีให้เต็มเนตรก็มิใคร่จะได้ แกล้งไหลหลั่งพรั่งไปไม่หยุดยั้ง กำบังเสียซึ่งทัศนวิสัยมิให้ได้เชยชมพระอุดมรูป สิริวิลาสถนัดตา แลพิมพานี้ก็ให้โอกาสแก่เจ้าให้ไหลออกมาสิ้นกาลช้านาน คณนาได้ถึงเจ็ดแปดปีเศษ ยังไม่พอแก่โศกาดูรเทวษหรือประการใด นี่น้ำตาเจ้าจะก่อกรรมทำเวรแก่เรานี้ไปถึงไหนหนอ ไฉนจึงไม่รู้จักเพียงพอเสียทีเล่า เฝ้าหลั่งไหลมิรู้ขาดสายวางวายฉะนี้แล้วพิมพาจะได้มีโอกาสได้ทอดทัศนาพระราช สามีที่จากไปนานได้อย่างไร ขอน้ำตาเจ้าจงให้โอกาสแก่เราในกาลนี้สักหน่อยเป็นไรหนอ"

สมเด็จพระนางเจ้ามีพระเสาวนีย์ตัดพ้อบริภาษอัสสุธาราดั่งนี้ แล้วก็ค่อยมีสติอดกลั้นเสียซึ่งความโศก ค่อยคลานเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระกรกอดเอาข้อพระยุคลบาทซบพระเศียรลง ถวายนมัสการ พลางทรงพระพิลาปกราบทูลด้วยเนื้อความว่า

           

"ข้าแต่พระลูกเจ้าบรมราชสวามี โทษของกระหม่อมฉันพิมพานี้ คงจะมีมากถึงขั้นเป็นหญิงกาลกิณีหรือไร สมเด็จพระลูกเจ้าบรมราชสวามีจึงเสด็จหลีกหนีออกไปบรรพชา ปล่อยให้พิมพานี้ต้องอาดูรด้วยเสน่หาแต่กาลยังดรุณภาพ พระองค์มิได้ตรัสบอกให้ทราบแสร้งทรงสละข้าพระบาทไว้ไม่มีพระอาลัย ดุจก้อนเขฬะในปากพระชิวหาอันถ่มออกจากพระโอษฐ์มิได้โปรดปราน เสด็จบำราศร้างจากนิวาสสถาน ในยามรัตติกาลออกไปทรงบรรพชา เบื้องว่าข้าพระบาทพิมพานี้มีโทษหนักแล้วก็แล้วไปเถิด แต่พระลูกแก้วราหุลราชบวรดนัยเพิ่งประสูติจากพระครรภ์ในวันนั้น ยังมิได้รู้ผิดชอบประการใด นั่นจะมีโทษสิ่งไรไปด้วยเล่า พระผ่านเกล้าจึงแกล้งทอดทิ้งไว้ให้ร้างพระปิตุรงค์

อนึ่ง อันตัวพิมพาข้าพระบาทบงกชนี้ เหล่าเนมิตตกาจารย์ผู้ชำนาญรอบรู้ดูลักษณะก็ได้ทำนายทายทักไว้แต่ยังเยาวทาริกาว่า จะมีบุญญาธิการอภินิหารใหญ่ยิ่งสมควรเป็นมิ่งมเหสีอดุลกษัตริย์จักรพัตราธิราช แลคำทำนายทายทักนั้นก็เคลื่อนคลาดเพี้ยนผิด กลับแปรพิปริตไปสิ้นใช้ไม่ได้ อันที่จริงควรจักทำนายว่า พิมพานี้จะเป็นม่ายได้อัปยศความชอกช้ำระกำใจแต่ยังสาวคราวมีลูก นั่นแลจึงจะถูกจะต้องเป็นที่สุด ประการหนึ่ง ศากยราชนารีมีศักดิ์ใหญ่ทรงพระนามว่า กีสาโคตมี ได้เคยสดุดีสรรเสริญไว้ว่า สตรีใดได้พระลูกเจ้าเป็นพระราชสวามี สตรีนั้นนับว่ามีบุญกุศลมหาศาล ดับเสียได้ซึ่งหทัยทุกข์เป็นสุขนิตยนิรันดร์ คำสรรเสริญสดุดีนั้นก็ให้มีอันเป็นวิปลาสคลาดเคลื่อนไปอีก ด้วยว่าพิมพาข้าพระบาทนี้ได้พระลูกเจ้าเป็นพระราชสวามี บัดนี้ ไม่เห็นจะมีสุขแต่อย่างใด กลับได้แต่ทุกข์อาดูรเทวษบ่มิเว้นวาย"
สมเด็จพระพิมพาเทวีเจ้าบรรยายปริเทวนากถา โดยนัยดังพรรณนาฉะนี้ แล้วก็กลิ้งเกลือกพระอุตตมางคโมลี เหนือหลังพระบาทสมเด็จพระจอมมุนี โศกีพิลาปรำพันอยู่หนักหนา


               

ตอน สมเด็จพระพิมพาสำเร็จมรรคผล

สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนะจอมชนแห่งกบิลพัสดุ์บุรี ทรงเห็นเป็นโอกาสดีเลิศประเสริฐแล้ว จึงกราบทูลแถลงคุณสมบัติแห่งนางกษัตริย์ศรีสุณิสา แด่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าว่า

"ข้าแต่พระบรมครูแห่งนิกรสัตวโลก อันเจ้าพิมพาศรีสุณิสาแห่งบิดานี้ จำเดิมแต่วิปโยคพลัดพรากจากพระองค์ ตั้งแต่วันที่เสด็จออกเพื่อทรงบรรพชากระทำทุกกรกิริยาแสวงหาวิมุตติธรรม เจ้าจะนั่งนอนเดินยืนอยู่ในที่ใดๆก็ไม่มีอารมณ์เป็นสุข มีแต่ทุกข์เศร้าโศกทุก เพลาเช้าเย็นแลราตรีมิได้ขาด ยามเมื่อเข้าห้องสิริไสยาสน์เห็นเศวตฉัตรอันกางกั้นรัตนบัลลังก์ ก็ตั้งหน้าแต่ร้องร่ำกำสรดโศกถึงพระองค์มิเว้นวาย เมื่อได้สดับข่าวว่าทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ปฏิบัตินุ่งห่มผ้า ย้อมน้ำฝาดบ้าง ทั้งนี้เมื่อแจ้งว่าทรงเว้นจากสุคันธวิเลปนมาลาก็มิได้ลูบไล้กายาด้วยจุณสุคนธ์ มิได้ประดับตนทัดทรงบุปผชาติ เมื่อขัตติยประยูรญาติส่งข่าวสารมาว่า จะรับไปบำรุงเลี้ยงรักษาปฏิบัติ ก็มิได้เล็งแลดูหมู่กษัตริย์ราชวงศ์องค์ใด ตั้งใจจงรักภักดีมีสัตย์ซื่อเสน่หาเฉพาะพระองค์ดำรงหฤทัยสุจริต จะได้คิดแปรปรวนไปแต่ในสิ่งใดอื่นมิได้มีเป็นแท้ แลพิมพาศรีสุณิสาแห่งบิดานี้ เจ้าเป็นหญิงกอบด้วยคุณอดุลประเสริฐเลิศกว่าอเนกนิกรกัญญา ควรที่จักกล่าวพรรณนาอีกมากมายสุดประมาณ ”

เมื่อสมเด็จพระชินสีหเจ้า ได้ทรงเสาวนาการคุณแห่งเจ้าหญิงพิมพาที่พระพุทธบิดาพรรณนามาฉะนี้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาดำรัสว่า

“ ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร การที่ว่าเจ้าพิมพาราชเทวีมีจิตสนิทเสน่หาสวามิภักดิ์ในตถาคต ซึ่งปรากฏมีในกาลบัดนี้นั้น มิสู้จะอัศจรรย์ ในอดีตกาลเมื่อบังเกิดในกำเนิดแห่งสัตว์เดียรฉาน เจ้าพิมพานี้ก็มีจิตสุจริตเสน่หาในตถาคตมั่นคงบ่มิได้กัมปนาท ประหนึ่งสิเนรุราชบรรพตปรากฏในสกลโลกธาตุ บริจาคชีวิตให้เป็นทานแก่ตถาคตเป็นมหัศจรรย์ "

สมเด็จพระบรมศาสดาสัพพัญญูเจ้า ดำรัสดั่งนี้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาเผยพระโอษฐ์โปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาจันทกินรีชาดกโดยพิสดาร เพื่อประหารเสียซึ่งโศกาดูรเทวษแห่งพระพิมพาราชเทวี ให้ระงับด้วยสิโตทกวารีคือมธุรธรรมกถา ส่วนว่าสมเด็จพระนางพิมพาราชกัญญาเจ้า เฝ้าทอดทัศนาการพระพักตร์มณฑลแห่งสมเด็จพระทศพลพลางสดับอมฤตรสบทพระธรรมอันวิจิตรไพเราะลึกซึ้งเป็นนิรันดร์ ดุจกระแสสายสินธุ์คงคาที่หลั่งไหลมามิรู้ขาด แล้วพระนางก็ยังประสาทปีติให้บังเกิดในพระกมลสันดาน ด้วยจินตนาการว่าเคยได้สร้างบารมีมากับพระองค์แต่อดีตภพ ก็รำงับเสียซึ่งความโศกให้สงบด้วยปีติปราโมทย์ ในไม่ช้า พระนางก็สามารถยังวิปัสสนาญาณให้บังเกิดขึ้นในขันธสันดานโดยลำดับ จนได้บรรลุพระโสดาปัตติมรรคญาณ ประหารเสียซึ่งกองกิเลสโทษสังโยชน์ทั้ง ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสให้อันตรธาน ประดิษฐานอยู่ในพระโสดาปัตติผลญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ ๑ ในพระพุทธศาสนา สำเร็จ เป็นพระโสดาบันอริยบุคคลแต่เวลานั้น สมเด็จพระสรรเพชญภควันตมุนีนาถ ครั้นทรงทราบอย่างแจ่มชัดว่าเจ้าพิมพาราชเทวีได้ดื่มอมตธรรมสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล มีจิตไม่จลาจลหวั่นไหวในคุณแห่งพระศรีรัตนตรัยแล้ว องค์พระประทีปแก้วก็เสด็จพระพุทธลีลา พร้อมกับคู่พระอัครสาวกคืนสู่พระนิโครธาราม เพื่อทรงบำเพ็ญพุทธกิจโปรดพระยูรญาติศากยวงศ์ในกรุงกบิลพัสดุ์ต่อไป




สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี
จาก หนังสือ วิมุตติรัตนมาลี
รจนาโดย พระพรหมโมลี วัดยานนาวา กทม.

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 22, 2011, 06:16:52 pm »




นางเปสกานารี ได้สดับคำรำพันฉะนี้ ก็ให้แสนสุดที่จะสงสาร รีบอัญชลีคมนาการไปกราบทูลตามคำพระราชสุณิสานั้นทุกประการ ในที่เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ซึ่งเสด็จอยู่ ณ ที่นั่นเป็นมหาสันนิบาตมากมาย ทั้งพระอริยสงฆ์และอำมาตย์ราชบริพารทั้งหลาย เมื่อได้ทรงเสวนาการข่าวสารแห่งพระพิมพาราชเทวีศรีสะใภ้ยอดสงสาร สมเด็จจอมนราภิบาลบรมกษัตริย์ ก็ทรงมีพระราชดำริจะให้สมเด็จพระสัพพัญญูผู้บวรดนัยได้ทรงทราบถึงความเป็นไปแห่งเจ้าพิมพา ขณะที่พระองค์เสด็จออกบรรพชาเพื่อแสวงหาโมกขธรรม จึงกราบทูลด้วยพระวาจาพรรณนาถึงคุณเจ้าพิมพาเทวีเป็นอันมาก แล้วในที่สุดก็กราบทูลขึ้นอีกว่า

"ข้าแต่พระสัพพัญญูผู้มีเพียรพยายามชำนะแก่สงคราม และกอบด้วยพระมหากรุณา ขออาราธนาเสด็จพระพุทธลีลาสู่นิวาสสถานแห่งเจ้าพิมพาราชเทวีในกาลบัดนี้เถิดพระเจ้าข้า แม้นว่าพระชินสีหเจ้าไม่ทรงอาศัยพระมหากรุณาเสด็จไปสู่นิเวศน์ของเจ้าพิมพาด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ ก็น่าที่เจ้าจะเสียใจโศกาดูรเดือดร้อน ด้วยความรักเป็นกำลังคับคั่งอยู่ในกมลสันดาน เห็นเที่ยงที่จะดับสูญสิ้นสังขารภายในสิริไสยาสน์นั้นเป็นมั่นคง ผิว์เจ้าพิมพาปลดปลงชีวาตม์แล้ว เห็นว่าพระหลานแก้วราหุลกุมารก็จะทำลายล้างชีวาตม์ไปตามพระชนนี เมื่อเป็นเช่นนี้ อันว่าประเวณีที่จะสืบขัตติยวงศ์ก็จะพินาศ บ่มิอาจวัฒนาถาวรสืบไป อนึ่ง ในกาลก่อนแต่เสด็จออกบรรพชา เจ้าพิมพากับ พระองค์ก็เคยสนิทเสน่หา จะได้เคลื่อนคลาดธุลีพระบาทบทมาลย์ แม้แต่สักเพลาหนึ่งก็หามิได้ ดังนั้น ในกาลบัดนี้ จึงใคร่ที่จะขอรับพระราชทานชีวาเจ้าพิมพาไว้ อย่าให้ถึงชีวิตอันตรายในครั้งนี้เลย พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์ เมื่อได้ทรงสดับอาราธนากถา แห่งพระพุทธบิดากราบทูลฉะนี้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

"ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร อันคำอาราธนาที่พระองค์ดำรัสนี้ เป็นการชอบสมควรยิ่งนัก ผิว์วันนี้ ตถาคตมิได้ไปเยี่ยมเยือนถึงนิเวศนสถานแล้วไซร้ ก็น่าที่เจ้าพิมพาจะมีดวงหฤทัยภินทนาการเป็นแม่นมั่น และเจ้าพิมพาราหุลมารดานี้ เป็นผู้ที่มีคุณแก่ตถาคตเป็นอันมากมาแต่อดีตกาลประมาณกว่าแสนชาติ ในชาตินั้นๆ เมื่อตถาคตบำเพ็ญบารมีทาน มีบุตรทานเป็นต้นในชาติใด เจ้าพิมพาก็เต็มใจยินยอมพร้อมร่วมศรัทธาในมหาบริจาคด้วยดีจะได้มีจิตคิดขัด แย้งกำเริบพิโรธ และมิได้เกิดความปราโมทย์ยินดีด้วยแม้แต่สักครั้งก็หามิได้ ตั้งแต่บำเพ็ญพระบรมโพธิญาณบารมี คุณความดีของพิมพาเจ้าก็ล้ำเลิศประเสริฐโดยยิ่งจะหาสิ่งใดที่จะเปรียบปาน นั้นมิได้ จนตราบเท่าชาตินี้ถึงปรมาภิเษกสมัย ได้สำเร็จแก่พระสรรเพชญโพธิญาณเห็นปานฉะนี้ จะหาสตรีใดดุจพิมพาซึ่งมีกมลเจตนาช่วยบำรุงพระกฤษฎาภินิหารให้ได้บรรลุพระ สัพพัญญุตญาณนั้น มิได้มีเลย ผิว์ตถาคตจักเมินเฉยไม่กระทำปัจจูปการสนองคุณความดีของเจ้าในครั้งนี้ เจ้าพิมพาราชเทวีก็จะคลาดจากประโยชน์ยิ่งใหญ่ไปอย่างน่าเสียดายนัก"

เมื่อสมเด็จพระพุทธบิดา ได้เสาวนาการพระพุทธบรรหารเช่นนั้น ก็ทรงชื่นชมโสมนัสเหลือประมาณ กราบทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ขึ้นอีกว่า

"ข้าแต่พระอนันตญาณมุนี กาลบัดนี้ สมควรแล้วที่องค์พระประทีปแก้วจะเสด็จพระพุทธลีลาศสู่ปรางค์ปราสาทแห่งเจ้าพิมพา ขออาราธนาเสด็จเถิด พระเจ้าข้า"

กาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์อันกตัญญูกตเวทีเข้าตักเตือนพระหฤทัยจึงเขยื้อนพระวรกายอุฏฐาการจากบวรบัญญัตตาอาสน์ ประทานบาตรทรงให้พระพุทธบิดาเสด็จบทจรตามไป โดยให้พระมหาขีณาสพทั้งหลายยังคงรออยู่ในที่นั่น มีพระพุทธบัญชาให้ตามเสด็จแต่เพียงคู่อัครสาวกทั้งสอง คือ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลาน์ทำหน้าที่เป็นปัจฉาสมณะ แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่ปราสาทแห่งสมเด็จพระพิมพาราชเทวี พลางมีพระพุทธฎีกาตรัส แก่สองอัครสาวกว่า

"ดูกรสารีบุตรและโมคคัลลาน์ เจ้าพิมพาราหุลมารดานี้ เป็นสตรีมีคุณแก่ตถาคตเป็นอันมาก ในกาลบัดนี้ ผิว์นางจักจับบาทตถาคตลูบคลำสัมผัสและโศกาดูรพิลาปด้วยกำลังเสน่หา เธอทั้งสองจงอย่าได้ห้ามปราม จงปล่อยให้นางทำไปตามอัธยาศัย ให้นางพิไรรำพันปริ เวทนาการไปจนกว่าจะสิ้นโศก หากว่าจักห้ามนางในขณะนี้แล้วไซร้ นางก็จะวางวายม้วยมุดมรณาอาสัญ มิได้ทันเป็นสุพรรณภาชนะทองรองรับสดับพระธรรมเทศนา และตถาคตนี้ก็ยังประกอบไปด้วยเป็นหนี้แห่งเจ้าพิมพา ยังมิได้ปลดเปลื้องไปให้พ้น จะได้โอกาสเลิศล้นทดแทนใช้หนี้แก่เจ้าพิมพาก็แต่ในกาลครั้งนี้

อนึ่ง ตถาคตนี้ก็เป็นผู้มีราคะ โทสะ โมหะ ปราศจากขันธสันดาน เป็นสมุจเฉทปหานสิ้นสูญมูลรากเด็ดขาด มิอาจบังเกิดเจริญอีกสืบไปในเบื้องหน้า ครุวนาดุจยอดตาลที่ถูกตัดขาดมิอาจวัฒนาการสืบไป จะได้หวั่นไหวด้วยราคาทิกิเลสนั้น ย่อมเป็นอันมิได้มีอีกดังนั้น หากเจ้าพิมพาราชเทวีที่ไม่ได้พบเห็นตถาคตมานาน เจ้าจักเข้ามาลูบคลำสัมผัสด้วยความเสน่หาตามประสาสตรี ขอเธอทั้งสองจงอย่าห้ามปราม
ในครั้งนี้เลย"

ตรัสบอกแก่คู่อัครสาวกผู้ทำหน้าที่เป็นปัจฉาสมณะฉะนี้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เปล่งพระพุทธรังสีให้โอกาส เพียงดังภาณุมาสสักแสนดวงที่บังเกิดปรากฏเหนือยอดไกรลาสบรรพตมหาหิมวัตคีรี ถ่องแถวพระรัศมีทั้ง ๖ ก็ไพโรจน์โชตนาการส่องสว่างเข้าไปภายในปราสาทสิริไสยาสน์แห่งพระนางพิมพาราชเทวี มีประมาณเท่าลำต้นตาล พุ่งเข้าไปโดยช่องสีหบัญชรทวารกาญจนปราสาท โอภาสไปทั่วบริเวณพระราชมณเฑียรทั้งสิ้น เพื่อจะให้บังเกิดความเลื่อมใส
โสมนัสแก่พระนางพิมพา แล้วก็เสด็จพระพุทธลีลาเข้าไป ด้วยพระพุทธสิริวิลาสอันงามสุดที่จะหาอะไรมาเปรียบได้ สถิตบนรัตนบัลลังก์อาสน์มณฑล ดุจดวงทินกรสถิตเหนือยอดยุคนธรสิขรินทร์

ฝ่ายว่าอเนกนางสนมทั้งสิ้น ได้ทอดทัศนาเห็นสมเด็จพระสัพพัญญูพร้อมกับคู่อัครสาวก เสด็จเข้าสู่พระมณเฑียรสถาน ทรงนิสัชนาการเหนือรัตนบัลลังก์อาสน์ ด้วยพระพุทธลีลาอันงามสุดประมาณเช่นนั้น ต่างก็พากันเข้าไปทูลพระพิมพาราชเทวีซึ่งกำลังทรงพระโศกีหมองไหม้ด้วยหทัยทุกข์ว่า

"ข้าแต่พระแม่เจ้า บัดนี้ สมเด็จพระปิ่นเกล้ากษัตริย์ภัสดาเสด็จมาสถิตบนรัตนบัลลังก์อาสน์ดังแต่กาลก่อนแล้วนะ พระแม่เจ้า"

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 22, 2011, 06:14:21 pm »



เมื่อสมเด็จบรมขัตติยธิราชได้สดับว่า สมเด็จพระลูกยาเสด็จเที่ยวภิกขาจารโคจรบิณฑบาตเช่นนี้ ความที่ไม่ทรงทราบอะไร ก็ทรงมีพระหฤทัยกอบไปด้วยความสังเวชอดสูอยู่หนักหนา ทรงรีบอุฏฐาการลุกจากพระแท่นที่ พระหัตถ์ทรงผ้าสาฎกสะพักพระองค์เสด็จลงจาก ราชนิเวศน์บทจรโดยด่วน ไปหยุดยืนอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระบรมศาสดาแล้วทรงตัดพ้อต่อว่าด้วยความน้อยพระราชหฤทัย

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไฉนพระองค์จึงมาทรงกระทำให้บิดาได้รับความอายขายหน้าเป็นอัปยศ มาเที่ยวบทจรบิณฑบาตอันเป็นการมิสมควรแก่ราชสกุลเช่นนี้เล่า หรือสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเข้าพระทัยว่า บิดานี้ มิอาจที่จะยังพระภิกษุสงฆ์องค์บริวารประมาณ ๒๐,๐๐๐ องค์ ให้ได้ขบฉันภัตตาหารเป็นการเพียงพอหรือไร ขอพระองค์จงอย่าได้ทรงกระทำอย่างนี้เลย พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระราชดำรัสตรัสตอบพระพุทธบิดาว่า

"ดุกรบพิตรพระราชสมภาร อันว่ามหาสมมติวงศ์ศักยราชนี้ หาใช่วงศ์ประเวณีแห่งตถาคตไม่ วงศ์ประเวณีแห่งตถาคตเป็นอีกวงศ์หนึ่งต่างหาก จริงอยู่ สมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งปวง จำเดิมแต่พระพุทธทีปังกรเป็นต้น ลงมาจนตราบถึงพระพุทธกัสสปะย่อม สำเร็จกิจเลี้ยงชีวิตด้วยสปทานจาริกภิกขาจาริกวัตรทั้งสิ้น อันนี้เป็นวงศ์ประเวณีแห่งอาตมาตถาคต

ดูกรบพิตรพระราชสมภาร กาลเมื่อตถาคตประสูติ ณ ภายใต้มงคลสาลพฤกษ์ในป่าลุมพินีวัน บังเกิดบุรพนิมิตเป็นมหัศจรรย์ ๓๒ ประการ ขณะนั้น ก็ยังชื่อว่าประดิษฐานอยู่ในมหาสมมติวงศ์ศักยราช และกาลเมื่อออกสู่มหาภิเนษกรมณ์กระทำทุกกรกิริยาจนนิสัชนาการ เหนือวชิรบัลลังก์ ยังพญามารและพลมารให้อัปราชัย จวบจนได้รู้แจ้ง ในปุพเพนิวาสานุสติญาณตอนปฐมยาม ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยามได้บรรลุทิพยจักษุแลทิพยโสตญาณตอนนั้น ก็ยังชื่อว่าประดิษฐานอยู่ในมหาสมมติวงศ์ศักยราช ยังมิได้ขาดจากวงศ์เดิมนั้น

กาลเมื่อพิจารณาพระปฏิจจสมุปบาทปัจจยาการ ตอนปัจฉิมยามเพลาตามอรุณสมัยไขแสงทองสว่างอร่ามฟ้า ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสัพพัญญุตญาณ กาลนั้นเป็นอันว่ามหาสมมติวงศ์ศักยราชก็ขาดสูญประดิษฐานอยู่ในพระพุทธวงศ์อันประเสริฐจำเดิมแต่นั้นมา"

เมื่อมีพระพุทธฎีกาตรัสบอกฉะนี้แล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธบิดาด้วยสารพระคาถาว่า อุตฺติฏเฐ นปฺปมชุเชยฺย เป็นอาทิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า บุคคลผู้ใดมิได้ประมาทในความเพียร อุตสาหะประพฤติในสุจริตธรรม และบุคคลผู้นั้นก็จะนิปัชชนาการเป็นสุขสำราญในอิธโลกและปรโลกเบื้องหน้า พอจบพระคาถาลง องค์บรมกษัตริย์สิริสุทโธทนะพระพุทธบิดาก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ ๑ ในพระพุทธศาสนา สำเร็จเป็นพระโสดาบัน อริยบุคคลแล้ว จึงทรงรับเอาบาตรและอาราธนาสมเด็จพระสัพพัญญูพร้อมทั้งหมู่อริยสงฆ์บริษัทให้ขึ้นสู่ปราสาท แล้วทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชนียาหาร เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์และพระอริยสงฆ์เสร็จภัตกิจแล้ว จึงหมู่นางพระสนมทั้งปวงมีพระมหาปชาบดีเป็นประธาน ก็พากันมาถวายนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เว้นแต่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพิมพาราชเทวี มิได้เข้ามาเฝ้ากับเขาทั้งหลายในขณะนี้เพียงแต่มีเสาวนีย์สั่งมาว่า

"อันตัวพิมพานี้ ถ้ามีความชอบอยู่บ้าง แม้นว่าสมเด็จพระสัพพัญญูเสด็จมาสู่สำนัก จึงจักได้ถวายวันทนาการพระยุคลบาทต่อภายหลัง" ดังนี้

ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันที่คำรบสอง สมเด็จพระพุทธองค์ก็ทรงพาพระอริยสงฆ์เสด็จพระพุทธดำเนินไปรับภัตตาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์อีก ตามคำอาราธนาของพระพุทธบิดา เมื่อเสร็จภัตกิจแล้วทรงพระมหากรุณาตรัสเทศนาโปรดพระมหาปชาบดีให้ได้สำเร็จ พระโสดาปัตติผลญาณ เป็นพระโสดาบันอริยบุคคล ส่วนสมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนมหาราชพุทธบิดาผู้มีญาณูปนิสัย ก็ได้สำเร็จธรรมวิเศษสูงขึ้นอีกชั้นหนึ่งในวันนี้คือ พระองค์ได้บรรลุพระสกิทาคามิผลญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ ๒ สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

ครั้นรุ่งขึ้น เป็นตติยวารสมัย พอพระสุริยาไขแสงส่องอร่ามฟ้า สมเด็จพระบรมศาสดาก็พาพระอริยสงฆ์เสด็จไปสู่พระราชนิเวศน์ ตามคำอาราธนาของสมเด็จพระพุทธบิดาอีกเล่า สมเด็จพระปิตุเรศเจ้าซึ่งทรงเป็นพระสกิทาคามีอริยบุคคลแล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วกอบด้วยพระราชศรัทธาถวายยาคูภัตตาหารอันประณีต แด่สมเด็จพระทศพลและพระอริยสงฆ์องค์บริวารจำนวน ๒๐,๐๐๐ นั้น ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว องค์พระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสเทศนา มหาธรรมปาลชาดกฉลองพระราชศรัทธา พอจบพระสัทธรรมเทศนาลง องค์บรมกษัตริย์ผู้มีพระบารมีแก่กล้า ก็ได้ทรงบรรลุพระอนาคามิผลญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ ๓ ในพระพุทธศาสนา สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลฉับพลันเป็นอัศจรรย์

แล้วจึงหันพระพักตร์เหลียวแลไปดูหมู่สนมนางในทั้งปวง เมื่อมิได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าพิมพาราชสุณิสาในระหว่างหมู่คณานางทั้งสิ้น สมเด็จพระบรมนรินทร์ปิ่นกษัตริย์สิริสุทโธทนะพระอนาคามีอริยบุคคลผู้ได้สำเร็จใหม่ จึงมีพระราชดำรัสตรัสถามไปในขณะนั้นว่า

"แม่พิมพาเทวีราชสุณิสาแห่งเรา เจ้าสถิตอยู่ ณ ที่ไหน เหตุไรจึงไม่มาเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา เพื่อสดับพระธรรมเทศนาอันประเสริฐในวันนี้ด้วยเล่า? "

ทรงมีพระราชดำรัสถามด้วยความที่ทรงห่วงใยในพระราชสุณิสาฉะนี้แล้ว ก็ดำรัสใช้เปสกาบริจาริกานางหนึ่ง ให้ไปทูลพระราชสุณิสามาในที่ประชุมนั้นโดยไว แล้วก็ทรงกราบทูลพระบรมไตรโลกนาถเจ้าว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นบรมไตรโลกนาถ เจ้าพิมพาราชเทวีศรีสะใภ้แห่งบิดานี้เจ้ามีแต่ทุกข์แต่โศกมาเป็นเวลานาน วันนี้ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาอนุเคราะห์ระงับเสียซึ่งหฤทัยเจ้าศรีสะใภ้ อันหม่นไหม้ไปด้วยวิปโยคโศกีมาประมาณเจ็ดแปดปีด้วยเถิดพระเจ้าข้า บิดานี้เข้าใจว่า เจ้าพิมพาราชเทวีคงจักสิ้นอาดูรเทวษอันรุ่มร้อนหฤทัยในวันนี้เป็นแน่แท้" ดังนี้

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 22, 2011, 06:10:40 pm »



ตอน สมเด็จพระพิมพารำพัน
สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี
จาก
หนังสือ วิมุตติรัตนมาลี
รจนาโดย พระพรหมโมลี วัดยานนาวา กทม.

กาลครั้งนั้น ฝ่ายเจ้าสุมิตตากุมารีสาวโศภาแห่งปัจจันตคามคู่สร้างบารมีแห่งองค์สมเด็จพระชินวร แต่ครั้งศาสนาพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกลับชาติมาเกิดเป็นเจ้าหญิงพิมพาราชเทวี ชนนีแห่งพระราหุลขัตติยราชกุมาร เมื่อได้เสาวนาการเสียงโกลาหลสำเนียงนฤโฆษสนั่นถึงพระโสตดั่งนั้น พระนางเจ้าจึงมีเสาวนีย์ตรัสถาม นางกำนัลนิกรเปสกาว่า

"ดูกรเจ้าทั้งหลาย อันว่าเสียงโกลาหลวุ่นวายนั้น เกิดขึ้นด้วย เหตุปรากฏมีเป็นไฉน?"

นางกำนัลทั้งหลาย ออกไปสืบได้ความมาแล้วจึงทูลว่า

"ข้าแต่พระแม่เจ้า กาลบัดนี้ พระราชสวามีของพระแม่เจ้าเสด็จมาถึงกรุงกบิลพัสดุ์ด้วยเพศสมณะครองผ้ากาสาวพัสตร์ พระหัตถ์ทรงซึ่งบาตรบทจรลีลาศเที่ยวภิกขาจาร ชนทั้งหลายซึ่งเป็นชาวเมืองได้ทอดทัศนาการเห็นแปลกประหลาด จึงเกิดเอิกเกริกโกลาหลขึ้น เหตุเป็นดั่งนี้แล พระแม่เจ้า"

เมื่อเจ้าพิมพาราชเทวีได้สดับเหตุดั่งนี้ ความที่ไม่เคยคิดฝันและไม่เคยฟังมาแต่กาลก่อน ก็ให้เร่าร้อนรันทดพระหฤทัยโทมนัสตรัสว่า

"พระลูกเจ้าสถิตในพระนครนี้ จะเสด็จไปในสถานที่ใด ก็เคยทรงกุญชรชาติพาชีสีวิกากาญจน์ยานราชรถ อันปรากฏด้วยดิเรกราชานุภาพมหึมา ก็บัดนี้ มาปลงพระโลมามัสสุและเกศา ทรงนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด พระหัตถ์ทรงซึ่งบาตรเสื่อมสูญพระยศศักดาเดชดุจเพศคนจัณฑาล เที่ยวภิกขาจารทรมานพระองค์ ไม่มีพระภูษาทรงแลอาภรณ์หรือไฉน พระสิริวิลาสจะแปลกประหลาดเป็นประการใดในคราวนี้ น่าสงสารนัก

อนึ่ง ชะรอยพิมพานี้จะเป็นหญิงกาลกิณีอาภัพอัปลักษณ์ทุรพลไม่มีกุศลแต่กาลก่อนหรือไฉน จึงเผอิญบันดาลให้พระลูกเจ้าบำราศร้างห่างเสน่หา ทั้งนี้น่าจะเป็นด้วยอกุศลกรรมกระทำไว้แต่ปุเรชาติ พระภัสดาจึงเสด็จนิราศจากไปด้วยหมดอาลัยไยดี แต่พิมพานี้ครองชีวิตกินแต่อัสสุชลธารามาก็ช้านาน ช่างกระไร พระลูกเจ้าไม่มีพระหฤทัยโปรดปรานกรุณาบ้าง มาตัดขาดเด็ดเดี่ยวบำราศร้างอย่างประหนึ่งว่าเป็นอื่นไป อนิจจา! น่าอนาถใจถึงไม่มีพระอาลัยไยดีในพิมพา ก็น่าที่จะทรงจินตนาการมาถึงเจ้าราหุลราชกุมารหน่อน้อยบ้างก็มิได้มี"

ตรัสพลางเจ้าพิมพาราชเทวี ก็ทรงพระโศกีกำสรดพิลาปพระพักตราอาบไปด้วยนัยนามพุธารา พระหัตถ์มุ่นพระเกศาพลางเสด็จอุฏฐาการโดยด่วน ชวนพระราหุลราชโอรสบทจรสู่สีหบัญชรปราสาท ด้วยพระทัยปรารถนาจะทอดทัศนาพระภัสดา ซึ่งมีข่าวว่าได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ จึงเผยพระแกลเล็งแลดูพระสัพพัญญู ก็ได้ทัศนาเห็นองค์สมเด็จพระบรมครูภควันต์ ซึ่งในขณะนั้นพระองค์กำลังทรงรุ่งเรืองไปด้วยถ่องแถวพระฉัพพิธพรรณรังสี ครบบริบูรณ์ด้วยพระทวัตติงสมหาปุริสลักขณะและพระอสีตยานุพยัญชนะวิจิตรตั้งแต่พระอุณหิสลงมาจนตราบเท่าถึงพื้นฝ่าพระยุคลบาท ไพโรจน์ด้วยพระสิริวิลาสหาที่จะเปรียบมิได้ จึงยกพระหัตถ์ชี้ให้เจ้าราหุลได้ทอดทัศนา แล้วก็มีพระเสาวนีย์พรรณนาพระบวรรูปแห่งพระภัสดา โดยใจ ความว่า

"ดูกรพ่อราหุลลูกรัก พระมหาสมณะผู้มีศักดิ์ใหญ่ ซึ่งกำลังเสด็จเที่ยวโคจรบิณฑบาตไปด้วยพระพุทธลีลาอันงามนี้ พระองค์ทรงมีเส้นพระเกศาละเอียดอ่อน และวนเวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีสีดำสนิททุกเส้น และทรงมีพื้นพระนลาฏงามยิ่ง ดุจสุริยมณฑลอันปราศจาก มลทิน นอกจากนั้น พระองค์ท่านยังทรงมีพระนาสิกสัณฐานยาวและสูงดุจขอแก้ววิเชียร รุ่งเรืองไปด้วยข่ายพระรัศมีมีพรรณโอภาส เป็นนรสีหราชบุรุษมนุษย์ประเสริฐศุภมงคล พื้นพระยุคลบาทมีพรรณแดง ประดับด้วยพระลายลักษณะวงกงจักรและรอบรูปอัฏฐุตตรสตมหามงคล ๑๐๘ ประการเป็นบริวาร

ดูกรพ่อราหุลกุมาร พระนรสีหบุรุษผู้เป็นมหาสมณะทรงศักดาใหญ่นี้ มิใช่ผู้อื่นไกลใครที่ไหน โดยที่แท้พระองค์คือพระราชบิดาของเจ้า อนึ่งเล่า พระองค์ก็ทรงเป็นศักยราชกุมารผู้ประเสริฐสุขุมาลชาติ มีพระสรีรกายวิจิตรงามวิลาสบริบูรณ์ เสด็จมาเพื่อจะกระทำกิจให้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งปวง อนึ่ง พระองค์มีพรรณพระพักตร์ผ่องเพียงศศิธรมณฑล อันบริบูรณ์ในวันปุณณมี ทรงเป็นที่รักเลื่อมใสแห่งเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อทรงพระดำเนินไปก็งดงามประดุจลีลาแห่งพญาไกรสรสีหราชมฤคินทร์ ควรจะบังเกิดโสมนัสแก่ผู้ที่ได้ทัศนาการ ทั้งพระสุรเสียงของพระองค์ก็เสนาะสนิทวิจิตรคัมภีรภาพนฤโฆษ พระชิวหาแลพระโอษฐ์ก็มีพรรณแดงเข้มวิสุทธิโสภณ พระทนต์ก็ขาวสีสะอาดพิลาสดังสีสังข์ พระองค์ทรงบังเกิดในขัตติยอัครตระกูลอดุลยชาติ สมควรที่นรเทพยดาจักอภิวาทพระบวรบาทยุคล ทั้งพระกมลก็กอบด้วยศีลสมาธิปัญญาคุณอันอุดม ลำพระศอนั้นเล่าก็กลมดุจกลึงกล่อม พร้อมทั้งพระหนุก็งดงามดุจคางแห่งสีหราช พระสรีรกายก็ไพบูลย์พิลาสประดุจดังกายท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ ทั้งพระฉวีวรรณก็งามไพโรจน์วิลาสประดุจสีแห่งสุวรรโณภาส พระองค์เสด็จยุรยาตรไปในท่ามกลางพระอริยสงฆ์สาวก ครุวนาดุจดวงจันทร์อันแวดล้อมด้วยคณะดารากำลังลีลาไปในอัมพรประเทศ พระนรสีหบุรุษองค์นี้หรือคือองค์พระปิตุเรศของเจ้านะ พ่อราหุล ขอพ่อจงรู้จักและจดจำไว้ให้จงดีเถิด"

สมเด็จพระพิมพาราชเทวี มีพระเสาวนีย์สดุดีสมเด็จพระบรมศาสดาให้เจ้าราหุลขัตติยกุมารน้อยได้สดับดั่งนี้แล้ว ก็เสด็จไปสู่พระตำหนักแห่งพระเจ้าสิริสุทโธทนะพระพุทธชนก ยกพระกรอัญชุลีแล้วกราบทูลความว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสมมติเทวราชทรงพระคุณอันประเสริฐ บัดนี้ พระราชบุตรแห่งพระองค์มาเสด็จโคจรบิณฑบาตโดยวิถีในพระนครนี้ ด้วยพระพุทธลีลาศอันงามดุจเทพยดา ปวงประชาต่างพากันชื่นชมโสมนัสยินดีอยู่ทุกถ้วนหน้าแล้ว พระองค์จักไม่เสด็จไปทอด พระเนตรพระลูกเจ้านั้นบ้างหรือไฉน"

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2010, 05:32:02 am »




อนึ่ง ดวงอาทิตย์ถึงจะโคจรไปในเวลาเที่ยง ก็ไม่ทำใครๆ ให้ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์ ทวยเทพทั้งหลายพากันบูชาด้วยของทิพย์คือของหอมและดอกไม้ที่หอมตระหลบและการฟ้อนรำขับร้องดีดสีตีเป่า พวกนาคอสูรและพรหม ต่างก็พากันบูชาพระพุทธมารดาผู้นิพพานแล้ว กำลังถูกเขานำไปตามสติกำลัง ภิกษุณีทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคตซึ่งนิพพานแล้วทั้งหมดเชิญไปข้างหน้า พระปชาบดีโคตมีเถรีพุทธมารดา ผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะเชิญเอาไปข้างหลัง เทวดา มนุษย์ พร้อมด้วยนาค อสูรและพรหมไปข้างหน้า ข้างหลังพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกเสด็จไปเพื่อบูชาพระมารดา

การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าหาได้เป็นเช่นนี้ไม่
การปรินิพพานของพระปชาบดีโคตมีเถรี อัศจรรย์ยิ่งนัก ในเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไม่มีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นต้น เหมือนในเวลาพระปชาบดีโคตมีเถรีนิพพาน ซึ่งมีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ชนทั้งหลายช่วยกันทำจิตกาธารซึ่งสำเร็จด้วยของหอมล้วนและเกลื่อนไปด้วยจุรณแห่งเครื่องหอม แล้วเผาภิกษุณีเหล่านั้นบนจิตกาธารนั้น ส่วนแห่งสรีระนอกนั้นถูกไฟไหม้สิ้นเหลือแต่อัฐิ

ในเวลานั้นท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่าจาอันให้เกิดความสังเวชว่า
“พระปชาบดีโคตมีเถรีเข้านิพพานแล้ว พระสรีระของพระเถรีก็ถูกเผาแล้ว การนิพพานของพระพุทธเจ้าน่าสังเกต อีกไม่นานก็คงจักมี”

ต่อจากนั้นท่านพระอานนท์อันพระพุทธเจ้าทรงตักเตือนท่าน ได้น้อมพระธาตุของพระปชาบดีโคตมีเถรีซึ่งอยู่ในบาตรของพระเถรีเข้ามาถวายแด่พระโลกนาถ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประคองพระธาตุเหล่านั้นด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้วตรัสว่า

                   

เพราะสังขารเป็นสภาพไม่เที่ยง โคตมีผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่ภิกษุณียังต้องนิพพาน เหมือนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่นยืนต้นอยู่ ถึงจะใหญ่โตก็ต้องผุพังไปฉะนั้น ดูเอาเถิดอานนท์ พระพุทธมารดาแม้นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศกปริเทวนาการ

ท่านพระอานนท์ทูลว่า “น่าอัศจรรย์จริงหนอ พระมารดาของข้าพระองค์ แม้นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศกปริเทวนาการ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โคตมีข้ามสาครคือสงสารไปแล้ว ละเว้นเหตุอันทำให้เดือดร้อนได้แล้ว เป็นผู้เยือกเย็นดับสนิทแล้ว อันผู้อื่นไม่ควรเศร้าโศกถึง โคตมีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก และมีปัญญากว้างขวาง ทั้งเป็นผู้รู้ราตรีนานกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทรงจำไว้อย่างนี้เถิด โคตมีเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ ทิพพโสตธาตุ และมีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้ทั่วถึงปุพเพนิวาสสานุสสติญาณ ชำระทิพยจักษุให้หมดจด สิ้นอาสวะหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ญาณในอรรถะธรรมะ นิรุตติและปฏิภาณบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะเศร้าโศกถึงโคตมีนั้น คติของไฟที่ลุกโพลง ถูกแผ่นเหล็กทับแล้วดับไปโดยลำดับ ใครๆ ก็รู้ไม่ได้ฉันใด คติของท่านที่หลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบแล้ว ข้ามพ้นโอฆะ คือพันธะทางกาม บรรลุอจลบท บทที่ไม่หวั่นไหวแล้ว ก็ไม่มีใครจะรู้ได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีสติปัฏฐานเป็นทางดำเนินเถิด เธอทั้งหลายอบรมโพชฌงค์ ๗ ประการแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้




ขอบพระคุณที่มาส่วนนี้จาก : คุณ winmaxlove
Credit by : http://www.sookjai.com/index.php?topic=1574.0
Pics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุค่ะ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2010, 05:07:58 am »



ฉะนั้น สาครก็ปั่นป่วนตีฟองคะนองเพราะความโศก ทวยเทพ นาค อสูร และพรหมต่างก็พากันสลดใจ กล่าวขึ้นในทันใดนั้นเองว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหมือนอย่างพระนางปชาบดีโคตมีเถรี ถึงความย่อยยับไปแล้ว และพระเถรีทั้งหลายผู้ทำตามคำสอนของพระศาสดา ซึ่งแวดล้อมพระนางปชาบดีโคตมีเถรีนี้ก็พากันนิพพาน เหมือนเปลวประทีปหมดเชื้อฉะนั้น

โอ้..ความพบกัน ก็มีความพลัดพรากจากกันเป็นที่สุด..!
โอ้..สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วนแต่ไม่เที่ยง..!
โอ้..ชีวิตมีความหายสูญเป็นที่สุด..!
ความพิไรรำพัน ได้มีแล้วด้วยประการฉะนั้น


ลำดับนั้นเทวดาและพรหม ต่างก็ทำความประพฤติตามโลกธรรมตามสมควรแก่กาลแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้เป็นยอดฤาษี พระองค์ที่ ๗

ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า “อานนท์ เธอจงไปประกาศให้ภิกษุทั้งหลาย ทราบถึงการนิพพานของพระมารดา” เวลานั้นท่านพระอานนท์ผู้ร่าเริง ก็ไร้ความร่าเริง มีดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาได้กล่าวด้วยเสียงร้องไห้ว่า

“ขอภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคต ซึ่งอยู่ในทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และ ทิศเหนือ จงมาประชุมกัน ภิกษุณีผู้ทำพระสรีระสุดท้ายของพระมุนีให้เติบโตด้วยน้ำนม มีนามว่า พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีนิพพานถึงความสงบเหมือนดวงดาวทั้งหลาย เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยฉะนั้น พระเถรีตั้งบัญญัติทำให้รู้กันทั่วไปว่า เป็นพระพุทธมารดา นิพพานแล้วในที่ใด ถึงคนมี ๕ ตาก็แลไม่เห็น ในที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเป็นผู้นำ ทรงเห็นได้ ขอพระโอรสของพระสุคตผู้มีความเชื่อในพระสุคต หรือเป็นศิษย์ของพระมหามุนี จงทำสักการะแด่พระพุทธมารดาเถิด

ภิกษุทั้งหลายถึงอยู่ไกล ได้ฟังคำประกาศนั้นแล้วก็รีบมา บางพวกมาด้วยพุทธานุภาพ บางพวกที่ฉลาดในฤทธิ์ก็มาด้วยฤทธิ์ ต่างช่วยกันยกเอาเตียงที่พระโคตมีเถรีหลับขึ้นไว้ในเรือนยอด (เมรุ) อันประเสริฐ น่ารื่นรมย์ ทำด้วยทองล้วนๆ งดงาม ท้าวโลกบาลทั้งสี่เอาบ่าเข้ารองรับเรือนยอด ทวยเทพที่เหลือมีท้าวสักกะเป็นต้นเข้าช่วยรับเรือนยอด ก็เรือนยอดทั้งหมดมี ๕๐๐ หลัง

แท้จริงวิษณุกรรมเทพบุตรเนรมิตมีสีเหมือนดวงอาทิตย์ในสุรทกาล ทวยเทพทั้งหลายได้แบกภิกษุณีทุกๆ รูปที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว นำเอาออกไปตามลำดับ พื้นนภากาศถูกเอาเพดานบังไว้ทั่วดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงดาวซึ่งสำเร็จด้วยทอง ได้ถูกยกขึ้นไว้เป็นอันมาก จิตกาธารทั้งหลายมีดอกไม้เป็นเครื่องปกคลุม ดอกบัวที่เกิดขึ้นในอากาศเอาปลายลงดอกไม้ผุดขึ้นจากแผ่นดิน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ คนมองดูเห็นได้ และดาวทั้งหลายส่องแสงระยิบระยับ


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2010, 05:01:55 am »



ข้าแต่พระมหามุนีผู้ทรงเป็นผู้นำ พระองค์เป็นผู้อันข้าพระองค์ทั้งหลายผู้มีเมตตาจิต บำรุงแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ทั้งหมดนิพพานเถิด”

พระชินพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอทั้งหลายเมื่อพูดอย่างนี้ว่า จักนิพพาน ตถาคตจักไปว่าอะไร
ก็บัดนี้เธอทั้งหลายจงสำคัญกาลเวลาของเธอเอาเองเถิด”

ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นมีพระปชาบดีโคตมีเถรีเป็นต้น ถวายบังคมพระชินพุทธเจ้า แล้วได้พากันลุกจากที่นั่งนั้นมา พระธีรเจ้าผู้นำเลิศของโลกพร้อมด้วยหมู่ชนเป็นอันมาก ได้เสด็จไปส่งพระมาตุจฉาจนถึงซุ้มประตู

ครั้งนั้นพระปชาบดีโคตมีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณีทั้งหมด ได้พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระศาสดา ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของโลกกราบทูลว่า

“นี้เป็นการถวายบังคมพระยุคลบาทครั้งสุดท้ายของหม่อมฉัน การได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนาถะของโลกครั้งนี้ ก็เป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจักไม่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ซึ่งมีอาการดุจอมตะอีก
ข้าแต่พระมหาวีระผู้เลิศของโลก การถวายบังคมของหม่อมฉันไม่สัมผัสพระยุคลบาทของพระองค์ ซึ่งละเอียดอ่อนดี วันนี้หม่อมฉันจะนิพพาน”

พระศาสดาตรัสว่า “ประโยชน์อะไรของเธอ ด้วยรูปนี้ในปัจจุบัน รูปนี้ล้วนปัจจัยปรุงแต่ง ไม่น่ายินดีเป็นของต่ำทราม

พระมหาปชาบดีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณีเหล่านั้นไปสำนักของภิกษุณีของตนแล้ว นั่งพับเพียบบนอาสนะอันประเสริฐ

ครั้งนั้น อุบาสิกาทั้งหลายในพระนครนั้นผู้มีความเคารพรักในพุทธศาสนา ได้สดับประพฤติเหตุของพระเถรี ก็พากันเข้าไปหา นมัสการแทบบาทมูลร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร เต็มกลั้นด้วยความโศกเศร้า ก็ล้มลงที่พื้นพสุธาดุจเถาวัลย์รากขาดฉะนั้น พากันรำพันว่า

“ข้าแต่พระแม่เจ้าผู้เป็นนาถะให้ที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย พระแม่เจ้าอย่าละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายไปสู่นิพพานเลย ข้าพเจ้าทุกคนขอซบเกล้าอ้อนวอน”

พระมหาปชาบดีเถรีลูบศีรษะของอุบาสิกา ผู้มีศรัทธา มีปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้าของอุบาสิกาเหล่านั้นกล่าวดังนี้ว่า

“ลูกเอ๋ย ความโศกสลด ซึ่งตกอยู่ในบ่วงแห่งมารไม่ควรเลย สังขารทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง การพลัดพรากกันเป็นที่สุด หวั่นไหวไปมา”

ต่อแต่นั้นพระเถรีก็สละอุบาสิกาเหล่านั้น
เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตตถฌาน แล้วเข้ากาสานัญจายตนฌาน วิญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ตามลำดับแล้ว พระปชาบดีโคตมีเถรีก็เข้าฌานทั้งหลายโดยปฏิโลมแล้ว ก็เข้าปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้วก็ดับ เหมือนเปลวประทีปที่ปราศจากเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ สายฟ้าก็ตกลงจากนภากาศ กลองทิพย์ก้บันลือลั่นขึ้นเอง ทวยเทพพากันคร่ำครวญและฝนดอกไม้ก็ตกจากอากาศลงยังพื้นแผ่นดิน แม้ขุนเขาเมรุราชก็กัมปนาทหวั่นไหวเหมือนนักฟ้อนรำในท่ามกลางเวทีฟ้อนรำ


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2010, 04:58:41 am »



ภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีเถรีนั้นได้พากันเหาะขึ้นสู่นภากาศเป็น ผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์รุ่งโรจน์เหมือนดวงดาวทั้งหลาย อันโคจรเป็นกลุ่มกันไป ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นได้แสดงฤทธิ์มิใช่น้อยเหมือนนายช่างทองผู้ชำนาญการทำทองแสดงเครื่องประดับหลากชนิด ฉะนั้น

ในครั้งนั้น ภิกษุณีเหล่านั้นแสดงปาฏิหาริย์ได้วิจิตรหลายอย่าง ทำพระมุนีผู้เป็นพระศาสดา ผู้ประเสริฐ พร้อมทั้งบริษัทให้ชอบใจแล้ว ได้พากันลงจากนภากาศถวายบังคมพระศาสดาพระผู้เป็นฤาษีพระองค์ที่ ๗ อันพระศาสดาผู้เป็นยอดของนรชน ทรงอนุญาตแล้วจึงได้นั่ง ณ สถานที่อันสมควรแล้วได้กราบทูลว่า

“ข้าแต่พระมหาวีระ โอหนอ...พระโคตมีเถรี เป็นผู้อนุเคราะห์ข้าพระองค์ทุกๆ คน พวกข้าพระองค์อันบุญบารมีของพระองค์อบรมแล้ว จึงพากันบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผากิเลสได้แล้ว ถอนภพทั้งปวงได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกเหมือนช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่ข้าพระองค์ทั้งหลายมาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดีแล้วหนอ

วิชชาสาม พวกข้าพระองค์บรรลุมาแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า พวกข้าพระองค์ก็ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทั้งหลายทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าอันข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ”

“ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพระองค์ทั้งหลายชำนาญเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณชำระทิพยจักษุได้แล้ว สิ้นอาสวะหมดแล้ว
บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีญาณในอรรถธรรมนิรุตติและปฏิภาณ ญาณนั้นเกิดที่สำนักของพระองค์ ข้าแต่พระมหามุนี