ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: กระตุกหางแมว
« เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 12:45:48 am »

คลังหนังสือย่อยๆอิอิ(แอบแซว)
ขอบคุณมากครับพี่
ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 11:05:58 pm »

 :45: อนุโมทนาครับพี่แป๋ม
ข้อความโดย: mmm
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 10:21:21 am »

 :07: :07: :07: :07: :07:
สาธุครับ
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 07:13:03 am »






เหตุปัจจัยให้เกิดเป็นกะเทย

อ่านเนื้อหารายละเอียดได้
ตามลิ้งค์ค่ะ


  :yoyo019:   http://www.vipassana.es.tl/29-.-1-%26%233648%3B%26%233627%3B%26%233605%3B%26%233640%3B%26%233651%3B%26%233627%3B%26%233657%3B%26%233585%3B%26%233632%3B%26%233648%3B%26%233607%3B%26%233618%3B.htm
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 07:05:29 am »



                          ก็กัดอวัยวะสืบพันธุ์ของดิฉันเสีย นี่เป็นผลกรรมของดิฉันที่ได้คบชู้
                          ภรรยาของชายอื่น ดิฉันทำกาละจุติจากกำเนิดวานรนั้นแล้ว เกิดในท้อง
                          นางแพะตาบอดทั้งขาก็ฉิ่งในแคว้นสินธู อยู่มาได้ ๑๒ ปี ก็ถูกเด็กตัด
                          อวัยวะสืบพันธุ์เสีย ต่อมาเป็นโรคถูกหมู่หนอนฟอนที่อวัยวะสืบพันธุ์ นี่
                          เพราะโทษที่ดิฉันคบชู้ภรรยาของชายอื่น ดิฉันจุติจากกำเนิดแพะนั้นแล้ว

                          เกิดในท้องแม่โคของพ่อค้าคนหนึ่ง เป็นลูกโคมีขนแดงเหมือนสีครั่ง
                          เมื่อล่วงได้ ๑๒ เดือน ก็ถูกตอน ดิฉันถูกเขาใช้เทียมไถและเข็นเกวียน
                          ต่อมาเป็นโคตาบอด เป็นโคกระจอก เป็นโคขี้โรค นี่เพราะโทษที่ดิฉัน
                          คบชู้ภรรยาของชายอื่น ดิฉันจุติจากกำเนิดโคนั้นแล้ว เกิดในเรือนของ
                          นางทาสีในถนน จะเป็นหญิงก็ไม่ใช่ เป็นชายก็ไม่เชิง นี่เพราะโทษที่

                          ดิฉันคบชู้กับภรรยาของชายอื่น ดิฉันมีอายุได้ ๓๐ ปี ก็ถึงแก่กรรม
                          แล้วมาเกิดเป็นลูกหญิงในสกุลช่างสานเสื่อ เป็นสกุลขัดสน มีทรัพย์
                          น้อย ถูกแต่เจ้าหนี้รุมทวงอยู่เป็นนิตย์ ต่อมาเมื่อหนี้เจริญมากขึ้น
                          พ่อค้าเกวียนคนหนึ่งมาริบทรัพย์สมบัติแล้ว ฉุดเอาดิฉันลงจากเรือนแห่ง
                          สกุล ภายหลังที่ดิฉันมีอายุครบ ๑๖ ปี บุตรของพ่อค้าเกวียนนั้นมีชื่อว่า

                          คิริทาส ได้เห็นดิฉันเป็นสาวกำลังรุ่น มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ขอไปเป็นภรรยา
                          แต่นายคิริทาสนั้นมีภรรยาอื่นอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนมีศีลทรงคุณสมบัติ
                          ทั้งมียศ รักใคร่สามีเป็นอย่างดียิ่ง ดิฉันบังคับนายคิริทาสให้ขับไล่
                          ภรรยาของตน สามีทุกคนได้หย่าร้างดิฉันผู้บำรุงอยู่เหมือนนางทาสีไป
                          นี่ผลกรรมที่ขับไล่ภรรยาของชายอื่น และการบังคับสามีให้ขับไล่ภรรยา
                          ตน ที่สุดแห่งบาปกรรมนั้นดิฉันทำเสร็จแล้ว.



จบ จัตตาฬีสนิบาต
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖  บรรทัดที่ ๑๐๐๒๙ - ๑๐๑๓๗.  หน้าที่  ๔๓๕ - ๔๓๙.

Credit by : http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๒๖
Pics by : Google

ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 07:02:24 am »


                          ลำดับนั้น พระแม่เจ้า ชินทัตตาผู้ทรงไว้ซึ่งวินัย เป็นพหูสูต มีศีล
                          สมบูรณ์ มาเที่ยวบิณฑบาตที่สกุลโยมบิดาของดิฉัน ดิฉันเห็นท่าน
                          จึงลุกไปจัดอาสนะของดิฉันถวายท่าน และเมื่อท่านนั่งเสร็จแล้ว ดิฉัน
                          กราบเท้าและถวายโภชนาหารแก่ท่าน ดิฉันเลี้ยงดูท่านด้วย ข้าว น้ำ
                          ของเคี้ยว และสิ่งที่จัดไว้ในเรือนให้อิ่มหนำแล้ว จึงกราบเรียนว่า

                          พระแม่เจ้า ดิฉันปรารถนาจะบวช ลำดับนั้น โยมบิดาบอกกะดิฉันว่า
                          ลูกเอ๋ย ขอเจ้าจงอยู่ประพฤติธรรมในเรือนนี้เถิด และเจ้าจงเลี้ยงดู
                          สมณะพราหมณ์ทั้งหลายด้วยข้าวน้ำเถิด ครั้งนั้น ดิฉันประนมอัญชลี
                          ร้องไห้ พูดกะโยมบิดาว่า ขอคุณพ่อจงอนุญาตลูกเถิด ลูกจักยังกรรมที่
                               ทำมาแล้ว
ให้พินาศ
โยมบิดาพูดกะดิฉันว่า ขอเจ้าจงบรรลุโพธิญาณ

                          แลธรรมอันประเสริฐ และจงได้นิพพานที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่า
                          สัตว์ทรงทำให้แจ้งแล้ว ดิฉันไหว้โยมบิดามารดาและพวกญาติทั้งปวง
                          แล้วออกบวชได้ ๗ วัน ก็ได้บรรลุวิชชา ๓ ดิฉันระลึกชาติหนหลัง
                          ของตนได้ ๗ ชาติ
วิบากแห่งกรรมอันชั่วช้าใด ซึ่งเป็นผลให้เกิดความ
                          ไม่พอใจแก่สามี
ดิฉันจะบอกวิบากแห่งกรรมนั้นแก่ท่าน ขอท่านจง

                          มีใจเป็นหนึ่งแน่นอนฟังวิบากแห่งกรรมนั้นเถิด เมื่อก่อนดิฉันเป็นนาย
                          ช่างทอง มีทรัพย์มาก อยู่ในนครเอรกกัจฉะ เป็นคนมัวเมาเพราะความ
                          มัวเมา ด้วยความเป็นหนุ่ม ได้คบชู้ภรรยาของบุคคลอื่น ดิฉันจุติจากชาติ
                          นั้นแล้ว ต้องหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดกาลนาน ครั้นพ้นจากนรกนั้นแล้ว
                          เกิดในท้องแห่งนางวานร พอคลอดได้ ๗ วัน วานรใหญ่ที่เป็นนายฝูง
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 06:47:13 am »


             มารดาบิดาของเขาจึงห้ามว่า

                          ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าพูดอย่างนั้นเลย นางอิสิทาสีเป็นบัณฑิตฉลาดรอบคอบ
                          ขยันไม่เกียจคร้าน ไฉนจึงไม่ชอบใจเจ้าล่ะลูก.

                          นางอิสิทาสีไม่ได้เบียดเบียนอะไรฉันเลย แต่ว่าฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับ
                          นางอิสิทาสีเท่านั้น ฉันไม่อยากเห็น ไม่ต้องการ ฉันจักลาบิดามารดา
                          ไปละ.

                          และบิดาของสามีของดิฉันฟังคำของเขาแล้ว ได้ถามดิฉันว่า เจ้าทำผิด
                          อย่างไร สามีของเจ้าจักละทิ้งเจ้าเช่นนี้ เจ้าจงบอกสิ่งที่เจ้าได้ทำตามจริงเถิด.

             ดิฉันตอบว่า

                          ดิฉันไม่ได้ทำผิดอะไร ทั้งไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนอะไร และไม่ได้
                          ดูหมิ่นอะไร ดิฉันจักอาจกล่าวคำชั่วหยาบอะไร อันเป็นเหตุให้สามี
                          โกรธดิฉันได้เล่า มารดาและบิดาแห่งสามีเสียใจ ถูกทุกข์ครอบงำแล้ว
                          เหมือนกัน แต่หวังจักรักษาบุตรไว้ จึงได้นำดิฉันกลับไปส่งคืนให้โยม
                          บิดาของฉันที่เรือน ดิฉันเป็นหญิงหม้ายมีรูปสวยเที่ยวไป ภายหลัง

                          โยมบิดาของดิฉัน ได้ยกดิฉันให้แก่กุลบุตรผู้มีทรัพย์สมบัติน้อยกว่าสามี
                          เก่าครึ่งหนึ่ง โดยสินสอดครึ่งหนึ่ง ต่อกับสินสอดที่เศรษฐีคนเก่าได้มั่น
                          ดิฉัน ดิฉันอยู่ที่เรือนของสามีคนที่สองนั้นเดือนหนึ่ง ต่อมาเขาได้ขับ
                          ดิฉันผู้บำรุงบำเรออยู่ดังนางทาสี ประพฤติตัวดีมีศีลจากเรือนเขาอีก
                          โยมบิดาของดิฉันบอกกะบุรุษคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกจิตแห่งชนเหล่าอื่น มีกาย

                          และวาจาอันฝึกแล้ว เที่ยวขอทานอยู่ว่า เจ้าจงทิ้งผ้าขี้ริ้วและหม้อเสีย
                          จงมาเป็นลูกเขยเราเถิด เขาอยู่กับดิฉันได้ครึ่งเดือน ก็บอกโยมบิดาของ
                          ดิฉันว่า ท่านจงให้ผ้าขี้ริ้ว หม้อ และกระเบื้องขอทานแก่ข้าพเจ้า
                          ข้าพเจ้าจะไปเที่ยวขอทานอีก ลำดับนั้น โยมบิดามารดากับพวกหมู่ญาติ
                          ของดิฉันทั้งหมดพากันถามคนขอทานนั้นว่า สิ่งใดที่เจ้าทำไม่สำเร็จใน

                          ที่นี้ ขอเจ้าจงรีบบอกเร็วๆ เขาจักทำสิ่งนั้นๆ ให้เจ้า เมื่อโยมบิดา
                          มารดาและพวกญาติของดิฉันพูดอย่างนี้แล้ว คนขอทานนั้นจึงตอบว่า
                          เราอาจทำตัวของเราให้เป็นไทยโดยแท้ แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการอยู่ร่วม
                          เรือนหลังเดียวกับนางอิสิทาสีได้ โยมบิดาของดิฉันปล่อยให้เขาไป
                          ดิฉันผู้เดียวคิดว่า จักลาโยมมารดา โยมบิดาไปตาย หรือไปบวชดีกว่า


                   
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 06:20:18 am »




ต่อไปนี้เป็นคำวิสัชนา

โยมบิดาของดิฉันอยู่ในบุรีอันประเสริฐชื่อว่าอุชเชนี เป็นเศรษฐีผู้สำรวมแล้วด้วยศีล
ดิฉันเป็นธิดาผู้เดียวของท่าน ซึ่งเป็นที่รักที่ชอบใจและเป็นผู้อันท่านเอ็นดู
ในเวลาที่ดิฉันเจริญวัยแล้ว
เศรษฐีผู้มีรัตนะมาก เป็นสกุลอันอุดมคนหนึ่งในเมืองสาเกต มาขอดิฉันเป็นสะใภ้
โยมบิดาได้ให้ดิฉันเป็นสะใภ้ของเศรษฐีนั้น ดิฉันได้ไปสู่สำนักมารดาและบิดาของสามี

ทำการนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า ไหว้เท้าท่านทั้ง ๒ ทุกเช้าเย็น
ท่านทั้ง ๒ สอนดิฉันอย่างไร ดิฉันก็ทำอย่างนั้น พี่หญิงน้องหญิง พี่ชายน้องชาย
หรือบ่าวไพร่ของสามีดิฉัน ไม่ว่าคนใด ดิฉันเห็นแล้วแม้ครั้งเดียว
ก็มีความยำเกรงให้อาสนะ ดิฉันต้อนรับด้วยข้าวน้ำและของเคี้ยว ซึ่งเป็นของที่
เขาจัดหาไว้ที่เรือน และสิ่งใดควรแก่ผู้ใด ก็ให้สิ่งนั้นแก่ผู้นั้น

ดิฉันลุกขึ้นแต่เช้าเข้าไปยังเรือนสามี ล้างมือล้างเท้าที่ธรณีประตูแล้ว ประนมมือ
เข้าไปกราบสามี จัดหาหวี เครื่องผัดหน้า ยาหยอดตา แว่นส่องหน้า
มาตบแต่งสามีเสียเองเหมือนสาวใช้ ดิฉันหุงข้าวต้มแกงเอง ล้างภาชนะเอง
มารดาบำรุงบำเรอบุตรน้อยคนเดียว ฉันใด ดิฉันก็บำเรอสามีฉันนั้น

ดิฉันมีความจงรักภักดี มีวัตรอันยอดยิ่ง ทำการงานอันหญิงพึงทำทุกอย่าง
ไม่มีความถือเนื้อถือตัว ขยันไม่เกียจคร้าน สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ สามีก็ยังโกรธ
สามีของดิฉันพูดกะมารดาของเขาว่า ฉันจักลาไป จักไม่อยู่ร่วมกับนางอิสิทาสี
ฉันไม่ควรอยู่ร่วมในเรือนหลังเดียวกับนางอิสิทาสี.
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 06:19:13 am »



เถรีคาถา จัตตาฬีสนิบาต
ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในจัตตฬีสนิบาต
อิสิทาสีเถรีคาถา
คาถาสุภาษิตของนางอิสิทาสี-โพธีเถรี


  [๔๗๓]    ภิกษุณี ๒ รูปผู้ทรงคุณธรรม เป็นกุลธิดาในศากยสกุล ในนคร
                          อันมีชื่อว่าโกสุม คือ เมืองปาตลีบุตร เดี๋ยวนี้ จักเป็นมณฑลแห่ง
                          แผ่นดิน ในภิกษุณี ๒ รูปนั้น รูปหนึ่งชื่ออิสิทาสี รูปหนึ่งชื่อโพธี

                          เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ยินดีในการเพ่งฌาน เป็นพหูสูต เป็นผู้
                          กำจัดกิเลสได้แล้ว ภิกษุณีทั้ง ๒ รูปนั้น ไปเที่ยวบิณฑบาตกลับมา
                          แล้ว ทำภัตกิจเสร็จล้างบาตรแล้ว นั่งพักสบายอยู่ในที่อันสงัด ได้
                          ไต่ถามและแก้ไขต่อกันอย่างนี้.

             พระโพธีถามว่า

                          ข้าแต่พระแม่เจ้าอิสิทาสี พระแม่เจ้าเป็นที่น่าเลื่อมใสอยู่ แม้วัยของท่าน
                          ก็ยังไม่เสื่อม ก็พระแม่เจ้าเห็นโทษอะไรจึงประกอบเนกขัมมะ?

                          พระอิสิทาสีนั้นเป็นผู้ฉลาดในการแสดงธรรมในฐานะแห่งบุญ เมื่อถูก
                          ถามอย่างนี้ จึงได้กล่าวตอบอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระแม่เจ้าโพธี ขอพระ-
                          แม่เจ้าจงฟังตามเรื่องที่ฉันบวชแล้ว.



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2010, 06:17:18 am »


กรรมที่ผิดศีลข้อสาม

กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เป็นศีลข้อที่ ๓ หมายถึง ให้เว้นจาก การละเมิดความรัก คือในสามีและภรรยาของบุคคลอื่น ยินดีเฉพาะสามีและ ภรรยาของตนเอง

อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่ง หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระป่าพระกรรมฐานชื่อดังในอดีต
ได้เทศน์ให้แพทย์หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นสูตินรีแพทย์ มีใจความตอนหนึ่งน่าสนใจว่า

"มาเล่นตลกให้หลวงปู่ดู เมื่อชาติก่อน เขาเป็นผู้ชายรูปหล่อ มีเมียมากนับไม่ถ้วน

ชาตินี้มาเกิดเป็น ผู้หญิง (ทอม) แต่แอบปกปิดไว้ เธอไม่แต่งงาน ตัดผมสั้น ไม่แต่งหน้า ต้องมาดูแล รักษาช่องคลอดผู้หญิง

เป็นการชดใช้กรรมเก่า ซึ่งเป็นแค่เศษกรรมที่ทำบาป กับช่องคลอดผู้หญิงไว้มากพอสมควร"

การล่วงเกินทางเพศหญิง อีกหลายลักษณะซึ่งโทษก็หนักเบาต่างกัน

ขณะเดียวกัน บางชาติอาจกระทำความดี กรรมก็ลดหย่อน ผ่อนลงให้เบาขึ้น
ในพระไตรปิฎกมีหลักฐาน ของการผิดศีลข้อสามพอสรุปได้ดังนี้

๑.ผู้ชายใช้ความเป็นผู้ชาย ไปทำบาปกับผู้หญิงไว้มากพอควร ชาติต่อไปก็อย่าได้เกิดเป็นผู้ชายอีกเลย จะได้ไม่ใช้อวัยวะเพศ ไปทำให้ผู้หญิงเขาเดือดร้อนอีก (บาดเจ็บ ติดโรค ท้อง)

๒.เพื่อให้รู้ถึงความยากลำบาก ของเพศหญิงตามธรรมชาติ

๓.ชอบผู้หญิงมาก เป็นชีวิตจิตใจ ติดหญิง หลงหญิง ยอมตกนรกก็มี ยอมติดคุกก็ม ี ยอมเสียเงินทอง ยอมผิดศีลเพื่อให้ได้ผู้หญิง หลายๆ คน ยิ่งเก่งยิ่งดี ยิ่งสนุกยิ่งมัน อย่ากระนั้นเลย

กรรมบาปดึงวิญญาณผู้ชาย ๑๐๐% มาอยู่ในร่างผู้หญิง ชอบนักจึงให้อยู่ ในร่างเดียวกันไปเลย ปัจจุบันเรียกว่าทอม

แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่หลงผู้ชาย แย่งสามีคนอื่น อย่ากระนั้นเลย
กรรมบาปดึงวิญญาณผู้หญิง ๑๐๐% มาอยู่ในร่างผู้ชาย ชอบนัก จึงให้อยู่ในร่างเดียวกันไปเลย ปัจจุบันเรียกว่า กะเทย

๔.เศษกรรมจะทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ในเรื่องเพศที่ตัวไม่ต้องการ คือใจอยากเป็นชาย ตามชาติที่ผ่านมา แต่กายเป็นหญิง

๕.ทำให้ผิดหวังในรัก เพราะผู้หญิงโดยปกติ ต้องชอบผู้ชายแท้ เพื่อมีลูกหลานไว้เชยชม

๖.เกิดเป็นหญิง แต่ถูกล่อลวงทางเพศ เป็นโสเภณี ถูกข่มขืนใช้กรรมเก่า

๗.เกิดเป็นสูตินรีแพทย์ เกิดเป็นพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล ทำหน้าที่ดูแล รักษาทำความสะอาดช่องคลอดผู้หญิง ฯลฯ



Credit by : http://www.zone-it.com/forum/index.php?action=printpage;topic=58146.0
Pics by : Google

อนุโมทนา สาธุธรรมค่ะ