ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2014, 07:01:13 pm »อ้างจาก: sunee ที่ เมษายน 08, 2012, 10:24:51 AM
ได้อ่านพุทธประวัติ ตอนผจญมาร ตอนที่เหล่าพญามารกรีฑาทัพ มาเพื่อทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่เหล่าเทวดา และพรหม ไม่กล้าปกป้องพระพุทธเจ้า แต่ปรากฏนางเองผู้เดียว คือพระแม่ธรณี บีบน้ำจากมวยผมโถมเข้าใส่พญามาร จนแตกกระเจิงไป
อยากทราบว่า พระแม่ธรณี นี้เป็นปริศนาธรรม หรือ มีตัวตนจริง เป็นเทวดาชั้นไหน คะใน 16 ชั้น
--------------------------
เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา อยู่ตั้งแต่กลางภูเขาสิเนรุจนกระทั่งถึงพื้นดินมนุษย์ มีชื่อเรียกตามที่อยู่ที่อาศัย ดังนี้
๑. ภุมมัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่บนพื้นดิน
๒. รุกขัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่บนต้นไม้
๓. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่ในอากาศ (มีวิมานอยู่)
ภุมมัฏฐเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขา แม่น้า มหาสมุทร ตามบ้านเรือน ซุ้มประตู เจดีย์ ศาลา ใต้พื้นดิน เป็นต้น โดยถือเอาสถานที่นั้นเป็นวิมานของตน
รุกขัฏฐเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ มี ๒ จาพวก คือ มีวิมาน และไม่มีวิมาน รุกขเทวดาที่มีวิมานวิมานจะตั้งอยู่บนยอดไม้ เทวดาที่ไม่มีวิมานก็จะอาศัยอยู่บนคบไม้ กิ่งไม้
อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่มีวิมานของตนเองตั้งอยู่ในอากาศ ภายในภายนอกวิมานประกอบด้วยรัตนะ ๗ อย่าง ได้แก่ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี แก้ววิเชียร เงิน ทอง บางวิมานมี ๒ รัตนะ ๓ รัตนะ ขึ้นอยู่กับกุศลที่ตนเคยสร้างไว้ วิมานเหล่านี้จะลอยหมุนเวียนไปในอากาศรอบ ๆ ภูเขาสิเนรุ
อ้างอิง
หนังสือ ภูมิจตุกกะและปฏิสนธิจตุกกะ ปริจเฉทที่ ๕ เล่มที่ ๑ ; ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมมัตถสังคหฎีกา ; พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
..
..
คติทางพุทธเชื่อว่า พระแม่ธรณีเป็นเทวดา แต่ไม่ได้ระบุว่า เป็นเทวดาชั้นไหน
ถึงตรงนี้แล้ว อย่างไงก็ต้องเดากันหน่อย ชื่อก็บอกว่า ธรณี
เป็นใครก็ต้องเดาว่า "น่าจะอยู่กับดิน" ดังนั้น ขอเดาตามน้ำไปว่า
พระแม่ธรณี เป็นเทวดาชั้น"จาตุมหาราชิกา"(สวรรค์ชั้นแรก) อยู่ในประเภท"ภุมมัฏฐเทวดา"
..
..
แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา พระยามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี
สถานที่ที่พระมหาบุรุษประทับนั่งพื่อทรงบำเพ็ญเพียรทางใจ แสวงหาทางตรัสรู้ ซึ่งอยู่ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น เรียกว่า 'โพธิบัลลังก์'
พระยามารกล่าวตู่ว่าเป็นสมบัติของตน
ส่วนพระมหาบุรุษทรงกล่าวแก้ว่า
"บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน"
แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน
ปฐมสมโพธิว่า "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้...ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพี..."
แล้วกล่าวเป็นพยานมหาบุรุษ พร้อมกับบีบน้ำออกจากมวยผม
น้ำนั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า 'ทักษิโณทก' อันได้แก่
น้ำที่พระมหาบุรุษทรงกรวดทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบุญบารมีแต่ชาติปางก่อนเป็นลำดับมา
ซึ่งแม่พระธรณีเก็บไว้ที่มวยผม เมื่อนางบีบก็หลั่งไหลออกมา
ปฐมสมโพธิว่า "เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศทั้งปวง ประดุจห้วงมหาสาครสมุทร...หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำ ปลาสนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทร ที่นั่งทรงองค์พระยาวัสสวดี ก็มีบาทาอันพลาด มิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร...พระยามารก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด"
บารมีนั้นคือความดี พระมหาบุรุษท่านทรงรำพึงว่า ชีวิต ดวงหทัย นัยน์เนตร ที่ท่านทรงบริจาคให้เป็นกุศลผลทานมาก่อนนั้น ถ้าจะเก็บรวมไว้ก็จะมากกว่าผลาผลไม้ในป่ามากกว่าดวงดาราในท้องฟ้า
ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หนีไปไหน ถึงใครไม่เห็น ฟ้าดินก็เห็น ดิน คือ แม่พระธรณี
ที่มา http://84000.org/tipitaka/picture/f26.html
ถามว่า ทำไมจึงมีเพียงพระแม่ธรณีเพียงตนเดียวเท่านั้น ที่ออกมาช่วยพระพุทธเจ้า
ตอบว่า สมัยที่พระพุทธองค์เป็นพระโพธิสัตว์มาหลายชาติ เวลาพระองค์สร้างบารมี ท่านจะกรวดน้ำทุกครั้ง และพระแม่ธรณีก็จะเป็นผู้เดียวที่เก็บน้ำนั้นไว้ น้ำที่ท่านหลั่งเอาไว้เป็นตัวแทนของความดีที่สั่งสมมา
ในเมื่อพระองค์จะแสดงสิทธิ์ว่า เป็นเจ้าของ 'โพธิบัลลังก์' และบัลลังก์นี้เกิดจากบารมีของท่านที่สั่งสมมาในกาลก่อน สิ่งที่จะเป็นพยานในการบำเพ็ญบารมีของท่านได้ก็คือ น้ำที่ท่านหลั่งเอาไว้
คนที่เก็บน้ำนั้นไว้ก็มีเพียงพระแม่ธรณีเท่านั้น นั่นคือคำตอบว่า ทำไมมีเพียงนางที่ช่วยพระพุทธองค์
..
..
มีเรื่อง สงสัย เพิ่มเติม อีกคะ
คือถ้า พระแม่ธรณี เป็นเทพ ดังนั้น จึงรับน้ำที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียรมา หลายแสนอสงไขยชาติไว้
ที่นี้ คนที่ถูกสูบลงไปในธรณี นี้เป็น พระแม่ธรณี เป็นผู้จัดการหรือไม่คะ จาก: sunee
..
..
มหานรก มี ๘ ขุม
๑. สัญชีวนรก
๒. กาฬสุตตนรก
๓. สังฆาตนรก
๔. โรรุวนรก
๕. มหาโรรุวนรก
๖. ตาปนนรก
๗. มหาตาปนนรก
๘. อวีจินรก แปลว่า ไม่มีระหว่าง คือไม่เว้นว่างจากทุกข์ บางทีเรียกว่า มหาอวีจิ แปลว่า อเวจีใหญ่ ภาษาไทยมักเรียกว่า นรกอเวจี นรกขุมนี้มีไฟลุกโพลงเต็มทั่วไปหมด ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง สัตว์นรกขุมนี้ก็แน่นขนัดเหมือนยัดทะนาน ไม่มีระหว่างหรือเว้นว่าง แต่ก็ไม่เบียดเสียดกันอย่างวัตถุสิ่งของ เพราะสัตว์นรกต่างถูกไฟเผาไหม้อยู่ในที่เฉพาะตนๆ ความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกในขุมนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาไม่มีว่างเว้น
พระเทวทัตบังเกิดในอวีจินรก ยืนถูกทรมานอยู่บนพื้นเหล็กที่มีไฟลุกโชน
เท้าทั้ง ๒ จมพื้นลงไปถึงข้อเท้า มือทั้ง ๒ จมฝาเหล็กถึงข้อมือ ศีรษะเข้าไปในเพดานโลหะถึงคิ้ว
หลาวโลหะอันหนึ่งออกจากพื้นเบื้องล่างแทงร่างกายทะลุขึ้นไปในเพดาน
หอกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศตะวันออกแทงทะลุหัวใจไปเข้าฝาทิศตะวันตก
หอกอีกเล่มหนึ่งออกจากฝาทิศเหนือแทงทะลุซี่โครงไปเข้าฝาทิศใต้
ถูกตรึงแน่นขยับไม่ได้ ถูกเผาไหม้อยู่ในอวีจินรก
เครื่องทรมานสัตว์นรก
ในนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุมนี้ มีเหล็ก เช่น พื้นแผ่นดินเหล็ก เครื่องอาวุธเหล็กต่างๆ มีไฟ คือ เหล็กนั่นแหละลุกเป็นไฟร้อนแรง มีภูเขาเหล็กที่กลิ้งมาบด และมีหมอกควันชนิดเป็นกรดหรือด่าง เป็นเครื่องทรมานสัตว์นรกทั้งหลาย
ในนรกขุมที่ ๑ และที่ ๒ มีนายนิรยบาล แปลว่า ผู้รักษานรก
ไทยนิยมเรียกว่า ยมบาล เป็นผู้ทำการทรมานสัตว์นรก
แต่นรกขุมที่ลึกลงไปกว่านั้น ในอรรถกถาสังกิจจชาดกไม่ได้กล่าวถึงนายนิรยบาล มีแต่ไฟ เหล็ก เครื่องอาวุธต่างๆ เป็นต้น บังเกิดขึ้นเองเพื่อทรมานสัตว์นรกเอง ฯลฯ
..
..
อัธยาศัยจิตใจของบุคคลทั้งหลาย สรุปได้ ๔ คือ
๑. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบบำเพ็ญกุศลมาก
๒. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในการกุศลและอกุศลเท่าๆ กัน
๓. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลมากกว่ากุศล
๔. บุคคลบางคนในโลกนี้มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลฝ่ายเดียว
บุคคลประเภทที่ ๑ ในขณะใกล้ตายย่อมระลึกนึกถึงกุศลได้มาก ฉะนั้นบุคคลจำพวกนี้ย่อมพ้นจากการไปบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๒ ถ้าตัวเองพยายามระลึกถึงกุศลให้มากหรือญาติบุคคลใกล้ชิดช่วยเตือนสติให้ระลึกถึงกุศล ก็สามารถช่วยให้พ้นจากการบังเกิดในอบายภูมิ
บุคคลประเภทที่ ๓ ทำอกุศลมากกว่ากุศล ลำพังตัวเองจะนึกถึงกุศลนั้นย่อมนึกถึงไม่ได้ นอกจากจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องเป็นการช่วยเหลืออย่างพิเศษจึงจะช่วยได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างพิเศษแล้วบุคคลจำพวกนี้ย่อมจะต้องไปสู่อบายแน่นอน
ส่วนบุคคลประเภทที่ ๔ นั้น ย่อมไม่พ้นจากการไปสู่อบายได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวก มหาสาวกเท่านั้นที่จะช่วยเหลือได้ และการที่จะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเหล่านี้ได้บุคคลผู้นั้นก็จะต้องมีกุศลอปราปริยเวทนียกรรม(กุศลในชาติก่อนๆ)ที่มีกำลังมาก(ตัวอย่างเช่นโจรเคราแดงในบทเรียนชุดที่๗)
ฉะนั้นถ้าบุคคลจำพวกนี้ต้องไปสู่นรกแล้ว ก็ไปสู่นรกโดยตรง
ไม่มีโอกาสที่จะได้พบกับพระยายมราช
เฉพาะบุคคลประเภทที่ ๒ และ ๓ ถ้าต้องไปสู่นรกแล้วก็มีโอกาสได้พบกับพระยายมราช
เพื่อทำการสอบถาม ๕ เรื่อง หรือเรียกว่า เทวทูต ๕ เสียก่อน แล้วจึงไปเสวยทุกข์ในนรกนั้นๆ ภายหลัง
ที่มา บทเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ ชุดที่ ๖.๑ ภพภูมิ
เรียบเรียงโดยอาจารย์ทองสุข ทองกระจ่าง
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
คุณสุนีย์ถามว่า ใครเป็นคนจัดการพระเทวทัต พระแม่ธรณีรึเปล่า
เรื่องนี้เป็นอจินไตย เกินวิสัยที่จะรู้ได้ ตอบกันตรงๆก็คือ ไม่ทราบครับ
แต่ก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจกัน เลยขอจินตนาการเอาเอง แค่คุยเป็นเพื่อนอย่าถือเป็นสาระ
..
..
ตามบทความข้างต้นจะเห็นว่า นรกอเวจี เป็นนรกขุมที่ ๘ ไม่มีใครดูแล ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นเอง
และการพิจาณาโทษสัตว์นรกต่างๆนั้น มีบุคคลอยู่ ๓ จำพวกที่ต้องคุยกับพระยายมราชก่อน
แต่พระเทวทัตไม่ได้อยู่ใน ๓ จำพวกนั้น พระเทวทัตน่าจะอยู่ในจำพวกที่ ๔
คือ มีอัธยาศัยจิตใจชอบในอกุศลฝ่ายเดียว เป็นพวกที่ไปสู่นรกโดยตรง
ดังนั้น จากเหตุผลที่ยกมาข้างต้น การถูกธรณีสูบของพระเทวทัต
น่าจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่มียมบาล นายนิรยบาล หรือผู้ใดเป็นผู้กระทำ
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปด้วยอำนาจแห่งอนันตริยกรรมนั่นเอง
โดย nathaponson
: ทำไม นางเองผู้เดียว ที่ช่วยเหลือพระพุทธเจ้าต่อกรกับ พญามาร
-http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7193.0