ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: กระตุกหางแมว
« เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 02:31:45 am »

ข้อความโดย: (〃ˆ ∇ ˆ〃)
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 09:37:37 am »

อนุโมทนาจ้ามะละปอ  :13:
ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 09:17:04 am »

 :13: ขอบคุณครับพี่ปอ อนุโมทนาจิตในความดีที่ทำตรงนี้ด้วยครับผม ^^
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 06:49:37 am »



 :19:  :13:  :19:

              :06:
ข้อความโดย: honeypor
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 03:26:29 am »

เช้าวันที่ 1 เม.ย. 2010 ลูกลงทุนเรียกคนขับรถมาประเมินผลเอง ทั้งๆ ที่ปกติการประเมินผลพนักงานเป็นหน้าที่ของแผนกบุคคล เขาหน้าตาตื่นเต้น เพราะเขารู้ตัวว่าผลงานของเขาเป็นอย่างไรที่ผ่านมา
   
ลูกประเมินให้เขาผ่านการทดลองงาน ปรับเงินเดือนให้จำนวนหนึ่ง พร้อมให้เงิน 1,000.- บาท “เอ้า! เอาไปซื้อเสื้อซาฟารีหล่อๆ มาใส่หน่อย” เขาดีใจจนหน้าบาน ยิ้มด้วยความตื่นเต้น “ผมคิดว่าผมจะไม่ผ่านโปรเสียอีก”
   
“เดี๋ยว ยังมีอีก ฉันทราบว่าเธอยังมีลูกอีก 2 คนที่กำลังเรียนหนังสือ อยู่ชั้นอะไรจ๊ะ?”
“ป.2 คน และ ม.4 คน ครับ”
“อยู่โรงเรียนอะไรล่ะ?” “…..…ครับ”
   
“ฉันจะอุปการะการเรียนของลูกเธอทั้งสองคนจากปีนี้เป็นต้นไป” ทันทีที่ลูกพูดจบ คนขับรถของลูกก็มีน้ำตาเอ่อคลอ เขาพูดขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือว่า
   
“ผมเพิ่งบอกกับลูกๆ ว่า พ่อไม่มีเงินส่งพวกเขาเรียนต่อ ให้ออกจากโรงเรียน ลูกสาวคนเล็กบอกว่า พ่อ หนูทานข้าววันละมื้อก็ได้ แต่หนูอยากเรียนหนังสือ” แล้วเสียงเขาก็สะดุดหยุด ฟังถึงตอนนั้น ลูกเองเกือบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
   
“ไปบอกลูกเธอว่า จากนี้ไปเขาจะได้เรียนหนังสือจนจบแล้ว ให้ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดก็แล้วกัน”
   
“ผมว่าต้องเป็นพระเจ้าแน่เลยที่ส่งผมมาทำงานกับท่าน ตอนนั้นผมไม่คิดเลยว่าจะกลับมาขับรถให้นายอีก เพราะขับแท็กซี่มา 20 กว่าปีแล้ว ผมว่าต้องเป็นพระเจ้าแน่นอน อ้อ! พระเจ้าของเราเป็นองค์เดียวกันนะครับ”
   
ประโยคสุดท้ายลูกทราบว่า เขาต้องการให้ลูกฟังแล้วสบายหู เพราะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา จากสถานที่ต่างๆ ที่เขาขับรถให้ลูกไป เขาทราบว่าลูกเป็นคริสตชนที่รักพระเจ้าแค่ไหน และเขาเองเป็นมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม
   
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ลูกไม่ได้ไปทำงาน เมื่อลูกลงมาถึงข้างล่าง มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกยิ้มจนแก้มปริอย่างมีความสุข มีมะละกอลูกเบ้อเริ่มลูกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหาร เป็นมะละกอที่มีความหมายสำหรับลูกมาก วันก่อนนั้นลูกใช้ให้คนขับรถไปซื้อมะละกอแขกดำที่ตลาดใกล้บ้าน เพราะเดี๋ยวนี้ใน ซุปเปอร์ฯ หาซื้อมะละกอแขกดำไม่ได้แล้ว ปรากฎว่าที่ตลาดใกล้บ้านไม่มีขายเช่นเดียวกัน “ขอบใจมากนะ สำหรับมะละกอ” ลูกโทรหาคนขับรถซึ่งได้ขับรถให้ลูกๆ ไปทำงานแต่เช้าในวันนั้น
   
“ไม่เป็นไรครับ ผมตั้งใจซื้อมะละกอมาฝากท่านประธานครับ เช้านี้ผมแวะไปตลาดคลองเตยแต่เช้าเลยครับ”
   
ขณะที่ลูกเดินสวดสายประคำถวายแด่พระเยซูเจ้าในวันนั้น ลูกรู้สึกว่าพระองค์ทรงยิ้มให้ลูก เป็นสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ที่ลูกมีความสุขที่สุดสัปดาห์หนึ่ง
   
ที่อัศจรรย์คือ ในจิตใจของลูก ไม่มีความโกรธหรือหงุดหงิดเกี่ยวกับคนขับรถคนนี้เหลืออยู่เลย กลายเปลี่ยนเป็นความรัก ความเมตตาขึ้นมาแทน ลูกขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระเยซูเจ้าแท้ๆ ลูกจึงได้เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ขนาดนี้ และลูกก็ขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ประทานพระพรผ่านลูกชายคนเล็ก ที่พยายามพูดให้ลูกหายโกรธในบ่ายวันเกิดเหตุ จนลูกได้สติ
   
เย็นนั้น เมื่อมาส่งลูกๆ เสร็จ คนขับรถก็เดินกลับออกไปจากรั้วบ้าน “เดี๋ยว กลับมาก่อน” ลูกซึ่งยืนอยู่หน้าบ้านพอดีทักขึ้นมา “กุญแจรถยังแขวนอยู่ที่คอเธอเลย คืนกุญแจนก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน ”

“ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” มัทธิว 25:40
                        อาแมน


http://www.catholic.or.th/spiritual/books/prayerme/
ข้อความโดย: honeypor
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 03:25:47 am »

ข้าแต่พระเป็นเจ้า ในบทสวดบทที่แล้ว ลูกได้เขียนถึงเรื่องราวของคนขับรถของลูกที่ลูกได้ให้ความช่วยเหลือเขาแทนการให้ออก เพื่อเป็นการถวายแด่พระเยซูเจ้าเนื่องในโอกาสเป็นเทศกาลมหาพรต มีเหตุการณ์ต่อเนื่องที่ลูกขอเขียนถวายพระองค์ต่อพระเจ้าข้า
   
ก่อนวันที่ลูกจะตัดสินใจเช่นนี้ ลูกคิดในใจว่าลูกคงจะไม่ให้เขาผ่านช่วงทดลองงาน เพราะมีอย่างที่ไหน ลูกบอกให้เขากดกุญแจที่หน้ารั้วทุกครั้งที่เปิด เพราะมิฉะนั้นมันจะหล่นได้ บอกทุกเช้าและเย็น 2 เดือนกว่า เกือบ 60 ครั้ง เขาก็ไม่ทำตาม อยู่เกือบ 3 เดือนเขาก็จำไม่ได้ว่ากระเป๋าเอกสารใบไหนเป็นของลูก ใบไหนเป็นของลูกสาว ทั้งๆ ที่มันคนละแบบ เคยให้สมุดให้เขาจดสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้ผล เพราะเขาลืมเปิดอ่าน และในวันที่เขาออกไปทานข้าวเที่ยง ปรากฎว่าบ่ายนั้นเมื่อลูกกลับมากับลูกชาย เขาได้กลับบ้านไปแล้วเพราะเขาลืมไปว่าเย็นนั้นลูกต้องไปทานเลี้ยงอีก ทั้งๆ ที่เช้านั้นก็เพิ่งคุยกันถึงสถานที่ที่ต้องไปกันในคืนนั้น
   
แต่คืนนั้น หลังจากกลับมาจากการรับประทานเลี้ยง บทความที่เขียนเกี่ยวกับพระเยซูเจ้าที่ถูกทรมานบนไม้กางเขนว่า “…ทำให้เราเห็นองค์พระเยซูในเพื่อนมนุษย์ที่ประสบความทุกข์ยาก...” “...เพราะความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของพระองค์ มนุษย์ถูกเปลี่ยนแปลง...” ผุดขึ้นมาในสมองลูกอีก “แล้วฉันได้เปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรเป็นการตอบแทนพระองค์ในการเสียสละพระชนม์ชีพเพื่อเราหรือไม่?”
   
หากเราอ่านพระวาจาหรือได้เรียนรู้เกี่ยวกับคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าแล้วไม่ได้ปฏิบัติตามในชีวิตจริง พระวาจาหรือคำพูดเหล่านั้นก็เป็นเพียงตัวอักษรในพระคัมภีร์หรือหนังสือเท่านั้น
   
แต่ถ้าลูกจะให้คนขับรถผู้นี้ขับรถให้ลูกต่อ ลูกต้องทำใจและต้องรับเขาในความป้ำๆ เป๋อๆ ของเขาให้ได้
   
และในการประเมินผลงานของเขา บริษัทของลูกมีแบบฟอร์มที่มีคะแนนเป็นกิจลักษณะ ประเมินอย่างไรก็ไม่น่าผ่าน หรือถ้าผ่านก็ไม่น่าจะได้ปรับเงินเดือนเยอะ ลูกจะช่วยเขาได้อย่างไรหนอ?
   
พลันลูกก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขายังมีบุตรอีก 2 คนที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ การทำบุญบริจาคตามที่ต่างๆ นั้นมีความหมาย แต่ทำไมไม่ทำบุญกับคนใกล้ตัวล่ะ?
ข้อความโดย: honeypor
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 03:24:55 am »

เคียร่าเขียนเกี่ยวกับพระองค์เกี่ยวกับตัวเราเอง “ทุกสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด น่าจะทำให้เราเข้าใจถึงว่าพระเยซูเจ้าขณะนั้น ทรงต้องการความรักและการยอมรับความเจ็บปวดของเรา ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ...”
   
และเกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ เคียร่า เขียนว่า
   
... ทำให้เราเห็นองค์พระเยซูในเพื่อนมนุษย์ที่ประสบความทุกข์ยาก
   
“พระองค์ทรงเป็นกระบอกเสียงสำหรับคนใบ้ แสงสว่างสำหรับคนตาบอด เสียงสำหรับคนหูหนวก ที่พักพิงสำหรับคนเหนื่อยล้า ความหวังสำหรับคนสิ้นหวัง ความจริงสำหรับคนถูกหลอกลวง ความชื่นชมยินดีสำหรับคนเศร้าสร้อย เพื่อนสำหรับผู้เปล่าเปลี่ยว...เพราะความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของพระองค์ มนุษย์ถูกเปลี่ยนแปลง และความทุกข์ทรมานที่เปล่าประโยชน์กลายเป็นสิ่งที่มีความหมาย”

แต่ละประโยคมันลึกซึ้งและมีความหมายจริงๆ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ลูกโทรศัพท์เรียกคนขับรถของลูก โทรไปประมาณ 7-8 ครั้ง เขาก็ไม่รับสาย ลูกเริ่มหงุดหงิด ในที่สุดลูกต้องเรียกลูกชายคนเล็กมารับลูกออกไปเพราะไม่อยากไปประชุมสาย ปรากฎว่าเจอคนขับรถของลูกอยู่หน้าหมู่บ้าน เขาลืมเอามือถือติดตัวไปทานข้าว! ลูกโมโหมาก ตัดสินใจว่าวันจันทร์จะให้เขาไป ลูกรู้สึกว่าการมีลูกน้องใกล้ตัวที่ปั้มๆ เป๋อๆ เช่นนี้ คนที่จะประสาทเสียก่อนคือตัวลูกเอง
   
คืนนั้น บทเขียนของเคียร่าเกี่ยวกับพระเยซูเจ้ากลับมาเด่นชัดในสมองของลูก ... “พระเยซูเจ้าทำให้เราเห็นพระองค์ในมนุษย์ที่ประสบความทุกข์ยาก” ลูกทราบว่าคนขับรถของลูกยังมีลูกอีก 2 คนที่กำลังเรียนหนังสืออยู่และรถแท็กซี่เดิมที่เขาขับก็โทรมมากแล้ว หากเขาต้องออกจากงานที่ทำอยู่กับลูก เขาคงเดือดร้อนแน่ แต่...มีคนขับรถแบบนี้ทำให้ฉันปวดหัวทุกวัน
   
วันรุ่งขึ้น ลูกบอกลูกๆ ว่า การฉลองปัสกาปีนี้ หม่ำมี้จะทำอะไรเป็นพิเศษเพื่อถวายแด่พระเยซูเจ้า แทนที่หม่ำมี้จะให้คนขับรถคนนี้ออกเพราะเขาไม่ยอมจำอะไรสักอย่างเลย หม่ำมี้จะช่วยเขาและมองว่าเขามีปัญหาเรื่องความจำ เพื่อกันเขาลืมกุญแจไว้ในรถอีก หม่ำมี้จะเอาสายใส่ชื่อพนักงานให้เขาคล้องกับกุญแจรถและห้อยคอไว้ และเอากระเป๋าที่มีสายห้อยให้เขาใส่มือถือห้อยคออีกสายหนึ่งเพื่อมือถือจะได้อยู่ติดตัวตลอด
   
นอกจากนี้ ลูกเตรียมในใจว่าในเดือนหน้า เมษายน 2010 นี้ ตอนประเมินผลเขา ลูกจะบอกกับเขาว่า ลูกจะอุปการะลูกเขาทั้งสองคนในด้านการศึกษา 
   
แล้วลูกก็ทูลกับพระองค์ว่า สิ่งที่ลูกทำนี้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก หากเทียบการเสียสละของพระองค์ แต่ลูกก็ขอทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงนำชีวิตของลูกให้เป็นลูกที่ดีของพระองค์ตลอดไปเทอญ

“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า

ข้อความโดย: honeypor
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2010, 03:23:54 am »

ข้าแต่พระเป็นเจ้า เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2010 ที่ผ่านมา มีเพื่อนที่รู้จักกันท่านหนึ่ง อยู่ๆ ก็นำหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “The Cry of Jesus Crucified and Forsaken” แปลเป็นภาษาไทยอย่างไม่เป็นทางการว่า “คำร้องของพระเยซูเจ้าผู้ถูกตรึงกางเขนและถูกทอดทิ้ง” เขียนโดย เคียร่า ลูบิค ผู้ก่อตั้งคณะโฟโกลาเร่ จากประโยคเพียงประโยคเดียว “เอลี เอลี ลามาสะบัคทานี” ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเล่า” มัทธิว 27:48 เคียร่าเขียนหนังสือได้ถึง 138 หน้า! น่าอัศจรรย์จริงๆ
   
ลูกอ่านเสร็จภายใน 1 สัปดาห์ เพราะจะรีบนำหนังสือไปคืนเพื่อน ในระหว่างสัปดาห์นั้นเอง มีเพื่อนรุ่นพี่ที่ลูกรักนับถือส่งอีเมล์ในหัวข้อ “The Last 7 Words of Jesus” ซึ่งแปลว่า “7 ประโยคสุดท้ายของพระเยซูเจ้า” มาให้ ปรากฎว่าการส่งมีปัญหา กว่าลูกจะรับได้ต้องขอให้เพื่อนท่านนั้นส่งแล้วส่งอีกตั้งหลายหนกว่าจะรับได้
   
เมื่ออ่านบทความทั้งหมด ซึ่งมีหลายหน้าเสร็จ ลูกบอกกับตัวเองว่า “พระเยซูเจ้าคงทรงต้องการจะสื่ออะไรกับลูกผ่านหนังสือและบทความนี้เป็นแน่” เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงตัดสินใจเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้ เพื่ออ่านอีกรอบหนึ่ง เพื่อจะ “รับฟัง” ว่าพระองค์ทรงต้องการตรัสกับลูกว่าอย่างไร
   
เมื่อราวปลายปี 2009 ที่ผ่านมา ลูกรับพนักงานขับรถคนใหม่มาขับรถประจำตำแหน่งให้ลูก พนักงานผู้นี้มีอายุเกือบ 50 ปี ขับรถแท็กซี่มาตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ถนนหนทางรู้จักดี แต่มีปัญหาคือ เป็นคนมีความจำสั้นมากหรือเกือบจะพูดได้ว่า ไม่มีความจำเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เขาจำไม่ได้ทั้งนั้น ลูกเคยกลับบ้านไม่ได้เพราะเขาลืมกุญแจไว้ในรถ!
   
วันหนึ่งในสัปดาห์ที่แล้ว ลูกไปประชุม เสร็จตอนเที่ยงพอดี ลูกจึงกลับบ้านเพื่อพักผ่อนกอ่นจะไปประชุมอีกที่หนึ่งตอนบ่าย เมื่อถึงบ้านลูกบอกให้เขาไปรับประทานอาหารก่อน และบอกให้กลับมาตอนบ่ายโมง ระหว่างเวลาชั่วโมงนั้น ลูกตัดสินใจหยิบหนังสือของเคียร่า ลูบิคมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ลูกอ่านด้วยใจที่เปิดกว้าง เตรียม “รับฟัง” สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการตรัสกับลูก
   
“พระองค์ทรงเปล่าเปลี่ยว หมดสิ้นแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ทรงหมดสภาพ ทรงถูกทอดทิ้ง และทรงอยู่ในอาการช็อค”