ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 10, 2014, 09:42:23 pm »10 สิ่ง สร้างสุขในชีวิต...จากผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 4
โพสต์เมื่อ :
-http://health.kapook.com/view90261.html-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1451102 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
10 สิ่งที่ค้นพบความสุขในชีวิต...จากผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกระยะที่ 4 บทความดี ๆ ที่ให้กำลังใจผู้ป่วยเป็นมะเร็งทุกคน
เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เปรียบเสมือนยาชูกำลังสำหรับหัวใจขนานใหญ่เลยล่ะ สำหรับเรื่องราวของ คุณสมาชิกหมายเลข 1451102 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้เผยแพร่เรื่องราวและความรู้สึก...หลังจากที่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก ระยะที่ 4... แบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน
หากย้อนความก่อนที่จะต้องเผชิญกับโรคร้าย เขาบอกว่า ชีวิตในวัยเด็กของเขาเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ถูกสั่งสอนให้พยายามเรียนเก่ง ๆ และพยายามสอบให้ได้ที่ดี ๆ ซึ่งเขาก็สามารถเข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สำเร็จ และเป็นที่รู้กันดีว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีอิสระ และเขาก็ได้ใช้อิสระในชีวิตเยอะขึ้น ตามแบบฉบับวัยรุ่นทั่วไป...
จนกระทั่งเรียนจบ เขาก็เริ่มหมุนไปสู่อีกด้านของเหรียญอย่างเต็มตัว.. คือทำงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกลางคืน ใช้ชีวิตสลับขั้ว ตื่นกลางคืน นอนกลางวัน และสังคมก็เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง จนอายุ 29 ปี (ปัจจุบันอายุ 30 นิด ๆ) เขาก็ตัดสินใจบอกลาชีวิตกลางคืน เมื่อพบว่าสิ่งที่เคยทำมันไม่สนุกอีกต่อไป และเริ่มรู้สึกรับไม่ไหวแบบชีวิตแบบนั้น ซึ่งหลังจากนั้น เขาก็ได้ลองมาใช้ชีวิตในแบบปกติทั่วไปดูบ้าง ทำงานกลางวัน นอนกลางคืน แต่ถึงกระนั้น ช่วงเวลานี้ก็เป็น 1 ปีที่เกิดความสับสนไม่น้อย เพราะสิ่งที่เป็นไปยังไม่ "ใช่" ตัวเขาเลย จนกระทั่งเขาได้ "เจอ" กับบททดสอบครั้งใหญ่ในชีวิต....นั่นก็คือการตรวจพบ "มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma)" โดยอยู่ระดับ stage 4b (T1N3M0)
โจทย์หนักระดับชีวิตอย่างนี้ ทำให้เขาใช้สิ่งที่มีอยู่ในการจัดการนั่นก็คือ "สติ" โดยใช้ปัญญาและความเพียร และเขาก็พบคำตอบ ก็คือความสุข... ซึ่งความสุขที่เขาได้รับยามที่เจ็บป่วยนี้ เป็นยาวิเศษที่ทำให้เขายิ้มและมีแรงที่จะต่อสู้กับโรคร้ายได้...
"Life is Miracle"
1. เริ่มหันมามีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว
ผมอยากจะบอกว่าไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตในรูปแบบไหน ชีวิตมีรูปแบบอื่น ๆ ซ่อนไว้ให้คุณค้นหามันเสมอ มุมเหล่านั้นในชีวิต คุณจะไม่มีทางมองเห็นเลยถ้าคุณไม่เปิดใจกับมัน ....ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ล่ะกัน ......ช่วงที่รักษาตัวถ้าไม่อยู่บ้านก็โรงพยาบาลเป็นอย่างนี้อยู่นานมาก ลองนึกตามว่าจากคนที่แทบไม่ค่อยอยู่บ้านกลับต้องมาทำอะไรแบบนี้ หนทางเดียวที่จะทำชีวิตให้มีความสุขกับมันได้คือ วิธีมองโลกใบเดิมในมุมมองที่ต่างไป ผมจำความรู้สึกของข้าวต้มหมูหยอง ชามแรกหลังจากที่ต่อมรับรสกลับมาทำงานอีกครั้งได้เลยครับ มันคือรสชาติ ที่ไม่ได้ขึ้นกับความรู้สึกที่ว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย แต่มันเป็นการรับรู้ในรูปแบบของการได้กลับมารับรู้รสชาติอาหารอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนในตลอดสามสิบปี ทั้งที่ข้าวต้มแบบนี้ผมเคยกินมาเป็นพันครั้ง หามันให้เจอครับ ความรู้สึก รูปแบบ ในชีวิตที่ซ่อนอยู่ อย่างละนิดละน้อย ผสม ๆ กันไปมันจะออกมาเป็นวันที่สุดแสนพิเศษได้เสมอ
2. สุขภาพดี กับ ครอบครัว (รวมถึงทุกคนบนโลกที่คุณรักและรักคุณนะครับ) ที่อบอุ่น เป็นต้นทุนของฟรีที่บางคนไม่ค่อยจะเห็นค่ากัน
มีเรื่องจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมะเร็งที่จะเกิดขึ้นกับทุกครอบครัวเลย คือ เวลามีคนใดคนหนึ่งเป็นมะเร็ง คนทั้งครอบครัวก็เหมือนจะเป็นไปด้วย ยิ่งใกล้ชิดผูกพันกันเท่าไรยิ่งแสดงออกมามากเท่านั้น.... ในกรณีของผมช่วงวันแรก ๆ ที่หมอบอกว่าผลออกมา สิ่งหนึ่งที่ยากสุด ๆ เลยคือผมจะหาวิธีการบอกกับที่บ้านอย่างไร ความรู้สึกที่ว่าต้องเดินไปบอกกับที่บ้านว่าผมกำลังจะตาย ความรู้สึกตอนนั้นมันผสมระหว่าง ความกังวล กับ เสียใจ อารมณ์ตอนนั้นมันออกแนวตื้อ ๆ ยิ่งคุณลุงของผมเคยเสียด้วยมะเร็งด้วยแล้ว การที่ผมจะบอกกับป้าที่เลี้ยงผมมาอย่างไร แกก็อายุมากแล้ว ที่บ้านเลยกลัวเรื่องสภาพจิตใจของแกจะแย่ลงไปอีก.... ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องประเภทแบบนี้ผมแนะนำเลยว่าหาคนที่มีสติ พอจะรับมือกับปัญหาได้พูดคุยเป็นคนแรกจะง่ายและดีที่สุด รวมถึงความรู้สึกของคนอื่น ๆ ในบ้านหลังจากที่ผมตัดสินใจบอกไป บรรยากาศผมสัมผัสได้ทันทีถึงความตึงเครียดที่เข้ามา ถึงแม้ทุกคนจะพยายามยิ้มแล้วก็ตาม
3. รับมือกับอดีตด้วย ด้วยการยอมรับความจริงในปัจจุบันหนึ่งข้อเท็จจริงในชีวิต
คือคุณไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ ดังนั้นเรื่องที่เกิดไปแล้วมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว อย่าปล่อยให้เรื่องในอดีตมารบกวนจิตใจ จนชีวิตในปัจจุบันแย่ไปด้วย
4. อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เชื่อเถอะว่าทุกคนมีปัญหา มีรูปแบบของชีวิตที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าใครก็ตาม ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นความสุขของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เชื่อผมเถอะครับ ไม่ว่าคุณเป็นใครในโลกใบนี้ จะรวย หรือ จน จะสวย จะหล่อ หรือ รูปร่างหน้าตาไม่ดี ถ้าเอาชีวิตไปเทียบกับคนอื่นมันไม่มีความสุขหรอก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ มักมองหาความสมบูรณ์แบบ เวลาคุณเอาตัวไปเทียบกับคนอื่นแล้วเจอ ความไม่สมบูรณ์ในตัวคุณมันจะเป็นจุดกำเนิดของความทุกข์ หันมามองสิ่งที่จะสร้างความสุขให้ตัวคุณเองจริง ๆ ดีกว่า เช่น เรื่อง The Bucket List ที่ผมจะเขียนไว้ข้างล่าง
5. รู้ถึงคุณค่าของตัวเอง
แต่อย่ามองตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เริ่มมองหาคุณค่าของตัวเอง มันจะมีมุมหนึ่งในชีวิตคุณที่มีค่าควรแก่การมีชีวิต คุณเชื่อผมเถอะว่าตัวคุณมีค่าแกใครคนหนึ่งบนโลกนี้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็กับตัวคุณเองนั้นแหละครับ
6. หาความฝันจริง ๆ ให้เจอ
มันควรจะเป็นความฝันของคุณเองไม่ใช้ความฝันของคนอื่น หรือสิ่งที่สังคมคาดหวัง เพราะตอนคุณจะตาย ความฝันจะเป็นสิ่งที่คุณนึกถึงอย่างแรก ๆ ไม่ใช่เงิน ทอง ฐานะทาง สังคม อะไร พวกนั้นเลย และรู้ไว้เถอะว่า คนเรามีความฝันได้มากกว่าหนึ่งอย่าง วิธีที่ผมจะแนะนำง่าย ๆ คือ เขียน list มันออกมาใส่กระดาษ เพราะความฝันบางอย่าง แก่แล้วก็ทำไม่ได้ บางอย่างอาจต้องใช้เงินทองสูง ผมเลยอยากให้ เริ่มเขียน list มันออกมาครับ คุณจะเห็นภาพและวางแผนถูก นั้นคือ ประเด็นที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มเขียนมันออกมา คุณจะเห็นภาพความฝันของคุณชัดเจนขึ้น คุณจะเริ่มแยกออกว่าสิ่งไหนคือความฝันจริง ๆ สิ่งไหนเป็นมายาคติ ที่เกิดจากการหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณ
7. ความกังวล การคิดมากจนเกินไป ไม่ช่วยให้ผลลัพธ์ ต่าง ๆ ออกมาดีขึ้น
มีแต่จะคอยทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาแย่ลง บางทีคำว่า รู้จักพอ ก็เหมาะกับหลาย ๆ สถานการณ์ เช่น ในกรณีของผู้ป่วยมะเร็งทุกคนที่เล่นอินเทอร์เน็ตเป็น เวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ร้อยทั้งร้อยมักจะ Google หาว่าชนิดที่ตัวเองเป็น มีโอกาสรอดมากไหม มีคนเป็นเยอะไหม รักษาที่ไหน ต้องกินอาหารอะไร ทำตัวเป็นแก้วก้นรั่ว ที่หาข้อมูลเท่าไรก็ไม่พอ ซึ่งมันจะทำให้ความคิดในแง่ลบเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจเราส่งผลให้ จิตตก เครียด ขาดสติ ร่างกายแย่ตามไปด้วย
ยิ่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ณ ปัจจุบัน คุณจะเจอข้อมูลเชิงลบเยอะไปหมด (อารมณ์ประมาณว่า ไม่เคยมีใครรอดจากมะเร็งเลย เป็นแล้วตายหมด) เชื่อผมเถอะอ่านพวกนี้มาก ๆ แล้วจิตตก ผมผ่านมาแล้ว รวมถึงคำแนะนำที่ไม่ได้มาจากผู้รู้ที่ศึกษามันจริง ๆ จัง ๆ ยาวิเศษ อาหารมหัศจรรย์ ที่ถูกแชร์กัน จนการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันกลายเป็นทางเลือกรอง (ผมไม่ได้การต่อต้านการขายอาหารเสริมนะครับ แต่ผมต่อต้านคนที่เอามันไปใช้ผิด ๆ ) ซึ่งนั้นคือ หนึ่งในเหตุผลหลักที่ผมอยากเขียนแชร์มุมมองในด้านนี้เกี่ยวกับมะเร็งขึ้นมา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมหลาย ๆ อย่างในช่วงรักษา มันเป็นผลสะท้อนมาจาก การที่สังคมเรามองเรื่องเกี่ยวกับมะเร็ง คลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันส่งผลให้หลายอย่างคลาดเคลื่อนตามกันไปหมดครับ เช่น เรามองศาสนาเป็นเครื่องมือรักษาที่ตัวโรคที่เป็นเลย ไม่ได้มองในมุมของการปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจให้มี สติ และ ปัญญาในการรับมือกับสิ่งที่เกิดได้อย่างถูกต้อง
ผลเสียในเรื่องนี้มันเกิดขึ้นทั้งระดับจิตใจ ( อย่างน้อยที่สุดก็เกิด Paradox of choice ขึ้นล่ะ ) และในระดับของตัวโรคเองที่ การรักษาที่ถูกต้องจะช้าออกไป ซึ่งเวลา 1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน นั้นอาจหมายถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่งทีเดียว ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมเจอกับตัวเองเลย เรื่องที่ถูกส่งไปรักษาด้วยพลังมหัศจรรย์นี้เขียนได้เป็นฉากเลย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ ส่วนที่บอกว่าถ้าไม่อยากให้กังวลมากไปควรทำไง ทำอย่างไรให้มีความพอดี อ่านข้อข้างล่างต่อเลยครับ
8. สติ
ควรอยู่กับติดกับตัวให้เป็นความเคยชิน คือเรื่องนี้ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้ว่ามันสำคัญยังไง แต่หลาย ๆ ครั้งในสังคมเราที่สิ่งนี้ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์โกรธ อารมณ์กลัว อารมณ์เศร้า คำแนะนำง่าย ๆ ของผมที่จะทำให้อารมณ์เหล่านี้ลดลงคือ มั่นฝึกการเจริญ สติบ่อย ๆ บางคนทำสมาธิ บางคนเน้นสวดมนต์ แต่ในกรณีของผมคือผสม ๆ กันไป ถ้ารู้ว่าจิตจะตกให้เริ่มฟังเพลงคลาสสิคพวก Mozart ,Chopin อะไรพวกนั้น (ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยฟังเลย) รวมถึงเย็น ๆ เดินจงกลม (แต่ไม่เต็มรูปแบบ) เพราะเนื่องจากมันเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ก่อนนอนนั่งสมาธิ สวดมนต์ซักหน่อย (ผมทำเพื่อมีสตินะครับ ไม่เกี่ยวกับปาฎิหาริย์อะไรทั้งนั้น) พร้อมทั้งให้เชื่อผมเถอะว่าชีวิตเกิดมาเพื่อถูกทดสอบตลอดเวลา
ตราบที่คุณยังมีลมหายใจ ซึ่งสติจะช่วยให้คุณผ่านบททดสอบไปได้อย่างไม่ยากเย็น ในทุก ๆ ครั้ง ยิ่งในผู้ป่วยมะเร็งด้วยแล้ว สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ในเวลาไม่คาดฝันเสมอ อย่างเช่น ในวันที่ทุกอย่างดูเหมือนปกติ ง่าย ๆ วันหนึ่ง ผมนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านดี ๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่เกิดจามแค่ทีเดียว เลือดก็ไหลออกจากจมูกไม่หยุด ต้องไปที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเลยทีเดียว (ส่วนสาเหตุเนื่องมาจากช่วงที่ผมรับการฉายแสง เนื้อเยื้อบริเวณจมูกเปราะบางมากกว่าปกติ) เรียกได้ว่าช่วงนั้นร่างกายพร้อมจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เสมอ ค่าตัวเลขต่าง ๆ ของร่างกายแย่กว่ามาตรฐานคนปกติทุกอย่าง ซึ่งสวนทางกับอารมณ์ของผู้ป่วยที่รับคีโมที่มักจะอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าคนปกติ (ผมรับทั้งคีโมและฉายแสงพร้อมกัน) สติเลยต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา เพราะนอกจากมันจะส่งส่งต่อชีวิตเราแล้ว มันยังส่งผลต่อคนรอบข้างเราด้วย และเวลามีสติรอยยิ้มกับอารมณ์ขันมันมักจะตามออกมา
9. ความหวังเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่คุณควรเตรียมวิธีรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วย
ในผู้ป่วยมะเร็งทุกคน หรือแม้แต่มนุษย์บนโลกเราทุกชีวิต ความหวังเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยทำให้ความทุกข์ถูกลืมออกไปจากชีวิต ดังนั้นถ้าเราพัฒนา ฝึกรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วยแล้ว เราจะสามารถใช้ชีวิตบนความหวังได้อย่างไม่มีคำว่าสะดุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในกรณีของผม ในช่วงการรักษา หลาย ๆ ครั้ง การที่ต้องเดินเข้าไปในห้องตรวจ แล้วคุณ หมอ มองผลตรวจ ทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี พร้อมบอกว่าผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่หวัง ตัวรอยโรคยังคงไม่หายไป (ทุกครั้งหมายถึงเวลาบนโลกของผมเหลือน้อยลงไปทุกที ) เกิดขึ้น หลายครั้งมาก แต่สิ่งที่ต่างกันออกไประหว่างครั้งแรก ๆ กับครั้งหลัง ๆ คือ ความสุขของชีวิตผมไม่เคยสะดุดลงไปด้วย กลับกันที่ความหวังมันกลับโตมากขึ้นทุกครั้ง บรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่เรียบง่าย คำพูดพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่บอกว่า "อย่าเพิ่งเบื่อหน้าผมนะครับ"
10. ออกจากเงื่อนไขของ "เวลา"
ข้อนี้เป็นข้อที่ผมมองว่าสำคัญมากที่สุดเพราะถ้าทำข้อนี้ได้ 9 ข้อข้างบนก็จะทำง่ายตามไปด้วย รวมถึงเป็นเหมือนเสาหลักที่ยึดโยงแนวคิดด้านบนที่ผมเขียนมายาว ๆ เข้าด้วยกันเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตเฉพาะตัวของแต่ละคนขึ้นมา
โดยในกรณีของผมและผู้ป่วยมะเร็งหลาย ๆ คนโชคดีที่ถูกบังคับด้วยตัวโรคที่เป็นทำให้เริ่มมองเห็นความสำคัญของข้อนี้แบบจริงจัง ถ้ากำลังงงว่าผมกำลังพูดถึงอะไร ผมขออธิบายแบบนี้แล้วกัน
คุณอาจเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า "จงใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย" พวกนั้นบ่อย ๆ ซึ่งในผู้ป่วยมะเร็งคำพูดประมาณนี้มันเปลี่ยนจากคำคมบนหน้าเฟซบุ๊กมาเป็นความผู้สึกที่เกิดขึ้นจริงทุก ๆ วัน คำพูดต่าง ๆ ที่ชอบพูดในอดีต เช่น วันนี้ไม่มีเวลา หรือ เดียวค่อยทำเวลาเหลือเฟือ กลายเป็นภาพสะท้อนของการใช้ชีวิตบนเงื่อนไขของเวลา จนลืมมองหารูปแบบชีวิตที่สามารถมีความสุขได้โดย การปฏิบัติที่ไม่จำกัดเวลา ไม่ถูกยึดโยงกับเวลา ส่งผลแห่งความสุขทุกครั้งที่ปฏิบัติ ได้ทันที ซึ่งนั้นจะทำให้ทั้งคุณและครอบครัว มีความสุขไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร
และนั้นคือ 10 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มา หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ
"Once cancer happens it changes the way you live for the rest of your life"
----Hayley Mills----
อย่างไรก็ดี...ล่าสุด เขาก็ได้เปิดแฟนเพจเฟซบุ๊ก Aboutlifethailand แชร์เรื่องราวข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งและข้อคิด รวมถึงกำลังใจดี ๆ ให้กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งด้วย... ไม่ว่าคุณจะต้องเจอเรื่องร้ายอะไร แค่ลองปรับความคิด ใช้สติในการมองทุกอย่าง ถึงอาการป่วยจะไม่ดีขึ้น อย่างน้อยการมองโลกในแง่ดีก็จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ว่าไหม.. ยังไงกระปุกดอทคอมก็ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกคนอาการดีวันดีคืน ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้าย ยิ้มรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสู้ ๆ นะคะ
http://health.kapook.com/view90261.html
โพสต์เมื่อ :
-http://health.kapook.com/view90261.html-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1451102 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
10 สิ่งที่ค้นพบความสุขในชีวิต...จากผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกระยะที่ 4 บทความดี ๆ ที่ให้กำลังใจผู้ป่วยเป็นมะเร็งทุกคน
เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เปรียบเสมือนยาชูกำลังสำหรับหัวใจขนานใหญ่เลยล่ะ สำหรับเรื่องราวของ คุณสมาชิกหมายเลข 1451102 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้เผยแพร่เรื่องราวและความรู้สึก...หลังจากที่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก ระยะที่ 4... แบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน
หากย้อนความก่อนที่จะต้องเผชิญกับโรคร้าย เขาบอกว่า ชีวิตในวัยเด็กของเขาเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ถูกสั่งสอนให้พยายามเรียนเก่ง ๆ และพยายามสอบให้ได้ที่ดี ๆ ซึ่งเขาก็สามารถเข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สำเร็จ และเป็นที่รู้กันดีว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีอิสระ และเขาก็ได้ใช้อิสระในชีวิตเยอะขึ้น ตามแบบฉบับวัยรุ่นทั่วไป...
จนกระทั่งเรียนจบ เขาก็เริ่มหมุนไปสู่อีกด้านของเหรียญอย่างเต็มตัว.. คือทำงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกลางคืน ใช้ชีวิตสลับขั้ว ตื่นกลางคืน นอนกลางวัน และสังคมก็เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง จนอายุ 29 ปี (ปัจจุบันอายุ 30 นิด ๆ) เขาก็ตัดสินใจบอกลาชีวิตกลางคืน เมื่อพบว่าสิ่งที่เคยทำมันไม่สนุกอีกต่อไป และเริ่มรู้สึกรับไม่ไหวแบบชีวิตแบบนั้น ซึ่งหลังจากนั้น เขาก็ได้ลองมาใช้ชีวิตในแบบปกติทั่วไปดูบ้าง ทำงานกลางวัน นอนกลางคืน แต่ถึงกระนั้น ช่วงเวลานี้ก็เป็น 1 ปีที่เกิดความสับสนไม่น้อย เพราะสิ่งที่เป็นไปยังไม่ "ใช่" ตัวเขาเลย จนกระทั่งเขาได้ "เจอ" กับบททดสอบครั้งใหญ่ในชีวิต....นั่นก็คือการตรวจพบ "มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma)" โดยอยู่ระดับ stage 4b (T1N3M0)
โจทย์หนักระดับชีวิตอย่างนี้ ทำให้เขาใช้สิ่งที่มีอยู่ในการจัดการนั่นก็คือ "สติ" โดยใช้ปัญญาและความเพียร และเขาก็พบคำตอบ ก็คือความสุข... ซึ่งความสุขที่เขาได้รับยามที่เจ็บป่วยนี้ เป็นยาวิเศษที่ทำให้เขายิ้มและมีแรงที่จะต่อสู้กับโรคร้ายได้...
"Life is Miracle"
1. เริ่มหันมามีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว
ผมอยากจะบอกว่าไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตในรูปแบบไหน ชีวิตมีรูปแบบอื่น ๆ ซ่อนไว้ให้คุณค้นหามันเสมอ มุมเหล่านั้นในชีวิต คุณจะไม่มีทางมองเห็นเลยถ้าคุณไม่เปิดใจกับมัน ....ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ล่ะกัน ......ช่วงที่รักษาตัวถ้าไม่อยู่บ้านก็โรงพยาบาลเป็นอย่างนี้อยู่นานมาก ลองนึกตามว่าจากคนที่แทบไม่ค่อยอยู่บ้านกลับต้องมาทำอะไรแบบนี้ หนทางเดียวที่จะทำชีวิตให้มีความสุขกับมันได้คือ วิธีมองโลกใบเดิมในมุมมองที่ต่างไป ผมจำความรู้สึกของข้าวต้มหมูหยอง ชามแรกหลังจากที่ต่อมรับรสกลับมาทำงานอีกครั้งได้เลยครับ มันคือรสชาติ ที่ไม่ได้ขึ้นกับความรู้สึกที่ว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย แต่มันเป็นการรับรู้ในรูปแบบของการได้กลับมารับรู้รสชาติอาหารอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนในตลอดสามสิบปี ทั้งที่ข้าวต้มแบบนี้ผมเคยกินมาเป็นพันครั้ง หามันให้เจอครับ ความรู้สึก รูปแบบ ในชีวิตที่ซ่อนอยู่ อย่างละนิดละน้อย ผสม ๆ กันไปมันจะออกมาเป็นวันที่สุดแสนพิเศษได้เสมอ
2. สุขภาพดี กับ ครอบครัว (รวมถึงทุกคนบนโลกที่คุณรักและรักคุณนะครับ) ที่อบอุ่น เป็นต้นทุนของฟรีที่บางคนไม่ค่อยจะเห็นค่ากัน
มีเรื่องจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมะเร็งที่จะเกิดขึ้นกับทุกครอบครัวเลย คือ เวลามีคนใดคนหนึ่งเป็นมะเร็ง คนทั้งครอบครัวก็เหมือนจะเป็นไปด้วย ยิ่งใกล้ชิดผูกพันกันเท่าไรยิ่งแสดงออกมามากเท่านั้น.... ในกรณีของผมช่วงวันแรก ๆ ที่หมอบอกว่าผลออกมา สิ่งหนึ่งที่ยากสุด ๆ เลยคือผมจะหาวิธีการบอกกับที่บ้านอย่างไร ความรู้สึกที่ว่าต้องเดินไปบอกกับที่บ้านว่าผมกำลังจะตาย ความรู้สึกตอนนั้นมันผสมระหว่าง ความกังวล กับ เสียใจ อารมณ์ตอนนั้นมันออกแนวตื้อ ๆ ยิ่งคุณลุงของผมเคยเสียด้วยมะเร็งด้วยแล้ว การที่ผมจะบอกกับป้าที่เลี้ยงผมมาอย่างไร แกก็อายุมากแล้ว ที่บ้านเลยกลัวเรื่องสภาพจิตใจของแกจะแย่ลงไปอีก.... ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องประเภทแบบนี้ผมแนะนำเลยว่าหาคนที่มีสติ พอจะรับมือกับปัญหาได้พูดคุยเป็นคนแรกจะง่ายและดีที่สุด รวมถึงความรู้สึกของคนอื่น ๆ ในบ้านหลังจากที่ผมตัดสินใจบอกไป บรรยากาศผมสัมผัสได้ทันทีถึงความตึงเครียดที่เข้ามา ถึงแม้ทุกคนจะพยายามยิ้มแล้วก็ตาม
3. รับมือกับอดีตด้วย ด้วยการยอมรับความจริงในปัจจุบันหนึ่งข้อเท็จจริงในชีวิต
คือคุณไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ ดังนั้นเรื่องที่เกิดไปแล้วมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว อย่าปล่อยให้เรื่องในอดีตมารบกวนจิตใจ จนชีวิตในปัจจุบันแย่ไปด้วย
4. อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เชื่อเถอะว่าทุกคนมีปัญหา มีรูปแบบของชีวิตที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าใครก็ตาม ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นความสุขของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เชื่อผมเถอะครับ ไม่ว่าคุณเป็นใครในโลกใบนี้ จะรวย หรือ จน จะสวย จะหล่อ หรือ รูปร่างหน้าตาไม่ดี ถ้าเอาชีวิตไปเทียบกับคนอื่นมันไม่มีความสุขหรอก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ มักมองหาความสมบูรณ์แบบ เวลาคุณเอาตัวไปเทียบกับคนอื่นแล้วเจอ ความไม่สมบูรณ์ในตัวคุณมันจะเป็นจุดกำเนิดของความทุกข์ หันมามองสิ่งที่จะสร้างความสุขให้ตัวคุณเองจริง ๆ ดีกว่า เช่น เรื่อง The Bucket List ที่ผมจะเขียนไว้ข้างล่าง
5. รู้ถึงคุณค่าของตัวเอง
แต่อย่ามองตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เริ่มมองหาคุณค่าของตัวเอง มันจะมีมุมหนึ่งในชีวิตคุณที่มีค่าควรแก่การมีชีวิต คุณเชื่อผมเถอะว่าตัวคุณมีค่าแกใครคนหนึ่งบนโลกนี้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็กับตัวคุณเองนั้นแหละครับ
6. หาความฝันจริง ๆ ให้เจอ
มันควรจะเป็นความฝันของคุณเองไม่ใช้ความฝันของคนอื่น หรือสิ่งที่สังคมคาดหวัง เพราะตอนคุณจะตาย ความฝันจะเป็นสิ่งที่คุณนึกถึงอย่างแรก ๆ ไม่ใช่เงิน ทอง ฐานะทาง สังคม อะไร พวกนั้นเลย และรู้ไว้เถอะว่า คนเรามีความฝันได้มากกว่าหนึ่งอย่าง วิธีที่ผมจะแนะนำง่าย ๆ คือ เขียน list มันออกมาใส่กระดาษ เพราะความฝันบางอย่าง แก่แล้วก็ทำไม่ได้ บางอย่างอาจต้องใช้เงินทองสูง ผมเลยอยากให้ เริ่มเขียน list มันออกมาครับ คุณจะเห็นภาพและวางแผนถูก นั้นคือ ประเด็นที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มเขียนมันออกมา คุณจะเห็นภาพความฝันของคุณชัดเจนขึ้น คุณจะเริ่มแยกออกว่าสิ่งไหนคือความฝันจริง ๆ สิ่งไหนเป็นมายาคติ ที่เกิดจากการหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณ
7. ความกังวล การคิดมากจนเกินไป ไม่ช่วยให้ผลลัพธ์ ต่าง ๆ ออกมาดีขึ้น
มีแต่จะคอยทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาแย่ลง บางทีคำว่า รู้จักพอ ก็เหมาะกับหลาย ๆ สถานการณ์ เช่น ในกรณีของผู้ป่วยมะเร็งทุกคนที่เล่นอินเทอร์เน็ตเป็น เวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ร้อยทั้งร้อยมักจะ Google หาว่าชนิดที่ตัวเองเป็น มีโอกาสรอดมากไหม มีคนเป็นเยอะไหม รักษาที่ไหน ต้องกินอาหารอะไร ทำตัวเป็นแก้วก้นรั่ว ที่หาข้อมูลเท่าไรก็ไม่พอ ซึ่งมันจะทำให้ความคิดในแง่ลบเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจเราส่งผลให้ จิตตก เครียด ขาดสติ ร่างกายแย่ตามไปด้วย
ยิ่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ณ ปัจจุบัน คุณจะเจอข้อมูลเชิงลบเยอะไปหมด (อารมณ์ประมาณว่า ไม่เคยมีใครรอดจากมะเร็งเลย เป็นแล้วตายหมด) เชื่อผมเถอะอ่านพวกนี้มาก ๆ แล้วจิตตก ผมผ่านมาแล้ว รวมถึงคำแนะนำที่ไม่ได้มาจากผู้รู้ที่ศึกษามันจริง ๆ จัง ๆ ยาวิเศษ อาหารมหัศจรรย์ ที่ถูกแชร์กัน จนการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันกลายเป็นทางเลือกรอง (ผมไม่ได้การต่อต้านการขายอาหารเสริมนะครับ แต่ผมต่อต้านคนที่เอามันไปใช้ผิด ๆ ) ซึ่งนั้นคือ หนึ่งในเหตุผลหลักที่ผมอยากเขียนแชร์มุมมองในด้านนี้เกี่ยวกับมะเร็งขึ้นมา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมหลาย ๆ อย่างในช่วงรักษา มันเป็นผลสะท้อนมาจาก การที่สังคมเรามองเรื่องเกี่ยวกับมะเร็ง คลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันส่งผลให้หลายอย่างคลาดเคลื่อนตามกันไปหมดครับ เช่น เรามองศาสนาเป็นเครื่องมือรักษาที่ตัวโรคที่เป็นเลย ไม่ได้มองในมุมของการปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจให้มี สติ และ ปัญญาในการรับมือกับสิ่งที่เกิดได้อย่างถูกต้อง
ผลเสียในเรื่องนี้มันเกิดขึ้นทั้งระดับจิตใจ ( อย่างน้อยที่สุดก็เกิด Paradox of choice ขึ้นล่ะ ) และในระดับของตัวโรคเองที่ การรักษาที่ถูกต้องจะช้าออกไป ซึ่งเวลา 1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน นั้นอาจหมายถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่งทีเดียว ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมเจอกับตัวเองเลย เรื่องที่ถูกส่งไปรักษาด้วยพลังมหัศจรรย์นี้เขียนได้เป็นฉากเลย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ ส่วนที่บอกว่าถ้าไม่อยากให้กังวลมากไปควรทำไง ทำอย่างไรให้มีความพอดี อ่านข้อข้างล่างต่อเลยครับ
8. สติ
ควรอยู่กับติดกับตัวให้เป็นความเคยชิน คือเรื่องนี้ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้ว่ามันสำคัญยังไง แต่หลาย ๆ ครั้งในสังคมเราที่สิ่งนี้ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์โกรธ อารมณ์กลัว อารมณ์เศร้า คำแนะนำง่าย ๆ ของผมที่จะทำให้อารมณ์เหล่านี้ลดลงคือ มั่นฝึกการเจริญ สติบ่อย ๆ บางคนทำสมาธิ บางคนเน้นสวดมนต์ แต่ในกรณีของผมคือผสม ๆ กันไป ถ้ารู้ว่าจิตจะตกให้เริ่มฟังเพลงคลาสสิคพวก Mozart ,Chopin อะไรพวกนั้น (ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยฟังเลย) รวมถึงเย็น ๆ เดินจงกลม (แต่ไม่เต็มรูปแบบ) เพราะเนื่องจากมันเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ก่อนนอนนั่งสมาธิ สวดมนต์ซักหน่อย (ผมทำเพื่อมีสตินะครับ ไม่เกี่ยวกับปาฎิหาริย์อะไรทั้งนั้น) พร้อมทั้งให้เชื่อผมเถอะว่าชีวิตเกิดมาเพื่อถูกทดสอบตลอดเวลา
ตราบที่คุณยังมีลมหายใจ ซึ่งสติจะช่วยให้คุณผ่านบททดสอบไปได้อย่างไม่ยากเย็น ในทุก ๆ ครั้ง ยิ่งในผู้ป่วยมะเร็งด้วยแล้ว สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ในเวลาไม่คาดฝันเสมอ อย่างเช่น ในวันที่ทุกอย่างดูเหมือนปกติ ง่าย ๆ วันหนึ่ง ผมนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านดี ๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่เกิดจามแค่ทีเดียว เลือดก็ไหลออกจากจมูกไม่หยุด ต้องไปที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเลยทีเดียว (ส่วนสาเหตุเนื่องมาจากช่วงที่ผมรับการฉายแสง เนื้อเยื้อบริเวณจมูกเปราะบางมากกว่าปกติ) เรียกได้ว่าช่วงนั้นร่างกายพร้อมจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เสมอ ค่าตัวเลขต่าง ๆ ของร่างกายแย่กว่ามาตรฐานคนปกติทุกอย่าง ซึ่งสวนทางกับอารมณ์ของผู้ป่วยที่รับคีโมที่มักจะอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าคนปกติ (ผมรับทั้งคีโมและฉายแสงพร้อมกัน) สติเลยต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา เพราะนอกจากมันจะส่งส่งต่อชีวิตเราแล้ว มันยังส่งผลต่อคนรอบข้างเราด้วย และเวลามีสติรอยยิ้มกับอารมณ์ขันมันมักจะตามออกมา
9. ความหวังเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่คุณควรเตรียมวิธีรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วย
ในผู้ป่วยมะเร็งทุกคน หรือแม้แต่มนุษย์บนโลกเราทุกชีวิต ความหวังเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยทำให้ความทุกข์ถูกลืมออกไปจากชีวิต ดังนั้นถ้าเราพัฒนา ฝึกรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วยแล้ว เราจะสามารถใช้ชีวิตบนความหวังได้อย่างไม่มีคำว่าสะดุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในกรณีของผม ในช่วงการรักษา หลาย ๆ ครั้ง การที่ต้องเดินเข้าไปในห้องตรวจ แล้วคุณ หมอ มองผลตรวจ ทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี พร้อมบอกว่าผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่หวัง ตัวรอยโรคยังคงไม่หายไป (ทุกครั้งหมายถึงเวลาบนโลกของผมเหลือน้อยลงไปทุกที ) เกิดขึ้น หลายครั้งมาก แต่สิ่งที่ต่างกันออกไประหว่างครั้งแรก ๆ กับครั้งหลัง ๆ คือ ความสุขของชีวิตผมไม่เคยสะดุดลงไปด้วย กลับกันที่ความหวังมันกลับโตมากขึ้นทุกครั้ง บรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่เรียบง่าย คำพูดพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่บอกว่า "อย่าเพิ่งเบื่อหน้าผมนะครับ"
10. ออกจากเงื่อนไขของ "เวลา"
ข้อนี้เป็นข้อที่ผมมองว่าสำคัญมากที่สุดเพราะถ้าทำข้อนี้ได้ 9 ข้อข้างบนก็จะทำง่ายตามไปด้วย รวมถึงเป็นเหมือนเสาหลักที่ยึดโยงแนวคิดด้านบนที่ผมเขียนมายาว ๆ เข้าด้วยกันเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตเฉพาะตัวของแต่ละคนขึ้นมา
โดยในกรณีของผมและผู้ป่วยมะเร็งหลาย ๆ คนโชคดีที่ถูกบังคับด้วยตัวโรคที่เป็นทำให้เริ่มมองเห็นความสำคัญของข้อนี้แบบจริงจัง ถ้ากำลังงงว่าผมกำลังพูดถึงอะไร ผมขออธิบายแบบนี้แล้วกัน
คุณอาจเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า "จงใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย" พวกนั้นบ่อย ๆ ซึ่งในผู้ป่วยมะเร็งคำพูดประมาณนี้มันเปลี่ยนจากคำคมบนหน้าเฟซบุ๊กมาเป็นความผู้สึกที่เกิดขึ้นจริงทุก ๆ วัน คำพูดต่าง ๆ ที่ชอบพูดในอดีต เช่น วันนี้ไม่มีเวลา หรือ เดียวค่อยทำเวลาเหลือเฟือ กลายเป็นภาพสะท้อนของการใช้ชีวิตบนเงื่อนไขของเวลา จนลืมมองหารูปแบบชีวิตที่สามารถมีความสุขได้โดย การปฏิบัติที่ไม่จำกัดเวลา ไม่ถูกยึดโยงกับเวลา ส่งผลแห่งความสุขทุกครั้งที่ปฏิบัติ ได้ทันที ซึ่งนั้นจะทำให้ทั้งคุณและครอบครัว มีความสุขไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร
และนั้นคือ 10 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มา หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ
"Once cancer happens it changes the way you live for the rest of your life"
----Hayley Mills----
อย่างไรก็ดี...ล่าสุด เขาก็ได้เปิดแฟนเพจเฟซบุ๊ก Aboutlifethailand แชร์เรื่องราวข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งและข้อคิด รวมถึงกำลังใจดี ๆ ให้กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งด้วย... ไม่ว่าคุณจะต้องเจอเรื่องร้ายอะไร แค่ลองปรับความคิด ใช้สติในการมองทุกอย่าง ถึงอาการป่วยจะไม่ดีขึ้น อย่างน้อยการมองโลกในแง่ดีก็จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ว่าไหม.. ยังไงกระปุกดอทคอมก็ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกคนอาการดีวันดีคืน ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้าย ยิ้มรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสู้ ๆ นะคะ
http://health.kapook.com/view90261.html