ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 10, 2014, 09:42:23 pm »

10 สิ่ง สร้างสุขในชีวิต...จากผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 4
โพสต์เมื่อ :

-http://health.kapook.com/view90261.html-

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1451102 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

           10 สิ่งที่ค้นพบความสุขในชีวิต...จากผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูกระยะที่ 4 บทความดี ๆ ที่ให้กำลังใจผู้ป่วยเป็นมะเร็งทุกคน

           เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เปรียบเสมือนยาชูกำลังสำหรับหัวใจขนานใหญ่เลยล่ะ สำหรับเรื่องราวของ คุณสมาชิกหมายเลข 1451102 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้เผยแพร่เรื่องราวและความรู้สึก...หลังจากที่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก ระยะที่ 4... แบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน
       
           หากย้อนความก่อนที่จะต้องเผชิญกับโรคร้าย เขาบอกว่า ชีวิตในวัยเด็กของเขาเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ถูกสั่งสอนให้พยายามเรียนเก่ง ๆ และพยายามสอบให้ได้ที่ดี ๆ ซึ่งเขาก็สามารถเข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สำเร็จ และเป็นที่รู้กันดีว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีอิสระ และเขาก็ได้ใช้อิสระในชีวิตเยอะขึ้น ตามแบบฉบับวัยรุ่นทั่วไป...

           จนกระทั่งเรียนจบ เขาก็เริ่มหมุนไปสู่อีกด้านของเหรียญอย่างเต็มตัว.. คือทำงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกลางคืน ใช้ชีวิตสลับขั้ว ตื่นกลางคืน นอนกลางวัน และสังคมก็เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง จนอายุ 29 ปี  (ปัจจุบันอายุ 30 นิด ๆ) เขาก็ตัดสินใจบอกลาชีวิตกลางคืน เมื่อพบว่าสิ่งที่เคยทำมันไม่สนุกอีกต่อไป และเริ่มรู้สึกรับไม่ไหวแบบชีวิตแบบนั้น ซึ่งหลังจากนั้น เขาก็ได้ลองมาใช้ชีวิตในแบบปกติทั่วไปดูบ้าง ทำงานกลางวัน นอนกลางคืน แต่ถึงกระนั้น ช่วงเวลานี้ก็เป็น 1 ปีที่เกิดความสับสนไม่น้อย เพราะสิ่งที่เป็นไปยังไม่ "ใช่" ตัวเขาเลย จนกระทั่งเขาได้ "เจอ" กับบททดสอบครั้งใหญ่ในชีวิต....นั่นก็คือการตรวจพบ "มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma)" โดยอยู่ระดับ stage 4b  (T1N3M0)

           โจทย์หนักระดับชีวิตอย่างนี้ ทำให้เขาใช้สิ่งที่มีอยู่ในการจัดการนั่นก็คือ "สติ" โดยใช้ปัญญาและความเพียร และเขาก็พบคำตอบ ก็คือความสุข... ซึ่งความสุขที่เขาได้รับยามที่เจ็บป่วยนี้ เป็นยาวิเศษที่ทำให้เขายิ้มและมีแรงที่จะต่อสู้กับโรคร้ายได้...





"Life is Miracle"

1. เริ่มหันมามีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว

           ผมอยากจะบอกว่าไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตในรูปแบบไหน ชีวิตมีรูปแบบอื่น ๆ ซ่อนไว้ให้คุณค้นหามันเสมอ มุมเหล่านั้นในชีวิต คุณจะไม่มีทางมองเห็นเลยถ้าคุณไม่เปิดใจกับมัน  ....ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ล่ะกัน ......ช่วงที่รักษาตัวถ้าไม่อยู่บ้านก็โรงพยาบาลเป็นอย่างนี้อยู่นานมาก ลองนึกตามว่าจากคนที่แทบไม่ค่อยอยู่บ้านกลับต้องมาทำอะไรแบบนี้  หนทางเดียวที่จะทำชีวิตให้มีความสุขกับมันได้คือ วิธีมองโลกใบเดิมในมุมมองที่ต่างไป  ผมจำความรู้สึกของข้าวต้มหมูหยอง ชามแรกหลังจากที่ต่อมรับรสกลับมาทำงานอีกครั้งได้เลยครับ มันคือรสชาติ ที่ไม่ได้ขึ้นกับความรู้สึกที่ว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย  แต่มันเป็นการรับรู้ในรูปแบบของการได้กลับมารับรู้รสชาติอาหารอีกครั้ง  มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนในตลอดสามสิบปี ทั้งที่ข้าวต้มแบบนี้ผมเคยกินมาเป็นพันครั้ง  หามันให้เจอครับ ความรู้สึก รูปแบบ ในชีวิตที่ซ่อนอยู่  อย่างละนิดละน้อย ผสม ๆ กันไปมันจะออกมาเป็นวันที่สุดแสนพิเศษได้เสมอ
 
2. สุขภาพดี กับ ครอบครัว (รวมถึงทุกคนบนโลกที่คุณรักและรักคุณนะครับ) ที่อบอุ่น เป็นต้นทุนของฟรีที่บางคนไม่ค่อยจะเห็นค่ากัน

           มีเรื่องจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมะเร็งที่จะเกิดขึ้นกับทุกครอบครัวเลย คือ เวลามีคนใดคนหนึ่งเป็นมะเร็ง คนทั้งครอบครัวก็เหมือนจะเป็นไปด้วย ยิ่งใกล้ชิดผูกพันกันเท่าไรยิ่งแสดงออกมามากเท่านั้น.... ในกรณีของผมช่วงวันแรก ๆ ที่หมอบอกว่าผลออกมา สิ่งหนึ่งที่ยากสุด ๆ  เลยคือผมจะหาวิธีการบอกกับที่บ้านอย่างไร ความรู้สึกที่ว่าต้องเดินไปบอกกับที่บ้านว่าผมกำลังจะตาย ความรู้สึกตอนนั้นมันผสมระหว่าง ความกังวล กับ เสียใจ  อารมณ์ตอนนั้นมันออกแนวตื้อ ๆ ยิ่งคุณลุงของผมเคยเสียด้วยมะเร็งด้วยแล้ว การที่ผมจะบอกกับป้าที่เลี้ยงผมมาอย่างไร  แกก็อายุมากแล้ว ที่บ้านเลยกลัวเรื่องสภาพจิตใจของแกจะแย่ลงไปอีก.... ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องประเภทแบบนี้ผมแนะนำเลยว่าหาคนที่มีสติ พอจะรับมือกับปัญหาได้พูดคุยเป็นคนแรกจะง่ายและดีที่สุด  รวมถึงความรู้สึกของคนอื่น ๆ ในบ้านหลังจากที่ผมตัดสินใจบอกไป บรรยากาศผมสัมผัสได้ทันทีถึงความตึงเครียดที่เข้ามา ถึงแม้ทุกคนจะพยายามยิ้มแล้วก็ตาม

3. รับมือกับอดีตด้วย ด้วยการยอมรับความจริงในปัจจุบันหนึ่งข้อเท็จจริงในชีวิต
 
           คือคุณไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ ดังนั้นเรื่องที่เกิดไปแล้วมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว  อย่าปล่อยให้เรื่องในอดีตมารบกวนจิตใจ  จนชีวิตในปัจจุบันแย่ไปด้วย

4. อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

           เชื่อเถอะว่าทุกคนมีปัญหา มีรูปแบบของชีวิตที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าใครก็ตาม ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นความสุขของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน  เชื่อผมเถอะครับ ไม่ว่าคุณเป็นใครในโลกใบนี้ จะรวย หรือ จน จะสวย จะหล่อ หรือ รูปร่างหน้าตาไม่ดี  ถ้าเอาชีวิตไปเทียบกับคนอื่นมันไม่มีความสุขหรอก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ มักมองหาความสมบูรณ์แบบ เวลาคุณเอาตัวไปเทียบกับคนอื่นแล้วเจอ ความไม่สมบูรณ์ในตัวคุณมันจะเป็นจุดกำเนิดของความทุกข์  หันมามองสิ่งที่จะสร้างความสุขให้ตัวคุณเองจริง ๆ  ดีกว่า เช่น เรื่อง The Bucket List  ที่ผมจะเขียนไว้ข้างล่าง

5. รู้ถึงคุณค่าของตัวเอง

           แต่อย่ามองตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง  เริ่มมองหาคุณค่าของตัวเอง มันจะมีมุมหนึ่งในชีวิตคุณที่มีค่าควรแก่การมีชีวิต คุณเชื่อผมเถอะว่าตัวคุณมีค่าแกใครคนหนึ่งบนโลกนี้เสมอ  อย่างน้อยที่สุดก็กับตัวคุณเองนั้นแหละครับ 



6. หาความฝันจริง ๆ  ให้เจอ

           มันควรจะเป็นความฝันของคุณเองไม่ใช้ความฝันของคนอื่น หรือสิ่งที่สังคมคาดหวัง เพราะตอนคุณจะตาย ความฝันจะเป็นสิ่งที่คุณนึกถึงอย่างแรก ๆ ไม่ใช่เงิน ทอง ฐานะทาง สังคม อะไร พวกนั้นเลย และรู้ไว้เถอะว่า คนเรามีความฝันได้มากกว่าหนึ่งอย่าง วิธีที่ผมจะแนะนำง่าย ๆ คือ เขียน list มันออกมาใส่กระดาษ เพราะความฝันบางอย่าง แก่แล้วก็ทำไม่ได้  บางอย่างอาจต้องใช้เงินทองสูง ผมเลยอยากให้ เริ่มเขียน list มันออกมาครับ คุณจะเห็นภาพและวางแผนถูก  นั้นคือ ประเด็นที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มเขียนมันออกมา คุณจะเห็นภาพความฝันของคุณชัดเจนขึ้น  คุณจะเริ่มแยกออกว่าสิ่งไหนคือความฝันจริง ๆ สิ่งไหนเป็นมายาคติ ที่เกิดจากการหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณ

7. ความกังวล การคิดมากจนเกินไป  ไม่ช่วยให้ผลลัพธ์ ต่าง ๆ ออกมาดีขึ้น

           มีแต่จะคอยทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาแย่ลง  บางทีคำว่า รู้จักพอ ก็เหมาะกับหลาย ๆ สถานการณ์   เช่น ในกรณีของผู้ป่วยมะเร็งทุกคนที่เล่นอินเทอร์เน็ตเป็น เวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ร้อยทั้งร้อยมักจะ Google หาว่าชนิดที่ตัวเองเป็น มีโอกาสรอดมากไหม มีคนเป็นเยอะไหม รักษาที่ไหน ต้องกินอาหารอะไร ทำตัวเป็นแก้วก้นรั่ว ที่หาข้อมูลเท่าไรก็ไม่พอ ซึ่งมันจะทำให้ความคิดในแง่ลบเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจเราส่งผลให้ จิตตก เครียด ขาดสติ ร่างกายแย่ตามไปด้วย

           ยิ่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ณ ปัจจุบัน คุณจะเจอข้อมูลเชิงลบเยอะไปหมด (อารมณ์ประมาณว่า ไม่เคยมีใครรอดจากมะเร็งเลย เป็นแล้วตายหมด) เชื่อผมเถอะอ่านพวกนี้มาก ๆ แล้วจิตตก ผมผ่านมาแล้ว  รวมถึงคำแนะนำที่ไม่ได้มาจากผู้รู้ที่ศึกษามันจริง ๆ จัง ๆ   ยาวิเศษ อาหารมหัศจรรย์ ที่ถูกแชร์กัน จนการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันกลายเป็นทางเลือกรอง (ผมไม่ได้การต่อต้านการขายอาหารเสริมนะครับ แต่ผมต่อต้านคนที่เอามันไปใช้ผิด ๆ )  ซึ่งนั้นคือ หนึ่งในเหตุผลหลักที่ผมอยากเขียนแชร์มุมมองในด้านนี้เกี่ยวกับมะเร็งขึ้นมา  เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมหลาย ๆ อย่างในช่วงรักษา มันเป็นผลสะท้อนมาจาก การที่สังคมเรามองเรื่องเกี่ยวกับมะเร็ง คลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันส่งผลให้หลายอย่างคลาดเคลื่อนตามกันไปหมดครับ เช่น เรามองศาสนาเป็นเครื่องมือรักษาที่ตัวโรคที่เป็นเลย ไม่ได้มองในมุมของการปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจให้มี สติ และ ปัญญาในการรับมือกับสิ่งที่เกิดได้อย่างถูกต้อง

           ผลเสียในเรื่องนี้มันเกิดขึ้นทั้งระดับจิตใจ ( อย่างน้อยที่สุดก็เกิด  Paradox of choice ขึ้นล่ะ ) และในระดับของตัวโรคเองที่  การรักษาที่ถูกต้องจะช้าออกไป ซึ่งเวลา 1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน นั้นอาจหมายถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่งทีเดียว  ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมเจอกับตัวเองเลย  เรื่องที่ถูกส่งไปรักษาด้วยพลังมหัศจรรย์นี้เขียนได้เป็นฉากเลย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ   ส่วนที่บอกว่าถ้าไม่อยากให้กังวลมากไปควรทำไง ทำอย่างไรให้มีความพอดี อ่านข้อข้างล่างต่อเลยครับ
 
8. สติ

           ควรอยู่กับติดกับตัวให้เป็นความเคยชิน คือเรื่องนี้ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงรู้ว่ามันสำคัญยังไง แต่หลาย ๆ ครั้งในสังคมเราที่สิ่งนี้ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์โกรธ อารมณ์กลัว อารมณ์เศร้า คำแนะนำง่าย ๆ ของผมที่จะทำให้อารมณ์เหล่านี้ลดลงคือ มั่นฝึกการเจริญ สติบ่อย ๆ  บางคนทำสมาธิ บางคนเน้นสวดมนต์ แต่ในกรณีของผมคือผสม ๆ กันไป  ถ้ารู้ว่าจิตจะตกให้เริ่มฟังเพลงคลาสสิคพวก Mozart ,Chopin  อะไรพวกนั้น (ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยฟังเลย)  รวมถึงเย็น ๆ เดินจงกลม (แต่ไม่เต็มรูปแบบ)  เพราะเนื่องจากมันเป็นการออกกำลังกายไปในตัว   ก่อนนอนนั่งสมาธิ  สวดมนต์ซักหน่อย (ผมทำเพื่อมีสตินะครับ ไม่เกี่ยวกับปาฎิหาริย์อะไรทั้งนั้น)  พร้อมทั้งให้เชื่อผมเถอะว่าชีวิตเกิดมาเพื่อถูกทดสอบตลอดเวลา 

           ตราบที่คุณยังมีลมหายใจ ซึ่งสติจะช่วยให้คุณผ่านบททดสอบไปได้อย่างไม่ยากเย็น  ในทุก ๆ ครั้ง   ยิ่งในผู้ป่วยมะเร็งด้วยแล้ว สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ในเวลาไม่คาดฝันเสมอ  อย่างเช่น  ในวันที่ทุกอย่างดูเหมือนปกติ  ง่าย ๆ วันหนึ่ง ผมนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านดี ๆ เหมือนจะไม่มีอะไร  แต่เกิดจามแค่ทีเดียว เลือดก็ไหลออกจากจมูกไม่หยุด ต้องไปที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเลยทีเดียว  (ส่วนสาเหตุเนื่องมาจากช่วงที่ผมรับการฉายแสง  เนื้อเยื้อบริเวณจมูกเปราะบางมากกว่าปกติ)  เรียกได้ว่าช่วงนั้นร่างกายพร้อมจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เสมอ  ค่าตัวเลขต่าง ๆ ของร่างกายแย่กว่ามาตรฐานคนปกติทุกอย่าง   ซึ่งสวนทางกับอารมณ์ของผู้ป่วยที่รับคีโมที่มักจะอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าคนปกติ (ผมรับทั้งคีโมและฉายแสงพร้อมกัน)  สติเลยต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา  เพราะนอกจากมันจะส่งส่งต่อชีวิตเราแล้ว มันยังส่งผลต่อคนรอบข้างเราด้วย  และเวลามีสติรอยยิ้มกับอารมณ์ขันมันมักจะตามออกมา

9. ความหวังเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่คุณควรเตรียมวิธีรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วย

           ในผู้ป่วยมะเร็งทุกคน หรือแม้แต่มนุษย์บนโลกเราทุกชีวิต ความหวังเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยทำให้ความทุกข์ถูกลืมออกไปจากชีวิต  ดังนั้นถ้าเราพัฒนา ฝึกรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วยแล้ว   เราจะสามารถใช้ชีวิตบนความหวังได้อย่างไม่มีคำว่าสะดุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในกรณีของผม ในช่วงการรักษา หลาย ๆ ครั้ง  การที่ต้องเดินเข้าไปในห้องตรวจ แล้วคุณ หมอ มองผลตรวจ ทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี  พร้อมบอกว่าผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่หวัง ตัวรอยโรคยังคงไม่หายไป (ทุกครั้งหมายถึงเวลาบนโลกของผมเหลือน้อยลงไปทุกที ) เกิดขึ้น หลายครั้งมาก แต่สิ่งที่ต่างกันออกไประหว่างครั้งแรก ๆ กับครั้งหลัง ๆ  คือ ความสุขของชีวิตผมไม่เคยสะดุดลงไปด้วย  กลับกันที่ความหวังมันกลับโตมากขึ้นทุกครั้ง  บรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่เรียบง่าย  คำพูดพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่บอกว่า "อย่าเพิ่งเบื่อหน้าผมนะครับ"

10. ออกจากเงื่อนไขของ "เวลา"

           ข้อนี้เป็นข้อที่ผมมองว่าสำคัญมากที่สุดเพราะถ้าทำข้อนี้ได้ 9 ข้อข้างบนก็จะทำง่ายตามไปด้วย รวมถึงเป็นเหมือนเสาหลักที่ยึดโยงแนวคิดด้านบนที่ผมเขียนมายาว ๆ เข้าด้วยกันเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตเฉพาะตัวของแต่ละคนขึ้นมา

           โดยในกรณีของผมและผู้ป่วยมะเร็งหลาย ๆ คนโชคดีที่ถูกบังคับด้วยตัวโรคที่เป็นทำให้เริ่มมองเห็นความสำคัญของข้อนี้แบบจริงจัง   ถ้ากำลังงงว่าผมกำลังพูดถึงอะไร ผมขออธิบายแบบนี้แล้วกัน

           คุณอาจเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า "จงใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย" พวกนั้นบ่อย ๆ  ซึ่งในผู้ป่วยมะเร็งคำพูดประมาณนี้มันเปลี่ยนจากคำคมบนหน้าเฟซบุ๊กมาเป็นความผู้สึกที่เกิดขึ้นจริงทุก ๆ วัน   คำพูดต่าง ๆ ที่ชอบพูดในอดีต เช่น วันนี้ไม่มีเวลา หรือ เดียวค่อยทำเวลาเหลือเฟือ  กลายเป็นภาพสะท้อนของการใช้ชีวิตบนเงื่อนไขของเวลา จนลืมมองหารูปแบบชีวิตที่สามารถมีความสุขได้โดย การปฏิบัติที่ไม่จำกัดเวลา ไม่ถูกยึดโยงกับเวลา ส่งผลแห่งความสุขทุกครั้งที่ปฏิบัติ ได้ทันที  ซึ่งนั้นจะทำให้ทั้งคุณและครอบครัว มีความสุขไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร

           และนั้นคือ 10 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มา  หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ
               

"Once cancer happens it changes the way you live for the rest of your life"
----Hayley Mills----


           อย่างไรก็ดี...ล่าสุด เขาก็ได้เปิดแฟนเพจเฟซบุ๊ก Aboutlifethailand แชร์เรื่องราวข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งและข้อคิด รวมถึงกำลังใจดี ๆ ให้กับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งด้วย... ไม่ว่าคุณจะต้องเจอเรื่องร้ายอะไร แค่ลองปรับความคิด ใช้สติในการมองทุกอย่าง ถึงอาการป่วยจะไม่ดีขึ้น อย่างน้อยการมองโลกในแง่ดีก็จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ว่าไหม.. ยังไงกระปุกดอทคอมก็ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกคนอาการดีวันดีคืน ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้าย ยิ้มรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสู้ ๆ นะคะ



http://health.kapook.com/view90261.html
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มีนาคม 06, 2014, 05:57:05 am »

จากเด็กอายุ 19 เริ่มต้นขายของ จนวันนี้อายุ 21 รายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน

-http://money.kapook.com/view83451.html-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ PolizeHero_Bodin39 สมาชิกพันทิปดอทคอม

            หลายคนอาจมีความฝันว่าโตขึ้นหรือเรียนจบแล้ว ไม่อยากจะทำงานเป็นลูกล้าง หรือเป็นลูกน้องใคร อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง หรืออาจจะมีหลายคนที่ใฝ่ฝันอยากหารายได้จากการเป็นพนักงานรับเงินเดือนไปด้วยเพื่อความมั่นคง และหารายได้เสริมไป แต่หากเราไม่มีต้นทุนจะทำได้หรือเปล่า แล้วจะไปทำอะไรดี ? หากเพื่อน ๆ ยังหาคำตอบให้กับตัวเองยังไม่ได้ ลองมาอ่านบทความจากคุณ PolizeHero_Bodin39 สมาชิกพันทิปดอทคอม ที่อนุญาตให้กระปุกดอทคอมนำข้อมูลจากประสบการณ์จริงมาเผยแพร่ให้อ่านกัน

            คุณ PolizeHero_Bodin39 สมาชิกพันทิปดอทคอม เผยว่า เขาเริ่มทำงานตั้งแต่ยังไม่จบ ป.ตรีด้วยซ้ำ และปัจจุบันก็หาเงินรายได้แต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 20,000 บาทเลยทีเดียว ถามว่าทั้งทำงาน และเรียนไปด้วยเหนื่อยไหม … เหนื่อยมาก แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม ไม่ท้อ เริ่มหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับชีวิต และไม่ย่ำอยู่กับที่นาน ๆ  และที่สำคัญคือ เขาไม่ทิ้งความหวังของพ่อแม่ ไม่ทิ้งความฝันของตัวเอง ว่าแต่ คุณ PolizeHero_Bodin39 ทำได้อย่างไร ลองไปอ่านข้อคิดและประสบการณ์ที่ดีจากเขาคนนี้กันเลยค่ะ


            จากเด็กอายุ 19 เริ่มต้นขายของ จนวันนี้อายุ 21 รายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน

            สวัสดีครับ ผมเพียงอยากจะมาแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ หรือน้อง ๆ ได้ฟังกันครับ

            จุดเริ่มต้นของการขายของของผมเริ่มจากที่ตอนอายุ  19  หลังจากชีวิต ม.ปลาย ก็ได้แอดมิชชั่นติดที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำแพงแสน  ใช้ชีวิตอยู่ 1 ปีเต็ม กับสิ่งที่เราไม่ชอบเท่าไหร่ และคิดว่าจะซิ่วตั้งแต่วันที่ก้าวเข้าไป  จริง ๆ ตอนนั้นสอบได้ที่ที่อยากเรียนแล้วครับ วิทยาลัยพยาบาลตำรวจ แต่ทางบ้านไม่ให้เรียน (ผมอยากเป็นตำรวจเลยหาทุกลู่ทางที่จะเข้าไปเป็นให้ได้)

            หลังจากชีวิตเด็กวิศวะที่เรียนไปวัน ๆ จบไป 1 ปี ผมซิ่วมาเรียนคณะใหม่ ที่มหาวิทยาลัยย่านบางเขน มหาลัยเดิม แต่เปลี่ยนวิทยาเขต ทางบ้านได้ออกรถมอเตอร์ไซต์ให้ใหม่คันนึง เพราะคันเก่าก่อนจะจบวิศวะปี 1 ผมเอาไปแหกโค้งเบา ๆ มา คนไม่เป็นไร แต่รถเสียศูนย์นิดหน่อย

            พอได้รถคันใหม่มาก็หาข้อมูลเกี่ยวกับของแต่งรถจนได้เข้าไปอยู่ในคลับ ๆ นึงของรถรุ่นนี้ หาความรู้จากพี่ ๆ เพื่อน ๆ ในคลับ จนมีอยู่วันนึง ผมไปได้ของแต่งรถชิ้นนึงมา ตอนแรกก็โพสต์ลงไปในคลับว่าไปแต่งอะไรมาเพิ่ม ปรากฏมีคนสนใจเยอะ วินาทีนั้นหน้าจอคอมพิวเตอร์ ความคิดขายของแว่บเข้ามาในสมอง … ผมจัดการโพสต์รายละเอียดลงไป ในโพสต์ตัวเอง

            จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการขายสติกเกอร์ขอบล้อติดล้อแมกซ์รถมอเตอร์ไซต์ เชื่อไหมครับ สติกเกอร์ผมรับมา 60 บาท ผมขายชุดละ 90 บาท ใครให้ส่ง ปณ.แบบธรรมดา ผมคิด 100 บาท เท่ากับผมเหลือกำไรประมาณ 25 บาท/ชุด แถมบางครั้งต้องขี่รถไปส่งตามจุดนัดกำไรหักนู่นนี่เหลือ 15 บาท/ชุด

            แต่สิ่งที่ผมทำมันไม่ได้แลกมาด้วยกำไรเพียงน้อยนิด มันแลกมาด้วยการที่คนในคลับเริ่มรู้จัก เริ่มรู้ว่าไอ้นี่มันขายของนะ

            ต่อ ๆ มาผมก็เข้าไปคุยกับร้านขายของแต่งใกล้บ้านว่าจะเอาของมาขาย เค้าก็ยินดี และยอมให้ถ่ายรูปสินค้าแบบไม่แกะห่อ (มารู้ทีหลังราคาที่เค้าให้มามันสูงมากสำหรับเอาไปขายต่อ)

            ผมก็เริ่มลงขายสินค้าอย่างอื่นลงขายเฉพาะในคลับ เอารูปมาลงพอมีออเดอร์ ค่อยไปเอาของ ช่วงแรกมีลูกค้าผิดนัด สั่งแล้วไม่เอา ก็ต้องทำโปรลดราคากันไประบายของ

            ช่วงแรกเหนื่อยมาก ขี่รถกลับบ้านจาก ม.เกษตร ไปแมคโครลาดพร้าวตรงตะวันนา ไปส่งของที่ได้กำไร 15 บาท แต่ก็นั่นล่ะเราอยากให้คนรู้จัก ต้องยอมเหนื่อยหน่อย

            พอมาช่วงกลาง ๆ ขายได้สัก 2-3 เดือน เริ่มสต็อคสินค้าที่ขายดีไว้ทีละชุด เพื่อที่จะให้การขายราบรื่นไม่ต้องบอกลูกค้าว่ารอเช็คของ บางทีลูกค้าก็ขาดการติดต่อไปเลย อีกอย่างเวลาออกจากบ้าน ก็ไม่มีมือถือสำหรับ ตอบเฟซกลุ่ม

            ช่วงแรกเดือน ๆ นึงขายได้ 1,000 ก็เก่งแล้ว ความคิดตอนนั้นขอแค่เก็บเงินฝากประจำได้เดือนละ 1-2000 ก็พอ อ้อลืมบอก ตอนเรียนวิศวะ 1 ปี ผมมีเงินเก็บอยู่ 30,000 บาท กลับมาเปิดบัญชีฝากประจำแบบรายปี ทิ้งไว้ พอขายไปได้สัก 3-4 เดือน ก็มีประกาศจากกลุ่มว่าห้ามลงขายของถ้าไม่ติดแบนเนอร์ ตอนนั้นการติดแบนเนอร์ยังต้องเสียเงินรายเดือนให้ทางเว็บคลับ ผมจึงจำใจต้องมาสร้างเพจในเฟซบุ๊คขายของซะเอง

            จึงเริ่มปรับปรุงรูปสินค้าที่ถ่ายให้ดูดีขึ้นแต่งภาพให้ดูแล้วน่าสนใจ เริ่มสร้างเพจของตัวเอง แรก ๆ ตื่นเต้นกับยอดไลค์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มาก ๆ เริ่มขายได้เหมือนมีกิจการเป็นของตัวเอง แต่ก็นั่นล่ะ สินค้ายังน้อยและยังได้มาในราคาสูงอยู่ ผมจึงลองหาร้านขายของแต่งที่ใหม่ (ซึ่งในตอนหลังเจ้าของร้านทั้งพี่ผู้ชายและพี่ผู้หญิงมีบุญคุณต่อผมมาก ๆ) จนได้ที่ใหม่ซึ่งส่งของผมในราคาที่ต่ำกว่าที่เก่าแบบมาก ๆ บางอย่างนี่ 40%  แต่ผมก็ยังรับของกับที่เก่าอยู่บ้างนะครับ เพราะบุญคุณเริ่มแรกที่เค้าให้ผมมาผมไม่เคยลืม

            เวลาผ่านไป 4-5 เดือน ผมเริ่มเข้าที่มีคนมาสั่งของอยู่ไม่ขาดแต่ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ส่วนภาพสินค้า พี่เจ้าของร้านที่ใหม่ เมตตาให้ผมยืมของมาก่อนโดยแกะห่อถ่ายรูปได้ตามสบาย … นี่ล่ะครับผมได้เจอคนดีดีที่ให้โอกาสเด็กที่คิดเริ่มต้นธุรกิจอย่างผมเป็นโชคดีของผมเหลือเกิน

            การค้าขายยังดำเนินต่อไปผมรับของเพิ่มมากขึ้นหลากหลายประเภทที่ใส่เฉพาะรถรุ่นเดียว สาเหตุที่เลือกขายเฉพาะรุ่นเพราะผมมองดูแล้วว่า เราสามารถเจาะกลุ่มตลาดได้ง่าย ซึ่งมันไม่กว้างเกินไป จนอาจทำให้เกิดปัญหาการสต็อคของที่จำนวนเยอะ ๆ หลากหลายประเภท เราเจาะเข้ากลุ่มตลาดรุ่นนั้น ๆ และลูกค้าจะเกาะติดเราไปตลอด เช่นทุกวันนี้

            40 % ของยอดสั่งซื้อในปัจจุบันเป็นลูกค้าเก่าที่เคยซื้อขายกัน เนื่องจากผมมีการเพิ่มสินค้าเรื่อย ๆ แต่ก็ยังใช้แนวทางเดิมคือ เจาะเฉพาะตลาดกลุ่มนั้น ไม่กว้าง แต่เจาะลึกครอบคลุมสินค้าเกือบทุกประเภทที่เป็นของแต่งรถรุ่นนั้น

            ถามว่าผมเรียนบริหารมาไหม หรือเรียนการตลาดมาไหม ตอบได้เลยว่าไม่ แต่สังคมสภาพแวดล้อม รวมทั้งเว็บพันทิปดอทคอม ทำให้ทัศนคติ แนวทาง ของผมไม่ตัน เพราะเราเรียนรู้จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้หมด ถ้าคนเราสนใจอะไรแล้วผมคิดว่ายังไงเราก็ทำสำเร็จแน่นอน

            สิ่งที่ทำให้ยอดขายผมต่อเนื่องตลอดคือ สมาร์ทโฟน เพราะเราสามารถตอบลูกค้าได้ทันท่วงทีและทุกที่ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เลิกเรียนแล้วค่อยกลับไปตอบ ลูกค้าก็ไม่ค่อยชอบ เพราะไม่รวดเร็ว ถามทีรอเป็นวัน

แล้วผมเอาเงินที่ไหนมาซื้อสมาร์ทโฟน ?

            ตอบ : ยังจำได้ไหมครับช่วงต้นที่ผมบอกผมฝากเงินแบบฝากประจำเป็นก้อนไว้จำนวนหนึ่ง ผมศึกษาจากในพันทิปว่า มีการทำบัตรเครดิตของธนาคาร SCB ที่ใช้แค่เงินฝากค้ำประกันไว้ ภาษาแบงก์เรียก จำนองหรืออะไรนี่ล่ะผมลืมละครับ

            ผมดำเนินเรื่องเลย เพียงแค่ 2 วันทางธนาคารเรียกเอกสารเพิ่มเติม และหลังจากนั้นอาทิตย์กว่า ๆ ทางธนาคารอนุมัติบัตรเครดิตมา ให้ผมรอบัตรอยู่หลายอาทิตย์ธนาคารก็เรียกให้ไปรับบัตร


ทุกคนอาจจะงงทำไมผมไม่ถอนเงินสดออกมาซื้อไปเลยหมดเรื่อง ?

            ตอบ : เพราะผมวางแผนไว้ครับ ผมเอาบัตรเครดิตมาถือไว้ และยื่นเรื่องขอผ่อน 0% 10 เดือน เหตุผลเพราะผมอยากเก็บเงินก้อนไว้ยามฉุกเฉิน และผมเจียดรายได้กำไรจากแต่ละเดือนไปผ่อน เห็นไหมครับ ดอกเบี้ยก็ไม่เสีย แถมยังมีของไว้ใช้ และเงินก้อนก็ยังอยู่ ถึงแม้ขั้นตอนการถอดจะยุ่งยากหลายขั้นตอน แต่เงินเราก็ยังอยู่ครบใช่ไหมครับ ?

            หลังจากนั้น ยอดขายผมพุ่งขึ้นกว่า 50% จากเดิม เพราะการถามตอบที่รวดเร็ว ทันใจ เพราะการมีผู้ใหญ่ใจดีมอบโอกาสและความเมตตาให้ผม เพราะความมุ่งมั่น ตั้งใจ เพราะความใฝ่ดี

            บางทีผมก็มีความคิดอยากจะเที่ยวเหมือนวัยรุ่นรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ที่บ้านผมไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดเอาเงินไปละลายกับน้ำชารสขมคอ หรือเอาไฟมาเผากระดาษมวนเล่น ออกไปเที่ยวผับเที่ยวร้านเหล้าตอนกลางคืน เวลากลางคืนที่เด็กรุ่นเดียวกับผมใช้ชีวิตไปกับแสงสีเสียง เป็นเวลาที่ผมนั่งตอบลูกค้านั่งสรุปยอดแต่ละวัน นั่งแพ็คของส่งวันต่อไป

            จากเมื่อก่อนที่ผมใช้เงินแบบไม่รู้คุณค่า มาวันนี้การคิดก่อนซื้อ มันเกิดขึ้นกับผมโดยไม่รู้ตัว เพราะเงินเราหามาเองได้ ผมอาจจะต้องอาศัยเงินรายสัปดาห์ของทางบ้านเหมือนเดิม

            แต่กิจกรรมนอกเหนือจากนั้นทั้งในมหาลัยและอื่น ๆ ที่ต้องจ่ายเพิ่ม ผมสามารถจ่ายมันได้ด้วยเงินของผมเอง จนปัจจุบันรายได้ของผมบางเดือน เช่นเดือนมกราคมที่ผ่านมา รายได้ 30,000 กว่าบาท อย่างเดือนนี้กุมภาพันธ์ ผ่านไปครึ่งเดือน ได้ 10,000 ปลายๆ พอใจแล้วครับสำหรับ อายุเท่านี้

            แต่อยากให้น้อง ๆ วัย ม.ปลาย หรือที่กำลังจะขึ้นมหาลัย ไม่ท้อครับ ชีวิตมีอะไรมากกว่าในห้องเรียน ในอนาคตผมคงต้องเริ่มหาอะไรใหม่ ๆ บ้างแล้ว เพราะการย่ำอยู่กับที่นาน ๆ มันช้าเกินไปสำหรับยุคนี้สมัยนี้ ^^

            มันก็เหนื่อยนะครับ ทั้งเรียนทั้งทำงาน ปัจจุบันผมรับซ่อมคอมอยู่ที่บ้าน  ขายของแต่งรถมอเตอร์ไซต์ผ่านทางเน็ต เรียนอยู่ปีที่ 2 ม.เกษตร (กำลังขึ้นปี 3) เรียนรามคำแหงรหัส 55 หน่วยกิตรวม 90 หน่วยกิต คณะรัฐศาสตร์ ความฝันผมไม่ทิ้งครับ ผมยังมุ่งมั่นทำตามฝันที่จะเป็นตำรวจเหมือนเดิม แต่ระหว่างทางของความฝัน แต่ละคนมีหนทางต่างกันไป ผมได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายในชีวิต ที่หาไม่ได้จากห้องเรียน

            ม.เกษตร ผมเรียนให้พ่อแม่ เพราะเป็นมหาลัยปิด
            ม.ราม ผมเรียนเพื่อความฝันของตัวเอง เพื่อตัวเอง
            ขายของผมทำเพื่อเก็บประสบการณ์สั่งสมเงินไว้ทำกิจกรรมในอนาคต ที่อาจยังมองไม่เห็น

            ขอบคุณพื้นที่เล็ก ๆ ในนี้ที่สอนและแนะแนวทางการใช้ชีวิตให้ผม ได้
            ความรู้ความสำเร็จส่วนหนึ่งของผมมาจากในนี้ล่ะครับพันทิป ^^ 

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 05:20:16 pm »

ซูฮก! ลุงพิษณุโลกสู้ชีวิต แม้ว่ามีร่างกายแค่ครึ่งท่อน
-http://hilight.kapook.com/view/76950-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Tanate Anudit สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

          ลุงพิษณุโลก สู้ชีวิตสุด ๆ ตอนเช้าขายล็อตเตอรี่ ตอนบ่ายซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า หารายได้เลี้ยงครอบครัว แม้ว่าตัวเองมีร่างกายแค่ครึ่งท่อนก็ตาม ด้านชาวบ้านต่างยกย่องถึงความใจสู้
 
          เมื่อวานนี้ (5 ตุลาคม) ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดพิษณุโลก รายงานว่า มีชายพิการ ร่างกายมีเพียงแค่ครึ่งท่อน แต่กลับไม่ย่อท้อต่อชีวิต ประกอบอาชีพขายล็อตเตอรี่ ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อเลี้ยงครอบครัว ทราบชื่อคือนายวัลลภ ปู่ใจดี วัย 53 ปี พักอยู่ที่กระต๊อบหลังเล็ก ต.บึงพระ อ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงเดินทางไปตรวจสอบ



ทั้งนี้ นายวัลลภ เปิดเผยว่า เมื่อก่อนตนมีอาชีพรับจ้างขับรถ 10 ล้อขนส่งสินค้า จนถึง พ.ศ. 2544 เริ่มเกิดอาการปวดหลังมาก ในช่วงแรกจึงได้หาซื้อยาจากร้านขายยามาทาน กระทั่งทนไม่ไหว บวกกับขาที่เริ่มชา จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลพุทธชินราช จึงทราบว่า เป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น เป็นอัมพาตไปครึ่งท่อนล่าง ดังนั้น ชีวิตในช่วง 2-3 ปีแรก ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ทำได้แค่รักษาตัวและนอนอยู่กับบ้านเฉย ๆ ทว่าสมัยหนุ่มเคยเรียนวิชาซ่อมวิทยุ ตนจึงเปิดรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด พร้อมกับรับล็อตเตอรี่มาขาย
 
          อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา พ.ศ. 2551 กลับเกิดอาการแผลกดทับ เนื่องจากทำงานอย่างหนัก นั่งนานเกินไป ทางแพทย์จึงตัดสินใจที่จะตัดขาทิ้งทั้งสองข้าง เพราะเนื้อเน่าเสีย หลังจากตัดขา นายวัลลภก็รักษาแผลให้หาย แล้วกลับมาอยู่บ้าน



  ทุกวันนี้ ชีวิตของนายวัลลภในแต่ละวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-12.00 น. ก็จะเดินทางไปขายล็อตเตอรี่ที่โรงพยาบาลพุทธชินราช โดยใช้รถเข็นคนพิการแบบโยก เมื่อขายล็อตเตอรี่เสร็จ ก็กลับมาพักผ่อนประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วเริ่มซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชาวบ้านนำมาให้ซ่อม เช่น พัดลม เตารีด เป็นต้น
 
          นายวัลลภ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าร่างกายจะเหลือครึ่งท่อน แต่ก็ต้องการสร้างประโยชน์ ไม่เป็นภาระแก่คนอื่น จึงต้องลุกขึ้นสู้ เชื่อว่า ถ้าเราตั้งใจทำอะไรแล้ว เราก็ทำได้
 
          ขณะที่ นางประภา ปู่ใจดี ภรรยาของนายวัลลภ ที่เปิดรับซื้อของเก่าขายทุกวัน เปิดเผยว่า แม้ว่าทุกวันนี้นายวัลลภจะได้เบี้ยยังชีพผู้พิการเดือนละ 500 บาทอยู่แล้ว แต่การที่สามีเป็นคนสู้ชีวิต ทำให้ครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้น จนชาวบ้านต่างชื่นชมว่า เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคมมาก ทำให้ครอบครัวที่มีกันอยู่ 4 คน มีกำลังใจขึ้นอย่างชัดเจน

 
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.dailynews.co.th/thailand/159235-
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1349439272&grpid=03&catid=&subcatid=-


http://hilight.kapook.com/view/76950

.
ข้อความโดย: magicmo
« เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2012, 03:25:05 pm »

 เป็นกำลังใจให้นะครับ
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2012, 05:59:58 am »

ส่วนประเทศไทยเราเองก็มีผู้ที่สู้ชีวิต เป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างกำลังใจให้ตนเองก้าวเดินไปข้างหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม

------------------------------------------------------------------------------------------------------------


สู้ชีวิต! จากหนุ่มพิการไร้แขน กลายมาเป็นอาจารย์พิเศษ






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ DuangAesthetic สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

            วันนี้ (10 กรกฎาคม) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ได้นำเสนอเรื่องราวของ ชายหนุ่มวัย 25 ผู้พิการไร้แขน แต่กลายมาเป็นอาจารย์สอนวิชาอิเล็กทรอนิกส์ให้กับลูกศิษย์โรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา

            โดยหนุ่มคนนี้มีชื่อว่า "หมื่นชัย แก้วนา" เป็นผู้พิการไร้แขนมาตั้งแต่กำเนิด ในครอบครัวของเขามีพี่น้องจำนวน 3 คน มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เกิดมาไม่มีแขน แต่เขาก็ใฝ่ฝันที่จะเรียนหนังสือให้ได้สูงที่สุด สำหรับอุปสรรคในการเรียนของเขานั้น ช่วงวัยเด็กไม่ว่าจะไปสมัครเรียนที่ไหน ๆ ก็ไม่มีใครรับ จนกระทั่งอายุ 9 ขวบ ทางโรงเรียนธรรมราชานุสรณ์ จ.ตาก ก็เปิดโอกาสให้เขาได้เรียนในชั้นอนุบาล และเรียนต่อชั้นประถมที่โรงเรียนบ้านทุ่งกระเชาะ จากนั้นเรียนชั้นมัธยมตอนต้นที่โรงเรียนทุ่งฟ้าวิทยาคม ซึ่งในขณะที่เขากำลังเรียนชั้น ม.3 นั้น เขาก็คิดว่า ถ้าหากเขาเรียนสายสามัญทั่วไป อาจจะเสียเปรียบคนอื่น จึงเริ่มหันมาสนใจสายอาชีพ ที่โรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา ในหลักสูตรช่างอิเล็กทรอนิกส์

            ชายไร้แขนผู้นี้ ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 3 ปี เพื่อศึกษาวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และลงมือปฏิบัติเองทั้ง ๆ ที่ไม่มีแขนทั้งสองข้าง โดยเขาบอกว่า แรก ๆ ก็ยาก แต่เขาก็มุ่งมั่นที่จะทำด้วยการใช้เท้าทั้งสองข้างจนเรียนจบหลักสูตร ทั้งนี้ ทางโรงเรียนก็ได้เห็นถึงความสามารถ เลยจ้างให้เขาเป็นช่างซ่อมอิเล็กทรอนิกส์ประจำโรงเรียน และได้ให้เขาเป็นครูพิเศษให้กับนักเรียนชั้นปีที่ 1 และปีที่ 2 ในวิชาซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น ส่วนการสอนของเขานั้น เขาสอนแบบยกตัวอย่าง และอธิบายให้นักเรียนฟังด้วยการใช้เท้าเขียนกระดาน และใช้แผ่นสไลด์ควบคู่กันไป

            สำหรับการสอนหนังสือของเขานั้น ร่างกายที่พิการไม่ได้เป็นอุปสรรคใด ๆ เลย แต่อุปสรรคของเขานั้นก็คือผู้เรียนที่โรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา ที่ผู้เรียนทุกคนเป็นคนพิการ ความสามารถของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน จึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายที่จะให้นักเรียนได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน

            ส่วนการดำรงชีวิตในแต่ละวันของอาจารย์หมื่นศักดิ์นั้น เขาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ว่าจะกินข้าว อาบน้ำ ดื่มน้ำ แต่งตัว แต่ก็มีบางเรื่องที่ให้เพื่อนช่วยบ้างนั้นก็คือการเอาเสื้่อใส่ในกางเกง หรือการยกของหนัก ๆ เพราะเขาไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ในช่วงเย็นของเขาก็ร่วมทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ นั่นก็คือการเล่นตะกร้อ ปั่นจักรยาน

            อาจารย์หมื่นศักดิ์ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ชีวิตของตนนั้นคิดอย่างเดียวคือต้องสู้ไปข้างหน้า ถึงลำบากแค่ไหนอย่างไรก็ต้องสู้ และยิ่งตนร่างกายเป็นแบบนี้ ยิ่งต้องสู้กว่าคนปกติถึง 2 เท่า ถ้าถามว่าตนเคยท้อไหม ตนไม่เคยท้อเลย เพราะต้องถ้าท้อก็คงไม่มีวันนี้อย่างแน่นอน ส่วนการเรียนหนังสือนั้น ตอนเด็ก ๆ แม่ก็อยากให้เรียนเพื่อให้ตนพออ่านออกเขียนได้ จะได้ไม่ต้องไปเป็นขอทาน หรือโดนคนอื่นหลอก แต่ตอนนี้ตนทำให้ภูมิใจได้แล้ว เพราะตนเป็นครู สามารถสอนหนังสือถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็ก ๆ ได้อีกหลายคน อย่างไรก็ตาม ตนอยากจะบอกว่า ถ้าใครที่กำลังท้ออยากให้มองมาที่ตน เพราะขนาดตนไม่มีแขนสักข้าง แต่ก็ยังสู้ และมีความสุขในชีวิตได้

            ขณะที่นักเรียนของอาจารย์หมื่นศักดิ์ ได้กล่าวว่า การสอนของอาจารย์หมื่นศักดิ์นั้น สอนเข้าใจง่าย และมีตัวอย่างประกอบมาให้ดูตลอดเวลา เพราะอาจารย์หมื่นศักดิ์จะเอาของจริง ๆ มาให้เรียนรู้และสัมผัสกัน ทำให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ นักเรียนทุกคนยังทึ่งในความสามารถของอาจารย์ และนำเรื่องราวชีวิตของอาจารย์มาเป็นแรงบันดาลใจอีกด้วย

หนุ่มไร้แขนสู้ชีวิตเป็นอจ.พิเศษ 10July12


หนุ่มไร้แขนสู้ชีวิตเป็นอจ.พิเศษ 10July12


คลิป หนุ่มไร้แขนสู้ชีวิต : เครดิต รายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ DuangAesthetic


-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=zmwqZOjJ1yk-
-http://hilight.kapook.com/view/73537-
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2012, 05:53:19 am »

แรงบันดาลใจ...จากผู้ชายครึ่งท่อน เผิง สุ่ย หลิน



เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ชูเดช ประชาชน คนคิดบวก

ใน ยามที่เราท้อแท้... กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เรามีแรงฮึดและก้าวเดินต่อไป... แต่ทว่ากำลังใจจากคนอื่น ๆ นั้น มันไม่ได้มาทุกครั้งในยามที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นการสร้างกำลังใจจากตัวเราเองนั้น เป็นจุดเริ่มต้นในการที่จะก้าวข้ามผ่านปัญหาต่าง ๆ ได้ ถึงแม้ว่าอุปสรรคที่ประสบพบเจอมันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่หากเรามีแรงฮึดเล็ก ๆ แค่เพียงฮึดเดียวเท่านั้น นั้นก็เพียงพอที่จะสร้างกำลังใจให้เราเดินต่อไปได้แล้วล่ะค่ะ...

และในวันนี้เราก็มีบทความดี ๆ มาแบ่งปันกัน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ถูกแชร์ส่งต่อผ่านโลกไซเบอร์กันอย่างมากมาย ที่เชื่อเลยว่า ถ้าใครได้อ่านแล้ว จะเกิด "แรงบันดาลใจ" ในการใช้ชีวิตอย่างแน่นอน ...

โดยในเฟซบุ๊ก "ชูเดช ประชาชน คนคิดบวก" ได้โพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับชายจีนคนหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถทับจนตัว ขาดสองท่อน แต่เขาก็สามารถยิ้มได้ และใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข แถมยังเปลี่ยนวิกฤติเลวร้าย ให้เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ... ซึ่งเรื่องราวมีอยู่ว่า...

"เผิงสุ่ยหลิน I love you... ผมได้ยินเรื่องน่าสงสารของคนหลายคน รวมถึงตัวผมเองด้วยครับ แต่ต้องมาหยุด และสะดุดทันที เมื่อไปเจอเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจในการมีชีวิต และโอกาสของการประสบความสำเร็จของชีวิต จากคนคนหนึ่งครับ

ไม่น่าเชื่อเลยว่าพอผมได้อ่านเรื่องราวของคน ๆ นี้ปั๊บ ผมรู้สึกว่าปัญหาอะไรของผมมันก็เล็กไปหมดครับ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาเหมือนดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง 20 ขวดรวดครับ มันกระปรี้กระเปร่า และละอายใจตัวเองเป็นอย่างยิ่งครับ เรื่องนี้ทำให้คนอย่างผมที่วันนึงอาจจะต้อง "ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ " ไม่รู้สึกหวั่นใจ หรือ กลัวอีกต่อไปครับ ผมรู้สึกว่าผมไม่กลัวอะไรอีกแล้วครับ

ผมอยากจะเล่าเรื่องราวของหนุ่มชาวจีนคนนี้ ให้ท่านฟังมากครับ เรื่องของชายคนนี้มีอยู่ว่า เขาได้รับอุบัติเหตุจากการโดนรถบรรทุกทับ ตัวขาดสองท่อน บาดเจ็บสาหัส ร่างกายโดนตัดทิ้งครึ่งตัว โดยที่เขาได้รับการผ่าตัดครั้งแล้วครั้งเล่า อวัยวะและระบบต่าง ๆ ที่สำคัญ ถูกตัดทิ้งและต่อเติมเสริมแต่งมากมาย นับไม่ถ้วน

เชื่อไหมครับว่า ความสูงของเขาตอนนี้ วัดส่วนสูงจากบั้นเอวขึ้นไป สูงแค่ 2 ฟุต 7นิ้ว ตัวเขาได้สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับทีมแพทย์เป็นอย่างมาก เมื่อเขารอดตายราวปาฏิหาริย์ และมีสุขภาพกลับคืนสมบูรณ์ เคลื่อนไหวไปมาบนรถล้อเข็นแบบครึ่งตัว

เขา ชื่อ เผิงสุ่ยหลิน ครับ นอกจากปาฏิหาริย์ จากการรอดตายจากอุบัติเหตุมาได้แล้ว รวมถึงการผ่าตัดอีกนับครั้งไม่ถ้วน นี่ยังไม่รวมกายภาพบำบัดอีกเป็นปี ๆ อีกนะครับ ไม่ใช่แค่นั้น....

คุณเชื่อหรือไม่ว่า ผู้ชายคนนี้ได้พลิกวิกฤติของชีวิต (ที่น่าจะเรียกว่า "ชีวิต" ) อย่างไม่น่าเชื่อ โดยการเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ต ขายสินค้าราคาถูก โอ้ แม่เจ้า! โดยที่เขาได้สร้างโอกาสจากร่างกายที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว ตั้งเป็นชื่อซุปเปอร์มาร์เก็ตขื่อว่า "Half man - Half Price Store" หรือ ร้านครึ่งคนครึ่งราคา

เชื่อไหมครับว่ากิจการของเขามีชื่อเสียงจากวิกฤติของเขาเอง ลูกค้าเข้ามาอุดหนุนคับคั่ง สามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เขาสามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้อย่างน่าชื่นชม อย่างไม่น่าเชื่อครับ

เพื่อน ๆ ครับ วิกฤติและปัญหาที่เกิดขึ้นกับ เพื่อน ๆ ในขณะนี้ หากท่านมองว่า ท่านแย่แบบสุด ๆ แล้ว ผมอยากให้กำลังใจท่านด้วยการ ขอร้องให้ท่านมองไปที่ "เผิงสุ่ยหลิน" ครับ เพราะว่าคงไม่มีใครที่แย่ไปกว่าเขาอีกแล้ว จริงอยู่ร้านของเขาขายดีมาก ๆ แต่มีใครอยากตัวขาดครึ่งตัวบ้างไหมครับ ท่อนล่างไม่เหลือแล้ว ท่านลองคิดดูว่า ความสำคัญของส่วนล่างมันสำคัญขนาดไหนครับ ผู้ชายคนหนึ่งจะใช้ชีวิตอย่างไรกัน ผมไม่อยากจะคิด น้ำตามันจะไหลครับ

เผิงสุ่ยหลิน ได้เคยกล่าวไว้ว่า "กำลังใจที่ดีที่สุด ต้องมาจากตัวเราเองครับ เพราะมันสามารถสร้างได้ทันทีและตลอดเวลา"

สำหรับผม...ผมเองก็มั่นใจเช่นนั้นครับ การที่ผมหยิบเอาเรื่องนี้มาให้ดูกัน เพราะว่าอยากให้ เพื่อน ๆ รู้สึกดีกับตัวท่านเองครับ ผมว่าเราโชคดีกันนะ อย่างไรก็ตาม ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ผ่านอุปสรรคไปได้ด้วยดีครับ ผมมั่นใจว่า ตัวเรามีอะไรต่ออะไรที่ดีในตัวเราอีกเยอะครับ เพียงแต่บางครั้ง คงต้องผ่านอุปสรรคและรอเวลาของเราให้มาถึงครับ


รักเพื่อน ๆ ในชมรมครับ สู้ด้วยกันครับ จุ๊บ จุ๊บ"

-http://hilight.kapook.com/view/73529-

.

http://hilight.kapook.com/view/73529

.