ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มิถุนายน 14, 2014, 06:52:08 pm »เรื่องนี้ จากเว็บดร.บุญชัย
จะกระตุ้นให้ลูกน้องตั้งใจทำงานได้อย่างไร
http://www.drboonchai.com/index.php?option=content&task=view&id=235&Itemid=
สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า องค์กรกำลังจะล่มสลายหรือกำลังก้าวถอยหลังคือ ลูกน้องเบื่องาน ทำงานเช้าชามเย็นชาม คิดเองไม่เป็น ไม่ตามงานก็ไม่ลงมือทำ ไม่สนใจทีมเวิร์ค คอยแต่จะต่อต้าน มีกิริยาวาจารุนแรงกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน หรือบางคนก็เก็บตัวเงียบ ไม่สนใจคนอื่น คอยแต่จะเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือนแต่กลับไม่มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ลูกน้องบางคนไม่ยอมบอกข้อมูลที่แท้จริง หรือไม่ยอมสอนงานคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีความสำคัญ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า องค์กรกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต และเหตุผลสำคัญที่เป็นต้นเหตุแห่งหายนะนี้คือ ผู้บริหารบริหารงานไม่เป็น ผู้บริหารยังไม่เข้าใจศาสตร์ในการบริหารงานอย่างแท้จริง ฉะนั้น บทความนี้จึงนำเสนอวิธีการบริหารคน บริหารงาน และบริหารตนเอง มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ปัจจัยแห่งความล้มเหลวที่ทำให้ผู้นำไม่สามารถบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ คือ
1. ผู้บริหารมีอัตตาตัวตนสูง
ผู้บริหาร ผู้นำ หรือหัวหน้าเมื่อก้าวขึ้นมาบริหารคนอาจจะเผลอหลงใหลในอำนาจที่ตนมีอยู่ จนลืมที่จะเข้าอกเข้าใจและเอาใจใส่คนรอบข้าง เมื่อลุแก่อำนาจก็มักจะทำอะไรโดยไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังทำ กำลังพูดอะไร และสิ่งนั้นจะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน
2. ผู้บริหารมีมุมมองในการมองโลกที่ผิด
หัวหน้าบางคนมองลูกน้องในแง่ร้ายว่า ลูกน้องมีแนวโน้มจะโกงเสมอถ้ามีโอกาสหรือชอบอู้งานเมื่อไม่มีใครคอยกำกับ ชอบเล่นพรรคเล่นพวก ชอบจับกลุ่มนินทาหรือรอเวลาจะเลื่อยขาเก้าอี้หัวหน้าอยู่ทุกเมื่อ ถ้าหัวหน้าคิดเช่นนี้พฤติกรรมที่แสดงออกมาจะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง คอยแต่จะจับผิด คิดเล็กคิดน้อย ใช้อำนาจเข้าข่มขู่ ไม่ยอมให้อิสระหรืออำนาจในการตัดสินใจใด ๆ หากลูกน้องเจอหัวหน้าประเภทนี้ก็ย่อมเบื่อหน่าย อึดอัด ไม่อยากทำงานเป็นธรรมดา เพราะเชื่อว่าถึงจะเสนองานไปหัวหน้าก็คงไม่ยอมรับอยู่ดี ถ้าลูกน้องไม่มีจิตใจจะทำงานแล้วองค์กรจะอยู่รอดได้อย่างไร
3. ผู้บริหารไม่มีคุณธรรมจริยธรรมเพียงพอ
โดยธรรมชาติแล้วในช่วงแรก ลูกน้องจะยอมให้โอกาสหัวหน้าคนใหม่ได้ปรับตัวและเรียนรู้งาน และพอจะทนรับได้แม้ว่าหัวหน้าจะไม่ค่อยมีความสามารถมากนัก แต่จะไม่มีลูกน้องคนใดทนรับหัวหน้าที่ไม่มีคุณธรรมจริยธรรมได้เช่น ลูกน้องทำดีแล้วไม่ได้ดีเพราะหัวหน้ามีมาตรฐานในการสนับสนุนและเลื่อนขั้นลูกน้องตามผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ หรือเลื่อนตำแหน่งโดยดูตามความอาวุโสหรืออายุการทำงานเป็นหลัก เป็นต้น เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดีลูกน้องย่อมไม่มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ทำงานไปก็เพื่อความอยู่รอดเท่านั้นเองและเมื่อสบโอกาสลูกน้องที่ถอดใจแล้วเหล่านี้จะทิ้งองค์กรไปได้อย่างไม่ไยดีถ้ามีงานอื่นที่ดีกว่า หรือแม้แต่จะยอมขายข้อมูลขององค์กรให้กับบริษัทคู่แข่งเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ฉะนั้น บางครั้งพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกน้องสามารถเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นข้อบกพร่องในการทำงานของตนเองได้เป็นอย่างดี
4. ผู้บริหารไม่มีความเข้าใจศาสตร์ในการบริหารอย่างแท้จริง
ความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust) จะก่อให้เกิดความศรัทธา ความจงรักภักดี การยอมมอบกายมอบใจที่จะทำงานเพื่อบริษัท สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารองค์กร ลูกน้องจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวหัวหน้าได้อย่างเต็มเปี่ยม ถ้าหัวหน้ามีความยุติธรรม ไม่เเลือกปฏิบัติ มีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอนว่า จะนำพาองค์กรไปในทิศทางใด หัวหน้าเป็นที่พึ่งของเขาได้ และสนับสนุนให้เขาได้พัฒนาขีดความสามารถที่มีอยู่ ถ้าหัวหน้ามีเป้าหมาย เป็นคนดี แต่ไม่สามารถดึงความสามารถที่แท้จริงของลูกน้องมาใช้ได้ ลูกน้องก็จะรู้สึกว่า ตนเองย่ำอยู่กับที่ ไม่มีการพัฒนาใด ๆ หรือเบื่อหน่ายกับงานเพราะต้องทนทำงานในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดหรือไม่ชอบ เพียงเพราะหัวหน้าเองมองไม่ออกว่า ลูกน้องคนไหนควรจะทำงานประเภทใด ในทางกลับกัน ถ้าลูกน้องได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองถนัดหรือสิ่งที่ตนเองชอบแม้ว่าจะไม่ตรงตามสาขามากนัก แต่ลูกน้องจะมีกำลังใจทำงาน จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า สามารถทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้
วิธีการบริหารคน บริหารงาน และบริหารตนเอง
1) ฝึกความรู้เนื้อรู้ตัว ได้ยินทุกเสียงที่ตนเองพูด เมื่อมีสิ่งใดมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางความคิดแล้วอย่าให้กระเทือนถึงใจ เมื่อกระทบแล้วอย่าปรุงแต่ง กระทบแล้วอย่าเอามาคิดต่อ อย่าขุ่นมัว พยายามตั้งใจฟังเพื่อนร่วมงานและลูกน้องเพื่อทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังมีปัญหาอะไร รู้สึกอย่างไร และต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเรา ในขณะที่พูดจะต้องมีความรู้เนื้อรู้ตัว พูดจาด้วยความสำรวม ในใจจะต้องมีความเมตตาและความปรารถนาดี เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
2) มีกรอบในการมองโลกที่ดีและถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ให้เน้นงานมากกว่าตัวบุคคล และให้เตือนตนเองอยู่เสมอว่าอย่าบ้าอำนาจมากนัก แม้วันใดที่เราลงจากตำแหน่ง เมื่อเราหันกลับไปมองจะต้องมีความภาคภูมิใจและมีความสุข จะเดินไปที่ใดก็มีคนให้ความเคารพรักไม่ใช่เต็มไปด้วยศัตรู อย่างไรก็ตาม หากเราเกรงว่าการมองโลกในแง่ดีจะเป็นการประมาทจนอาจเพลี่ยงพล้ำโดนลูกน้องที่คดโกงหลอกใช้และฉ้อฉลได้ เราก็ต้องวางระบบการทำงานที่รัดกุม สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสชัดเจนในทุกขั้นตอน มีการตรวจสอบได้เป็นระยะ ๆ
3) รักลูกน้องเสมือนหนึ่งว่าเป็นญาติของเราเอง รู้จักให้เกียรติคน มีเมตตา มีน้ำใจ มีระเบียบวินัย รักษาคำพูด มีความยุติธรรมใครทำดีต้องได้ดี รู้จักมองโลกในแง่ดี ให้โอกาสคน และทำการใดก็ตามจะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เมตตาก็ต้องมีปัญญา ทำแล้วต้องไม่เดือดร้อน มีหลักการและเหตุผลชัดเจน และที่สำคัญเมื่อเรามีความปรารถนาดีอยากจะแนะนำหรือตักเตือนลูกน้อง ให้เราเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย เพราะความหวังดีกับใครนั้นไม่ได้หมายความว่า เราจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างไรก็ได้ เพราะถ้าเราพูดโดยไม่คิดพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่า ควรจะพูดอย่างไร นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมทำตามแล้วอาจจะตีความหมายความปรารถนาดีของเราไปในแง่ลบก็เป็นได้ นอกจากนั้น การเลื่อนตำแหน่งและสนับสนุนลูกน้องจะต้องพิจารณาจากคุณธรรมความดีและความสามารถเป็นหลัก
4) สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นในจิตใจของลูกน้องให้ได้ หัวหน้าที่ดีจะต้องรู้จักสร้างแรงดลบันดาลใจ สร้างกำลังใจ ปลุกพลังแห่งความทะเยอทะยานเพื่อทำเป้าหมายขององค์กรให้เป็นจริง เมื่อหัวหน้ามีไฟ มีความมุ่งมั่นในการทำงาน ลูกน้องย่อมมีขวัญและกำลังใจตามไปด้วย นอกจากนั้น หัวหน้าจะต้องมอบหมายงานตรงตามความชอบ ความถนัด และความสามารถของลูกน้อง หากลูกน้องมีข้อด้อยตรงจุดไหน ก็หาคนช่วยเสริมเพื่อให้งานออกมาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีและเพื่อสนับสนุนการทำงานเป็นทีม พยายามดึงความเก่งของลูกน้องออกมา ให้โอกาสให้ลูกน้องได้แสดงความสามารถ และมอบหมายงานพร้อมตั้งกำหนดเวลา มีการตามงานเป็นระยะ ๆ และเน้นผลสำเร็จ (end-result) เป็นสำคัญ นอกจากนั้น องค์กรควรจัดสัมมนาและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถของลูกน้อง และเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในองค์กรอีกด้วย
จะกระตุ้นให้ลูกน้องตั้งใจทำงานได้อย่างไร
http://www.drboonchai.com/index.php?option=content&task=view&id=235&Itemid=
สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่า องค์กรกำลังจะล่มสลายหรือกำลังก้าวถอยหลังคือ ลูกน้องเบื่องาน ทำงานเช้าชามเย็นชาม คิดเองไม่เป็น ไม่ตามงานก็ไม่ลงมือทำ ไม่สนใจทีมเวิร์ค คอยแต่จะต่อต้าน มีกิริยาวาจารุนแรงกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน หรือบางคนก็เก็บตัวเงียบ ไม่สนใจคนอื่น คอยแต่จะเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือนแต่กลับไม่มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน หรือที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ลูกน้องบางคนไม่ยอมบอกข้อมูลที่แท้จริง หรือไม่ยอมสอนงานคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีความสำคัญ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า องค์กรกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต และเหตุผลสำคัญที่เป็นต้นเหตุแห่งหายนะนี้คือ ผู้บริหารบริหารงานไม่เป็น ผู้บริหารยังไม่เข้าใจศาสตร์ในการบริหารงานอย่างแท้จริง ฉะนั้น บทความนี้จึงนำเสนอวิธีการบริหารคน บริหารงาน และบริหารตนเอง มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ปัจจัยแห่งความล้มเหลวที่ทำให้ผู้นำไม่สามารถบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้ คือ
1. ผู้บริหารมีอัตตาตัวตนสูง
ผู้บริหาร ผู้นำ หรือหัวหน้าเมื่อก้าวขึ้นมาบริหารคนอาจจะเผลอหลงใหลในอำนาจที่ตนมีอยู่ จนลืมที่จะเข้าอกเข้าใจและเอาใจใส่คนรอบข้าง เมื่อลุแก่อำนาจก็มักจะทำอะไรโดยไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังทำ กำลังพูดอะไร และสิ่งนั้นจะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อลูกน้องและเพื่อนร่วมงาน
2. ผู้บริหารมีมุมมองในการมองโลกที่ผิด
หัวหน้าบางคนมองลูกน้องในแง่ร้ายว่า ลูกน้องมีแนวโน้มจะโกงเสมอถ้ามีโอกาสหรือชอบอู้งานเมื่อไม่มีใครคอยกำกับ ชอบเล่นพรรคเล่นพวก ชอบจับกลุ่มนินทาหรือรอเวลาจะเลื่อยขาเก้าอี้หัวหน้าอยู่ทุกเมื่อ ถ้าหัวหน้าคิดเช่นนี้พฤติกรรมที่แสดงออกมาจะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง คอยแต่จะจับผิด คิดเล็กคิดน้อย ใช้อำนาจเข้าข่มขู่ ไม่ยอมให้อิสระหรืออำนาจในการตัดสินใจใด ๆ หากลูกน้องเจอหัวหน้าประเภทนี้ก็ย่อมเบื่อหน่าย อึดอัด ไม่อยากทำงานเป็นธรรมดา เพราะเชื่อว่าถึงจะเสนองานไปหัวหน้าก็คงไม่ยอมรับอยู่ดี ถ้าลูกน้องไม่มีจิตใจจะทำงานแล้วองค์กรจะอยู่รอดได้อย่างไร
3. ผู้บริหารไม่มีคุณธรรมจริยธรรมเพียงพอ
โดยธรรมชาติแล้วในช่วงแรก ลูกน้องจะยอมให้โอกาสหัวหน้าคนใหม่ได้ปรับตัวและเรียนรู้งาน และพอจะทนรับได้แม้ว่าหัวหน้าจะไม่ค่อยมีความสามารถมากนัก แต่จะไม่มีลูกน้องคนใดทนรับหัวหน้าที่ไม่มีคุณธรรมจริยธรรมได้เช่น ลูกน้องทำดีแล้วไม่ได้ดีเพราะหัวหน้ามีมาตรฐานในการสนับสนุนและเลื่อนขั้นลูกน้องตามผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับ หรือเลื่อนตำแหน่งโดยดูตามความอาวุโสหรืออายุการทำงานเป็นหลัก เป็นต้น เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดีลูกน้องย่อมไม่มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ทำงานไปก็เพื่อความอยู่รอดเท่านั้นเองและเมื่อสบโอกาสลูกน้องที่ถอดใจแล้วเหล่านี้จะทิ้งองค์กรไปได้อย่างไม่ไยดีถ้ามีงานอื่นที่ดีกว่า หรือแม้แต่จะยอมขายข้อมูลขององค์กรให้กับบริษัทคู่แข่งเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ฉะนั้น บางครั้งพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกน้องสามารถเป็นกระจกสะท้อนให้เราเห็นข้อบกพร่องในการทำงานของตนเองได้เป็นอย่างดี
4. ผู้บริหารไม่มีความเข้าใจศาสตร์ในการบริหารอย่างแท้จริง
ความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust) จะก่อให้เกิดความศรัทธา ความจงรักภักดี การยอมมอบกายมอบใจที่จะทำงานเพื่อบริษัท สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารองค์กร ลูกน้องจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวหัวหน้าได้อย่างเต็มเปี่ยม ถ้าหัวหน้ามีความยุติธรรม ไม่เเลือกปฏิบัติ มีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอนว่า จะนำพาองค์กรไปในทิศทางใด หัวหน้าเป็นที่พึ่งของเขาได้ และสนับสนุนให้เขาได้พัฒนาขีดความสามารถที่มีอยู่ ถ้าหัวหน้ามีเป้าหมาย เป็นคนดี แต่ไม่สามารถดึงความสามารถที่แท้จริงของลูกน้องมาใช้ได้ ลูกน้องก็จะรู้สึกว่า ตนเองย่ำอยู่กับที่ ไม่มีการพัฒนาใด ๆ หรือเบื่อหน่ายกับงานเพราะต้องทนทำงานในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดหรือไม่ชอบ เพียงเพราะหัวหน้าเองมองไม่ออกว่า ลูกน้องคนไหนควรจะทำงานประเภทใด ในทางกลับกัน ถ้าลูกน้องได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองถนัดหรือสิ่งที่ตนเองชอบแม้ว่าจะไม่ตรงตามสาขามากนัก แต่ลูกน้องจะมีกำลังใจทำงาน จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า สามารถทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้
วิธีการบริหารคน บริหารงาน และบริหารตนเอง
1) ฝึกความรู้เนื้อรู้ตัว ได้ยินทุกเสียงที่ตนเองพูด เมื่อมีสิ่งใดมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางความคิดแล้วอย่าให้กระเทือนถึงใจ เมื่อกระทบแล้วอย่าปรุงแต่ง กระทบแล้วอย่าเอามาคิดต่อ อย่าขุ่นมัว พยายามตั้งใจฟังเพื่อนร่วมงานและลูกน้องเพื่อทำความเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังมีปัญหาอะไร รู้สึกอย่างไร และต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเรา ในขณะที่พูดจะต้องมีความรู้เนื้อรู้ตัว พูดจาด้วยความสำรวม ในใจจะต้องมีความเมตตาและความปรารถนาดี เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
2) มีกรอบในการมองโลกที่ดีและถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ให้เน้นงานมากกว่าตัวบุคคล และให้เตือนตนเองอยู่เสมอว่าอย่าบ้าอำนาจมากนัก แม้วันใดที่เราลงจากตำแหน่ง เมื่อเราหันกลับไปมองจะต้องมีความภาคภูมิใจและมีความสุข จะเดินไปที่ใดก็มีคนให้ความเคารพรักไม่ใช่เต็มไปด้วยศัตรู อย่างไรก็ตาม หากเราเกรงว่าการมองโลกในแง่ดีจะเป็นการประมาทจนอาจเพลี่ยงพล้ำโดนลูกน้องที่คดโกงหลอกใช้และฉ้อฉลได้ เราก็ต้องวางระบบการทำงานที่รัดกุม สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสชัดเจนในทุกขั้นตอน มีการตรวจสอบได้เป็นระยะ ๆ
3) รักลูกน้องเสมือนหนึ่งว่าเป็นญาติของเราเอง รู้จักให้เกียรติคน มีเมตตา มีน้ำใจ มีระเบียบวินัย รักษาคำพูด มีความยุติธรรมใครทำดีต้องได้ดี รู้จักมองโลกในแง่ดี ให้โอกาสคน และทำการใดก็ตามจะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เมตตาก็ต้องมีปัญญา ทำแล้วต้องไม่เดือดร้อน มีหลักการและเหตุผลชัดเจน และที่สำคัญเมื่อเรามีความปรารถนาดีอยากจะแนะนำหรือตักเตือนลูกน้อง ให้เราเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย เพราะความหวังดีกับใครนั้นไม่ได้หมายความว่า เราจะพูดกับอีกฝ่ายอย่างไรก็ได้ เพราะถ้าเราพูดโดยไม่คิดพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่า ควรจะพูดอย่างไร นอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมทำตามแล้วอาจจะตีความหมายความปรารถนาดีของเราไปในแง่ลบก็เป็นได้ นอกจากนั้น การเลื่อนตำแหน่งและสนับสนุนลูกน้องจะต้องพิจารณาจากคุณธรรมความดีและความสามารถเป็นหลัก
4) สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นในจิตใจของลูกน้องให้ได้ หัวหน้าที่ดีจะต้องรู้จักสร้างแรงดลบันดาลใจ สร้างกำลังใจ ปลุกพลังแห่งความทะเยอทะยานเพื่อทำเป้าหมายขององค์กรให้เป็นจริง เมื่อหัวหน้ามีไฟ มีความมุ่งมั่นในการทำงาน ลูกน้องย่อมมีขวัญและกำลังใจตามไปด้วย นอกจากนั้น หัวหน้าจะต้องมอบหมายงานตรงตามความชอบ ความถนัด และความสามารถของลูกน้อง หากลูกน้องมีข้อด้อยตรงจุดไหน ก็หาคนช่วยเสริมเพื่อให้งานออกมาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีและเพื่อสนับสนุนการทำงานเป็นทีม พยายามดึงความเก่งของลูกน้องออกมา ให้โอกาสให้ลูกน้องได้แสดงความสามารถ และมอบหมายงานพร้อมตั้งกำหนดเวลา มีการตามงานเป็นระยะ ๆ และเน้นผลสำเร็จ (end-result) เป็นสำคัญ นอกจากนั้น องค์กรควรจัดสัมมนาและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความสามารถของลูกน้อง และเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในองค์กรอีกด้วย