ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2014, 07:37:41 am »

เผย 5 สาเหตุใกล้ตัวก่อมะเร็งที่คนไทยมองข้าม!

-http://ch3.sanook.com/11339/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%84-21-


เรื่องเล่าเช้านี้ สธ.เตือนภัย มะเร็ง รุนแรงขึ้น คร่าคนไทยปีละ6หมื่น

นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เนื่องจากโรคมะเร็งกำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรงระดับโลก เป็นภัยเงียบคุกคามชีวิตประชาชนวัยแรงงานและผู้สูงอายุมากที่สุด องค์การอนามัยโลกรายงานพบผู้ป่วยโรคมะเร็งทั่วโลกปีละประมาณ 13 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 7.6 ล้านคน มากที่สุดคือมะเร็งปอด 1.37 ล้านคน แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกประเทศ คาดว่าในอีก 16 ปีคือในปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 13 ล้านกว่าคน ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากในประเทศไทย พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงอันดับ 1 ของคนไทยต่อเนื่องมานานกว่า 13 ปี ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ล่าสุด ในปี 2554 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิด 61,082 คน คิดเป็นร้อยละ 15 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่มีปีละ 414,670 คน โดยจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3,000 คน

สำหรับปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งที่สำคัญมี 5 ประการ ได้แก่ ความอ้วน การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ การไม่ออกกำลังกาย และไม่กินผักผลไม้สด โดยโรคมะเร็งจะค่อยๆ ก่อตัว ค่อยเป็นค่อยไป ไม่รู้ตัว จึงขอแนะนำผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพ ค้นหาความผิดปกติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากตรวจพบเร็วโอกาสรักษาหายจะมีสูง

สิ่งที่ไม่ควรทำมี 5 ประการเพื่อป้องกันมะเร็ง คือ 1.ไม่สูบบุหรี่ โดยพบว่ามะเร็งปอดร้อยละ 80 เกิดจากสูบบุหรี่ ปัจจุบันพบมะเร็งปอดรายใหม่ปีละกว่า 10,000 คน หากหยุดสูบบุรี่จะป้องกันเกิดมะเร็งปอดได้ร้อยละ60-70 2.ไม่มีเซ็กซ์มั่ว ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย 3.ไม่ดื่มสุรา โดยผู้ที่ดื่มสุรามากกว่าวันละ 3 แก้ว จะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง 9 เท่าของคนไม่ดื่ม และหากดื่มมากกว่าวันละ 3 แก้วและสูบบุหรี่มากกว่าวันละ 20 มวนด้วย ความเสี่ยงเกิดมะเร็งจะเพิ่มเป็น 50 เท่าตัว 4.ไม่ตากแดดจ้า และ 5.ไม่กินปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดดิบๆ เช่น ปลาตะเพียน ปลาซิว ปลาสร้อย ปลาเกล็ดขาว


คลิป ติดตามได้ตามลิงค์ครับ http://ch3.sanook.com/11339/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%84-21


ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2014, 09:55:59 pm »

กินผักเพื่อสุขภาพแต่มีเสี่ยงตายแถมพ่วงด้วยมะเร็ง!! สธ.แนะวิธีล้างผัก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กุมภาพันธ์ 2557 16:16 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013682-

สธ.เผยกินผักได้สุขภาพดีแต่ก็เสี่ยงตาย ชี้ผักนอกฤดูกาลเสี่ยงมีสารเคมีตกค้างมากกว่า ระบุสะสมสารพิษในร่างกายมากเสี่ยงมะเร็งเต้านม แนะวิธีล้างให้สะอาดก่อนกิน และกินให้มากขึ้นวันละ 400 กรัม

นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การกินผักต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย โดยเฉพาะเรื่องสารเคมีตกค้าง หรือการสะสมจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ที่เป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงจำพวกคลอริเนตเตทไฮโดรคาร์บอน หรือเรียกว่าออร์กาโนคลอรีน ได้แก่ อัลดริน เคลเธน ดีดีที คลอเดน ดรีลดริน เป็นต้น ซึ่งอยู่ในธรรมชาติได้นานไม่สลายตัวได้งาย ก่อให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้าง และเป็นอันตรายมาก เมื่อได้รับสารนี้ในปริมาณมากจะทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด ท้องร่วง อาจเกิดหัวใจวาย และตาย ถ้าได้รับในปริมาณน้อยๆ ค่อยๆ สะสมในร่างกายจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง ผู้บริโภคจึงควรหลีกเลี่ยงการกินผักนอกฤดูกาล เนื่องจากมีแนวโน้มของการใช้สารเคมีมากกว่าผักตามฤดูกาล
       
       นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า ก่อนกินผัก หรือนำมาปรุงควรล้างน้ำให้สะอาด ด้วยการลอกเปลือกด้านนอกออกล้างผ่านน้ำก๊อกที่ไหลนาน 2 นาที หรือแช่ในน้ำผสมเกลือ หรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู ทิ้งไว้นาน 10-15 นาที หรือแช่ในน้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 กะละมัง หรือน้ำประมาณ 4 ลิตร จากนั้นนำมาผักมาล้างน้ำสะอาดอีก 2-3 ครั้ง เพื่อให้สารพิษที่ตกค้างออกให้หมด ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านม
       
       “องค์การอนามัยโลกแนะนำให้กินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เช่น หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ และมะเร็งบางชนิด เนื่องจากคนไทยกินผักน้อยลง โดยเฉพาะเด็กไทยร้อยละ 58.9 ไม่ได้กินผักทุกวัน กินผักเพียงช้อนครึ่งต่อวัน ทั้งที่ควรกินผักให้ได้วันละ 12 ช้อนกินข้าว ส่วนผู้ใหญ่กินผักเพียงวันละ 2 ช้อนครึ่งเท่านั้น ทั้งที่ควรกินผักถึง 18 ช้อนต่อวัน หรือ 6 ทัพพี โดยให้กินผักที่หลากหลาย เพราะผักมีใยอาหาร หรือเส้นใย ช่วยทำความสะอาดลำไส้ และช่วยลดการดูดซึมไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือด มีวิตามิน และแร่ธาตุ ช่วยปรับสมดุลเอนไซม์ และฮอร์โมนในร่างกายให้ทำงานมีประสิทธิภาพ ให้สารพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านการอักเสบของเซลล์ และเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว


----------------------------------------------------------------------------------------------

4 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับมะเร็ง รู้ไว้ช่วยเซฟชีวิตได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 กุมภาพันธ์ 2557 17:18 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000013735-

มะเร็งยังคร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 1 สธ.เผยคนไทยมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับมะเร็ง 4 เรื่อง จนเป็นอุปสรรคในการรณรงค์ป้องกันมะเร็ง ทั้งไม่กล้าพูดเรื่องมะเร็ง คิดว่าไม่มีสัญญาณเตือน ทั้งที่มีถึง 7 สัญญาณ เชื่อว่าเป็นโรคโชคชะตา ทั้งที่ป้องกันได้ และคิดว่าไม่มีสิทธิการรักษา ทั้งที่มีสามารถรับยารักษาได้ทั้ง 3 กองทุน

วันนี้ (4 ก.พ.) ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง เนื่องในวันมะเร็งโลก ว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของโลก และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยพบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ประมาณ 12.7 ล้านราย และเสียชีวิตปีละประมาณ 7.6 ล้านคน ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 70 เป็นประชากรที่มีรายได้น้อย หรือปานกลาง ทั้งนี้ สถานการณ์ในไทยตั้งแต่ปี 2541 มะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทย ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตประมาณ 60,000 ราย โดยในเพศชายพบว่า ป่วยเป็นมะเร็งตับสูงสุด ส่วนในเพศหญิง ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมสูงสุด และจะเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมประมาณ 8,000 รายต่อปี โดยผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปมีแนวโน้มป่วยเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น
       
       “จากปัญหาดังกล่าว สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ จึงได้มีการกำหนดนโยบายป้องกัน และควบคุมโรคมะเร็งระดับชาติ เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาของโรคมะเร็ง และหาแนวทางในการป้องกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดกิจกรรมนำรถเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ระบบดิจิตอลที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย และเป็นคันแรกของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทั้งนี้ ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้ได้ผลการตรวจที่มีความละเอียดสูง โดยการนำรถตรวจดังกล่าวมาให้บริการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมแก่ผู้ต้องขังหญิงนั้น ก็เพื่อให้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพ” อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว
       
       ด้าน นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหา และอุปสรรคที่สำคัญในการรณรงค์ป้องกันโรคมะเร็ง คือประชาชนส่วนหนึ่งมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับโรคมะเร็งใน 4 ประเด็นหลัก คือ 1.มีความเข้าใจผิด ไม่กล้าพูดเรื่องมะเร็งเพราะคิดว่าเป็นเรื่องเศร้า ซึ่งที่จริงแล้วควรมีการพูดคุยกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจโรคมะเร็งมากขึ้น เพื่อรู้วิธีดูแล และป้องกันตัวเอง 2.คิดว่ามะเร็งไม่มีสัญญาณเตือน ทั้งที่จริงแล้วมี 7 สัญญาณเตือน ได้แก่ ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง แผลที่ไม่รู้จักหาย ร่างกายมีก้อนตุ่ม กลุ้มใจเรื่องกลืนกินอาหาร ทวารทั้งหลายมีเลือดไหล ไฝหูดเปลี่ยนไป ไอและเสียงแหบเรื้อรัง 3.เชื่อว่ามะเร็งเป็นโรคโชคชะตาฟ้าลิขิตเป็นเรื่องของเวรกรรม แต่เรื่องจริงแล้วสามารถป้องกันได้จากการลดปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ งดสูบบุหรี่ งดดื่มสุรา ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นผักผลไม้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของมื้ออาหาร และออกกำลังกายสม่ำเสมอ และ 4.คิดว่าไม่มีสิทธิในการรักษา ทั้งที่ปัจจุบันทุกสิทธิการรักษาสามารถได้รับการรักษาโรคมะเร็งได้ทุกคนทั้ง 3 กองทุน และหากรู้ว่าเป็นมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกก็สามารถรักษาให้หายขาดได้
       
       นางกัญจน์รัชต์ แก้วจันทร์ ผอ.สถานพยาบาลทัณฑสถานหญิงกลาง กล่าวว่า สำหรับจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ทัณฑสถานฯ ตั้งแต่เดือน มิ.ย.2555-มิ.ย.2556 นั้นพบป่วยทั้งสิ้น 23 ราย เป็นโรคมะเร็งเต้านม 9 ราย มะเร็งมดลูก 10 ราย มะเร็งรังไข่ 1 ราย มะเร็งที่แก้ม 2 ราย และมะเร็งลำไส้ 1 ราย ทั้งนี้ สำหรับการรักษานั้นทางทัณฑสถานฯ จะส่งผู้ป่วยมารักษาที่สถาบันมะเร็งโดยผู้ป่วยจะได้รับโอกาสในการรักษาเหมือนกับบุคคลทั่วไป
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2014, 06:32:43 pm »

5 ต้นเหตุมะเร็ง “อ้วน-ซดเหล้า-ดูดบุหรี่-ไม่กินผัก-ไม่ออกกำลังกาย”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กุมภาพันธ์ 2557 12:51 น.

-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000012694-


 มะเร็งคร่าชีวิตคนไทยปีละ 60,000 คน คาดอีก 16 ปีทั่วโลกจะตายเพราะมะเร็งถึง 13 ล้านคน สธ.เผยเหตุเกิดมะเร็ง ทั้งอ้วน กินเหล้า สูบบุหรี่ กินผักผลไม้สดน้อย และไม่ออกกำลังกาย แนะคนอายุ 30 ปีขึ้นไป ตรวจร่างกายประจำปี ตั้งเป้าเร่งกระจายโรงพยาบาลรักษามะเร็งทั่วประเทศ ทั้งผ่าตัด เคมีบำบัด ฉายแสง และดูแลผู้ป่วยที่หมดหวังถึงบ้าน

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 4 ก.พ.ของทุกปี องค์การอนามัยโลก และสมาคมต่อต้านมะเร็งสากลกำหนดให้เป็นวันมะเร็งโลก เพื่อให้ประเทศต่างๆ รณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมะเร็ง และตระหนักถึงความรุนแรงของโรคนี้ เนื่องจากโรคมะเร็งเป็นภัยเงียบคุกคามชีวิตประชาชนวัยแรงงาน และผู้สูงอายุมากที่สุด องค์การอนามัยโลกรายงานพบผู้ป่วยโรคมะเร็งทั่วโลกปีละประมาณ 13 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 7.6 ล้านคน มากที่สุดคือ มะเร็งปอด จำนวน 1.37 ล้านคน แนวโน้มจำนวนผู้ป่วย และเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกประเทศ คาดว่าในอีก 16 ปี คือในปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 13 ล้านกว่าคน ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก สำหรับประเทศไทย โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงอันดับ 1 ของคนไทยมานานกว่า 13 ปี โดยคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิด 61,082 คน คิดเป็นร้อยละ 15 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่มีปีละ 414,670 คน จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3,000 คน
       
       นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า การจัดบริการทั้งการป้องกัน การดูแลรักษาผู้ป่วย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 สธ.ได้จัดบริการในรูปแบบของเขตบริการสุขภาพ และได้กำหนดให้บริการของโรคมะเร็งเป็น 1 ใน 10 สาขาบริการหลักที่ต้องดำเนินการทุกเขตบริการสุขภาพ เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่าผู้ป่วยมะเร็งที่มาพบแพทย์ป่วยในระยะลุกลามมากกว่าระยะเริ่มต้น โอกาสหายขาดจึงมีน้อย ทั้งนี้มาตรการพัฒนาบริการกำหนดให้ทุกเขตบริการสามารถผ่าตัดมะเร็ง รักษาด้วยเคมีบำบัด และขยายการรักษาด้วยรังสี เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยมะเร็งเร็วขึ้น ได้รักษาใกล้บ้าน โดยได้รับการผ่าตัดใน 4 สัปดาห์ ได้รับยาเคมีบำบัดใน 4 สัปดาห์ และได้รับการฉายแสงระงับเซลล์มะเร็งแพร่กระจายใน 6 สัปดาห์
       
       ด้าน นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัด สธ. กล่าวว่า ปีนี้ สธ.ได้ขยายบริการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแลที่บ้าน โดยให้ทีมสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ร่วมกับโรงพยาบาลชุมชน และ อสม.ออกไปให้การดูแลที่บ้านอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อช่วยลดความทุกข์ทรมานผู้ป่วย สำหรับปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งที่สำคัญมี 5 ประการ ได้แก่ ความอ้วน การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ การไม่ออกกำลังกาย และไม่กินผักผลไม้สด โดยมะเร็งจะค่อยๆ ก่อตัวแบบไม่รู้ตัว จึงขอแนะนำผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพค้นหาความผิดปกติอย่างน้อยปีละครั้ง หากตรวจพบเร็วโอกาสรักษาหายจะมีสูง ขณะเดียวกัน ได้จัดระบบการป้องกัน และการค้นหาผู้ที่เริ่มมีความผิดปกติแต่ยังไม่รู้ตัว เช่น ผู้หญิงที่อายุ 30 ปีขึ้นไป จะรณรงค์ให้ตรวจหามะเร็งปากมดลูกให้ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ตรวจมะเร็งเต้านมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 หากพบความผิดปกติจะได้รับการผ่าตัดภายใน 1 เดือน ซึ่งมีโอกาสหายเป็นปกติสูงมาก หากเซลล์มะเร็งยังไม่ลุกลามไปที่อื่น ในบางเขตบริการฯ เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่พบโรคมะเร็งตับสูงจะตรวจหาไข่พยาธิใบไม้ตับในอุจจาระ หากพบจะให้ยาฆ่าพยาธิ และปรับพฤติกรรมเลิกกินปลาน้ำจืดดิบๆ สุกๆ ด้วย

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2013, 11:08:19 am »

13 อาการสัญญาณก่อโรคมะเร็ง

-http://men.sanook.com/1494/13-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87/-


ร่างกายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากไม่หมั่นสังเกต คุณอาจไม่รู้ว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแข็งแรงขึ้น หรือย่ำแย่ลงสัญญาณเตือนต่อไปนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณหันมาทบทวน และปรับปรุงตัวเองก่อนที่ปัญหาเล็กๆ จะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ 13 อาการสัญญาณก่อโรคมะเร็งควรรีไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังนี้

1. หายใจมีเสียงหวีดหรือหายใจไม่ทัน หนึ่งในอาการแรกของโรคมะเร็งปอดที่ผู้ป่วยนึกออกเมื่อมองย้อนกลับไปดูก็คืออาการหายใจไม่ทัน

2. ไอเรื้อรังหรือเจ็บหน้าอก มะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งปอดอาจทำให้มีอาการคล้ายกับไอเรื้อรังหรือหลอดลมอักเสบได้ แต่การไอของโรคมะเร็งจะมีความแตกต่างคือเป็นเรื้อรังหรือเป็นๆ หายๆ นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดบางรายยังมีอาการปวดหน้าอกที่ลามไปยังไหล่หรือแขนอีกด้วย

3. มีไข้หรือติดเชื้อบ่อย อาการนี้อาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติและจะไปเบียดเบียนเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติ ทำให้ร่างกายขาดความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรค แพทย์มักตรวจพบมะเร็งเม็ดเลือดขาวในผู้ใหญ่ที่ป่วยและมาพบแพทย์ซ้ำๆ ด้วยอาการไข้ ปวดเมื่อยตัว และอาการคล้ายไข้หวัดเป็นเวลานาน

4. กลืนลำบาก แม้อาการนี้จะสัมพันธ์กับมะเร็งในหลอดอาหารหรือลำคอที่สุด แต่บางครั้งอาการกลืนอาหารลำบากก็เป็นสัญญาณแรกของมะเร็งปอดได้เช่นกัน

5. ต่อมน้ำเหลืองโตหรือก้อนที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ ภาวะต่อมน้ำเหลืองโตบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบน้ำเหลืองซึ่งอาจจะเป็นอาการของโรคมะเร็ง เป็นต้นว่า ก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองโตที่ใต้รักแร้อาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเต้านม ขณะที่ก้อนที่ลำคอ รักแร้ หรือขาหนีบที่ไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

6. รอยฟกช้ำหรือเลือดออกไม่หยุด อาการนี้มักชี้ถึงความผิดปกติของเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดแดงซึ่งอาจเป็นอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางรายพบรอยช้ำที่บริเวณแปลกๆ เช่น ตามนิ้วและมือ ทั้งยังมีรอยแดงที่ใบหน้า ลำคอ และหน้าอก หรือมีอาการเลือดออกที่เหงือก เนื่องจากเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นจนไปเบียดเบียนเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด ทำให้ความสามารถในการนำส่งออกซิเจนและแข็งตัวของเลือดลดลง

7. ปวดท้องน้อยหรือปวดท้อง อาการปวดท้องน้อยเพียงอย่างเดียวอาจหมายถึงได้ทั้งภาวะพังผืดในมดลูก ซีสต์ในรังไข่ และความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์อื่นๆ แพทย์จึงมักไม่สงสัยเรื่องโรคมะเร็ง ดังนั้นคุณจึงควรขอให้แพทย์ตรวจร่างกายโดยละเอียด เนื่องจากอาการปวดและตะคริวที่ท้องน้อยหรือช่องท้องอาจเกิดร่วมกับอาการท้องอืดซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งรังไข่ได้ นอกจากนี้การขยายตัวของม้ามในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวก็อาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องเช่นกัน

8. อาการเลือดออกที่ทวารหนักหรือถ่ายปนเลือด หลายคนอาจคิดว่าอาการถ่ายปนเลือดเป็นแค่ริดสีดวงเป็นอาการโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

9 . อาหารไม่ย่อยหรือปวดกระเพาะ อาจฟังดูเป็นเรื่องธรรมดาแต่ก็ช่วยให้แพทย์สั่งตรวจอัลตราซาวนด์และสามารถพบมะเร็งตับได้แต่เนิ่นๆ อีกทั้งอาการปวดเกร็งช่องท้องหรืออาหารไม่ย่อยเป็นประจำอาจแสดงถึงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

10. เต้านมบวม แดง หรือเจ็บ อาจบ่งชี้ถึงโรคมะเร็งเต้านมชนิดอักเสบ (inflammatory breast cancer) ซึ่งมีอาการบวม ร้อนที่เต้านม สีที่เปลี่ยนไปเป็นแดงหรือม่วงก็ถือเป็นอีกหนึ่งอาการที่ควรระวังไม่ต่างจากพบรอยบุ๋มคล้ายผิวส้มที่ผิวเต้านม นอกจากนี้โรคมะเร็งเต้านมชนิดอักเสบยังอาจก่อให้เกิดอาการอื่นๆ ที่หัวนม เช่น อาการคัน ผิวลอกเป็นแผ่น หรือแตกเป็นสะเก็ดได้อีกด้วย

11. ประจำเดือนมามากหรือปวดประจำเดือนผิดปกติ หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอย นี่คือสัญญาณของโรคมะเร็งที่เยื่อบุโพรงมดลูกหรือมดลูก หากคุณสงสัยว่าอาการประจำเดือนออกมากของคุณมีสาเหตุแอบแฝง ก็ลองขอให้แพทย์ทำอัลตราซาวนด์ผ่านช่องคลอดดูได้ค่ะ

12. อาการบวมที่ใบหน้า ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดบางรายมีอาการบวมหรือแดงที่ใบหน้า ซึ่งเป็นเพราะมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (small cell lung cancer) มักจะไปกดเส้นเลือดแดงในหน้าอก ทำให้เลือดไหลเวียนจากศีรษะและใบหน้าไม่สะดวก

13. ความผิดปกติที่เล็บ จุดหรือเส้นสีดำใต้เล็บบ่งถึงอาการของโรคมะเร็งผิวหนัง ขณะที่อาการ "นิ้วปุ้ม" ซึ่งปลายนิ้วมือพองนูนและปลายเล็บงุ้มลงเข้าหานิ้ว อาจเป็นอาการของโรคปอด เล็บที่มีสีซีดหรือเปลี่ยนเป็นสีขาวอาจมีสาเหตุมาจากการทำงานของตับที่ลดลง ซึ่งอาจหมายถึงโรคมะเร็งตับได้

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2013, 11:07:31 am »

ว่าด้วยเรื่องของโรค "มะเร็ง"

ผมจะรวบรวมเรื่องราวของโรคมะเร็ง เพื่อให้ได้อ่านจะได้เป็นความรู้ในการป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

หากท่านใดที่มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับมะเร็ง โปรดนำลงเป็นวิทยาทานกัน